โฟลท ฟอร์มสุดเดือดเกม Wet Race กด R1 ไล่บู๊คว้าอันดับ 4 รุ่นใหญ่ศึกชิงแชมป์เอเชีย

โฟลท – รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 และ แสตมป์ – อภิวัฒน์ วงศธนานนท์ #24 คู่หูนักบิดดีกรีแชมป์เอเชียของทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ที่ลงสนามชิงชัยรุ่น ASIA SUPERBIKE 1000cc ด้วยรถแข่ง YZF-R1 โชว์ฟอร์มสุดเดือดในเกม Wet Race หลังฝนตกหนัก พร้อมเปิดเกมบู๊กับยอดฝีมือจากทั่วเอเชียตลอดทั้งเกมที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและกดดัน ก่อนที่ โฟลท – รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 จะทะยานเข้าเส้นชัยคว้าอันดับที่ 4 พร้อมเก็บคะแนนสะสมเพิ่มเป็น 74 คะแนน รั้งอันดับ 7 ส่วนทีมเมท แสตมป์ – อภิวัฒน์ วงศธนานนท์ #24 ก็สามารถตามเข้าเส้นชัยมาในอันดับที่ 8 เก็บคะแนนสะสมเพิ่มเป็น 97 คะแนน รั้งอันดับ 4 บนตารางคะแนนสะสมในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียรุ่น ASIA SUPERBIKE 1000cc เรซที่ 2 รายการ ASIA ROAD RACING CHAMPIONSHIP 2019 สนามที่ 4 ณ สนามซูซูก้า ประเทศญี่ปุ่น

เทพต๋ง – พีรพงศ์ ฟอร์มโหดบิด YZF-R6 ลุยฝนเบียดเจ้าถิ่นชิงแชมป์เอเชียสุดมันส์ ครองบัลลังก์แชมป์ SS600

เทพต๋ง – พีรพงศ์ บุญเลิศ #26 ตัวเต็งแชมป์เอเชียรุ่น SUPERSPORTS 600cc ระเบิดพลังเค้นฟอร์มเก่ง กระชากคันเร่งรถแข่ง YZF-R6 ฝ่าสายฝนที่ตกลงมาตลอดเกม ขับเคี่ยวไล่บู๊กับนักบิดเจ้าถิ่นได้อย่างระทึกสุดมันส์ ก่อนทะยานเข้าเส้นชัยคว้าอันดับที่ 1 นำธงชาติไทยสะบัดบนยอดโพเดี้ยมได้สำเร็จ ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียรุ่น SUPERSPORTS 600cc เรซที่ 2 รายการ ASIA ROAD RACING CHAMPIONSHIP 2019 สนามที่ 4 ซึ่งจัดการแข่งขันขึ้น ณ สนามซูซูก้า ประเทศญี่ปุ่น

โดยนักบิดหัวหอกของทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ประจำปีไปอีกก้าว ด้วยการรั้งตำแหน่งผู้นำคะแนนสะสมที่มี 191 คะแนน กับสุดยอดผลงานการยืนโพเดี้ยมทุกเรซการชิงชัย ทิ้งห่างอันดับ 2 ที่มีเพียง 93 คะแนน ในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 6 เรซ และมีแต้มให้เก็บอีก 150 คะแนน เท่านั้น

“ปิยวัฒน์” สวมบทบู๊ฝ่าสายฝนไล่บิดแซงคู่แข่ง คว้าอันดับ 4 เอเชีย โร้ด ที่ ญี่ปุ่น

“ฟิล์ม” ปิยวัฒน์ ประทุมยศ ยอดนักบิดดาวรุ่งไทย หมายเลข 188 จาก เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ทีม ในโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม”​ ฉายแววโดดเด่นในศึก เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ หลังสวมใจนักสู้ไล่บิดแซงคู่แข่งเข้าป้ายอันดับ 4 ในคลาส เอเชีย โปรดักชั่น 250 ซี.ซี. เรซที่ 2 เก็บแต้มให้ตนเองและทีมได้สำเร็จที่ ซูซูกะ เซอร์กิต ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์เอเชีย รายการ เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ 2019 เดินทางเข้าสู่สนามที่ 4 ของฤดูกาล มีคิวดวลความเร็วระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายนนี้ ที่ สนามซูซูกะ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศญี่ปุ่น โดยการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเรซที่ 2 มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา

ก่อนเข้าสู่การแข่งขัน มีฝนตกลงมาอย่างหนักส่งผลให้มีการประกาศเป็นการแข่งขันใน “สนามเปียก” โดยทัพนักบิดไทยจาก เอ.พี.ฮอนด้า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม นำโดย “มุกข์” มุกข์ลดา สารพืช นักบิดสาวแกร่งเจ้าของหมายเลข 44 รองจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพในรุ่น เอเชีย โปรดักชั่น 250 ซี.ซี. ได้ออกสตาร์ทจากกริดที่ 6 ส่วนทีมเมทดาวรุ่งจากโครงการ “เรซ ทู​ เดอะ ดรีม” อย่าง “ฟิล์ม” ปิยวัฒน์ ประทุมยศ หมายเลข 188 ได้เริ่มเกมจากกริดที่ 18 ด้าน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี หมาย 149 ที่มีอาการบาดเจ็บที่หลังจากการล้มในรอบซ้อมต้องออกตัวจากกริดที่ 15

เกมในเรซนี้ต้องแข่งขันท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก และเพียงรอบแรกนักบิดสาวไทยอย่าง มุกข์ลดา ต้องออกจากการแข่งขันอย่างน่าเสียดาย หลังพลาดล้มลงไป โดย ธัชกร เป็นอีกหนึ่งคนที่มาพลาดล้มในช่วง 2 รอบสุดท้าย

อย่างไรก็ดี ปิยวัฒน์ ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเรซนี้ รักษาผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนควบรถแข่งฝ่าสายฝนเข้าป้ายในอันดับ 4 ด้วยเวลา 21 นาที 57.199 วินาที คว้าแต้มส่งท้ายการข่งขันที่ญี่ปุ่นมาครองได้สำเร็จ

ส่วนแชมป์ในเรซนี้เป็นของ อาห์วิน ซานจาย่านักบิดอินโดนีเซียนจาก แอสตร้า ฮอนด้า เรซซิ่ง ทีม ด้วยเวลา 21 นาที 52.015 วินาที โดยมีทีมเมทอย่าง เออร์ฟาน อาร์เดียนซยาห์ ตามเข้าป้ายเป็นอันดับ 2

ภายหลังจบการแข่งขัน 4 สนาม (8 เรซ) จ่าฝูงเป็นของ แอนดี้ มูฮัมหมัด ฟาดลี นักบิดอินโดนีเซียน ด้วยคะแนนทั้งสิ้น 127 คะแนน ขณะที่ มุกข์ลดา รั้งอันดับ 4 มี 97 คะแนน ด้าน ธัชกร รั้งอันดับ 6 มี 76 คะแนน ตามด้วย ปิยวัฒน์ ในอันดับ 10 มี 58 คะแนน

สำหรับการแข่งขันสนามถัดไปของ ศึก เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ 2019 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 9-11สิงหาคมนี้ ที่ สนาทมซูไห่ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศจีน

แฟนๆ ความเร็วสามารถติดตามและให้กำลังใจนักแข่งได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ รถจักรยานยนต์ฮอนด้า (Honda Motorcycle Thailand) www.facebook.com/hondamotorcyclethailand/

ขุนพลนักบิด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ท๊อปฟอร์ม!!!

ขุนพลนักบิด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ท๊อปฟอร์ม!!!
คู่หูแชมป์เอเชีย แสตมป์ – โฟลท นำทัพซ้อมรั้งกลุ่มหัวแถว พร้อมชิงชัยศึกชิงแชมป์เอเชียสนาม 4 ที่ซูซูก้า ประเทศญี่ปุ่น

ศึกชิงแชมป์เอเชียชิงความเป็นเจ้าความเร็วสองล้อทางเรียบ รายการ ASIA ROAD RACING CHAMPIONSHIP 2019 สนามที่ 4 ซึ่งจัดการแข่งขันขึ้นระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2562 ณ สนามซูซูก้า ประเทศญี่ปุ่น โดยยอดทีมแข่งจากประเทศไทยอย่าง “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” ยังคงเดินหน้าลงสนามชิงชัยแบบเต็มพิกัด นำทัพด้วยตัวเต็งแชมป์ เทพต๋ง – พีรพงศ์ บุญเลิศ # 26 ที่เป็นผู้นำคะแนนสะสมรุ่น SUPERSPORTS 600cc ด้วยผลงานการคว้าชัยชนะแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม จาก 6 เรซการแข่งขันในสนาม 3 ที่ผ่านมา พร้อมด้วย แสตมป์ – อภิวัฒน์ วงศธนานนท์ #24 กับ โฟลท – รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 คู่หูดีกรีแชมป์เอเชียที่ลงชิงชัยในรุ่น ASIA SUPERBIKE 1000cc และสองนักบิดดาวรุ่งสายเลือดใหม่ของทีมอย่าง โฟลค – สวพล นิลพงษ์ #56 กับ มอส – สุทธิภัทร พัชรธร #86 ที่ลงสนามในรุ่น ASIA PRODUCTION 250cc เพื่อเก็บเกี่ยวสะสมประสบการณ์การแข่งขันในเกมระดับนานาชาติ
สำหรับวันแรกของโปรแกรมการแข่งขันสนามที่ 4 นั้น เป็นรอบการซ้อม Free Practice ที่มีด้วยการทั้งหมด 3 ครั้ง โดยในรุ่น ASIA PRODUCTION 250cc คู่หูดาวรุ่งของทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม มอส – สุทธิภัทร พัชรธร #86 และ โฟลค – สวพล นิลพงษ์ # 56 ที่ขับขี่ในสนามซูซูก้าเป็นครั้งแรก ลงทำการซ้อมด้วยรถแข่ง YZF-R25 ต่างพยายามศึกษาไลน์การขับขี่และทำความคุ้นเคยกับสนามอย่างเต็มที่ทุกช่วงของการซ้อม โดย มอส – สุทธิภัทร พัชรธร #86 สามารถทำเวลาต่อรอบดีสุดอยู่ที่ 2’32.629 นาที ส่วน โฟลค – สวพล นิลพงษ์ # 56 ทำเวลาดีที่สุดในการซ้อมอยู่ที่ 2’35.672 นาที รั้งอยู่ในอันดับที่ 19 และ 26 ของตารางเวลารวมตามลำดับ

ส่วนในรุ่น SUPERSPORTS 600cc ตัวเต็งแชมป์อย่าง ต๋ง – พีรพงศ์ บุญเลิศ #26 หัวหอกของทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ก็ลงสนามพร้อมด้วยรถแข่ง YZF-R6 ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์และจิตใจที่แข็งแกร่ง ก็ยังคงสามารถโชว์ลีลาการขับขี่ได้อย่างดุดัน พร้อมกับกดเวลาในการซ้อมต่ำลงได้ทุกครั้งที่ลงสนาม ก่อนที่จะทำเวลาต่อรอบดีที่สุดอยู่ที่ 2’14.107 นาที ขึ้นรั้งอันดับที่ 2 ของตารางเวลาในช่วงการซ้อม

และในรุ่น ASIA SUPERBIKE 1000cc ซึ่งคู่หูดีกรีแชมป์เอเชียของทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม อย่าง แสตมป์ – อภิวัฒน์ วงศธนานนท์ #24 กับ โฟลท – รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 ที่ลงสนามด้วยรถแข่ง YZF-R1 และมีฟอร์มการขับขี่ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสนามโฮมเรซในเมืองไทย ก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงก่อนกดเวลาขับเคี่ยวกับคู่แข่งในกลุ่มหัวแถวได้แบบสนุก ก่อนที่ แสตมป์ – อภิวัฒน์ วงศธนานนท์ #24 จะสามารถทำเวลาต่อรอบดีที่สุดอยู่ที่ 2’09.893 นาที ส่วนทีมเมทอย่าง โฟลท – รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 ก็กดเวลาต่อรอบดีที่สุดอยู่ที่ 2’10.129 นาที รั้งกลุ่มหัวแถวในอันดับที่ 2 และ 4 ของตารางเวลารวมตามลำดับ

สำหรับโปรแกรมการแข่งขันของทัพนักบิด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ในวันพรุ่งนี้ (29 มิ.ย.) ช่วงเช้า (ตามเวลาประเทศไทย) จะเป็นรอบการควอลิฟาย เริ่มด้วยรุ่น ASIA PRODUCTION 250cc ในเวลา 06.55 – 07.25 น. ต่อด้วยรุ่น SUPERSPORTS 600cc ในเวลา 07.40 – 08.10 น. และรุ่น ASIA SUPERBIKE 1000cc ในเวลา 09.10 – 09.50 น. จากนั้นช่วงบ่ายจะเป็นการแข่งขันในเรซที่ 1 โดยเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 12.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) เป็นต้นไป โดยแฟนมอเตอร์สปอร์ตสามารถร่วมติดตามและให้กำลังใจทัพนักบิด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย รายการ ASIA ROAD RACING CHAMPIONSHIP 2019 สนามที่ 4 ได้ที่ Facebook : Yamaha Thailand Racing Team และ Yamaha Society Thailand และสามารถติดตามชมการแข่งขันแบบสดๆ ได้ผ่านทาง Facebook Live และ YouTube Live : Asia Road Racing Championship

ทัพ Suzuki GSX-R150 โชว์ฟอร์มเต็มสูบ เหมาโพเดี้ยมศึกชิงแชมป์ประเทศไทย สนาม 3

ทัพ Suzuki ท็อปฟอร์มก้าวขึ้นสู่โพเดี้ยมในศึก FMSCT Thailand Road Racing สนาม 3 จากผลงาน 3 นักแข่งในสังกัดทีม Suzuki Ecstar Yoshimura Motul IRC D.I.D NGK Racing Boy KYT YSS Aracer J.S. Racing Team โดยในรุ่น Production 150 “เจ้าเค้ก” พันธุ์ชนะ กุลโรจน์ชลาลัย #78 ควงแขน “เดอะปาร์ค” พาทิศ ชูประเทศ #98 ควบ GSX-R150 ขึ้นโพเดี้ยมแบบแพ็คคู่ บวกกับความสำเร็จของ Gun Mie #43 ระเบิดฟอร์มคุมบังเหียน GSX-R150 คว้าแชมป์แรกสำเร็จในรุ่น Production 150 อายุไม่เกิน 18 ตอกย้ำเจ้าความเร็วอย่างยิ่งใหญ่กลับมาสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้งในศึกชิงเจ้าความเร็วในรายการ FMSCT Thailand Road Racing ของทัพ Suzuki จากเหล่าขุนพลบนอาน GSX-R150 ในรุ่นเดือดที่สุดของการแข่งขันกับ Production 150 ที่มีการขับเคี่ยวกันตั้งแต่ออกสตาร์ท และกับ 2 ขุนพลอย่าง “เจ้าเค้ก” พันธุ์ชนะ กุลโรจน์ชลาลัย #78 และ “เดอะปาร์ค” พาทิศ ชูประเทศ #98 2 ทีมเมทเปิดเกมการแข่งขันสู้ได้อย่างดุเดือดตั้งแต่ต้นเกม กับการแข่งขันทั้งหมด 12 รอบสนาม และ 2 คู่หูทีมเมทสามารถเก็บชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่แชมป์ตกอยู่ในมือของ “เจ้าเค้ก” พันธุ์ชนะ กุลโรจน์ชลาลัย #78 พร้อมกับทำเวลา Best Lap ไว้ 1:31.316 นาที ในรอบที่ 9 เช่นเดียวกับทาง “เดอะปาร์ค” พาทิศ ชูประเทศ #98 ที่ทำเวลา Best Lap เอาไว้ 1:31.225 นาที ในรอบที่ 6 เก็บแต้มรองแชมป์อันดับ 1 ได้สำเร็จ และผลจากการเก็บชัยชนะได้ในสนามนี้ส่งผลให้ “เดอะปาร์ค” พาทิศ ชูประเทศ #98 มีคะแนนสะสมขึ้นเป็นจ่าฝูงด้วยคะแนน 51 แต้ม ส่วนรองจ่าฝูงก็เป็นของคู่หูอย่าง “เจ้าเค้ก” พันธุ์ชนะ กุลโรจน์ชลาลัย #78 ที่เก็บแต้มไล่คันเร่งมาแบบหายใจรดต้นคอด้วยคะแนน 50 แต้ม 

สำหรับในรุ่น Production 150 อายุไม่เกิน 18 เป็นอีกรุ่นหนึ่งของทัพ Suzuki ที่ประสบความสำเร็จในสนามนี้เช่นเดียวกัน โดยการคุมบังเหียนของ Gun Mie #43 นักแข่งสายเลือดแดนอาทิตย์อุทัย ที่พร้อมลุยศึกชิงแชมป์ไทยแลนด์ในปี้นี้แบบเต็มฤดูกาล สนามนี้มาพร้อมกับความตั้งใจเกินร้อย กับการแข่งขันทั้งหมด 10 รอบสนามที่ต้องแหวกกลุ่มตู่แข่งขึ้นมาอยู่หัวแถว ก่อนที่จะเก็บชัยชนะไปได้อย่างสวยงามเช่นเดียวกัน กับเวลา Best Lap 1:33.575 ในรอบที่ 4 และนั่นก็เร็วพอที่จะคว้าโพเดี้ยมในสนามที่ 3 ไปได้อย่างสวยงาม ส่งผลให้มีคะแนนเก็บอยู่ 28 แต้ม จากผลงานทำให้เห็นถึงความพร้อมของทีม Suzuki ที่จะสร้างผลงานให้ได้เห็นกันอีกครั้งในศึกชิงเจ้าความเร็วในปี 2019 กับรถรหัสสปอร์ต Suzuki GSX-R150

Yamaha QBIX 125 Candy Color

เจาะเข้ากับทุกกลุ่มของวัยรุ่นด้วยการออกแบบดีไซน์ฉีกแนวของรถออโตเมติกทั่วไปและมาพร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ล้ำ และนำสมัย เน้นการขับขี่ที่สะดวกง่ายดายประหยัดน้ำมัน

หลังจากเปิดตัวสร้างความฮือฮาที่งานมอเตอร์โชว์ฯ ที่ผ่านมากับแนวรถสไตล์ใหม่ทรงสี่เหลี่ยม และการสานต่อยอดในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ได้รับความนิยมของกลุ่มวัยรุ่นและสำนักแต่งอย่างต่อเนื่องสำหรับความสวยงาม และความโดดเด่นของรถออโตเมติก QBIX125 คันนี้ มีการปรับแต่งสีสันใหม่ด้วยลายกราฟฟิคและเส้นสายแบบ Abstract แอ๊บสแตก ด้วยเฉดสีที่สะดุดตาด้วยลวดลายสลับสีสะท้อนแสงบนพื้นสีชมพู และในส่วนอื่นก็เสริมด้วยอุปกรณ์ของแต่งที่หาซื้อได้เอง แล้วแต่ความชอบและไอเดียของแต่ละคน อย่างข้างหน้าไฟเปลี่ยนแปลงใส่เป็นไฟสองชั้น วงล้อแม็กสีสันใหม่สวยงามตัวยางกึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งทางเรียบและทางฝุ่น ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ทรงเรเดียลเม้าท์ โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค แฮนด์เดิ้ลบาร์ทรงต่ำปลายแฮนด์ตุ่มถ่วงใหม่ ปั๊มแรงดันดิสก์เบรกตู้ปลา ก้านเบรกขาพับได้เรือนไมล์แบบฟูลดิจิตอล กระจกมองหลังขาอลูมินัม บานกระจกทรงเหลี่ยมตัดแสง ส่วนอินเนอร์ด้านในมีช่องสำหรับเสียบสายชาร์ท ท่านั่งสบายๆ ด้วยเบาะขนาดใหญ่กว้าง ปาดแต่งทรงใหม่หุ้มด้วยหนังแก้ว ฟุตบอร์ดเสริมยางวางเท้ากันลื่น

ด้านหลังโช้คอัพเดี่ยวระบบแก๊สของ Gazi ที่มีซับแท้งค์บิ้วท์อินสามารถปรับพรีโหลดของสปริงได้ ในส่วนของเครื่องยนต์เพิ่มสมรรถนะความจี๊ดจ๊าดด้วยท่อสูตรเสียงเพราะเดินคอท่อด้วยสแตนเลสลอดออก ด้านข้างสวมด้วยปลายท่ออลูมินัมเคฟล่าร์ กรองอากาศ MUSASHI กระบอกใหญ่ เพิ่มให้ระบบเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฝาครอบสายพานทำสีให้เข้าชุดกับสีสันของตัวรถ การปรับเปลี่ยนเพิ่มสีสันความโดดเด่นแต่ก็ยังคงเน้นในเรื่องของความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์การขับขี่ครบไม่ต้องกลัวเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ และเป็นที่น่าสนใจบนท้องถนนอีกด้วย

ยามาฮ่า ชวนสื่อมวลชนขี่รถเที่ยวหัวหิน ทดสอบสมรรถนะรถออโตเมติก

นางสรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโสฝ่ายสื่อสารการตลาดกลุ่มรถออโตเมติก และตราสินค้า บริหารลูกค้าสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์ และสื่อดิจิทัล พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมด้วย เดชา ไกรศาสตร์ อดีตแชมป์เอเชีย 2 สมัยมและแชมป์ออลเจแปน 1 สมัย พีรพงศ์ บุญเลิศ นักบิดดาวรุ่งที่สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นในฤดูกาล 2019 นี้ ในสังกัด ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ถ่ายภาพร่วมกับคณะสื่อมวลชนสายกีฬา ที่ร่วมขับขี่ในรูปแบบทัวร์ริ่งท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ อ.หัวหิน ภายใต้รถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นต่างๆ ของยามาฮ่า นำโดย Yamaha QBIX, Yamaha AEROX 155, Yamaha FreeGo, Yamaha LEXi และ Yamaha XMAX 300 ณ อ.หัวหิน จ.ประจวงคีรีขันธ์ เมื่อเร็วๆ นี้

“ยามาฮ่า” หนุนโครงการ “ก้าวคนละก้าว” จัดทัพรถจักรยานยนต์ออโตเมติก รับบทออฟฟิเชียลไบค์

นายพิษณุศักดิ์ ทรงสัตย์ ผู้จัดการอาวุโส แผนกกิจกรรมภาพลักษณ์​ตราสินค้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด​ ส่งมอบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าออโตเมติก ให้กับ นายอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) และผู้บริหารทีมก้าวคนละก้าว เพื่อใช้เป็นรถออฟฟิเชียลเซอร์วิส อำนวยความสะดวกในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ใน 5 ภูมิภาคทั่วไทย

สำหรับโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ในครั้งนี้จะเป็นการวิ่งระยะสั้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเชิญชวนพี่น้องชาวไทยมาร่วมออกกำลังกายซึ่งเป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี
ทั้งยังสามารถร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลสำหรับชุมชนที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน ให้มีศักยภาพในการรักษาผู้ป่วย

โดยโครงการก้าวคนละก้าว จะออกสตาร์ทที่ ภาคอีสานในวันที่ 14-16 มิถุนายน ต่อด้วยภาคใต้ในวันที่ 4-6 ตุลาคม หลังจากนั้นเป็นคิวของภาคเหนือ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม ส่วนภาคตะวันออกและภาคกลาง จะมีขึ้นในปีหน้าช่วงเดือนมีนาคมและพฤษภาคม ตามลำดับ

โดยการส่งมอบกองทัพรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าออโตเมติกเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งและร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมดังกล่าวมีขึ้น ณ ศาลากลาง จ.ขอนแก่น เมื่อเร็วๆ นี้

สามารถติดตามความเคลื่อนไหวโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th
Facebook : Yamaha Society Thailand

เพราะเราเชื่อในพลังเล็กๆ

Fino 125 CC 2019

ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่…สีสันสุดคลาสสิก ต้นฉบับออโตเมติกแฟชั่นเมืองไทย ขับขี่สบายด้วยเครื่องยนต์ BLUE CORE ระบบหัวฉีด กำลังแรง 125 ซีซี พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Stop & Start System* ช่วยให้ประหยัดยิ่งขึ้น และเติมน้ำมันได้หลายประเภทจนถึง E85** *เฉพาะในยามาฮ่า ฟีโน่125 รุ่น PREMIUM(BS93) เท่านั้น **เฉพาะในยามาฮ่า ฟีโน่125 รุ่น STANDARD(BB99) เท่านั้น

เครื่องยนต์
 แบบระบบจ่ายน้ำมันหัวฉีด  4 จังหวะ/ 1 สูบ
 ปริมาตรกระบอกสูบ 125 cc
 อัตราส่วนกำลังอัด  9.5 : 1
 กระบอกสูบ x ระยะ
ชัก
52.4 x 57.9 มม.
 ระบบหล่อลื่น แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีด
 ระบบจุดระเบิด จุดระเบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์
 ระบบคลัทช์ คลัทช์แห้ง
 ระบบเกียร์ ออโต้
ระบบสตาร์ท สตาร์ทมือ/สตาร์ทเท้า
น้ำมันเชื้อเพลิง E20,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อ
เพลิง
 4.2 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง 0.8 ลิตร
กว้าง*ยาว*สูง 740 * 1870 * 1066 มิลลิเมตร
น้ำหนักรวม98 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน หน้า : โช้คหน้าแบบเทเลสโคปิค หลัง : โช้คอัพคู่พร้อมสวิงอาร์ม

ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” เติมสีสันใหม่…ให้กับความออริจินัล

ยามาฮ่าผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกตัวจริง ส่งรถออโตเมติกระดับพรีเมี่ยมที่ครองใจคนไทย ทั้งประเทศอย่าง “ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” เติมสีสันใหม่…ให้กับความออริจินัล สีสันสุดคลาสสิก ต้นฉบับออโตเมติกของเมืองไทย มาพร้อมเทคโนโลยีความประหยัดที่เหนือชั้นกับเครื่องยนต์บลูคอร์ ขับขี่สบายคล่องตัวด้วยระบบหัวฉีด กำลังแรง 125 ซีซี พร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะ Stop & Start System* ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น และเติมน้ำมันได้หลากหลายประเภทจนถึง E85**

“ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” ยนตรกรรมสุดคลาสสิก ที่ถูกแต่งเติมสีสัน ด้วยเทคโนโลยีความแรง และความประหยัด ขับขี่สนุก เพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ระบายความร้อนได้ดีกว่า ลดการสูญเสียกำลัง ทำให้ประหยัดน้ำมัน และช่วยลดมลพิษ

“ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” ออโตเมติกแฟชั่นกับการออกแบบ และดีไซน์ ที่สวยงามครั้งใหม่ สีสันสวยบาดใจ โฉบเฉี่ยวทุกการเคลื่อนไหว ไฟหน้า FULL LED สไตล์โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟหรี่แบบ Diamond Cut Len ส่องสว่างชัดเจนทั้งกลางวัน และกลางคืน เรือนไมล์ DUO METER ดีไซน์แยกส่วนมองเห็นชัดทุกรายละเอียด พร้อมไฟหรี่แสดงการขับเคลื่อนแบบประหยัด

“ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” เหนือชั้นไปอีกขั้นกับความลงตัวด้วยระบบ ANSWER BACK SYSTEM กุญแจรีโมทอัจฉริยะเปิดช่องกุญแจอัตโนมัติพร้อมไฟเรืองแสง และส่งสัญญาณบอกตำแหน่งรถ MEGA BOX ที่เก็บของขนาดใหญ่จุใจถึง 8.2 ลิตร และล้อแม็กขนาด 14”* เทรนด์สปอร์ตสุดฮิต เฉพาะในยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่ รุ่น Premium

“ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” มาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะใหม่ ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันด้วยระบบ Stop & Start System (เฉพาะในยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่ รุ่น Premium เท่านั้น) อีกทั้งยังมีระบบ FLEX FUEL เติมน้ำมันได้หลากหลายประเภทตั้งแต่น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ทุกประเภท ไปจนถึง E85 (เฉพาะในยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่ รุ่น Standard เท่านั้น)

“ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” มีให้เลือก 2 รุ่น 4 สีสันใหม่ดังนี้ 
– รุ่น PREMIUM สีขาว ราคาแนะนำ 51,900 บาท
– รุ่น STANDARD สีเขียว-ขาว, สีแดง-ขาว และสีดำ-ขาว ราคาแนะนำ 46,400 บาท

พบกับ “ยามาฮ่า ฟีโน่125 ใหม่… The ORIGINAL” ได้แล้วที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่าทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารออนไลน์ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th และร่วมอัพเดทความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

Facebook : www.facebook.com/yamahasocietythailand
Instagram : @yamahasocietythailand 
Youtube : Yamaha society thailand

Kawasaki Versys 1000 SE

ที่จริงในยุโรปนั้นได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่ต้นปีสำหรับไลน์ผลิต 2019 Kawasaki Versys ทั้ง 650 และ 1000 ที่มีหลากหลายเวอร์ชั่น

ล่าสุดที่ประเทศสเปน เพิ่งจะจัดใหญ่เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ 2019 Versys 1000 โดยเฉพาะ เวอร์ชั่น SE ที่มาพร้อมกับองค์ประกอบใหม่ๆที่ได้รับการเสริมเข้าไป อาทิ Kawasaki Electronic Control Suspension หรือ KECS เป็นระบบที่พัฒนามาจากพื้นฐานการปรับระบบกันสะเทือนไฟฟ้าแบบ semi-active system ของ 2018 ZX10R-SE ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับค่าของระบบกันสะเทือนที่เหมาะสมกับการบรรทุกเช่น ขับขี่คนเดียว ขับขี่พร้อมสัมภาระ ขับขี่พร้อมสัมภาระและมีผู้โดยสาร Smooth Engine with Electronic Throttle Valves เครื่องยนต์มีความนุ่มนวลด้วยการควบคุมจังหวะเรือนลิ้นเร่งด้วยระบบไฟฟ้า ที่มาคู่กับ KQS หรือ ควิกชิพท์ซึ่งได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับรถในเวอร์ชั่น SE นี้ TFT Color Instrumentation ชุดแผงเรือนไลม์เป็นจอสีแบบ TFT ที่ได้ทำการลิ้งค์กับค่าโหมดต่างๆ โดยเฉพาะ Integrated Riding Modes ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับเซ็ทโหมดการขับขี่ได้ตามความเหมาะสม และในขณะเดียวกันก็สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ด้วย Smartphone Connectivity via Rideology the APP โดยมีการติดตั้งบลูทูธมากับเรือนไมล์ TFT ของรถซึ่งการสั่งงานบางอย่างสามารถจัดการผ่านแอพลิเคชั่น Rideology The APP ขณะที่ชิ้นส่วนบอดี้พาร์ทนั้นก็เป็น Bodywork with LED Headlights
และ Cornering Lights นี่ก็เป็นความพิเศษบางส่วนที่ทาง Kawasaki ติดตั้งมาใน Versys 1000 SE โมเดลล่าสุด โดยพื้นฐานเครื่องยนต์นั้นยังคงเป็นเครื่องยนต์สี่จังหวะแบบสี่สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ขนาด 1,043 ซีซี ที่มีมิติของกระบอกสูบxช่วงชัก อยู่ที่ 77×56 มม. มีอัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 10.3:1 มีกำลังเครื่องยนต์ 120 แรงม้าที่ 9000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 102 นิวตันเมตร ที่ 7500 รอบต่อนาที ขณะที่โครงสร้างแชสซีส์มาด้วยเฟรมอลูมินัมแบบ twin tube พร้อมกันสะเทือนหน้าเป็นฟอร์คแบบหัวกลับ inverted fork ขนาด 43 มม. ที่กล่าวไปแล้วว่ามาพร้อมกับ KECS ที่ควบคุม rebound และ compression damping และสามารถปรับค่าสปริงแบบแมนนวลได้ในส่วนของ spring preload และ top-out springs ขณะที่กันสะเทือนหลังนั้นมาเป็น BFRC lite shoc ซึ่ง KECS สามารถใช้ควบคุมการปรับ compression damping , rebound damping ซึ่งตัวรถนี้มีระยะยุบตัวที่ 150 มม. สำหรับล้อหน้าและ 150 มม. สำหรับล้อหลัง โดยที่ใช้ยางหน้าขนาด 120/70ZR17M/C กับยางหลังขนาด 180/55ZR17M/C โดยที่ระบบเบรกนั้นจะเป็นจานดิสก์คู่ Dual semi-floating ขนาด 310 มม. พร้อมคาลิเปอร์สี่สูบ monoblocแบบ Dual radial mount สำหรับชุดเบรกหน้าส่วนเบรกหลังนั้นเป็นจานดิสก์เดี่ยวขนาด 250 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบเดียวโดยได้ติดตั้ง ABS หรือ Anti lock Brake System มาให้อีกด้วยและความจุถังเชื้อเพลิงขนาด 21 ลิตร ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักอยู่ที่ 257 กก.
สำหรับ Versys1000SE ตัวนี้ต้องบอกว่าเป็นตัวท๊อปของไลน์การผลิตก็ว่าได้ นอกจากไฮไลท์ที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น เราจะมาดูเทคโนโลยีอื่นๆเพิ่มเติมที่มีติดตั้งมาใน Versys 1000 กันว่า Kawasaki ให้อะไรมากันบ้างกับไลน์ผลิตรถแอดเวนเจอร์ในซีรี่ส์ Versys 1000 นี้ KQS-Kawasaki Quick Shifter แน่นอนว่าเป็นควิกชิพท์ตามที่กล่าวไปแล้ว แต่สำหรับตัวที่ติดตั้งมานี้ของ Kawasaki จัดให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้ง up&down โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ Assist&Slipper Clutch เป็นพื้นฐานจากเทคโนโลยีรถแข่ง ที่ช่วยลดแรงในการบีบมือคลัทช์ให้เบาแรง KTRC หรือ Kawasaki Traction Control ถือว่าที่นำมาติดตั้งนี้เป็นเทคโนโลยีในส่วนของระบบ traction control ที่ทันสมัยสุดของ Kawasaki โดยจะมีการติดตั้งมาให้ สามโหมดการขับขี่ เช่นเดียวกับ Power Modes หรือโหมดควบคุมกำลังเครื่องยนต์ที่สามารถเลือกปรับใช้ค่าการส่งกำลังเครื่องยนต์ออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ขับขี่ที่หลากหลาย Electronic Cruise Control เป็นเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวกในการขับขี่ทางไกลเพื่อมีส่วนลดความตึงเครียดระหว่างเดินทางไกล ซึ่งระบบจะช่วยล็อคความเร็วระหว่างขับขี่ทางไกลให้กับผู้ขับขี่นั่นเอง

ก็ถือได้ว่านี่คือรถในระดับ Super Adventure ในระดับท๊อปจาก Kawasaki ที่บรรจุเทคโนโลยี่ชั้นนำมาเพื่อช่วยตอบสนองการขับขี่และให้ความสบายตลอดการเดินทาง เพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกสนุกสนานสะดวกสบายในทุกๆสภาพเส้นทางขับขี่ กับเจ้า inlinefour คันนี้ ซึ่งฉบับนี้ไรดิ้งเราก็ได้ไฟล์ภาพจากสเปนมาฝากกัน

FORZA300 Adventure Style#3

มาถึงสเต็ปที่สามของการคัสตอม FORZA300 Adventure Style ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก XADV รถจักรยานยนต์ออโตเมติกแอดเวนเจอร์ในค่ายเดียวกัน ซึ่งจากรูปทรงและสรีระที่ละม่ายคล้ายคลึงกัน ถึงแม้ FORZA300 จะดูหรูหราไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้ในทางออฟโรด แต่ก็พอที่จะใช้ไอเดียดีไซน์ออกมาได้

พูดถึงตัวรถกันก่อน FORZA300 รถจักรยานยนต์ออโตเมติก เครื่องยนต์ความจุ 300 ซีซี สูบเดี่ยว 4 จังหวะ ที่ออกมาเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ใช้งานที่สะดวกสบาย รูปทรงดูหรูหรา และมีฟิคเจอร์ทันสมัยรองรับ เรื่องของสมรรถนะที่มีความนุ่มนวลด้วยระบบการขับเคลื่อนแบบสายพาน ให้อัตราเร่งที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และเน้นเรื่องความประหยัดด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่หนึ่ง และตอน ที่สอง กับตัวรถเดิมๆ ที่เพิ่มเติมอุปกรณ์อะไหล่แต่งต่างๆ จากผู้สนับสนุน GTR และ Gazi ก็พอที่จะสร้างกระแสให้น่าติดตาม
ได้ไม่น้อยสำหรับชาวสองล้อออโตเมติก เริ่มเห็นความแตกต่างในจุดที่ดีไซน์และออกแบบดัดแปลงใหม่ ชุดแฮนด์เดิ้ลบาร์ที่ใช้แผงคอตัวบนของ PCX150 เชื่อมตัดดัดแปลงประกบเข้ากับแฮนด์ Fatbar ทรงต่ำ ซับเพนชั่นหลังโช้คอัพหลังระบบคอยล์สปริงน้ำมัน ปรับพรีโหลดและรีบาวด์ได้ และเพิ่มเติมของแต่งเล็กๆ น้อยๆ แผ่นรองฟุตบอร์ดกันลื่น การ์ดคาลิเปอร์ ก้านเบรกแบบขาพับ พักเท้าคนซ้อน เพิ่มความโดดเด่น และเป็นอีกหนึ่งแนวทางให้กับผู้ที่ชื่นชอบในการแต่งรถจะได้มีแรงบันดาลใจกล้าที่จะออกมาแต่งรถของตัวเองบ้าง
ส่วนการปรับแต่งในสเต็ปที่สาม ครั้งนี้ อัพเลเวลขึ้นอีกขั้น และก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาซะด้วย ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ในเรื่องของการดัดแปลงช่วงล่างที่ต้องคำนึงถึงความแข็งแรง และความปลอดภัยในการใช้งานได้จริง จากวงล้อแม็กสแตนดาร์ดติดรถจับขึ้นแท่นเครื่องกลึงตัดเอาก้านแยกออกเหลือไว้เพียงดุมและขอบวงล้อ เก็บเนื้องานพื้นผิวให้เรียบ จากนั้นก็เข้าสู่ขบวนการคำนวณจุดยึดซี่ลวด ที่ต้องมีความแม่นยำ และต้องหลบจุดยึดจานดิสก์เพื่อขึงซี่ลวดจากดุมไปยังขอบวงล้อที่ไม่ได้อยู่ตรงกลางของหน้ากระทะ
และวงล้อหลังดุมล้อเยื้องศูนย์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะร้อยซี่ลวดให้สมบูรณ์ต้องคำนวณให้ตรงทั้งหมด 36 ซี่ มาตรฐานทั่วไป ส่วนยางที่รัดขอบก็ใช้ดอกยางแบบกึ่งออฟโรด แต่ด้วยขนาดที่หาได้ยากและราคาค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นไอเดียของคนไทยก็ใช้ยางเดิมๆ ติดรถ และใช้ช่างผู้ชำนาญงานเรื่องของการแกะดอกยาง ออกแบบลายดอกยางใหม่ให้เหมาะสำหรับการขับขี่ทั้งออนโรด และออฟโรด เครื่องยนต์ออโตเมติกที่ให้ความสะดวกสบาย ขับขี่ง่าย เพิ่มความเร้าใจด้วยเสียงเครื่องยนต์ความทุ้มนุ่มลึก เพียงเปลี่ยนปลายท่อสลิปออนสแตนเลสคอยล์สปริง ไม่ต้องไปอัพเกรดแรงม้าเพื่อรักษาสมรรถนะของเครื่องยนต์ให้ใช้งานได้นาน แต่งหล่อและเสียงเพราะก็พอแล้ว

ยังเหลืออีกหนึ่งสเต็ปในการคัสตอม เป็นการเก็บรายละเอียดชิ้นงานอลูมินัม และการเปลี่ยนโช้คอัพหน้า รวมไปถึงลวดลายสีสันที่จะต้องแรพทั้งคัน เพราะฉะนั้นติดตามกันในฉบับหน้าว่า FORZA300 Custom Adventure Style จะออกมาหน้าตาสวยขนาดไหน