2022 Suzuki Burgman400

มาตรฐานค่าไอเสีย Euro5 5 ถูกบังคับใช้กับรถจักรยานยนต์ที่จะจำหน่ายในยุโรปทุกคัน และ Suzuki Burgman400 ที่แม้จะจัดอยู่ในประเภทสกู๊ตเตอร์ก็ไม่พลาดที่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้เช่นกัน ดังนั้นโมเดลล่าสุดของสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางอย่าง Burgman400 จึงต้องรับการปรับเสริมเติมแต่งเพื่อให้อยู่ในมาตรฐานไอเสียดังกล่าว เพื่อที่จะวางจำหน่าย ดังนั้น 2022 Suzuki Burgman จึงได้รับการจัดการ”ใหม่” ในส่วนของเครื่องยนต์ และ ระบบอิเล็คทรอนิคส์ แน่นอนว่า ไม่ใช่เพียงเหตุผลเรื่องของมลภาวะ ที่ต้องได้มาตรฐานไอเสียเท่านั้น แต่โลกแห่งวงการยนตรกรรมในปัจจุบันนั้น “ไม่สามารถหยุดนิ่งได้” เช่นเดียวกับที่ เจ้าสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง จากค่ายSuzuki ที่มีความเป็นมาต่อเนื่องนานนับทศวรรษ ก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนาสายพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยามการพัฒนานั้น ถูกวางไว้ที่ การใช้งานอันหลากหลาย กล่าว คือ จะต้องตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้ครบถ้วน ไม่ว่า ใช้ในเมือง-ใช้ในการเดินทาง-ใช้ท่องเที่ยวเบาๆสบายๆ ด้วยแพล็ตฟอร์มของ สกู๊ตเตอร์

นี่คือขีดสุดของซีรีส์ ที่ Burgman400 ได้รับการพัฒนา จนออกมาเป็นโมเดลพร้อมจำหน่ายสำหรับปี 2022 จุดหลักที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ 16-hole fuel injectors ที่มาแทนที่ 10-hole injector แบบเดิม ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ได้ละอองเชื้อเพลิงที่ฉีดเข้าไปในห้องเผาไหม้นั้นมีขนาดเล็กลง หรือกล่าวคือฉีดเชื้อเพลิงเป็นฝอยละเอียดมากกว่าเดิม อันจะมีส่วนช่วยให้มีประสิทธิภาพในการผสมผสานกับอากาศที่ถูกส่งเข้าไปได้ง่ายขึ้นมากขึ้น และนั่นจะมีส่วนช่วยให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยเครื่องยนต์ DOHC ขนาด 399 ซี.ซี. ที่ได้มีการปรับองศาแคม new cam profiles และปรับจังหวะการจุดระเบิดใหม่ revised ignition timing ช่วยให้อัตราบริโภคเชื้อเพลิงนั้นลดลงจากเดิม

นอกจากนี้ 2022 Burgman400 ยังได้ใช้ฝาสุบใหม่แบบขั้วหัวเทียนคู่ new twin-plug cylinder head ที่หัวเทียนทั้งคู่จะทำการจุดระเบิดร่วมกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิดภายในห้องเผาไหม้ ดังนั้นในส่วนของลูกสูบจึงต้องมีการปรับใหม่ตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ภาพรวมของการพัฒนาเครื่องยนต์ในโมเดลใหม่นี้จึงได้มีการอัพเดทภายในเครื่องยนต์ด้วยเช่นกัน โดยได้กำหนดทิศทางเป้าหมายการพัฒนานี้ไปตรงที่ ความสมดุลในเรื่องของกำลังหรือแรงบิดของเครื่องยนต์ ที่เน้นไปในช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงต่ำถึงกลาง

อีกทั้งยังได้มีการปรับหรือพัฒนาประสิทธิภาพในเรื่องของการควบคุมจังหวะปิดเปิดของเรือนลิ้นเร่ง หรือการควบคุมคันเร่งให้มีการทำงานที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วสมรรถนะการส่งพลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ใหม่นี้จึงทำได้เรียบเนียนและเปี่ยมกำลังที่ทำได้อย่างสมดุล ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพที่ดีในด้านของ traction cotrol สำหรับในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์นั้น Burgman400 มาพร้อมกับโครงสร้างเฟรมแบบอันเดอร์โบน underbone frame ที่ใช้โครงสร้างขนาดใหญ่แข็งแรง แต่น้ำหนักเบา แม้จะเป็นท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ทว่าผนังชิ้นส่วนของท่อนั้นมีความบาง แต่ด้วยโครงสร้างการออกแบบก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับสมรรถนะที่มี

สำหรับรายละเอียดของแต่ละส่วนของ Suzuki Burgman400 ข้อมูลสเปคพื้นฐานของรถมีดังนี้
Engine ; 400cc (24.4 cu. in.), 4-stroke, liquid-cooled, single cylinder, DOHC
Bore x Stroke ; 81.0 mm x 77.6 mm
(3.189 in. x 3.055 in.)
Compression Ratio ; 10.6:1
Fuel System ; Fuel injection
Starter ; Electric
Lubrication ; Wet sump
Transmission ; CVT (automatic, centrifugal clutch)
Final Drive ; V-belt drive
Suspension Front ; Telescopic, coil spring,
oil damped
Suspension Rear ; Link type, single shock,
coil spring, oil damped
Brakes Front ; Disc brake, twin 260 mm, ABS-equipped
Brakes Rear ; Disc brake, single 210 mm, ABS-equipped
Tires Front ; 120/70-15M/C (56S), tubeless
Tires Rear ; 150/70-13M/C (64S), tubeless
Fuel Tank Capacity ; 13.5 L (3.6 US gal.)
Ignition ; Electronic ignition (transistorized)
Spark Plug ; NGK CR7EIA-9 or DENSO IU22D x 2
Headlight ; Dual LED (high- and low-beam, plus position lights)
Tail Light ; LED
Overall Length ; 2235 mm (88.0 in.)
Overall Width ; 765 mm (30.1 in.)
Overall Height ; 1350 mm (53.1 in.)
Wheelbase ; 1580 mm (62.2 in.)
Ground Clearance ; 125 mm (4.9 in.)
Seat Height ; 755 mm (29.7 in.)
Curb Weight ; 218 kg (481 lb.)

2022 Yamaha R-Series : Models celebrate Yamaha GP racing history

จากปี 1961-2021 นับว่าเป็นช่วงเวลาครบรอบ 60 ปี ของ Yamaha ที่ก้าวเข้าสู่การแข่งขัน ในระดับ World Grand Prix racing ซึ่ง Yamaha มักจะกล่าวเสมอว่าการแข่งขันนั้นฝังอยู่ใน DNA ของบริษัท นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทพวกเขาก็เริ่มพัฒนารถจักรยานยนต์ผ่านการแข่งขันในสนามแข่ง จนกระทั่งสามารถคว้าชัยชนะได้ครั้งแรกด้วยรถ YA-1 ที่ชนะในการแข่งขัน Mount Fuji ซึ่งพวกเขาเริ่มลงมือทำรถแข่งกันในวันที่ 1 ก.ค.1955 ก่อนจะลงแข่งและชนะในวันที่ 10 ก.ค. และนี่คือจุดกำเนิดที่ปลูกฝังแนวความคิดที่เป็นรากฐานในการให้ความสำคัญกับการแข่งขัน หลังจากเริ่มประสบความสำเร็จต่อเนื่องในญี่ปุ่น พวกเขาก็มองไปที่การแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งการแข่งขันครั้งแรกนั้นพวกเขาเลือกที่จะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา กับการชิงชัยที่ Catalina ในปี 1958 กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สามารถสั่งสมประสบการณ์ได้อย่างมากมาย กับความมุ่งมั่นพัฒนารถแข่งในขนาด 250 ซีซี จนในที่สุดก็ตัดสินใจจะนำรถแข่ง RD48 เข้าร่วมการแข่งขันในระดับ World Grand Prix ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งเก็บคะแนนสะสมของปี 1961 ซึ่งก็คือ การแข่งขันที่ฝรั่งเศส และนี่คือก้าวแรกของพวกเขาในเกมระดับโลก ที่ Yamaha ยังคงเดินหน้ามีส่วนร่วมมาจนถึงปัจจุบัน

จากการได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งแรกพวกเขาก็เกิดความมุ่งมั่นทันทีว่าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำของโลก และจะต้องมีศักยภาพพอที่จะพัฒนาเทคโนโลยีชั้นยอดให้กับผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ของตนเอง นับจากการเข้าร่วมครั้งแรกเพียงแค่สองปีถัดมา Yamaha ก็สามารถประสบความสำเร็จในการคว้าชัยชนะครั้งแรกในระดับ World Grand Prix ได้ในที่สุด เมื่อ Fumio Ito นำ RD56 ชนะใน Belgian Grand Prix

ในช่วงระยะเวลา 60 ปี พวกเขาร่วมการแข่งขันจนสามารถคว้าชัยได้มากกว่า 500 สนามที่ลงชิงชัยในระดับ GP สามารถครองแชมป์โลกประเภทนักแข่งได้ 38 ครั้ง ครองแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตได้ 7 ครั้ง รวมทั้งประเภททีมได้อีก 7 ครั้ง สำหรับโทนสีขาวแดงพร้อมกราฟฟิคที่เรียกว่า Yamaha speed block นี้ มีที่มาจากรถแข่ง 250 ซีซี ที่นักแข่งโรงงานอย่าง Phil Read ใช้ในปี 1964 ที่เปลี่ยนแฟริ่งเป็นสีขาว พร้อมมีแถบคาดสีแดง และใช้บังโคลนหน้าสีแดง โดยในปีนี้เอง พวกเขาสามารถประเดิมคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก “มันคือความพิเศษ” ของโทนสีขาวแดง และนับเป็นโทนสีที่มีพลังพิเศษในความรู้สึกของผู้คนในช่วงเวลานั้น จนกล่าวได้ว่ารถแข่ง Yamaha ในยุโรป นิยมใช้โทนสีนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่าสองทศวรรษ แม้กระทั่งมาถึงช่วงเวลาของนักแข่งในตำนานอย่าง Rainey และ Lawson ก็ยังคงเฉิดฉายด้วยสีขาวแดงเช่นกัน ดังนั้นในวาระครบรอบ 60 ปี ของ Yamaha ในการแข่งขัน Grand Prix racing พวกเขาจึงเลือกใช้โทนสีพิเศษนี้ กับรถในตระกูล R-Series เวอร์ชั่น 60th Anniversary

สำหรับ New R-Series World GP 60th Anniversary models ที่จะออกมาสำหรับจำหน่ายในปี 2022 นั้น จะประกอบด้วย R1 ; R7 ; R3 และ R125 โดยทั้งสี่รุ่น ของ World GP 60th Anniversary Models จากตระกูล R-Series นี้ จะมีไฮไลท์พื้นฐานเดียวกันคือ บอดี้หรือชิ้นแฟริ่งนั้นจะเป็นสีขาว พร้อมกราฟฟิค red speed block มีสัญลักษณ์ 60th Anniversary มีแถบสีแดงคาดบนถังน้ำมันและส่วนตูดมดหรือแฟริ่งท้าย บังโคลนหน้าสีแดง ทำแถบพื้นป้ายเบอร์หน้าสีเหลือง และวงล้อสีทอง ขณะที่แต่ละรุ่นก็จะมีดีเทลแยกย่อยกันไปตามสเปคของแต่ละรุ่น

R1 World GP 60th Anniversary : highlights
998cc, 200PS, crossplane, 4-cylinder engine
Highly advanced electronic control systems
6-axis IMU with Gyro/G sensors for 3D motion data
Power Delivery Modes (PWR)
Banking sensitive Traction Control (TCS) / Slide Control (SCS)
Quick Shift System (QSS)
Two-mode brake control (BC) cornering ABS
Three-mode Engine Brake Management (EBM) system
Ride-by-wire APSG throttle
Short wheelbase aluminium Deltabox frame
Upward truss type swingarm/magnesium rear frame
Magnesium wheels and 17-litre aluminium fuel tank
Thin Film Transistor (TFT) LCD instruments
M1-style bodywork

R7 World GP 60th Anniversary : highlights
Compact, high-torque, 689cc, CP2 crossplane technology engine
Ultra-compact design with pure R-Series DNA
Highly aerodynamic full fairing with aluminium lower cover
High specifi cation inverted 41 mm front forks
Link-type Monocross rear suspension with newly designed shock
A&S clutch
Lightweight tubular frame with aluminium centre brace for tuned chassis rigidity
Clip-on handlebars and lightweight rearsets with stylish heel guards
Sporty and adaptable tucked-in riding position
Aggressive R-Series twin-eye face with LED position lights
Powerful central LED headlight
Lightweight 10-spoke cast alloy wheels
Radial mount front brake calipers with Brembo radial master cylinder
Supersport cockpit design with full LCD instruments
Central M-shaped front air duct
Powerful 298 mm front and 245 mm rear brakes
Slimline 13-litre fuel tank with deeply sculpted knee indents
R-series style tail
120/70 front tyre, 190/55 rear tyre

2022 Triumph Speed Triple 1200RR

รถระดับพรีเมี่ยมชองผู้ผลิตจากอังกฤษอย่าง Triumph ได้พัฒนารถในซีรี่ส์ Speed Triple เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มีกลิ่นอายของสไตล์ cafe racer ที่มุ่งเน้นในด้านสมรรถนะ เพื่อความเป็นที่สุดของรถสปอร์ตสำหรับการใช้งานบนท้องถนน ultimate sports bike for the road ในรหัส 1200RR

นอกจากสมรรถนะในเรื่องเพอร์ฟอร์ม้านซ์ที่เกี่ยวเนื่องกับด้านพละกำลังเครื่องยนต์แล้ว คำหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการพัฒนานี้ก็คือ คำว่าการควบคุม อันนำมาซึ่งการติดตั้งอุปกรณ์ระดับพรีเมี่ยม อย่าง Ohlins Smart EC 2.0 electronically-adjustable semi active suspension ที่จัดว่าเป็นระบบกันสะเทือนในระดับบน ที่ให้ประสิทธิภาพ รวมทั้งความสบายและการควบคุมที่ดี ยางติดรถสเปคเยี่ยมที่มีสเปคระดับเดียวกับยางสนาม Pirelli Diablo Supercorsa V3 ที่จัดว่าเป็นยางที่ให้ความหนึบชั้นยอด ซึ่งเป็นยางที่พัฒนามาใช้กับท้องถนนด้วยสมรรถนะในระดับเดียวกับยางที่ใช้ในสนามแข่ง ที่เพียงพอสำหรับรองรับขุมพลังเครื่องยนต์แบบ triple หรือเครื่องยนต์สามสูบ ขนาด 1,160 ซีซี 177-180 แรงม้า

ภาพลักษณ์ที่ดุดันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของรถรหัส RR ด้วยแฟริ่งในระดับงานฝีมือชั้นดีที่โดดเด่นด้วยไฟหน้ากลมแบบดวงเดียวในสไตล์รถสปอร์ตฉบับผู้ดีอังกฤษ ที่สัมผัสได้ถึงการออกแบบชิ้นงานที่สวยงามในระดับพรีเมี่ยม เพิ่มเติมรายละเอียดด้วยชิ้นงานคาร์บอนไฟเบอร์ งานสีคุณภาพสูงด้วยเฉดสีแบบ twin colour schemes นอกจากชิ้นงานในระดับงานฝีมือของชิ้นส่วนแฟริ่งและองค์ประกอบต่างๆแล้ว ทางด้านเทคโนโลยีของ Speed Triple 1200 RR นี้ ยังได้ออกแบบปรับปรุงเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของ Triumph เองที่จัดอยู่ใน premium specification technology ที่นำมาใช้ในรถระดับสุดยอดของตน

อาทิ จอแสดงผลแบบ full colour 5” TFT ที่มาพร้อมกับระบบเชื่อมต่อ my triumph connectivity system อีกทั้งยังได้มีการติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ อย่าง cornering ABS กับ cornering traction control รวมทั้ง โหมดการขับขี่ five riding modes ที่ประกอบด้วย road,rain,sport,track,rider-configurableที่เป็นโหมดให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับเซ็ทได้เอง อีกทั้งยังติดตั้งควิกชิพ triumph shift assist up and down quickshifter และ advance front wheel lift controlที่ช่วยควบคุมจังหวะการยกของล้อหน้า

ENGINE & TRANSMISSION
Type Liquid-cooled, 12 valve, DOHC, inline 3-cylinder
Capacity 1160 cc
Bore 90.0
Stroke 60.8
Compression 13.2:1
Max Power EC 180 PS to 177 HP
Max Torque EC 125nm to 92 LB FT
System Multipoint sequential electronic fuel injection with electronic throttle control
Exhaust Stainless steel 3 into 1 header system with underslung primary silencer and side mounted secondary silencer
Final Drive X-ring chain
Clutch Wet, multi-plate, slip
Gearbox 6 speed
CHASSIS
Frame Aluminium twin spar frame,
bolt-on aluminium rear subframe
Swingarm Aluminium, single-sided
Front Wheel Cast aluminium, 17 x 3.5 in
Rear Wheel Cast aluminium, 17 x 6.0 in
Front Tire 120/70 ZR 17 (58W)
Rear Tire 190/55 ZR 17 (75W)
Front Suspension Öhlins 43mm fully adjustable USD forks, 120mm travel. Öhlins S-EC 2.0 OBTi system electronic compression / rebound damping
Rear Suspension Öhlins monoshock RSU with linkage, 120mm rear wheel travel. Öhlins S-EC 2.0 OBTi system electronic compression / rebound damping
Front Brakes Twin 320mm floating discs. Brembo Stylema monobloc calipers, OC-ABS, radial master cylinder with separate reservoir, span
Rear Brakes Single 220mm disc. Brembo twin piston caliper, OC-ABS. Rear master cylinder with separate reservoir
Instrument Display and Functions Full-colour 5”TFT instruments
DIMENSIONS & WEIGHTS
Width Handlebars 29.84 in (758 mm)
Height Without Mirror 44.1 in (1120 mm)
Seat Height 32.68 in (830 mm)
Wheelbase 56.65 in (1439 mm)
Rake 23.9 º
Trail 4.12 in (104.7 mm)
Dry Weight 438 Lbs
Tank Capacity 3.4 US gal (15.5 litres)
FUEL CONSUMPTION
Fuel Consumption 36.6 mpg (US gal)

 

“เคร็ก” ควบ YZ250F คว้าชัย 2 สนามติด ครองจ่าฝูง 250SX ฝั่งตะวันตก

คริสเตียน เคร็ก #28 ยังคงร้อนแรงภายใต้รถแข่งยามาฮ่า YZ250F บิดคว้าชัยรุ่น250SX เป็นสนามที่ 2 ติดต่อกัน จากเกมในสนาม 2 ศึกเอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส เก็บแต้มรั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทนักบิดฝั่งตะวันตก ด้านเพื่อนร่วมสังกัดเดินหน้าเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง

ศึกมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ เอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส แชมเปี้ยนชิพ 2022 สนามที่ 2 ของฤดูกาล ดวลความเร็วในวันเสาร์ที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา ณ ริงเซ็นทรัล โคลิเซียม เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา สำหรับการแข่งขันรุ่น250SX ยังคงเป็นการชิงชัยในฝั่งตะวันตก และเป็นทางด้าน คริสเตียน เคร็ก #28 ดาวบิดสังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ สตาร์ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ที่ยังคงอยู่ในผลงานอันยอดเยี่ยม ทะยานขึ้นเป็นผู้นำในรอบที่ 2 ก่อนจะรักษาตำแหน่งไว้ได้อย่างเหนียวแน่น คว้าแชมป์เป็นสนามที่ 2 ติดต่อกัน ส่วน เนต แทรชเชอร์ #49 ตามเข้าเส้นชัยในอันดับ 5
ด้าน อีไล โทแมค #3 และ ดีแลน เฟอร์รานดิส #14 คู่หูนักบิดจากมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ สตาร์ เรซซิ่ง ยามาฮ่า เดินหน้าเก็บแต้มในเกมรุ่นใหญ่อย่างต่อเนื่อง แท็กทีมซิ่งรถแข่งยามาฮ่า YZ450F จบการแข่งขันด้วยอันดับ 4 และ 6 ตามลำดับ จากการชิงชัยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จากผลงานระดับท็อปส่งผลให้ เคร็ก รั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทนักบิดรุ่น 250SX ฝั่งตะวันตก มีทั้งสิ้น 52 คะแนน ส่วน แทรชเชอร์ มี 29 คะแนนรั้งอันดับ 8 ขณะที่ โทแมค และ เฟอร์รานดิส รั้งอันดับ 6 และ 11 บนตารางแชมเปี้ยนชิพรุ่น 450SX เก็บไปได้ 36 และ 24 คะแนน ตามลำดับ
สำหรับการแข่งขันในสนามที่ 3 ศึกมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ เอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส แชมเปี้ยนชิพ 2022 มีคิวดวลความเร็วในวันเสาร์ที่ 22 มกราคม นี้ ณ เพตโก้ พาร์ค เมืองซานดิเอโก้ รัฐแคลิฟอร์เนีย

NEW SMASH Fi NEXT EDITION สีใหม่สุดมัน!!! ซูซูกิ สแมช เอฟไอ เน็ก อิดิชั่น “ดีไซน์ใหม่ ไปได้ทุกที่”

ถ้าพูดถึงรถจักรยานยนต์ครอบครัวที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างลงตัว พร้อมความทนทานที่ดีเยี่ยม หลาย ๆ คนต้องรู้จัก ซูฐกิ สแมช ที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน ล่าสุดซูซูกิได้ปรับแต่งให้ ชูซูกิ สแมช เอฟไอ โดนใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ได้รับการการันตีจากผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง

รยานยนต์ครอบครัวที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างสูงสุด กับดีไซนใหม่ล่สุด สวย เท่ ที่พร้อมจะพาคุณไปได้ทุกที่ พร้อมสีทูโทนใหม่ล่าสุด 4 สี 4 สไตล์ Thunder Smoke : สีเทา-เหลือง สปอร์ตทันสมัย ดึงดูดทุกสายตา Kabuki Black : สีดำ-ขาว คมเข้ม คุดัน Signature Blue : สีน้ำเงิน-เขียว สปอร์ต เร้าใจ สไตล์สปอร์ดไบค์ ชูซูกิ White-Burgundy : ขาว-แดง หรูหรา สวยงาม มีระดับ

อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ LEaP Technology ขนาด 112.8 ซีซี สมรรถนะเยี่ยม พร้อมกับระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอัจฉริยะ (FI) ด้วยเครื่องยนต์ขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเบา ลดการสูญเสียพลังงานเชิงกล และลดแรงเสียดทาน แต่ยังคงความแข็งแรง ทนทานตลอดการใช้งาน ผสานการส่งกำลังด้วยระบบเกียร์แบบโรตารี่ 4 ระดับ ให้แรงบิดที่ดีเยี่ยมในทุกอัตราเร่ง พร้อมประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดถึง 66.7 กิโลเมตร/ลิตร (ทดสอบภายใต้มาตรฐานไอเสียระดับ 7 โดยสถาบันยานยนต์) และสามารถใช้กับแก๊สโซฮอล์ E20 ได้อีกด้วย
โดดเด่นด้วยดีไชน์ ด้วยชุดไฟหน้าขนาดใหญ่สวยงาม ส่องสว่าง เพิ่มวิสัยทัศนในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมทั้งกลางวัน และกลางคืน หน้าปัดเรือนไมล์ขนาดใหญ่ อ่านง่าย ชัดเจน และแม่นยำ ที่มาพร้อมกับไฟบอกตำแหน่งเกียร์ และไฟสัญญาณอื่นๆ อย่างครบครัน พร้อมที่เก็บของใต้เบาะอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ สามารถใส่ของใช้ส่วนตัวได้มากมาย หรือจะใช้ใส่หมวกกันน็อคแบบครึ่งใบก็ได้ ล้อแม็กดีไซน์สปอร์ตแบบ 5 ก้าน*

สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย กับดิสก์เบรกหน้า* * ที่สามารถหยุดรถได้ดั่งใจ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบสตาร์ทมือ เพียงสัมผัส สตาร์ทติดง่ายหายห่วง* * * เพิ่มระบบความปลอดภัยแบบด้วยกุญแจนิรภัย 2 ชั้น**** ปลอดภัยทุกครั้งที่จอด สบายใจ ไร้กังวล ด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวยังมาพร้อมกับบาร์ท้ายอะลูมิเนียมทรงสปอร์ต ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง แข็งแรงทนทาน สวยงามด้วยกราฟฟิกดีไซนใหม่ สีส้นสดใส ได้ใจทุกคน ซูซูกิ สแมช เอฟไอ เน็ก อิดิชั่น ใหม่ ยังมาพร้อมกับทางเลือก ให้ทุกท่านได้เลือกใช้ถึง 4 เวอร์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่น
ดิสก์เบรก สตาร์ทมือ ล้อแม็ก (LE) / ดิสก์เบรก สตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด (LB) / ดรัมเบรก สตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด (IA) และดรัมเบรก สตาร์ทเท้า ล้อซี่ลวด (A) สามารถเลือกได้อย่างหลากหลายให้
หมาะกับการใช้งาน ขับขี่ง่ายทั้งครอบครัว ด้วยนิยาม “ดีไซน์ ใหม่ ไปได้ทุกที่”ทั้งนี้ ซูซูกิ ยังรับประกันทั้งคัน 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร และกล้ารับประกันอุปกรณ์ระบบหัวฉีด 5 ปี (หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง กล่องควบคุมเครื่องยนต์ ECM เซ็นเซอร์ตรวจวัดปริมาณออกชิเจน เซ็นเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิเครื่องยนต์ ชุดเรือนลิ้นเร่งและเซ็นเซอร์ภายในเรือนลิ้นเร่ง)

ท่านที่สนใจ ชูชูกิ สแมช เอฟไอ เน็ก อิดิชั่น ใหม่ สามารถพบกับตัวจริงได้ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซูซูกิ ทั่วประเทศ หรือ Facebook : Suzuki Society Thailand / Instagram : suzukisocietythailand / Website : www.suzukimotosales.co.th หมายเหตุ *เฉพาะรุ่น LE **เฉพาะรุ่น LE / LB ***เฉพาะรุ่น LE / LB / LA ****ยกเว้นรุ่น JA

New Suzuki Smash Fi
• รุ่นดรัมเบรก สตาร์ทเท้า ล้อซี่ลวด (JA)
ราคาแนะนำ 39,800 บาท
• รุ่นดรัมเบรก สตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด (LA)
ราคาแนะนำ 41,800 บาท
• รุ่นดิสก์เบรกหน้า สตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด (LB)
ราคาแนะนำ 43,800 บาท
• รุ่นดิสก์เบรกหน้า สตาร์ทมือ ล้อแม็ก (LE)
ราคาแนะนำ 45,800 บาท

KYMCO DT X360

น่าจะเป็นการออกมาควบปีเป็นโมเดล 2021-2022 เพราะบางประเทศเปิดตัวช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา ขณะที่บางประเทศเพิ่งเปิดเป็นโมเดลปี 2022 ในช่วงเดือนที่ผ่านมา รวมทั้งไฟล์ภาพชุดนี้ทางไรดิ้งเรานำมาให้ชมโฉมกันนี้ เป็นโมเดลปี 2022 ของอิตาลีที่เพิ่งจะกำหนดวางจำหน่ายพร้อมส่งไฟล์ประชาสัมพันธ์ออกมาล่าสุดนี้

ในเอกสารภาษาอิตาลีที่เราลองก้อปปี้แปลงใส่โปรแกรมแปลภาษาเบื้องต้น ระบุว่า นี่คือสกู๊ตเตอร์ในแนว adventure crossover ที่ถือว่าเป็นรถในคลาส maxi scooter หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่

ศึกมอนสแตอร์ เอเนอร์จี้ เอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส แชมเปี้ยนชิพ 2022 สนามถัดไป จะยกพลไปดวลความเร็วที่ ริง เซ็นทรัล โคลิเซียม เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 15 มกราคม นี้

“เคร็ก” คว้าชัย อานาไฮม์ เปิดหัว AMA Supercross “โทแม็ค” ประเดิมแต้ม ยามาฮ่า

“เคร็ก” คว้าชัย อานาไฮม์ เปิดหัว AMA Supercross “โทแม็ค” ประเดิมแต้ม ยามาฮ่า คริสเตียน เคร็ก #28 รีดฟอร์มเก่งควบ YZ250F คว้าชัย รุ่น250SX ในเกมนัดเปิดฤดูกาล ศึกเอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส 2022 ที่ อานาไฮม์ ด้าน อีไล โทแม็ค #3 ประเดิมสวยบิดคว้าแต้มรุ่นใหญ่ภายใต้สีเสื้อยามาฮ่า
ศึกมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ เอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส แชมเปี้ยนชิพ 2022 เปิดฉากดวลความเร็วนัดเปิดฤดูกาลในวันเสาร์ที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา ณ แองเจิ้ล สเตเดี้ยม เมืองอานาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในรายการอานาไฮม์ วัน โดยเป็นการชิงชัยฝั่งตะวันตก
สำหรับเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นผลงานระดับท็อปของ คริสเตียน เคร็ก #28 ดาวบิดเจ้าถิ่น สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ สตาร์ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ที่ไต่จากกริดที่ 3 ทะยานขึ้นเป็นผู้นำในรอบที่ 3 ก่อนจะควบรถแข่งยามาฮ่า YZ250F เข้าเส้นชัยเป็นคันแรก คว้าแชมป์รุ่น 250SX ไปครอง ส่วน เนท แทรชเชอร์ #49 ทีมเมทบิดจบเกมในอันดับ 12
ด้าน อีไล โทแม็ค #3 ประเดิมคว้าชัยภายใต้สีเสื้อค่ายยามาฮ่าในเกม รุ่น 450SX หลังบิดจบการแข่งขันด้วยอันดับ 6 ในเกมที่ อานาไฮม์ ขณะที่ ดีแลน เฟอร์รานดิส #14 ตามเพื่อนร่วมสังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ สตาร์ เรซซิ่ง ยามาฮ่า เข้าเส้นชัยในอันดับ 16
ศึกมอนสแตอร์ เอเนอร์จี้ เอเอ็มเอ ซูเปอร์ครอส แชมเปี้ยนชิพ 2022 สนามถัดไป จะยกพลไปดวลความเร็วที่ ริง เซ็นทรัล โคลิเซียม เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 15 มกราคม นี้

Honda Europe CB650Rs Custom

สำหรับรถทั้งสิบคันที่จะนำมาฝากกันนี้ เป็น CB650R ที่ได้รับการตกแต่งจากดีลเลอร์ต่างๆในยุโรป ที่ทาง Honda Europe ยกให้เป็น TOP10 โดยรถทั้งหมดนี้ได้ผ่านการพิจารณาคัดเลือกมาจากผลงานของดีลเลลอร์ฮอนด้า จากสเปน ฝรั่งเศส และ โปรตุเกส จากนั้นก็จะนำมาจัดแสดงในงาน Wheels&Waves และทั้งสิบคันนี้ได้นำเสนอบนเว็บไซต์ hondacustoms.com ซึ่งรถทั้งสิบคันนี้

CB650R HEDICION : จาก Motorsport Madrid, Spain ที่บอกว่า “รถ CB650R ของเรานั้นได้ออกแบบมาเพื่อนำเสนอถึงการก้าวผ่านข้อจำกัดระหว่างจิตวิญญาณของ Honda ในการที่จะทลายเส้นแบ่งระหว่างรถจักรยานยนต์กับ รถยนต์…..” เอาเป็นว่าสรุปสั้นๆจากคำกล่าวเวิ่นเว้อนี้ก็คือ พวกเขาเอาสีสันลวดลายของรถแข่ง 1966 Brabham Honda BT18 ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันน่าจะมีชื่อเสียงพอสมควรในยุโรปนั่นแหละ ก็เลยตกแต่งเจ้า inline4 cylinder engine อย่าง CB650R ด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ เน้นสีชิ้นส่วนดำและเหลือง พร้อมท่อเพิ่มสมรรถนะจาก Full Titanium Akrapovic เป็นต้น

CB650R AKIRA : จาก Hakuba Motor Santander,Spain ไม่ว่าจะเป็นจุดเล็กน้อยบนตัวรถในแต่ละเจเนอเรชั่นของรถตระกูล CB ที่ผลิตออกมาถือได้ว่านี่คือการพัฒนา อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น คอนเซ็ปต์ของการออกแบบนี้จึงอยู่ที่คำว่า Kaizen ตามความหมายในภาษาญี่ปุ่นก็คือ การพัฒนา ดังนั้นจึงมีการนำชิ้นส่วนที่ทันสมัยมาช่วยเสริมคุณค่าให้กับตัวรถและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่างๆ และได้เสริมสมรรถนะด้วยปลายท่อ Titanium Arrrow CB650R CAFE RACER : จาก Blanmoto Honda Girona Spain ด้วยพื้นฐานของ CB650R ได้ถูกนำมาตกแต่งเพิ่มเติมด้วยการผสมผสานกลิ่นอายของ Strem Punk กับ Cafe Racer จนทำให้ภาพลักษณ์เดิมๆสแตนดาร์ดนั้นแตกต่างจากเดิมมีสีสันมากขึ้นด้วยชิ่นส่วนจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Puig PSR , Rizoma บวกกับการตกแต่งเสริมด้วยงานฝีมือ และการเก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยในแต่ละส่วน และปิดท้ายด้วยปลายท่อจาก Arrow

CB650R FENIX : จาก Mototrofa Honda Trofa ,Portugal หลังจากไฟไหม้ในปี 2019 พวกเขาก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา และทีมงานก็ได้รับโจทย์งานชิ้นนี้มาทำน่าจะเป็นชิ้นงานแรกของดีเลอร์ที่ชื่อ Mototrofa Honda ดังนั้นเมื่อนึกถึงความเสียหายของบริษัทที่เกิดขึ้นพวกเขาจึงให้คำจำกัดความของชิ้นงานนี้ว่า การฟื้นคืน นั่นก็พ้องกับนกฟินิกซ์ ที่กลับคืนชีวิตหลังเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน ด้วยชิ้นส่วนที่มีในฐานะดีลเลอร์พวกเขามุ่งเน้นที่จะตอบสองคำจำกัดความที่ว่านี้ ด้วยพื้นฐานเดิมของ CB650R จึงได้ผสมผสานกับชิ้นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการนำ สวิงอาร์มเดี่ยวพร้อมล้อหลังจาก VFR750 และล้อหน้าจาก CBR900RR FireBlade ซึ่งมาจากรถรุ่นเก่าระดับตำนานหน้าหนึ่งของ Honda มาผสานกับรถสมัยใหม่อย่าง CB650R โมเดลล่าสุด เมื่อเสริมแต่งด้วยรายละเอียดต่างๆและเก็บงานด้วยโทนสีตามที่กำหนดไว้ จึงได้งานตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ CB650R FOUR : จาก Sagaz Honda Toulouse,France เป็นคอนเซ็ปต์ง่ายๆในการออกแบบนั่นก็คือ การระลึกถึงความสำเร็จในการแข่งขัน EndurancE24Hours ของ Honda โดยเฉพาะ รถแข่ง RCB1000 ในปี 1976 เสียดายที่ไม่มีไฟล์ส่งมาพร้อมกับเอกสารชุดนี้ แต่ถ้าสนใจก็ลองเสิร์ชไปตามเว็บไซต์ที่เราพูดถึงไปก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน

CB650R WHITE EDITION :จาก 3C Motos,Anglet,France ง่ายๆสำหรับรถคันนี้ก็คือ การอาศัยรูปแบบมาจาก CB1000R Black Edition ที่ออกมาในยุโรปเมื่อปี 2019 ดังนั้นทางดีลเลอร์รายนี้ จึงอยากจะทำภาพสะท้อน ของ CB1000R Black Edition ออกมาภายใต้รูปลักษณ์ของ CB650R แต่ เปลี่ยนจากความมืดมน มาเป็นความสว่างสดใสในแบบ WHITE EDITION แทน
CB650R BMX :จากWerther,Nice,France สนุกสนานและมีสไตล์ คล้ายกับการปั่นจักรยาน BMX เอาเป็นว่าสรุปสั้นๆก็คือคอนเซ็ปต์นี้ถอดมาจากความสนุกสนานความเท่เหมือนวัยเด็กที่กำลังสนุกสนานกับจักรยาน BMX และการที่ CB650R นี้จะสนุกสนานในแบบเดียวกับการขี่ BMX ได้นั้น พวกเขาก็ตีโจทย์ไปที่การออกแบบตกแต่งให้ออกมาเป็นรถสำหรับสตั๊นท์ จนในที่สุดก็ได้ CB650R BMX คันนี้

CB650R KarbOne Edition :จาก AZ Moto Rouen,France รถจักรยานยนต์รุ่นหนึ่งที่พวกเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ก็คือ 1969CB750Four หรือ K0 ดังนั้นโปรเจ็คของพวกเขาจึงเรียกว่า CB650R KarbOne Edition ด้วยการเลือกใช้โทนสี metalic gold ผสานกับการใช้ชิ้นส่วนวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ขณะที่วงล้อได้รับการสนับสนุนจาก Evo-X Racing ที่มาพร้อมกับยาง Dunlop ขณะเดียวกันก็เลือกใช้ชิ้นส่วนพิเศษสำหรับตกแต่งจาก Puig ผสมกับชิ้นงานบางส่วนที่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ CB650R FLAT TRACKER :จาก AND Motos ,Cognac,France คงไม่ต้องขยายความอะไรมากกับผลงานชิ้นนี้ที่มีความตั้งใจจะตกแต่งออกมาให้มีความเป็นรถในแบบ flat track โดยจบงานด้วยการเสริมสมรรถนะด้วยชุดท่อเสีย twin-muffler titanium Arrow full exhaust system

CB650R FOUR Limited Edition :จาก Espace Motos,Angers,France นี่ก็ความพยายามที่จะเติมกลิ่นอายความคลาสสิคของรถระดับตำนานอย่าง CB750Four มาสู่รถสมัยใหม่ในสไตล์ Neo Sports Cafe จนกลั่นกรองออกมาเป็น CB650R Four Limited Edition คันนี้ ก็ผ่านกันไปกับการตกแต่งจากดีลเลอร์ Honda ในยุโรป ที่ทั้งลงมือเองและจับมือกับสำนักแต่ง สำหรับรายละเอียดปลีกย่อยแต่ละคันก็สามารถตามเข้าไปดูตามเว็บที่เราลงชื่อตั้งแต่ต้นนั่นแหละ

Ducati Desert Sled Fasthouse

จำกัดการผลิตในแบบ limited edition ไว้ที่ 800 คัน สำหรับเวอร์ชั่นล่าสุดของครอบครัว Scrambler ที่ได้แตกแขนงย่อยออกมาเป็นรุ่น Scrambler Desert Sled ในช่วงปีที่ผ่านมา ก็ออกจำหน่ายไปตามปกติ ทีนี้ก็มีเหตุให้ต้องออกเป็นเวอร์ชั่นพิเศษลงไปอีกเมื่อปีที่แล้ว

เจ้า Ducati Scrambler ชนะในการแข่งขันประเภทออฟโรดในสหรัฐอเมริกา 2020 America Off Road Race ที่ชื่อรายการว่า Mont400 ในรุ่น Hooligan class ว่ากันว่าเป็นรายการเก่าแก่ต่อเนื่องของคนอเมริกันนั่นแหละ ดังนั้นไหนๆก็ลุยตลาดอเมริกาอย่างเต็มตัวก็เลนถือโอกาสนำเจ้า Ducati Scrambler ผลิตเวอร์ชั่นพิเศษออกมาซะเลย และนี่ก็คือที่มาของ Ducati Scrambler Desert Sled Fasthouse ที่จำกัดจำนวน 800 คัน เงื่อนไขการผลิตรุ่นนี้คือ “ทุกอย่าง” ต้องเป็นไปตามสเปคเดียวกับตัวที่ใช้แข่ง ดังนั้น CEO ของ Ducati ก็เลยเจรจาให้ Kenney Alexander ผู้ก่อตั้งและประธานของแบรนด์หรือค่าย Fasthoust จัดการภาระกิจนี้ ดังนั้น Ducati Scrambler Desert Sled จึงถูกมอบหมายโดยตรงให้สำนักงานใหญ่ของ Fasthouse ในแคลิฟอร์เนีย จัดหา
อุปกรณชิ้นส่วนสำคัญเพื่อนำมาใช้ในการปรับแต่งเสริมเติมให้เป็นรถรุ่นพิเศษดังกล่าวนี้

เริ่มต้นด้วยพื้นฐานของ Ducati Scambler Desert Sled ก็ได้รับการปรับเสริมเพื่อทำให้ออกมาเป็น Fasthouse Edition ที่มีความเหมือนหรือใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นที่ใช้ในสังเวียนการแข่งขันมากที่สุด แม้กระทั่งลวดลายกราฟฟิคแทบทุกจุดก็ถอดแบบมาจากตัวแข่งที่ใช้ใน Mont400 ด้วยโทนสีดำเทาเป็นหลัก ขณะที่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆนั้นล้วนเก็บรายละเอียดแบบเดียวกับรถแข่งดังกล่าว น่าจะเรียกได้ว่าเป็นงานในแบบเรพลิก้า ส่วนบนถังน้ำมันได้มีการติดโลโก้ Fasthouse คู่กับ Ducati Scrambler ในแต่ละคันจะมีเพลทอลูมิเนียมรันจำนวนหมายเลขการผลิตติดไว้

Ducati Scrambler Desert Sled Fasthouse มีขุมพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 803 ซีซี ที่ยังคงสเปคเดียวกับ โมเดล Desert Sled จะมีปรับเปลี่ยนที่แตกต่างไปนั้นก็คงจะเป็นในส่วนของ สวิงอาร์ม ชุดแผงคอ Triple clamps และระบบกันสะเทือน ที่มีการเก็บรายละเอียดและอัพเกรดสเปคเพื่อให้เมาะสมกับการแข่งขัน เงื่อนไขสเปคดังกล่าวจึงถูกนำมาบรรจุไว้ในโมเดลที่จะผลิตขายทั้ง 800 คันนี้ ดังนั้นตำแหน่งท่านั่งขณะขับขี่จึงอาจจะแตกต่างไปบ้างกับรถเดิมของ Scrambler Desert Sled เบาะนั่งที่ปรับเปลี่ยนไป มีควมสูงของตำแหน่งนั่งขับขี่อยู่ที่ 860 มม. ขณะที่ระบบกันสะเทือน adjustable Kayaba suspension นั้น มีระยะยุบตัวที่ 200 มม. พักเท้าได้ถอดแผ่นยางออกเพื่อให้รองรับกับความต้องการการขับขี่ในแบบออฟโรด วงล้อเป็นสีดำ ขนาด 19 นิ้ว กับ 17 นิ้ว สำหรับล้อหน้าและหลัง ตามลำดับ ถูกจับคู่กับยาง Pirelli Scorpion Rally Tyres ขนาด 120/70 R19 M/C 60V M+S TL และ 170/60 R17 M/C 72V M+S TL

พร้อมกันนี้ยังมีคอลเล็คชั่นเสื้อผ้าจาก Fasthouse ออกมาจำหน่ายควบคู่กันอีกด้วย รายละเอียดมีไม่มากนักจากไฟล์ที่ได้รับก็เอาเป็นว่า นี่คือ Desert Sled Fasthouse เวอร์ชั่นพิเศษที่ผลิตจำนวนจำกัด จากตระกูล Ducati Scrambler ซึ่งสเปคพื้นฐานที่จะลงต่อไปนี้เป็นสเปคของ Ducati Scrambler Desert Sled ซึ่งเป็นตัวตั้งเริ่มต้นที่ใช้ในการนำไปปรับแต่งเป็นโมเดลพิเศษนี้

ENGINE
TYPE L-Twin, Desmodromic distribution,
2 valves per cylinder, air cooled
DISPLACEMENT 803 cc
BORE X STROKE 88 x 66 mm
COMPRESSION RATIO 11:1
POWER 73 hp (53,6 kW) 8250 rpm/min
TORQUE 48,8 lb-ft (66,2 Nm) @ 5750 rpm
FUEL INJECTION Electronic fuel injection,
50 mm throttle body
EXHAUST Stainless steel muffler with catalytic converter and 2 lambda probes,
aluminium tail pipes

TRANSMISSION
GEARBOX 6 speed
RATIO 1=32/13  2=30/18  3=28/21  4=26/23  5=22/22  6=24/26
PRIMARY DRIVE Straight cut gears, Ratio 1,85:1
FINAL DRIVE Chain, front spocket 15,
rear sprocket 46
CLUTCH Hydraulically controlled slipper and self-servo wet multiplate clutch

CHASSIS
FRAME Tubular steel Trellis frame
FRONT SUSPENSION 46mm fully adjustable usd forks
FRONT WHEEL Spoked aluminium wheel 3,00″ x 19″
FRONT TYRE Pirelli SCORPION™ RALLY STR 120/70 R19
REAR SUSPENSION Kayaba rear shock, pre-load and rebound adjustable. Aluminium double-sided swingarm
REAR WHEEL 200 mm
REAR TYRE Spoked aluminium wheel 4,50″ x 17″
WHEEL TRAVEL (FRONT/REAR) Pirelli SCORPION™ RALLY STR 170/60 R17
FRONT BRAKE Ø330 mm disc, radial 4-pistoncalliper with Bosch Cornering ABS as standard equipment
REAR BRAKE Ø245 mm disc, 1-piston floating calliper
with Bosch Cornering ABS as standard equipment
INSTRUMENTATION LCD
DIMENSIONS AND WEIGHTS
DRY WEIGHT 193 kg (425,5 lb)
KERB WEIGHT* 209 kg (460,8 lb)
SEAT HEIGHT 860 mm (33,9 in) – low seat 840 mm (33,0 in) available as accessory
WHEELBASE 1.505 mm (59,3 in)
RAKE 24°
TRAIL 112 mm (4,4 in)
FUEL TANK CAPACITY 13,5 l – 3,57 gallon (US)

 

NEW Yamaha MT-03 DARK BLAST สปอร์ตเน็กเก็ดที่สุดในคลาส 300… สีใหม่ สุดเร้าใจ!!!

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ปลุกกระแสความเร้าใจครั้งใหม่!!! ด้วยสปอร์ตเน็กเก็ดที่สุดในคลาส 300 พร้อมปล่อย “NEW YAMAHA MT-03 DARK BLAST” ที่มาพร้อมกับสีสันใหม่ 2 สี 2 สไตล์ สุดเร้าใจ!!! มาพร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ตามสไตล์ MT-Series ที่อัดแน่นด้วยฟีเจอร์สุดล้ำสมัย และเต็มเปี่ยมด้วยสมรรถนะที่พร้อมตอบสนองผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มอารมณ์ตามแบบฉบับ The Dark Side of Japan

สำหรับ “NEW YAMAHA MT-03 DARK BLAST” ยังคงโดดเด่น สะดุดตา เท่ ดุดัน ตามสไตล์ MT-Series ด้วยชุดไฟหน้า FULL LED แบบ TWIN-EYES และเทคโนโลยี MONO FOCUS LED ที่ใช้ในรถ Big Bike ให้ความสว่างชัดทุกระยะการขับขี่, ถังน้ำมันรูปทรงใหม่ ดีไซน์เพิ่มความเท่ ดุดัน สไตล์ Big Bike สะท้อนเอกลักษณ์ MT-Series ที่ให้ความกระชับในการขับขี่ยิ่งขึ้น และเพิ่มภาพลักษณ์สุดหรูที่มาพร้อมกับความเร้าใจด้วยโช้คหน้า TELESCOPIC แบบ UPSIDE DOWN ที่ช่วยให้สมรรถนะการขับขี่ การทรงตัว การซับแรงสั่นสะเทือนที่ดีขึ้นทั้งในช่วงทางตรงและทางโค้ง พร้อมหยุดรถได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์ด้วยระบบเบรก ABS

นอกจากนี้ NEW YAMAHA MT-03 DARK BLAST ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สุดล้ำสมัย ด้วยเรือนไมล์หน้าจอใหม่แบบ Full LCD โดดเด่น เห็นชัดครบทุกฟังก์ชัน, ไฟเลี้ยวแบบ LED ดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยว คมชัด แบบเดียวกับที่ใช้ในรถ Big Bike อีกทั้งยังคงตอบสนองผู้ขับขี่ได้อย่างสนุกสุดเร้าใจ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์แบบ DOHC 2 สูบ 8 วาล์ว ขนาด 321 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่พร้อมตอบสนองในทุกจังหวะการบิดคันเร่งให้ความเร้าใจในทุกเส้นทางการขับขี่

สำหรับ NEW YAMAHA MT-03 DARK BLAST มาพร้อมกับสีสันใหม่ 2 สี 2 สไตล์ดาร์คสุดเท่ นั่นคือ “สีเทา – Pastel Dark Grey” ที่ให้ความรู้สึกสุขุมลุ่มลึกด้วยถังน้ำมันสีเทาพาสเทลที่ตัดกับวงล้อสีส้มสุดเร้าใจ และ “สีน้ำเงิน – เทา Deep Purplish Blue Metallic” ที่บ่งบอกความเป็นสปอร์ตเนคเก็ตได้อย่างแท้จริงด้วยโทนสีน้ำเงินทั้งถังน้ำมันและล้อแม็ก พร้อมราคาแนะนำที่ 187,700 บาท

โดยสามารถเป็นเจ้าของ “NEW YAMAHA MT-03 DARK BLAST” สปอร์ตเน็คเก็ดที่สุดในคลาส 300…สีใหม่ สุดเร้าใจ!!! ตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 หรือติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่ www.yamaha-motor.co.th

MV AGUSTA RUSH

ข้อความสั้นๆที่ MV AGUSTA ให้ความจำกัดความถึง RUSH ก็คือ The most extreme naked of all time นั่นหมายความว่า MV AGUSTA Rush คือรถที่น่าตื่นเต้นเร้าใจทุกๆการขับขี่ แน่นอนว่าทุกๆองค์ประกอบที่จะทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่สุดในรถพิกัดเดียวกัน ประเภทเดียวกัน คือต้องไม่ธรรมดา

ไฮไลท์สำคัญของการออกแบบรถรุ่นนี้ คือเน้นความโดดเด่น ความแข็งแกร่ง ดังนั้นรถรุ่นนี้จึงเป็นรถของคนที่ต้องการความโดดเด่น สะดุดตาเหนือผู้อื่น และไม่แคร์สายตาใคร
Feel the power of sound คือไฮไลต์หนึ่งของรถรุ่นนี้ ด้วยเสียงที่ทรงพลังที่แผดออกมาคือส่วนหนึ่งของการแสดงถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์ inline-four cylinder engine ที่ต่อยอดมาจาก Brutal1000RR ที่มีอานิสงค์มาจากเทคโนโลยีของรถแข่ง F1 นำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบรถจักรยานยนต์ ดังนั้นสมรรถนะพื้นฐานของ MV AGUSTA RUSH จึงอยู่ที่ 208 แรงม้า และสามารถอัพเป็น 212 แรงม้า ด้วยชุดคิทสำหรับการขับขี่ในสนามปิด ในส่วนของเครื่องยนต์นี้ได้รับการอัพเกรดพื้นฐานเพิ่มเติมจากเดิม ด้วย new sintered valve guides และ DLC coated tappets เพื่อลดค่าความเสียดทาน new cam profiles timing เพื่อที่จะเน้นในส่วนของการให้ค่าแรงบิดที่ดีในบางช่วงรอบการทำงานเครื่องยนต์ และยังคงมีการปรับแต่งท่อไอสียในส่วนของ exhaust collector ขณะที่วัสดุไททาเนียมนั้นยังคงเดิม สำหรับชิ้นส่วนของ 16 radial titanium valves titanium connecting rods นอกจากสมรรถนะที่ดีขึ้นแล้ว เครื่องยนต์ยังอยู่ภายใต้มาตรฐานไอเสีย Euro5 อีกด้วย

หัวใจของความสมบูรณ์แบบน่าจะมีส่วนสำคัญมาจากระบบอิเล็คทรอนิคส์ ที่คอยจัดการและควบคุมระบบต่างๆของตัวรถ ซึ่งใน MV AGUSTA RUSH สามารถนิยามถึงระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่มีนี้ว่า More complete electronics ด้วยการอัพเกรดทุกๆระบบอิเล็คทรอนิคส์ยกระดับไปในขั้นที่สูงขึ้นกว่าที่เคยใช้มาในตลาดของ MV AGUSTA และใน RUSH ยังได้รับการติดตั้ง New IMU inertial platform ที่จะคอยตรวจวัดค่าต่างๆ ตามตำแหน่งการเคลื่อนไหวจริงในแต่ละช่วงเวลาขณะนั้นของตัวรถ พร้อมส่งข้อมูลที่ตรวจวัดได้เข้าสู่ ECU แม่นยำ หากลิสต์รายละเอียดของระบบและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับส่วนของระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่มีใน RUSH ก็จะได้แก่ NEW ABS MK100 CONTINENTAL MODULE WITH CORNERING FUNCTION FOR CONSTANT SAFETY EVEN IN CURVES NEW INERTIAL PLATFORM NEW COLOUR 5.5” TFT DASHBOARD MOBISAT TRACKER , GPS AND BLUETOOTH MV RIDE APP NAVIGATOR INTEGRATED IN THE DASHBOARD FULL LED LIGHTING FRONT LIFT CONTROL LAUNCH CONTROL CRUISE CONTROL NEW EAS 3.0 ELECTRONIC GEAR SENSOR

โดยทั่วไประบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ควบคุมการหมุนของล้อจะตัดเมื่อกำลังเครื่องยนต์ส่งออกมามากจนเกินควรเพื่อป้องกันความปลอดภัยขณะขับขี่ แต่สำหรับ FLV wheelie control นั้น จะควบคุมความเหมาะสมให้ผู้ขับขี่สามารถรับประสบการณ์อย่างเต็มที่ ไม่ว่ากำลังเครื่องยนต์ที่ถูกส่งออกมานั้นจะมากเพียงใดจากการเปิดคันเร่งจนล้อหมุนฟรีมากเกินไป ระบบนี้จะยังคงปล่อยให้กำลังที่มีมากนั้นทำงานต่อไป เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถรับความตื่นเต้น ความท้าทายได้อย่างสุดขีด โดยระบบจะช่วยควบคุมความเหมาะสมของกำลังที่ถูกส่งออกมา แต่จะไม่ตัดกำลังที่มีมากเกินไปนั้นแต่อย่างใด เช่นเดียวกับระบบเบรก ABS จะมีส่วนช่วยในจังหวะการเบรกขณะเข้าโค้ง โดยระบบจำคำนวณตามองศาการเอียงของรถขณะอยู่ในโค้งเพื่อช่วยให้ ABSทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในส่วนของจอเรือนไมล์ TFT จะบอกข้อมูลที่จำเป็นอย่างเมาะสมผ่านหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วได้เป็นอย่างดีแล้ว ผู้ขับขี่สามารถเชื่อต่อ MV RIDE app อีกทั้งยังควบคุม ต่อเชื่อมกับสมาร์ทโฟน ที่สามารถทำงานผ่านหน้าจอนี้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับสเปคพื้นฐานของตัวรถมีดังนี้
ENGINEType: Four cylinder, 4 stroke, 16 valve ,D.O.H.C
Total displacement : 998 cm3 (60.9 cu. in.)
Compression ratio : 13.4:1
Starting : Electric
Bore x stroke : 79 mm x 50.9 mm (3.1 in. x 2.0 in.)
Max. power – r.p.m. (at the crankshaft) : 153,0 kW (208 hp) at 13.000 r.p.m.
Max. torque – r.p.m. : 116,5 Nm (11,9 kgm) at 11.000 r.p.m.
Cooling system : Cooling with separated liquid and oil radiators
Clutch Wet : multi-disc with back torque limiting device and Brembo radial pump/lever assembly
Transmission : Cassette style; six speed, constant mesh
Primary drive : 48/82
Final drive ratio : 15/41
Voltage : 12 V
Alternator : 350 W at 5.000 r.p.m.
Battery : Li-ion 12 V – 4.0 Ah
Wheelbase : 1.415 mm (55.71 in.)
Overall length : 2.080 mm (81.89 in.)
Overall width : 805 mm (31.69 in.)
Saddle height : 845 mm (33.27 in.)
Min. ground clearance : 141 mm (5.55 in.)
Trail : 97 mm (3.82 in.)
Dry weight : 186 kg (410.06 lbs.)
Fuel tank capacity : 16 l (4.23 U.S. gal.)
Maximum speed* : over 300 km/h (186 mph)
FRAMEType : CrMo Steel tubular trellis
FRONT SUSPENSION : Öhlins Nix EC hydraulic “upside down” front forks with TiN superficial treatment.Completely adjustable with electronically controlled compression and rebound damping with manually controlled spring preload.
Fork dia.: 43 mm (1.69 in.)
Fork travel: 120 mm (4.72 in.)

REAR SUSPENSION : Progressive, single shock absorber Öhlins EC TTX completely adjustable with electronically controlled compression and rebound damping and spring preload
Front brake : Double floating disc with Ø 320 mm (Ø 12.6 in.) diameter, with steel braking disc and aluminium flange – Brembo radial pump/level assembly
Front brake caliper : Brembo Stylema radial-type, single-piece with 4 pistons Ø 30 mm (Ø 1.18 in.)
Rear brake : Single steel disc with Ø 220 mm (Ø 8.66 in.) dia. Brembo PS13 brake pump
Rear brake caliper : Brembo with 2 pistons Ø 34 mm (Ø 1.34 in.)
ABS System : Continental MK100 with RLM (Rear Wheel Lift-up Mitigation) and with cornering function
Front : Material/size With aluminium alloy spokes 3,50 ” x 17 ”
Rear : Material/size Forged alluminium alloy 6,00 ” x 17 ” with carbon fiber cover
Front Tyre : 120/70 – ZR 17 M/C (58 W)
Rear Tyre : 200/55 – ZR 17 M/C (78 W)
Environmental Standard : Euro 5
Combined fuel consumption : 6.8 l/100 km

 

2022 CFMOTO 700CL-X Heritage

สำหรับ 2022 CFMOTO 700CL-X Heritage นับเป็นโมเดลแรกจากสามโมเดล ของตระกูล 700CL-X ที่จะส่งออกมาสู่ตลาด ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด นอกจาก 700 CL-X Heritage ที่เผยโฉมออกมานี้แล้ว ก็จะตามมาด้วย 700 CL-X Sport และ 700 CL-X Adventure ตามลำดับ

เชื่อกันว่า นี่จะเป็นโมเดล ที่ทางผู้ผลิตแบรนด์ดังจากจีนนี้ ตั้งใจจะให้เป็น รถในระดับสร้างชื่อ สร้างศรัทธา ในฐานะรถจักรยานยนต์ แบบ full power ขนานแท้ พัฒนาขึ้นมาอย่างตั้งใจตั้งแต่หัวจรดท้ายจริงๆ นอกจากการเน้นทำตลาดในออสเตรเลียด้วยรถ ATV , UTV , SSV รวมทั้ง สกู๊ตเตอร์บางรุ่น ก็ยังรุกสู่ยุโรปต่อเนื่อง โดยรวมแล้วปัจจุบันแบรนด์ผู้ผลิตจากจีนค่ายนี้ สามารถส่งขายไปมากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คอนเน็คชั่นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ดังจากออสเตรีย อย่าง KTM เพราะฉะนั้นในบางประเทศ CFMOTO อาจจะไปใช้พื้นที่ทำตลาดหรือแหล่งจำหน่ายร่วมกับ KTM

CFMOTO 700CL-X Heritage ว่ากันว่าเป็นรถในแบบ all-new ที่พัฒนาด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นรถ neo-retro ที่ใช้เครื่องยนต์ 693ซี.ซี. parallel-twin ซึ่งมีช่วงชักที่ยาวขึ้นประมาณ 3ม.ม.เมื่อเทียบกับสเปคเครื่องยนต์ขนาด 650 ซีซี จากโมเดลอื่นๆนี้อย่าง 650GT จากขนาดความจุเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นมานี้ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้กับ CFMOTO 700CL-X มีกำลังเครื่องยนต์ในระดับ 73 แรงม้า ที่ 8500 รอบ ต่อ นาที พร้อมแรงบิดขนาด 68 นิวตันเมตร ที่ 6500 รอบต่อนาที มากกว่าเครื่องยนต์ขนาด650ซี.ซี. ประมาณ 18 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์ติดตั้งยึดไว้กับโครงสร้างเฟรมของตัวรถที่เป็นแบบ chromoly tubular steel frame ที่มาพร้อมกับ aluminium swingarm ในภาคของเครื่องยนต์นี้ได้ติดตั้งระบบจ่ายเชื้อเพลิง Bosch electronic fuel injection นอกจากนี้รถยังเป็นการใช้คันเร่งแบบ ride-by-wire throttle อีกทั้งยังมีสองโหมดขับขี่ให้เลือก คือ Eco และ Sport ride modes

ระบบกันสะเทือนมาแบบ fully adjustable ซึ่งกันสะเทือนหน้าเป็น ฟอร์คแบบหัวกลับ 41 ม.ม. KYB inverted fork กับกันสะเทือนหลัง KYB monoshock ที่สามารถปรับทั้งค่า preload และ rebound สำหรับเบรกนั้นมาด้วยจานดิสก์เดี่ยว single-disc brake ทั้งหน้าและหลัง หากดูที่ คาลิเปอร์เบรก จะพบตรา J.Juan อาจจะโนเนมในความรู้สึก แต่ข้อมูลแล้ว แบรนด์นี้เป็นคาลิเปอร์เบรกจากสเปน ที่ถูกซื้อกิจการโดย Brembo ก็น่าจะพอเชื่อได้ในมาตรฐานความปลอดภัย เชื่อว่าด้วยเงื่อนไขในการทำตลาดด้วยราคาประหยัด ไปทั่วโลกของ CFMOTO แต่ก็คงไม่สามารถละเลยมาตรฐานของแต่ละประเทศได้ โดยเฉพาะในอิตาลี และหลายประเทศในยุโรป ที่มีการควบคุมมาตรฐานที่ไม่ธรรมดาสำหรับรถจักรยานยนต์แต่ละชนิดที่จะจำหน่ายนั่นเอง

จากการเช็คราคาโดยประมาณที่จำหน่ายในออสเตรเลีย กำหนดไว้ที่ 9490 เหรียญ เทียบกับคู่แข่งที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันได้แก่ Benelli Leoncino500 ที่ตั้งราคาอยู่ 9390 เหรียญ Benelli 502C ราคา 9990 เหรียญ และ Yamaha XSR700 ที่มีราคา 13,299 เหรียญ กับรถในกลุ่ม middleweight roadster ด้วยกัน ก็ต้องวัดใจกันว่า CFMOTO 700CL-X Heritage นี้พอจะแทรกเข้ามาเป็นตัวเลือกของสิงห์นักบิดได้ดีแค่ไหน สำหรับสเปคของรถนั้น ตามไฟล์ที่ได้รับเป็นภาษาอิตาลี