ไทยยามาฮ่า ระเบิดความฟินน์!! เทศกาลลานฟินน์ “FINN FEST 2023”

รวมพลคนฟินน์ ฟินน์ ฟรี!! เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง อาหารครบเครื่อง พร้อมคอนเสิร์ตจาก กระแต อาร์สยาม

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมกันเปิดเทศกาลลานฟินน์ ในกิจกรรม “ฟินน์เฟส 2023” รวมพลคนฟินน์ ฟินน์ ณ ตลาดรถไฟศรีนครินทร์ โดยภายในงานอัดแน่นด้วยกิจกรรมสุดฟินน์ขับขี่ฟินน์ ไปให้สุดไม่มีจอด บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี!! และเต็มอิ่มกับร้านค้าและร้านอาหารฟู้ดทรัค ทีเด็ดกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อซื้อรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ รับของแถมฟรีทันที 3 รายการ พร้อม Gift Voucher 1,000 บาท และบัตรน้ำมันมูลค่า 500 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 0.99% ผ่อนเริ่มต้น 1,XXX บาท / เดือน

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมกันเปิดเทศกาลลานฟินน์ ในกิจกรรม “ฟินน์เฟส 2023” รวมพลคนฟินน์ ฟินน์ ณ ตลาดรถไฟศรีนครินทร์ โดยภายในงานอัดแน่นด้วยกิจกรรมสุดฟินน์ขับขี่ฟินน์ ไปให้สุดไม่มีจอด บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องฟรี!! และเต็มอิ่มกับร้านค้าและร้านอาหารฟู้ดทรัค ทีเด็ดกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อซื้อรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟินน์ รับของแถมฟรีทันที 3 รายการ พร้อม Gift Voucher 1,000 บาท และบัตรน้ำมันมูลค่า 500 บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 0.99% ผ่อนเริ่มต้น 1,XXX บาท / เดือน

2023 YZR-M1

เปิดตัวทีมอย่างเป็นทางการไปแล้วสำหรับแฟคทอรี่ทีม Yamaha ในรายการ 2023 MotoGP ซึ่งรถแข่ง YZR-M1 จะเป็นเพียงรถยี่ห้อเดียวที่ใช้เครื่องยนต์สี่สูบแถวเรียงหรืออินไลน์4 ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์แบบอินไลน์โฟร์นี้ เป็นรูปแบบเครื่องยนต์ของรถแข่งที่มีความเป็นมาต่อเนื่องยาวนานมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของการแข่งขันเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ ที่มีบทบาทมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของการแข่งขันชิงแชมป์โลก ที่เครื่องยนต์อินไลน์โฟร์ประเดิมชัยชนะครั้งแรกในปี 1950 ด้วยรถแข่ง Gilera และมีพัฒนามาถึงปัจจุบัน ด้วยชัยชนะครั้งหลังสุดที่ทำได้ด้วยรถแข่ง Yamahaในปีที่ผ่านมา

ขณะที่ความสำเร็จสูงสุดก็คือการที่ Fabio Quartararo นำ M1 คว้าตำแหน่ง 2021 MotoGP World Champion อย่างไรก็ตามในปี 2022ที่ผ่าน แม้เครื่องยนต์อินไลน์โฟร์จะสามารถคว้าชัยชนะได้ แต่เป้าหมายในการป้องกันแชมป์นั้นล้มเหลว ขณะเดียวกัน ชัยชนะในการคว้ามาแต่ละครั้งเริ่มทวีความยากลำบากมากขึ้น เมื่อเทียบกับความโดดเด่นของเครื่องยนต์ V4 ที่ดีวันดีคืนกันถ้วนหน้า จนก่อให้เกิดข่าวลือต่างๆนานาว่า ในอนาคตจะไม่เหลือเครื่องยนต์แบบอินไลน์โฟร์บนสนามแข่งจีพีอีกแล้ว ขณะเดียวกันก็มีข่าวว่าทางโรงงานได้เตรียมวางตัว หัวหน้าโครงการพัฒนารถแข่ง MotoGP ของ บริษัทไว้เรียบร้อยแล้ง ซึ่งแห่ลข่าวได้บอกว่าชื่อของ Kazutoshi Seki คือผู้ที่จะเดินหน้าเปลี่ยนไปพัฒนารถแข่งที่ใช้เครื่องยนต์แบบ V4 แทน

ของเครื่องยนต์แบบ อินไลน์โฟร์ นั้นสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะเพลาข้อเหวี่ยงที่ยาวกว่า ทําให้รถแข่งมีเสถียรภาพหรือมีความนิ่งเนียนคอนโทรลได้ง่ายกว่า ขณะที่เครื่องยนต์ V4 นั้น ขึ้นเชื่อเรื่องกำลังเครื่องยนต์หรือแรงม้าที่สูงกว่ามีผลเนื่องจากเพลาข้อเหวี่ยงที่สั้นกว่าและแข็งกว่าซึ่งมันช่วยให้มีประสิทธิภาพโดยตรงถึงรอบการทำงานที่ให้ จำนวนรอบต่อนาทีสูงมากขึ้น และยังมีผลถึงแรงม้ามีมากกว่า อย่างไรก็ตามในอดีตนี่คือเพียงจุดเดียวที่เครื่องยนต์ V4 โดดเด่นมากที่สุด คือความทรงพลังนั่นเอง ซึ่งผิดกับอินไลน์โฟร์ ที่มีความเป้นมิตรควบคุมง่ายแถมมีความเร็วที่ดี ดังนั้นในหลายๆสนามที่มีโค้งหลากหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโค้งแคบ มันจะเอื้อต่อรถแข่งอินไลน์โฟร์ ขณะที่เครื่องยนต์ V4 นั้น มีเพียงการทำความเร็วทางตรงที่เหนือกว่ากับโค้งกว้างๆความเร็วสูงเท่านั้นที่พวกเขาเหนือกว่า ถ้าลากเส้นบนกระดานก็จะบอกได้ชัดเจนว่า สไตล์ของเครื่องยนต์อินไลน์โฟร์นั่นก็คือการไหลไปบนไลน์ขี่ในโค้งที่เป็นรูปตัว U นั่นก็หมายความว่าโดยธรรมชาติมันจะเลี้ยวได้ดีได้เร็ว ส่วนทางฝั่งเครื่องยนต์ V4 นั้น ไลน์การขี่ขณะเข้าโค้งนั้น มันจะเป็นรูปตัว V นั่นคือ ทะยานมาด้วยความเร็วแล้วเบรกหนักช่วยหยุดความความเร็วก่อนจะเลี้ยวแล้วชาร์จทะยานออกไป แต่ด้วยความรุดหน้าในการพัฒนาด้านต่างๆเกี่ยวกับรถแข่ง รวมทั้งการพัฒนาทักษะและเทคนิคการขี่ของนักแข่ง ส่งผลให้ ข้อได้เปรียบดั้งเดิมของอินไลน์โฟร์นั้นค่อยๆลดน้อยลง ถ้าบนแทร็คมีรถพัวพันมาก ก็ยากที่อินไลน์โฟร์จะไหลไปด้วยความเร็วสูงสุดในโค้งได้ยิ่งพื้นฐานเครื่องยนต์ที่มีกำลังต่ำกว่าด้วยแล้ว ทำให้ไม่สามารถเร่งความเร็วทะยานออกจากโค้งไปได้ทัน V4 ที่โดยพื้นฐานแล้วเหนือกว่าทั้งกำลังและความเร็ว เมื่อองค์ประกอบอื่นๆถูกพัฒนามาช่วยกลับกลายเป็นว่าอินไลน์โฟร์กำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งขึ้นเมื่อต้องต่อกรกับเครื่องยนต์ V4 ในปัจจุบัน “คนส่วนใหญ่ในวงการแทบทุกคนคิดว่ายามาฮ่าเป็นรถแข่งที่ควบคุมง่าย แต่มันไม่มีเช่นนั้นอีกแล้ว” Cal Crutchlow นักทดสอบจากโรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า

“คุณอาจจะเคยขี่มันได้ด้วยมือเดียวและแม้ว่าคุณจะมีรุกกี้ หรือเป็นนักแข่งทีมอิสระ ก็ยังสามารถทำผลงานขึ้นโพเดียมได้ด้วย M1 แต่ตอนนี้มันแตกต่างไปแล้ว ปัจจุบันมี Fabio เป็นคนเดียวที่สามารถขี่มันได้ เพราะมันมีความดุดันก้าวร้าวมากขึ้น เครื่องยนต์และระบบต่างของตัวรถแข่งมันมีความซับซ้อนมากกว่าเดิม มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากรถแข่ง M1 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันนักแข่งที่มีประสบการณ์คนอื่น ๆ ของ Yamaha ได้แก่ ทั้ง Valentino Rossi , Franco Morbidelli Andrea Dovizioso ต่างพบว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะควบคุมรถแข่ง M1 ที่มันไม่มีความเป็นมิตรกับผู้ขี่เช่นอดีต” หากในปีที่ผ่านมารถแข่งของ Fabio Quatararo มีแรงม้าอีก สิบแรงม้า แล้วล่ะก็เขาอาจจะป้องกันแชมป์ได้สําเร็จ ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Yamaha คํานวณว่ารถแข่งของเขาแพ้ระหว่าง 0.2-0.4 วินาทีต่อรอบเนื่องจากอัตราเร่งที่ไม่ดีและความเร็วสูงสุดที่เป็นรอง ดังนั้นเป้าหมายหลักของพวกเขาในปี 2023 คือการเยียวยาช่องว่างดังกล่าว ทางฝั่งของหัวหน้าช่างประจำยูนิตของ Fabio Quartararo ซึ่งก็คือ Diego Gubellini ที่ว่ากันว่าพวกเขาได้พบหนทางที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่ดีขึ้น ซึ่งคีย์เวิร์ดนั้นก็คือคำว่า downforce aero ก็เป็นไปตามเทรนของทีมอื่นๆด้วยเช่นกันที่เกือบทุกทีมหันมาพัฒนาบอดี้พาร์ทที่เกี่ยวข้องกับค่าอากาศพลศาสตร์กันมากขึ้นนั่นเอง เช่นกันทาง M1 ก็มีการเปลี่ยนรูปทรงชิ้นส่วนบอดี้พาร์ทหรือแฟริ่งของรถแข่งที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถเอื้อต่อการเร่งความเร็วที่ดีขึ้น แล้วเขาและที่น่าสนใจก็คือ ทิศทางในการพัฒนาสำหรับ M1 เวอร์ชั่น 2023 ที่เปิดตัวออกมานี้ให้มีความสมบูรณ์กับการแข่งขันมากที่สุด “การขี่ในเกมการแข่งขันกับนักแข่งคนอื่น ๆเมื่อพิจารณาสถานการณ์ของ Fabio นั้นชัดเจนว่าเขานั้นอยู่ในขีดจํากัดหลายๆอย่างที่ทำให้เป็นรองคู่แข่ง ซึ่งคู่แข่งแต่ละคนส่วนมากล้วนมีเพดานขีดจำกัดที่สูงกว่าเรา ดังนั้นจังเป็นเรื่องปกติที่แทบทุกครั้ง Fabio จะต้องบวก จนแทบจะเกินลิมิต และเป็นธรรมดาในการแข่งขันถ้าคุณเกินขีดจํากัด ในทุกโค้งในทุกรอบแล้วมันง่ายที่จะทําให้เกิดข้อผิดพลาด ใช่ความผิดพลาดของเขาที่ออสเตรเลียที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นผลเพราะเขาขี่เกินขีดจํากัดที่เรามี ในฤดูกาลที่ผ่านมานี้เราได้เรียนรู้ว่าในหลาย ๆ สนาม จากที่ในอดีตเราแข็งแกร่งมากว่า มันเคยเป็นของตายของเรา ทว่าเวลานี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกต่อไปเพราะ Aprilia และ Ducati ได้ปิดช่องว่างในด้านความสามารถของการเลี้ยว ที่รถแข่งของพวกเขาเคยเป็นรองเรา ดังนั้นตอนนี้เรากําลังต่อสู้ด้วยประสิทธิภาพการเลี้ยวที่อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว เราไม่มีความได้เปรียบอีกแล้วในจุดนี้ แต่ในเวลาดียวกันเรากลับมีกําลังเครื่องยนต์น้อยกว่าพวกเขา ที่ชัดเจนที่สุดที่เพิ่งผ่านไปล่าสุดก็คือที่บาเลนเซีย สภาพเลย์เอ้าท์สนามที่มีโค้งแคบมากมายซึ่งเคยเป็นข้อได้เปรียบสําหรับเราในอดีต แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักแข่งของเรา รถแข่งของเรา” คงปฏิเสธไม่ได้ที่ว่า เครื่องยนต์อินไลน์โฟร์ที่เคยยอดเยี่ยม ในเอกลัษณ์ของความนุ่มนวลควบบคุมง่าย เด่นในการทำความเร็วในโค้งนั้น ไม่มีอีกต่อไปแล้ว และคงอธิบายได้ชัดเจนว่าทำไมนักแข่งหลายคนที่ขี่ M1 ต่างก็เรียกร้อง กำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้น ต้องกาความเร็วสูงสุดที่มากขึ้น และนั่นทำให้ทีมต้อง
ลองผิดลองถูกมากมายเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งหัวหน้าช่างผู้ดูแลยูนิต M1 ของ Fabio ได้กล่าวว่า

“เราพบข้อมูลที่จะนำมาการปรับปรุงบางอย่างของรถแข่ง เพื่อพัฒนาในด้านความเร็วและการเร่งความเร็ว เรากําลังพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้เครื่องยนต์ที่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าในการเปลี่ยนแปลงจะสามารถทำสำเร็จได้ในวันเดียว แต่ต้องใช้เวลา นั่นเป็นเหตุผลที่ในการทดสอบทุกครั้งเราได้พยายามนําบางส่วนมาปรับปรุงเพื่อให้ได้กำลังเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ผมเองก็ไม่สามารถพูดตัวเลขที่แน่นอนได้ว่าเราต้องการแรงม้าอีกกี่ตัว แต่เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ได้ในปี 2022 เรารู้ว่าต้องการมากกว่านี้ เราต้องการก้าวที่ยิ่งใหญ่ ก้าวยาวๆที่จะไปได้ไกลจากจุดที่อยู่นี้ เราลองประมาณการว่าเราช้ากว่าระหว่าง 0.2-0.4 วินาทีต่อรอบ เมื่อเปรียบเทียบด้วยเครื่องยนต์ปี 2022 และนี่คือสิ่งที่ Fabio ต้องชดเชยจุดอ่อนนี้ ด้วยการพัฒนาค้นหาวิธีและเทคนิคในการขี่ของเขา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสําหรับเขา ดังนั้นเราจึงต้องมีกระบวนการและขั้นตอนสำคัญที่จะต้องเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่” “ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่เครื่องยนต์หรือเป็นเรื่องของแรงม้า แต่มันซับซ้อนกว่านั้น เพราะสไตล์การขี่ของนักแข่งเอง ก็จำเป็นต้องเอื้อกับแคแรกเตอร์ของรถแข่ง ดังนั้นจุดอ่อนที่มีไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์เท่านั้น ทุกองค์ประกอบทั้งเทคนิคการขี่ของตัวนักแข่งเอง ธรรมชาติของรถแข่งเอง ทั้งสองส่วนต่างก็ต้องผสานกัน นักแข่งทำหน้าที่ในส่วนของตัวเอง เราเองก็ต้องพยายามปรุงแต่งรถแข่งให้มีความเหมาะสมลงตัวกับนักแข่ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของแชสซีเรื่องของอากาศพลศาสตร์และอื่น ๆ ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพที่แท้จริงของรถแข่งให้ออกมาดีที่สุด”
“ตามความเข้าใจส่วนตัวแล้วผมคิดว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาสไตล์การขี่และวิธีการจัดการในโมโตจีพีมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ซึ่งเราได้ให้ความสนใจในเรื่องของค่าดาวน์ฟอร์ซเป็นอย่างมาก เพราะแรงกดที่มีผลมาจากค่าอากาศพลศาสตร์นี้ เป็นสิ่งที่ช่วยให้รถแข่งเลี้ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะโหลดหรือมีแรงกดที่ด้านหน้ามากขึ้น มันก็จะเพิ่มการยึดเกาะด้านหน้าของรถแข่งได้ดี นอกจากนี้เนื่องจากเรามีแรงกดที่ด้านหน้ามากขึ้นเราจึงสามารถใช้การกระจายน้ําหนักคงที่ที่แตกต่างกันเพื่อช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการยึดเกาะด้านหลังของรถแข่งได้ดีอีกด้วย อย่างที่ผมบอกไปมีหลายสิ่งที่สามารถปรับปรุงความเร็วของเรา ไม่ว่าส่วนของกําลังเครื่องยนต์และชิ้นส่วนอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้เราต้องทำการทดสอบก่อนว่าเราสามารถพัฒนาไปได้มากน้อยแค่ไหนสำหรับฤดูกาลแข่งในปี 2023 และการตรวจสอบขั้นตอนต่อไปคือการดูว่าคู่แข่งของเราดีขึ้นมากแค่ไหนเพราะถ้าเราปรับปรุง แต่พวกเขายังคงรักษาช่องว่างด้านประสิทธิภาพไว้เหมือนเดิม เราก็จะยังอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับปีที่ผ่านมา ตอนนี้เรากําลังพยายามที่จะสรุปเวอร์ชันสุดท้ายสําหรับผลิตรถแข่งเวอร์ชั่นปี 2023 โดยพยายามรวมสิ่งดีๆทั้งหมดเข้าด้วยกัน แต่ไม่มีแผนการที่จะทำสเปกเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันหลายเวอร์ชั่น กล่าวคือเราจะสรุปเพื่อทำสเปคพื้นฐานที่ดีที่สุดออกมานั่นเอง”
ทั้งหมดทั้งมวลที่ร่ายมาถึงบรรทัดนี้ก็เป็นการประมวลรวบรวมความคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางของรถแข่ง M1 โมเดลล่าสุดที่เรานำมาเล้าสู่กันฟัง ดังนั้นก็เลยือโอกาสรวบรวมมาบอกกล่าวกันเกี่ยวกับรถแข่งเวอร์ชั่นล่าสุดที่แฟคทอรี่ทีมเพิ่งขะเปิดโฉมในวาระที่พวกเขาเปิดตัวทีมอย่างเป็นทางการในครั้งนี้

2023 KTM 450SX-F : WorkbIke

นี่คือต้นแบบของรถโมโตครอสในไลน์อัพ Replica ที่ส่งขายทั่วไป คงไม่ผิดนัก เพราะผู้ผลิตอย่าง KTM ขายทุกสิ่งที่ทีมแข่งใช้ ตามที่ทราบกันดีว่าพวกเขา เน้นกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตก็เพื่อพัฒนาแล้วนำผลที่ได้นั้นมาขายสู่ผู้ใช้ทั่วไป ในภาพนี่คือ รถแข่งตัวล่าสุดของ Jeffrey Herling ที่จะใช้ใน 2023MXGP ภายใต้การบริหารดูแลทีมโดย Antonio Cairoli สำหรับพื้นฐานของตัวแข่งโรงงานคันนี้มันก็คือการนำ 450SX-F เวอร์ชั่นสแตนดาร์ตทั่วไป มาทำการปรับแต่งปรับเซท โดยเสริมอุปกรณ์ที่มีจำหน่ายบนแคตตาล็อก Power part ของโรงงานนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ทั่วไปสามารถหารถสมรรถนะแบบเดียวกันนี้ได้ตามตัวแทนจำหน่ายของพวกเขา เพราะมันจะถูกผลิตออกมาอยู่ในไลน์อัพรถ Replica นั่นเอง อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว รถคันนี้ที่ Jefrey ใช้นั้น ย่อมมีความแตกต่างจากตัวขายทั่วไป เพราะบางสิ่ง คือการตกแต่งเพิ่มเติมจากโรงงานโดยเฉพาะซึ่งมันก็อาจจะถูกนำไปปรับใช้กับรถตลาดในโมเดลถัดไปนั่นเอง

อย่างไรก็ตามพวกเขาพยายามสื่อว่า เครื่องยนต์ของ 2023 KTM 450 SX-F FACTORY EDITION นำเอาความดุดันของรถแข่งทีมโรงงานมาสู่ผู้ใช้ทั่วไป ด้วยการผลิตจำนวนจำกัด ทำให้มันเป็นของพิเศษเฉพาะตัวแบบเดียวกับรถแข่งที่ใช้โดยทีม Red Bull KTM Factory Racing อย่างเป็นทางการดังนั้น 2023 KTM 450 SX-F FACTORY EDITION ผสานกราฟิก Factory Racing กับส่วนประกอบรถแข่งระดับสุดยอด ไม่เพียงดูเหมาะสมเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่มันยังทรงพลังด้วยในระดับเดียวกับที่นักแข่งอย่าง Jefrey Herling ใช้ในสังเวียนการแข่งขันนั่นเอง

ระบบกันสะเทือนทั้งหน้าและหลังนั้นสามารถทำการปรับเซทโดยที่ไม้ต้องใช้เครื่องมือในการทำงาน โดยการออกแบบ all-new shock absorber นั้นได้กำหนดให้สามารถทำการปรับได้ด้วยมือ ทั้ง adjustable dual compression control ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับค่า high and low speed setting ได้ในเวลาไม่กีวินาที เช่นเดียวกับในส่วนของช่วงหน้าอย่างฟอร์คนั้นสามารถปรับได้ง่าย เพราะการออกแบบให้ปรับอย่างง่ายดาย ด้วย single air pressure preload valve เพียงแค่การคลิกปรับตัวปรับ adjusters for compression and rebound

ขณะที่เครื่องยนต์ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 26.8ก.ก. นั้น ได้ติดตั้งมาพร้อมชุดท่อไอเสียหรือท่อสูตรAkrapovic น้ำหนักเบา ที่ดีไซน์มาเพื่อเครื่องยนต์สี่จังหวะโดยเฉพาะ ซองสามารถช่วยให้ส่งผ่านกำลังออกมาได้มากถึง 63 แรงม้า โดยที่มีอุปกรณ์ช่วยในการออกตัว holeshort device , Launch control , Quickshifter ด้วยองค์ประกอบทั้งสามนี้ มีส่วนช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียวร์ได้เร้วขึ้น เร่งทะยานออกตัวได้อย่างนิ่งมั่นคง และมีการยึดเกาะพื้นผิวได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถปรับเลือกโปรแกรมการเซทติ้ง หรือเลือกใช้แม็พที่เซทไว้ได้สองแบบ ด้วยการกดปุ่มปรับเปลี่ยนเลือกค่า engine maps ได้ตามความเหมาะสมกับสภาพการขับขี่ เช่นเดียวกับในส่วนของการปรับตำแหน่งจัดวางเครื่องยนต์ที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งวางเครื่องยนต์บนเฟรมใหม่นั้น มีการเอียงไปด้านหลังมากกว่าเดิมประมาณสององศา และนี่เองเป็นผลให้ตำแหน่งของสเตอร์หน้าวางตำแหน่งต่ำลงจากเดิมประมาณสามมิลมิเมตรเป็นผลให้ได้รับการรวมจุดศูนย์ถ่วงน้ำหนักที่ดียิ่งขึ้นอันนำมาซึ่งสมดุลที่ช่วยให้การควบคุมรถทำได้อย่างง่ายดาย

ข้อมูลพื้นฐานของสเปครถมีดังนี้
ENGINE
• TRANSMISSION5-speed
• STARTERElectric starter
• STROKE63.4 mm
• BORE95 mm
• CLUTCHWet, DDS multi-disc clutch, Brembo hydraulics
• DISPLACEMENT449.9 cm³
• EMSKeihin EMS
• DESIGN1-cylinder, 4-stroke engine
CHASSIS
• WEIGHT (WITHOUT FUEL)103.5 kg
• TANK CAPACITY (APPROX.)7.2 l
• FRONT BRAKE DISC DIAMETER260 mm
• REAR BRAKE DISC DIAMETER220 mm
• FRONT BRAKEDisc brake
• CHAIN520, Non-sealed
• FRAME DESIGNCentral double-cradle-type 25CrMo4 steel
• FRONT SUSPENSIONWP XACT-USD, Ø 48 mm
• GROUND CLEARANCE343 mm
• REAR SUSPENSIONWP XACT Monoshock with linkage
• SEAT HEIGHT958 mm
• STEERING HEAD ANGLE63.9 °
• SUSPENSION TRAVEL (FRONT)310 mm
• SUSPENSION TRAVEL (REAR)300 mm

2023 SUZUKI V-Strom 1050ED

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาทางยุโรปค่าย Suzuki ได้ทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาสู่ตลาด หนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจและก็มีเปิดขายในบ้านเราช่วงนี้ก็คือ V-Strom ที่กล่าวได้ว่ามันคือเรือธง สายแอดเวนเจอร์ของค่ายนี้ในปัจจุบัน ซึ่งเจ้า V-Strom นี้ได้เปิดตัวสู่ตลาดในฐานะรถรุ่นใหม่ new generation เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า sport adventure tourer ด้วยโมเดลอย่าง C-Strom 1000 ที่ใช้รหัสรุ่นว่า DL1000 โดยเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการในปี 2002 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 90’V-twin DOHC สี่วาล์วต่อสูบ ก่อนจะมีการพัฒนาปรับปรุงขนานใหญ่แล้วเปิดตัวเป็นเจนที่สองของรถในรุ่น V-Strom1000 ที่เปิดตัวในปี 2013 (ขายปี 2014 กล่าวได้ว่ารถที่ผลิตออกมาขายในปี 2014 จึงนับเป็น Gen2)

ซึ่งรถในเจนที่สองนี้ได้เพิ่มขนาดเครื่องยนต์จากเดิม 996ซี.ซี.ไปเป็น 1037 ซีซี ก่อนที่จะอัพเกรดปรับปรุงอีกครั้งด้วยการเปิดตัวใหม่ในปี2019กับ V-Strom1050XT ที่นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่สามหรือ Gen3 ของรถในรุ่น V-strom นอกจากการเพิ่มสมรรถนะในส่วนของเครื่องยนต์แล้ว Gen3 นี้ ยังได้ตามเทรนตลาดด้วยการเสริมติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่จำเป็นสำหรับรถจักรยานยนต์ในยุคปัจจุบันอีกด้วย กล่าวได้ว่า V-Strom เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ดีรุ่นหนึ่งในช่วงเวลานั้น และมันก็ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าโมเดลล่าสุดอย่าง V-Strom1050 ที่ส่งออกมานี้ เป็นช่วงเวลาครบรอบ 20ปี ก็ว่าได้ โดยทางSuzuki ได้เปิดตัวสองเวอร์ชั่น คือ V-Strom1050 กับ V-Strom1050DE ซึ่งพัฒนาต่อยอดออกมาจากโมเดลก่อนหน้านี้ ด้วยการเน้นไปที่การเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับระบบอิเล็คทรอนิคส์ advance electronic control systems

สำหรับความแตกต่างของ V-Strom ทั้งสองเวอรืชั่นที่ส่งออกมานี้ จุดหลักๆก็คือ V-Strom1050DE จะใช้ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ที่มาพร้อมยางที่ใช้ดอกยางแบบ Semi-block pattern ขณะที่ V-Strom1050 นั้นจะใช้ล้อหน้าขนาด 19นิ้ว จากขนาดวงล้อหน้าที่ต่างกันนี้ มันส่งผลให้ เวอร์ชั่นDEนั้น จะมีช่วงระยะrakeกับwheelbaseที่ยาวกว่า มีประสิทธิภาพโดยตรงต่อความมั่นคงในการขับขี่บนเส้นทางที่วิบากขรุขระนั่นเองขณะเดียวกันช่วงยุบตัวของระบบกันสะเทือนในเวอร์ชั่น DE นั้นก็มีมากกว่า เช่นเดียวกับที่ในส่วนของแฮนเดิลบาร์ที่ใช้ในเวอร์ชั่น DE ก็จะมีความกว้างมากกว่าด้วยเช่นกัน กล่าวคือแฮนเดิลบาร์ที่ใช้ใน V-Strom1050Deนั้น จะกว้างกว่าอีกข้างละ 20ม.ม.อีกความแตกต่างที่สำคัญคือ ในส่วนของ Traction control systemนั้น พื้นฐานทั้งคู่จะมี 3modes+ Off มาเหมือนกัน แต่ที่เพิ่มเติม คือ ในV-Strom1050DE นั้นจะมีเพิ่ม G mode และยังเพิ่มฟังก์ชั่น การปรับเซทเพื่อยกเลิกการใช้งาน ABSหลัง( Rear ABS cancel function)ได้อีกด้วย

ขณะที่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นทางSuzuki ยังคงใช้พื้นฐานเครื่องยนต์สี่จังหวะ 90’V-twin DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี โดยในส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้กับโมเดลล่าสุดนี้ ได้รับการเพิ่มเติมให้มีความรู้สึกที่สบายและควบคุมง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยการอัพเกรดและเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนประกอบต่างๆเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์มีขีดความสามารถสุงสุดในด้านต่างๆมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่า การนำระบบ Bi-directional Quick Shift System ควบคู่กับการอัพเกรดระบบส่งกำลัง มีผลให้สามารถส่งผ่านกำลังเครื่องยนต์ได้นุ่มนวล ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับประสบการณณืที่ยอดเยี่ยมในแต่ละจังหวะของการขับขี่ได้อย่างสนุกสนานยิ่งขึ้น แน่นอนว่าในส่วนของระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นหนึ่งใน Advanced electric control ที่Suzuki พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ S.I.R.S.-Suzuki Intelligent Ride System ที่ซึ่งในเวอรั่นที่ใช้กับ V-Strom1050DE นั้น จะได้เพิ่มเติมในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวกับ Traction Control System ด้วยการเพิ่มโหมดการทำงานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือ G mode โดย G นั้นก็มาจากคำว่า Gravel แปลตรงตัวง่ายๆก็คือ หินกรวดทราย ประมาณนั้น นั่นหมายความว่าโหมดนี้จะช่วยให้สามารถส่งกำลังเครื่องยนต์สู่ล้อได้อย่างเหมาะสมกับการขับขี่บนถนนหรือพื้นผิวที่เป้นกรวดทรายหรือลูกรังประมาณนั้นนั่นเอง มาถึงตรงนี้คงบ่งบอกได้ชัดเจนว่า V-Strom1050DE นั้นก็คือเรือธงตัวจริงของซีรีส์ เป็นตัวท็อป ที่พัฒนาออกมาเพื่อเป้นตัวลุยสายแอ๊ดเว็นเจอร์อย่างเต็มตัวมากยิ่งขึ้น

สำหรับเครื่องยนต์ V-twin engine ของSuzuki ตัวนี้นั้น มีคุณสมบัติที่ดีพอสำหรับบุกตะลุยพื้นนุ่มที่มีร่องลึกหรือดินโคลนดินทรายได้อย่างเต็มที่ เพราะเครื่องยนต์ออกแบบมาให้มีกำลังที่ดีในช่วงรอบการทำงานต่ำ กล่าวได้ว่าทางวิศวะกรได้คำนึงถึงแรงบิดที่ดีสำหรับการใช้งานขับขี่ในช่วง รอบต่ำและรอบกลาง ขณะเดียวกันตัวเครื่องยนต์เองก็ได้รับการออกแบบให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขค่ามาตรฐานไอเสีย Euro5 อีกด้วย สรุปคือ เครื่องยนต์ V-twin ตัวนี้ พร้อมตอบสนองการขับขี่ทั้งในการเดินทางไกลสไตล์ทัวริ่ง พร้อมตอบสนองความสนุกเร้าใจในการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างเต็มสมรรถนะ ขณะเดียวกันก็สามารถลุยบนเส้นทางทุนชรกันดารในแบบแอ๊ดเว็นเจอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากขุมพลังของเครื่องยนต์ V-twin ที่มีความจุ 1037 ซี.ซี. ให้กำลังสุงสุด 79.0kW/8500รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 100.0Nm-6000รอบต่อนาที นอกจากนี้ยังเคลมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไว้ที่ 19.2ก.ม./ลิตร หรือ 5.2ลิตร/100ก.ม. ที่พิเศษเฉพาะเวอร์ชั่น DE ก็คือในชิ้นส่วนของ drive chain นั้นได้มีการอัพเกรดมาเป้นการเฉพาะเจาจงเพื่อรองรับคุณสมบัติการขับขี่ในโหมด G หรือ Gravel ดังนั้น drive chain จึงมีขนาดของ pin หรือหมุดย้ำข้อต่อของ drive chain ที่ใหญ่กว่าปกตินั่นเอง นอกจากนี้ส่วนที่มีการปรับปรุงอัพเกรดไม่น้อยก็คือในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์ของตัวรถ

83 ผู้ผลิตอย่าง Suzuki นับได้ว่าเป็นค่ายแรกที่ตัดสินใจใช้ all-aluminium frame มาผลิตกับรถโปรดักชั่นในแบบ mass-produce หรือผลิตรถที่ใช้เฟรมอลูมิเนียมจำนวนมาก หลังพวกเขาพบว่ามันให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทีมวิศวะกรของพวกเขายืนยันว่ามันคือ the best performing frame นับจากนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทยอยใช้โครงสร้างเฟรมมิเนียมกับรถรุ่นต่างๆที่จะผลิตออกมาสู่ตลาด พวกเขาก็พัฒนาเฟรมอลู่มิเนียมในแบบที่เรียกว่า twin-spar ออกมาและ รถในรุ่น V-Strom ก็ได้รับการสืบทอดมาด้วยเช่นกัน โดยในโมเดลล่าสุดอย่าง V-Strom 1050 นั้นก็ได้ใช้เฟรมแบบ twin-spar aluminium alloy frame ที่ชิ้นส่วนเฟรมอลูมิเนียมนั้นใช้กรรมวิธีการผลิตที่ผสมผสานกันระหว่างวิธีที่เรียกว่า aluminium cartings กับ การใช้ชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่มาประกอบเป็นส่วนที่เรียกว่า extruded aluminium sections โดยโครงสร้างหลักของเฟรมที่เป็นแบบ castings นั้น จะให้ความแข็งแรง และในส่วนของ extruded aluminium นั้น จะช่วยให้โครงสร้างโดยรวมมีความเพรียวบางมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้โครงสร้างเฟรมนี้มีการให้ตัวที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

แม้ว่าในโดยรวมพื้นฐานของแชสซีส์ที่ใช้กับ V-strom1050 ใหม่นี้ จะมีส่วนให้ประสิทธิภาพต่างๆดีขึ้นในฐานะรถแอดเวนเจอร์ทัวริ่ง แต่ V-Strom1050DEนั้นวิศวะกรต้องการให้ คุณสมบัติของเวอร์ชั่น DE นั้น ยอดเยี่ยมทั้งด้าน performance และ control เพื่อให้สามารถขับขี่ได้ทั้งบนสภาพทางแบบ gravelและ flat dirt trails ใน V-Strom1050DE นั้น โครงสร้างแชสซีส์นั้นจะให้ค่ามิติที่แตกต่างกว่า คือ longer wheelbase , longer rake , more ground clearance และ wider handlebar grip ทั้งหมดช่วยให้เวอร์ชั่น DE มีความมั่นคงในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น มีประสิทธิภาพในการควบคุมการขับขี่ที่ดีขึ้น เมื่อขับขี่บนพื้นผิวที่เป้นหินกรวดทรายและภาพเส้นทางที่วิบาก นอกจากนี้ด้วยสิวอาร์มที่ยาวกว่าของ เวอร์ชั่น DE ซึ่งใช้ Aluminium swingarm ที่ระบุว่าเป็น new longer version เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นธรรมดา แล้วมันสามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ในทางตรงได้มากกว่าเดิมเทียบเป้นเปอร์เซ็นต์ คือ มั่นคงขึ้นอีก 10% ซึ่งข้อมูลสเปคของ V-Strom 1050DE รวมทั้ง V-Strom105

 

2023 Ducati MonsterSP

ค่ายรถอิตาลีอย่าง Ducati ขยับปรับขบวนทัพรถในไลน์อัพกลุ่ม Nakedbike อย่าง Monster ด้วยการนำเสนอของแรง เวอร์ชั่นพิเศษนำร่องรถซีรี่ส์นี้ออกสู่ตลาด นี่คือการเติบโตหรือการขยายรากฐานของรถตระกูล Monster ไปอีกระดับขั้น ด้วยการส่ง Monster SP ที่อยู่ภายใต้การออกแบบด้วยเงื่อนไขที่เน้นสร้างความสนุกสนานเร้าในให้กับผู้ขับขี่มากกว่าที่เคย จากธรรมชาติดั้งเดิมของรถในกลุ่ม Nakedbike ทางโรงงานโบ โลญญ่า ได้ประเคนเทคโนโลยีและส่วนประกอบใหม่ๆเสริมเข้าไป เพื่อเพิ่มความเป็นสปอร์ตที่มากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่า Monster SP มาพร้อมกับ คำจำกัดความสั้นๆว่า Mad For Fun ที่มาพรอมกับฟิลลิ่งการขี่ในสไตล์สปอร์ต และภาพลักษณ์ที่มีกลิ่นอายจากรถแข่ง MotoGP ของพวกเขา โดย Monster SP จะใช้โทนสีของรถแข่งปี 2022 อย่าง Desmosedici GP พร้อมกับอุปกรณ์ส่วนประกอบที่จะมาเสริมให้มันมีความเป็นรถในแบบ supersport ชั้นนำจะต้องมีติดตั้งมาเป็นชุดมาตรฐานจากโรงงาน


ด้วยคำจำกัดความ Mad for Fun บ่งบอกได้ถึงความปรารถนาของ Ducati ในการที่จะขยายฐานของรถในตระกูล Monster ออกไปให้กว้างมากกว่านิยามความเป็นตัวตนในกลุ่มของรถ Nakedbike ด้วยการส่ง SP version เป็นหัวหอกนำร่องออกมาสู่ตลาด ด้วยการออกแบบให้มันมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ให้ความสนุกสนานยิ่งขึ้น และรหัส SP นี่เองที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ ที่สุดของตระกูล Monster หรือก็คือ Top of the range ที่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีและส่วนประกอบของอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบลงตัวมากที่สุดเท่าที่รถในตระกูลนี้พัฒนาออกมาสู่ตลาด

นับตั้งแต่ปี 2021 ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ๆ ด้วยการออกแบบปรับโฉมให้ Monster เป็นรถที่มีความกะทัดรัด มีความดุดัน มีน้ำหนักที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาจากตัวตนดั้งเดิมของรถตระกูล Monster ที่ออกมาสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1993 อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ที่เป็นรากฐานของการพัฒนารถในซีรีส์นี้ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ต แต่สามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นอีกแนวทางของการพัฒนาก็คือการผสมผสานแนวทางของการออกแบบเฟรมที่ต่อยอดมาจากรถในไลน์อัพประเภทSuperbike ของพวกเขา เพื่อตอบโจทย์สนองความต้องการให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยประโยคที่ว่า everything you need to have fun every day แปลแบบง่ายๆก็คือ ทุกสิ่งที่คุณต้องการก็คือการได้สนุกในทุกๆวันกับการขับขี่รถรุ่นนี้นั่นเอง

หัวใจของ Monster นั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ใช้อย่าง Testastretta 11 engine ที่เป็นเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำ liquid-cooled 4-valve twin ที่มีกำลังเครื่องยนต์ 111แรงม้า อย่างที่กล่าวไปแล้วโครงสร้างเฟรมนั้นต่อยอดมาจากรถในกลุ่ม Superbike ดังนั้นที่ส่วนเฟรมช่วงหน้าของ Monster จึงได้รับการปรับแต่งมาจากเฟรมของ Panigale V4 ที่มีน้ำหนักเบาและมีความกะทัดรัด
คงไม่ผิดนักที่จะระบุว่าเจ้า SP นี้ คือการแตกไลน์ใหม่ล่าสุดหรือการยกระดับมาตรฐานของรถตระกุลนี้ ที่ซึ่งจะขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ใหม่ๆ หรือเหล่า new generations of Monsteristi ต่างก็จะต้องชื่นชอบหรือหลงเสน่ห์ของเจ้า SP นี้


เป็นธรรมชาติหรือตัวตนของ Monster SP นั้น ล้วนถึงแต่งแต้มด้วยโทนสีรถแข่งจาก Ducati Lenovo Team อย่าง Desmosedici GP ที่เพิ่งเถลิงบัลลังก์แชมป์โลกในปีที่ผ่านไปมาครอง พร้อมกับการติดตั้งส่วนประกอบที่ล้วนมีผลต่อความแรงสมรรถนะการขับขี่ที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นสปอร์ตให้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ Ohlins NIX30 fork ที่มาด้วยการอะโนไดซ์สีทองเด่นสะดุดตา หรือการติดตั้งปลายท่อไอเสียซึ่งเป็นท่อสูตรสุดแรงจาก Temignoni ที่เป็นท่อไอเสียมาตรฐานจากโรงงาน หรือแม้แต่เบาะนั่งคุณภาพสูงเฉดสีแดงเด่นสะดุดตา ข๊ะเดียวกันชิ้นส่วนครอบเบาะผู้โดยสารก็ใช้โทนสีแดงพร้อมประทับตราโลโก้ MonsterSP อันเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของความเป็นเวอรืชั่นพิเศษ เช่นเดียวกับในส่วนของถังเชื้อเพลิงที่ออกแบบกราฟฟิคลวดลายและติดโลโก้Ducati ที่เป็นกราฟฟิคในสไตล์เดียวกับที่ใช้บน Panigale V4 อีกด้วย

หลายๆส่วนประกอบที่ติดตั้งมาใน Mobster SP นั้นก็เพื่อประโยคที่ว่า greater performance in sporty riding คือเสิรมสร้างพลังขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมเพื่อตอบสนองฟิลลิ่งการขี่ที่มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น แน่นอนผู้ขับขี่จะต้องสนุกสนานกับการขี่ในทุกๆวันที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมของรถในตระกูลนี้ ไม่ว่าประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในเรื่องของการเบรก ความแม่นยำในทุกจังหวะการควบคุมรถ ล้วนถูกนำมาเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนามันออกมาด้วยระบบกันสะเทือนแบบ fully adjustable Ohlins suspension ที่ปรับเซ็ทได้อย่างเต็มรูปแบบ ของผู้เชี่ยวชาญระบบกันสะเทือนชั้นนำนี้ สามารถรถน้ำหนักฟอร์คหน้าให้เบาขึ้นถึง 0.6 กก. ซึ่งเป็นน้ำหนักของฟอร์คหน้าที่เบาที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับรถในตระกูลนี้ ไม่เพียงเท่านั้นนี่คือระบบกันสะเทือนที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันดับต้นๆเท่าที่จะมีใช้ในรถโปรดักชั่นที่จำหน่ายทั่วไป ซึ่งทางโรงงานโบโลญญ่ายืนยันว่า Monster SP จะเป็นรถที่มีสมดุลในทุกจังหวะการควบคุม บนทุกๆสภาพการขับขี่ทั้งถนนเปิด ทั้งถนนที่มีรูปแบบหลากหลาย รวมทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับนำไปขับขี่บนแทร็คได้อย่างสนุกสนานและเปี่ยมประสิทธิภาพ ยังรวมถึงระบบเบรกที่ได้มีการอัพเกรดมาเป็น Brembo Stylema calipers ที่มาพร้อมกับจานดิสหน้าขนาด 320 มม. ซึ่งนอกจากมันจะให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังสามารถลดน้ำหนักชิ้นส่วนในระบบเบรกได้มากกว่าเดิมอีกเช่นกัน แม้กระทั่งรายละเอียดในส่วนของชิ้นส่วนอย่างแบตเตอรี่ ก็อัพเกรดมาเป็น lithium-ion battery ซึ่งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักโดยรวมของรถเวอร์ชั่นพิเศานี้สามารถลดลงไปถึง 2 กก. จากโมเดลก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ก็มีการติดตั้งชิ้นส่วนกันสะบัดหรือ steering damper ที่ออกแบบมาช่วยให้ตัวรถมีความมั่นคงในจังหวะการเร่งและเลี้ยวที่ทำได้นิ่งมากขึ้น พร้อมกันนี้ในส่วนของ electronic control ของรถได้อัพเกรดเพิ่มขึ้นจากโมเดลก่อนนี้ ด้วยการเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่เข้ามา คือ wet riding mode ที่พัฒนามาให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเสริมสมรรถนะที่ดีในขณะขับขี่บนพื้นผิวที่เปียกลื่น
ในส่วนของระบบอิเล้คทรอนิคส์นี้กล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ทันสมัยและมีมาตรฐานที่สูงเท่าที่จะสามารถติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ ซึ่งถือว่าอยู่ในเลเวลที่สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันที่มีจำหน่ายในตลาด ซึ่งระบบอิเล็คทรอนิคส์มาตรฐานที่ติดตั้งมาจากโรงงานในฐานะ standard equipment นั้น จะประกอบไปด้วย ABS Cornering, Ducati Traction Control และ Ducati Wheelie Control ซึ่งแต่ละระบบนั้นต่างก็สามารถปรับตั้งค่าการใช้งานที่หลากหลาย และที่พิเศษสำหรับ Monster SP ก็คือ การติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นตัวช่วยด้านความปลอดภัยและความสะดวกในจังหวะการออกตัว ก็คือ Launch Control ที่มักจะมีติดตั้งอยู่ในเฉพาะรถซีรีส์สูงๆเท่านั้น แต่ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำมาติดตั้งกับเจ้า SP นี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์พวก electronic control ที่ได้รับมา ทำให้ Monster SP ได้อัพเกรดปุ้มควบคุมบนแฮนเดิลบาร์ที่จะช่วยในการสั่งงานการปรับตั้งค่า ที่จะแสดงผลผ่านหน้าจอสีแบบ TFT ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงโหมดการขี่ต่างๆ ไม่ว่า sport , touring , wet นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งค่าต่างๆโดยจอแสดงผลนี้ได้ออกแบบกราฟฟิคการบอกข้อมูลต่างในแบบเดียวหรือใกล้เคียงกับ Panigale V4 ซึ่งเป็นรถในกลุ่มSuperbikeระดับเรือธงของ Ducati

สเปค ข้อมูลพื้นฐาน
Engine
Type : Testastretta 11°, V2 – 90°, 4 valves per cylinder, desmodromic valvetrain, liquid cooled
Displacement : 937 cc (57 cu in)
Bore x Stroke : 94 mm x 67.5 mm
Compression Ratio : 13.3:1
Power : 111 hp (82 kW) @ 9,250 rpm
Torque : 9.5 kgm (93 Nm, 69 lb ft) @ 6,500 rpm
Fuel Injection : Electronic fuel injection system, Ø 53 mm throttle bodies with Ride-by-Wire system
Exhaust : Pre-muffler and Termignoni type approved twin muffler, catalytic converter and 2 lambda probes
Gearbox : 6 speed with Ducati Quick Shift up/down

Final drive : Chain, front sprocket z15, rear sprocket z43
Clutch : Slipper and self-servo multiplate wet clutch with hydraulic control
Frame : Aluminum alloy Front Frame
Front suspension : Fully adjustable Öhlins NIX 30 Ø 43 mm usd front fork with TiN treatment on inner tube
Front Wheel : Light alloy cast, 3.5″ x 17″
Front Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 120/70 ZR17
Rear suspension : Progressive linkage, fully adjustable Öhlins monoshock, aluminium double-sided swingarm
Rear Wheel : Light alloy cast, 5.5″ x 17″
Rear Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 180/55 ZR17

Wheel Travel (Front/Rear) : 140 mm / 150 mm (5.5 in / 5.9 in)
Front Brake : 2 x Ø 320 mm semi-floating aluminum flange discs, radially mounted Brembo Stylema® monobloc 4-piston callipers, radial master cylinder, Cornering ABS
Rear Brake : Ø 245 mm disc, Brembo 2-piston floating calliper, Cornering ABS
Instrumentation : 4.3″ TFT colour display
Dry Weight : 166 kg (366 lb)
Kerb Weight : 186 kg (410 lb)
Seat Height : 840 mm (33.1 in)
Wheelbase : 1,472 mm (57.9 in)
Rake : 23°
Trail : 87 mm (3.4 in)
Fuel Tank Capacity : 14 l (3.7 US gal)

ไทยยามาฮ่าประกาศผู้ชนะการออกแบบชุดยูนิฟอร์มใหม่ชิงเงินรางวัลรวม 1 แสนบาท ในโครงการ “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST”

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด นายวรภัทร์ สังข์น้อย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และประธานคณะกรรมการการพัฒนาการศึกษา สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ ถ่ายภาพร่วมกับผู้เข้าแข่งขันและได้รับรางวัลในการประกวดการออกแบบชุดยูนิฟอร์ม “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST” อันดับ 1 – 3 ในประเภทบุคคลทั่วไปและประเภทร้านผู้จำหน่าย โดยผลงานการออกแบบของผู้ชนะเลิศการแข่งขันจะถูกนำมาผลิตให้กับทางบุคลากรของผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่ากว่า 600 สาขาทั่วประเทศ

โดยในรุ่นบุคคลทั่วไป นายนพไพสิษฐ์ ขอจุลซ้วน สามารถคว้ารางวัลผู้ชนะเลิศไปครองพร้อมเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท ส่วนในประเภทร้านผู้จำหน่าย รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ บริษัท ซี.เค. เจริญยนต์ จำกัด จ.ขอนแก่น รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รายชื่อผู้ได้รับรางวัลในรุ่นบุคคลทั่วไป
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายนพไพสิษฐ์ ขอจุลซ้วน รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายอภิทาน ลิ้มบริบูรณ์ รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายพุทธนันท์ นพกวด รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
รายชื่อผู้ได้รับรางวัลในรุ่นร้านผู้จำหน่าย
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ บริษัท ซี.เค. เจริญยนต์ จำกัด จ.ขอนแก่น รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ บริษัท สหไทยอินเตอร์เทรด จำกัด จ.สิงห์บุรี รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ บริษัท โล้วเฮงหมง มอเตอร์ จำกัด จ.กาญจนบุรี รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
โดยการประกาศผลการแข่งขัน “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST” ในครั้งนี้มีขึ้น ณ บูธ YAMAHA Community of PRIDE ในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา

ไทยฮอนด้าคว้า 2 รางวัลใหญ่ Exhibit Design Award และ The Best Bike Award ในงาน Bangkok Motor Show 2023

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทยได้รับเกียรติคว้า 2 รางวัล Exhibit Design Award รางวัลออกแบบบูธยอดเยี่ยม และ The Best Bike Award รางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยม ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2023 ไทยฮอนด้านำเสนอความมุ่งมั่นที่จะเผชิญกับทุกความท้าทาย เพื่อแบ่งปันความสุขและความน่าตื่นตาตื่นใจสู่ผู้คน เป็นที่มาของบูธภายใต้คอนเซปต์ Challenge the Horizon เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและนวัตกรรมเฉพาะตัวของการขับขี่ พร้อมจัดแสดงนวัตกรรม EV Ecosystem และเทคโนโลยีเครื่องยนต์เรืออันทรงพลังของฮอนด้า ทำให้ได้รับรางวัล Exhibit Design Award
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอีกรางวัลคือ The Best Bike Award สำหรับ New XL750 Transalp รถบิ๊กไบค์สไตล์แอดเวนเจอร์ล่าสุด ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและทางวิบาก ให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับการผจญภัยในทุกพื้นที่ได้อย่างไร้กังวล พิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบจาก ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน พร้อมด้วย นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ จัดขึ้น ณ บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ยามาฮ่าคว้ารางวัลการออกแบบและดีไซน์บูธยอดเยี่ยมต่อเนื่องปีที่ 17

ยามาฮ่าคว้ารางวัลการออกแบบและดีไซน์บูธยอดเยี่ยมต่อเนื่องปีที่ 17 และรางวัลผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44 นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายจิรภัทร สายเพชร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติ กและสนับสนุนการขาย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ขึ้นรับรางวัล EXHIBIT DESIGN AWARD การออกแบบและจัดแสดงบูธยอดเยี่ยม และรางวัล INNOVATIVE TECHNOLOGY AWARD ผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยียอดเยี่ยม จาก ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร / ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมอเตอร์โชว์ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44
สำหรับรางวัลการออกแบบและจัดแสดงบูธยอดเยี่ยม EXHIBIT DESIGN AWARD นั้นยามาฮ่าได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ซึ่งแสดงความสวยงามของการออกแบบคอนเซ็ปต์บูธภายใต้แนวคิด YAMAHA COMMUNITY OF PRIDE และที่ขาดไม่ได้กับรางวัลผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยียอดเยี่ยม INNOVATIVE TECHNOLOGY AWARD ที่ยามาฮ่าได้นำนวัตกรรมมาจัดแสดงอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้ยามาฮ่าได้จัดแสดงไว้ที่โซน Zero Carbon Community ที่มีรถพลังไฮโดรเจนอย่างรถ ROV มาร่วมจัดแสดง พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า YAMAHA E01 และ YAMAHA NEO’S รวมถึงรถจักรยาน YPJ-MT Pro เสือภูเขาที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ Tri town สกู๊ตเตอร์ 3 ล้อที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้ามาจัดแสดงอีกด้วย
โดยการรับรางวัลในครั้งนี้มีขึ้น ณ บูธ YAMAHA COMMUNITY OF PRIDE ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44 อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ปลดล็อก! ประสบการณ์การขับขี่ในเมืองไปอีกขั้น กับ New Honda CB750 Hornet

ปลดล็อก! ประสบการณ์การขับขี่ในเมืองไปอีกขั้น กับ New Honda CB750 Hornet บิ๊กไบค์ดีไซน์เท่ เร้าใจ สมรรถนะดุดัน แรงเต็มอารมณ์สปอร์ต ในงาน Motor Show 2023
ไทยฮอนด้า จัดชุดใหญ่ต่อเนื่อง เปิดตัว New Honda CB750 Hornet บิ๊กไบค์สไตล์สปอร์ตเน็กเก็ตที่มาพร้อมดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว สมรรถนะเต็มขั้นกับเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมเทคโนโลยีที่ครบครัน เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้วที่งาน Motor Show 2023 บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า M4
New Honda CB750 Hornet เท่ เร้าใจ สปอร์ตเน็กเก็ตตัวจริงที่เพิ่มดีกรีความดุดันด้วยเครื่องยนต์ใหม่ Parallel Twin 755 ซีซี 8 วาล์ว แรงเต็มอารมณ์สปอร์ต สมรรถนะดีเยี่ยม มาพร้อมแอสซิส สลิปเปอร์คลัตช์ ช่วยลดแรงกระชาก และป้องกันล้อล็อกขณะเปลี่ยนเกียร์ให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น มีน้ำหนักเบาด้วยเฟรมรุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ เพียง 16 กก. ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักรวม 190 กก. ให้การขับขี่โฉบเฉี่ยวและคล่องตัวอย่างเต็มขั้น
เหนือระดับยิ่งกว่า ด้วยสุดยอดการควบคุมและการเชื่อมต่อ กับระบบ Throttle by Wire (TBW) เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า ขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ควบคุมง่ายด้วยโหมดการขับขี่ปรับได้ 4 ระดับ Sport Standard Rain และ User มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Honda Selectable Torque Control (HSTC) ป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ นอกจากนี้ จอแสดงผลสี TFT ขนาด 5 นิ้ว อินเทอร์เฟซสวยงามและใช้งานง่าย พร้อมเชื่อมต่อระบบสั่งการด้วยเสียง Honda Smartphone Voice Control System (HSVCs) ผ่านแอปพลิเคชัน HondaSync สะดวกสบาย ไร้กังวลทุกการขับขี่ ที่มาพร้อมความเท่ ผ่านการตกแต่งไฟหน้าระดับพรีเมียมสไตล์ Sports Naked ระบบไฟ LED แบบปิดเองอัตโนมัติ เทคโนโลยีจากฮอนด้า และสัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ให้ทุกการขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น
CB750 Hornet ได้รับการออกแบบโดยใช้ Steel Diamond Frame ถังน้ำมันได้รับแรงบันดาลใจจากโครงร่างของปีก Hornet เบาะนั่งแบ่ง 2 ตอน แยกส่วนขับกับคนซ้อนออกจากกันอย่างอิสระ โดยเบาะผู้ขับขี่มีความสูง 795 มม. ด้วยตำแหน่งการขี่ที่ตั้งตรงอย่างเป็นธรรมชาติ และน้ำหนักรถ 190 กก. ทำให้บังคับเลี้ยวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการควบคุมที่แม่นยำ กับโช้กอัพหน้า Upside Down จาก Showa ขนาด 41 มม. ระยะยุบ 133 มม. ที่มาพร้อมโช้กอัพหลังแบบเดี่ยว ช่วงยุบ 150 มม. ช่วยลดแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือน ให้การทรงตัวดีเยี่ยม มั่นใจได้ไม่ว่าเส้นทางใด
CB750 Hornet มี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว และ สีดำ เปิดตัววางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 319,000 บาท
พบกับ CB750 Hornet ได้ในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ที่บูธ M4 ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 2 เมษายน 66 ที่อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ทั่วประเทศ ที่ BigWing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ : fb.com/HondaBigBikeTH

“กวาร์ตาราโร” กู้สถานการณ์คว้าท็อป 8 โมโตจีพี สนามแรก

“เอลดิอาโบล” ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร แชมป์โลกโมโตจีพี 1 สมัยจาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ โมโตจีพี ฝ่างานหินในเรซแรกของปี กอบกู้สถานการณ์กลับมาคว้าท็อป 8 ได้สำเร็จในศึก โมโตจีพี รายการ โปรตุกีส กรังด์ปรีซ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะ มัสซิโม เมเรกัลลี ผู้อำนวยการทีมชี้มุ่งหน้าสู่ อาร์เจนติน่า ด้วยแนวทางการทำงานใหม่เพื่อผลงานที่ดีขึ้น มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ โมโตจีพี ต้องเจอภารกิจการคัมแบ็กสู่แชมป์โลกที่ท้าทายอย่างมาก หลังเดินทางออกจากสนามแรกของปีที่ อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการคว้าแต้มมาครองได้จากนักบิดทั้งคู่
ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์ หมายเลข 20 ออกตัวจากกริดที่ 11 ก่อนจะรูดลงไปถึงอันดับ 15 ทว่าแชมป์โลกหนึ่งสมัยสามารถไล่แซงคู่แข่งขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 นับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยม ส่วนทีมเมทอย่าง ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี นักบิดอิตาเลียนหมายเลข 21 จบการแข่งขันในอันดับ 14 มัสซิโม เมเรกัลลี ผู้อำนวยการทีมกล่าวว่า “เรามีเรซแรกที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ฟาบิโอ ต้องเจอการเริ่มต้นเรซที่ยากลำบากอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไข การรูดลงไปไกลในช่วงเริ่มเกมเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อเรซในวันนี้ เพราะความเร็วของเขาค่อนข้างดีในรอบสปรินต์ การไล่จากอันดับ 15 ขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 แสดงถึงศักยภาพของเรา”
“ส่วน มอร์บิเดลลี ยังไม่สามารถค้นพบการยกระดับที่เรามองหา เราจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากแพ็คเกจรถแข่งของเราให้ได้มากขึ้น ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่ อาร์เจนติน่า และจะคลี่คลายปัญหาต่างๆ เพื่อค้นหาประสิทธิภาพที่ขาดหายไป” ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร กล่าวว่า “แน่นอนครับ มันเป็นเรชที่ยากสำหรับเรา โดยเฉพาะกับผลควอลิฟายที่ออกมาไม่ดีนัก และเมื่อวาน (สปรินต์) ผมมีปัญหากับระบบควบคุมการออกตัว แต่ในวันอาทิตย์ (เรซเดย์) ผมเลือกไลน์ไม่ถูกต้องในช่วงออกสตาร์ททำให้ร่วงลงมาไกลมาก”
“แต่ความเร็วของเราก็ไม่ได้เลวร้ายนัก หากคุณดูรอบสุดท้ายของผมในเรซนี้ มันใกล้เคียงกับฟาสเทสต์แล็ปที่้ทำได้ในปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าความเร็วที่เราทำได้ตลอดทั้งสุดสัปดาห์นี้มันยอดเยี่ยมมาก หวังว่าเราจะกลับมาแข็งแกร่งมากขึ้นในสนามหน้าที่ อาร์เจนติน่า” ด้าน ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี เปิดเผยว่า “มันเป็นการแข่งขันที่ยากมาก ในการทดสอบผมช้ากว่ากลุ่มหน้า 0.6 วินาที แต่ในเรซผมเร็วขึ้นมารอบละ 0.1 วินาที เราต้องเน้นไปในแนวทางที่เป็นบวก เรายกระดับขึ้นเล็กน้อยที่ ปอร์ติเมา และผมก็คงเส้นคงวามากขึ้น สามารถนำรถแข่งเข้าเส้นชัยได้ เก็บมา 2 คะแนน หวังว่าผลงานจะดีขึ้นที่ อาร์เจนติน่า”
ศึก โมโตจีพี 2023 สนามถัดไปจะโยกไปดวลความเร็วกันที่ เทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ เซอร์กิต ในประเทศอาร์เจนติน่า ภายใต้รายการ กรังด์ปรีซ์ ออฟ อาร์เจนติน่า ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-2 เมษายน ติดตามข่าวสารของนักบิดยามาฮ่าได้ที่ https://web.facebook.com/YamahaThailandRacingTeam

โฟลท – รัฐพงษ์ หวดคันเร่ง R6 ขับเคี่ยวคู่แข่งสุดมันส์ จบเรซ 2 รุ่น SS600 อันดับที่ 7 ศึกชิงแชมป์เอเชียสนามโฮมเรซ

“โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 นักบิดดีกรีแชมป์เอเชียรุ่น Super Sports 600 ซีซี สังกัด “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” ควบ YAMAHA YZF-R6 เปิดเกมรุกสุดมันส์ไล่ขับเคี่ยวกับคู่แข่งแบบหมดปลอกตลอดเกมทั้ง 12 รอบสนาม ก่อนทะยานเข้าเส้นชัยคว้าอันดับที่ 7 ในสนามโฮมเรซได้จากการแข่งขันรุ่น Super Sports 600 ซีซี เรซที่ 2 ของศึกชิงแชมป์เอเชียรายการ FIM Asia Road Racing Championship 2023 สนาม 1 ซึ่งจัดการแข่งขันขึ้น ณ สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

สำหรับการแข่งขัน FIM Asia Road Racing Championship 2023 สนาม 2 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2566 ที่สนามเซปัง ประเทศมาเลเซีย โดยแฟนมอเตอร์สปอร์ตสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทีม “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” เพิ่มเติมได้ที่ FB: Yamaha Thailand Racing Team

“ก้อง-สมเกียรติ” ประเดิมสวย คว้าท็อป 9 โมโตทู สนามแรก

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ประเดิมฤดูกาลใหม่ศึกจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก 2023 รุ่น โมโตทู ได้อย่างร้อนแรง ทะยานจากกริดที่ 13 ขึ้นมาคว้าอันดับท็อป 9 ในสนามแรกได้อย่างสุดมันส์ เก็บ 7 แต้มแรกมาครองได้สำเร็จ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกสโดยสนามต่อไปของ ศึก โมโตจีพี 2023 จะโยกไปดวลความเร็วกันที่ เทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ ประเทศอาร์เจนติน่า ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-2 เมษายนนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา “ก้อง” สมเกียรติ ได้ฝากผลงานด้วยการคว้าโพเดียมในอันดับที่ 2 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

ร่วมลุ้นและให้กำลังใจ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา และทัพนักบิดฮอนด้า พร้อมติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/HondaRacingTeamTH