“ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery”

“ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery” พิสูจน์ความประหยัด ความคุ้มค่า จริง!!! จาก Food Delivery Lineman บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ครอบครัวที่ประหยัดและคุ้มค่าแห่งยุคอีกครั้ง หลังจากที่ “ยามาฮ่า ฟินน์” ทำสถิติประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 96.16 กม./ลิตร จากการแข่งขันประหยัดน้ำมันจากสื่อมวลชนในกิจกรรม “ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด” เมื่อปีที่แล้ว ทำให้ได้รับกระแสการตอบรับจากผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้ยามาฮ่าได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้ใช้รถจักรยานยนต์รถครอบครัวในการประกอบอาชีพ ที่ต้องการความคล่องตัวและความประหยัด เพื่อเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่าย จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดสำหรับกลุ่มผู้ประกอบอาชีพ Food Delivery ขึ้นในชื่อกิจกรรม “ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery”

สำหรับกิจกรรม “ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery” นี้ ทางยามาฮ่าจะทำการคัดเลือกผู้ที่ประกอบอาชีพ Food Delivery Lineman ที่มีประสบการณ์ในการรับส่งอาหารมาเป็นเวลานานและมีความสามารถในการทำยอดต่อวันสูงเข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันจำนวน 5 คน โดยกิจกรรมครั้งนี้จะเน้นการแข่งขันในรูปแบบเรียลลิตี้ ซึ่งจะให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้ใช้รถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า ฟินน์” เป็นพาหนะในการแข่งขันเพื่อรับออเดอร์จากแอปพลิเคชั่น Lineman พร้อม รับ-ส่ง อาหารตามจริงภายใน 1 วัน โดยผู้ที่สามารถทำยอดรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการเติมน้ำมันได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน

โดยกิจกรรมการแข่งขัน “ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery” ผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ประกอบอาชีพ Food Delivery จะได้สัมผัสถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ ความประหยัด ความคล่องตัว ความสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีอยู่ในรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า ฟินน์” ที่ถือได้ว่าเป็นรถครอบครัวที่ประหยัดสูงสุดและให้ความคุ้มค่าที่สุดของยุคนี้ได้ในทุกมิติอย่างแท้จริง เพื่อเป็นข้อมูลแนวทางให้กับผู้ที่กำลังมองหารถจักรยานยนต์ที่สามารถตอบโจทย์ในการประกอบอาชีพ Food Delivery ได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

นอกจากกิจกรรมการแข่งขัน “ฟินน์ กล้า…ท้าประหยัด #2 Food Delivery” แล้ว ยามาฮ่ายังพร้อมให้การสนับสนุนผู้ที่ต้องการอยากได้รถจักรยานยนต์เพื่อนำไปประกอบอาชีพ Food Delivery โดยเฉพาะ ด้วยการจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับผู้ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า ฟินน์” เพื่อไปประกอบอาชีพ Food Delivery ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563 จำนวน 50 คัน เท่านั้น…เพียงส่งเอกสารการซื้อรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า ฟินน์” พร้อมทั้งใบประกอบอาชีพรับส่งอาหารมาทางเพจ Facebook Finn Family รับไปเลย บัตรเติมน้ำมัน มูลค่า 1,000 บาท สำหรับ “ยามาฮ่า ฟินน์” มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกัน 4 รุ่นคือ รุ่น UBS ราคา 47,000 บาท, รุ่นล้อแม็กซ์ สตาร์ทมือ ราคา 45,500 บาท, รุ่นล้อซี่ลวด สตาร์ทมือ ราคา 43,500 บาท และรุ่นล้อซี่ลวด สตาร์ทเท้า ราคา 40,900 บาท และรับสิทธิ์รับประกัน 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง เมื่อซื้อ “ยามาฮ่า ฟินน์” ทุกรุ่นระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 ธันวาคม 2563

โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263-9999 และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว และข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่

www.yamaha-motor.co.th
www.facebook.com/yamahasocietythailand

All new NMAX 155 การตกแต่งสไตล์ Sport Racing

ขวัญใจสายซิ่ง !!  NMAX Sport Racing by Jackshop & Pear R1อีกหนึ่ง Yamaha N-MAX 2020 คอนเซ็ปท์ “Sport Racing” โดยสำนัก “Jackshop” อีกหนึ่งร้านแต่งรถจักรยานยนตร์ ย่านลาดพร้าว 71 ที่ถือว่ามีผลงานออกมาให้ชมกันอย่างไม่ขาดสายตาเลยทีเดียว

รถคันนี้ทำอะไรไปบ้าง !!

– ชุดสีทําลายเส้น byโจ้ปากนํ้า
– ปั๊มบน ซ้าย-ขวา Adelin เบอร์ 19
– สายถักท่อนบน ซ้าย-ขวา Swit
– งานเคฟลาร์คาร์บอนรอบคัน Cabontech
– ชิวใส Dragon 9
– จานดิสเบรคหน้า Sevenspeed
– ขาจับปั๊มเบรค หน้า-หลัง RSV
– ปั๊มล่าง หน้า-หลัง Swit
– สายเบรคล่าง Swit
– ยาง Pirelli Angel Scooter
– เบาะแต่ง หน่อยวัดด่าน
-โช๊ค Yss G-Sport Black
– พื้นวางเท้า GTR
– พักเท้าคนซ้อน GTR

มันมาแน่! Honda FORZA 750 DCT ขยับอัพสู่บิ๊กสกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยม

ไวรัส หรือจะสู้ วัยแรง Honda สวนกระแสปล่อยคลิปสั้นๆ ความยาว 15 วินาที เรียกน้ำย่อยสาวกรถ เอ.ที. ให้ได้ลุ้นกันอีกว่า The All New FORZA มันคือรุ่นอะไร ก็เพิ่งเปิดตัวกับ FORZA 350 ไปไม่นาน มันจะเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ? แต่คงจะเดากันไม่ยาก กับขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตขึ้น

The Forza family is getting bigger น่าจะประโยคที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่าง ซึ่งหมายความว่าโมเดลใหม่ในตระกูล Forza จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และอีกอย่างกับโลโก้แบรนด์ ปีกนก ใช้ที่เป็นสีเงิน ซึ่งเป็นโลโก้ประจำของฮอนด้าบิ๊กไบค์นั่นเอง

ซึ่งถ้าว่าไปแล้ว Honda เองก็มีโมเดล Honda Integra บิ๊กสกู๊ตเตอร์ กับเครื่องยนต์ 750 อยู่แล้ว ทำให้โมเดลใหม่ FOZA750 คือพัฒนาที่ต่อยอดขึ้นมาในรูปทรงที่กำลังได้รับความนิยม และไม่แน่ว่าเครื่องยนต์จะมีการอัพถึง 800 ซีซี เพื่อให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย และขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์แบบ DCT ก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาไปต่างๆ นาๆ เท่านั้น อดใจรอสักนิด ดีเดย์ วันที่ 14 ตุลาคมนี้ ตามที่ในคลิประบุไว้คงได้เห็นข่าวการเปิดตัว และรูปร่างตัวจริงๆ ของ The All New FORZA ว่าจะออกมาสวยขนาดไหน

วรูม ไทยแลนด์ ยกทัพรถ BAJAJ Pulsar & Dominar รุ่นใหม่ล่าสุดครบทุกรุ่นให้สื่อมวลชนทดสอบ อีกบทพิสูจน์ความแรง แกร่ง เท่ ของรถ BAJAJ

หลังจากที่ทางบริษัทฯ ได้ทำการเปิดตัวรถจักรยานยนต์บาจาจครบทุกรุ่นในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากสื่อมวลชน และลูกค้า โดยเฉพาะเรื่องการทดสอบขับขี่ที่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าได้พิจารณาตัดสินใจเลือกแบรนด์บาจาจ ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทางบริษัทฯ จึงได้เชิญสื่อมวลชนสายยานยนต์ร่วมทดสอบสมรรถนะ และสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถจักรยานยนต์บาจาจครบทุกรุ่นในทุกสภาพถนน

ซึ่งในการทดสอบครั้งนี้สื่อมวลชนจะได้สัมผัสถึงเทคโนโลยีของรถจักรยานยนต์บาจาจ รวมถึงสมรรถนะที่ทรงพลังของเครื่องยนต์ที่ให้อำนาจในการควบคุมให้กับผู้ขับขี่ ทำให้ทุกเส้นทางการเดินทางไม่ว่าจะเป็นทางโค้ง คดเคี้ยว หรือในสถานการณ์ที่ต้องการอัตราเร่ง เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย สนุกสนาน และมีความปลอดภัย

วรูม ไทยแลนด์นั้นได้วางรูปแบบในการทดสอบขับขี่ครั้งนี้ตามคอนเซ็ปต์ของรถจักรยานยนต์บาจาจคือ แรง แกร่ง เท่ โดยเตรียมรถจักรยานยนต์บาจาจให้สื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ได้ร่วมทดสอบสมรรถนะทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกันคือ Pulsar NS 160, Pulsar NS 200, Pulsar RS 200 และ Dominar 400 โดยเลือกเส้นทางที่แตกต่างถึง 3 เส้นทางใน 3 วัน แต่ละวันจะเดินทางทดสอบขับขี่ในสถานที่ที่ต่างกันไป วันแรกเริ่มจากกรุงเทพ – กาญจนบุรี – กรุงเทพ วันที่สองเริ่มจาก กรุงเทพ – ระยอง – กรุงเทพ วันที่สามเริ่มจาก กรุงเทพ – เขาใหญ่ – กรุงเทพ ระยะทางรวมทั้งหมดมากกว่า 1,300 กิโลเมตร โดยกำหนดเส้นทางให้มีความหลากหลายในแต่ละวัน เผชิญทุกสภาพถนนเพื่อทดสอบรายละเอียดต่างๆ

จุดนัดพบรวมพลกันที่สำนักงานใหญ่ที่ แฟล็กชิพ ลาดพร้าวซอย 122 ซึ่งช่วงแรกนี้ทุกคนจะได้มีโอกาสทำความรู้จักและได้รับทราบรายละเอียดของตัวรถ ทั้งในส่วนการออกแบบรถในส่วนต่างๆ ที่ผสมผสานความหรูหรา โฉบเฉี่ยว สปอร์ต และความเรียบง่ายไว้ด้วยกัน จากนั้นจะใช้เส้นทางผ่านถนนช่วงนี้มีพื้นที่โล่งๆ ให้ทดสอบการตอบสนองของเครื่องยนต์ ทั้งในเรื่องของการทำความเร็ว อัตราเร่ง การเร่งแซง ระบบเกียร์ รวมถึงความคล่องตัวเมื่อมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนไปมา การขับขี่ในรูปแบบนี้ต้องอาศัยความพร้อมหลายอย่างของตัวรถ ทั้งอัตราการเร่งที่ดี ช่วงล่างที่ยึดเกาะถนน รถทุกรุ่นจะผ่านเส้นทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถนนที่มีสภาพการจราจรที่แออัด ถนนทางตรง ถนนโค้ง หรือสภาพถนนขรุขระ ความคล่องตัว และสมรรถนะของเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์บาจาจทุกรุ่นสามารถผ่านมาได้สบายๆ ในทางกลับกันให้ความรู้สึกสนุกสนาน ขี่ง่าย และที่สำคัญคือสามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

นายวรท กมลโชติรส รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วรูม จำกัด กล่าว “ตลอดการเดินทางไป-กลับของทริปนี้ ผมมั่นใจว่าสื่อมวลชนจะได้สัมผัสถึงความโดดเด่นของเทคโนโลยีขุมพลังของเครื่องยนต์บาจาจที่ทรงประสิทธิภาพตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้การเดินทางตลอดทั้งวันมีแต่ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน และประจักษ์ได้ว่ารถจักรยานยนต์บาจาจที่อัดแน่นไปด้วยความแรง อารมณ์สปอร์ต รวมถึงคุณสมบัติ
เด่นอื่นๆ ในทุกๆ รุ่นจะสร้างประสบการณ์การขับขี่ใหม่ๆ ให้กับสื่อมวลชน”

ความคิดเห็นผู้ทดสอบ
Pulsar NS160 น้องเล็กสุด สไตล์เน็กเก็ดไบค์ รูปทรงมีขนาดกะทัดรัด ทำให้การคอนโทรลง่าย คล่องแคล่ว นั่งสบาย แต่แฮนด์เป็นแบบที่ยึดกับหัวโช้คไม่ใช่แบบเทเปอร์ ดูขัดๆ ตาไปหน่อย กำลังของเครื่องยนต์ให้ความนุ่มนวลไม่กระชาก สูบเดี่ยวก็เฟี้ยวได้ แต่มีอัตราเร่งที่ต่อเนื่องของรอบเครื่องยนต์ เกียร์ 5 สปีด ในอัตราทดที่สมส่วน สิ่งที่โดดเด่นก็คือการเซ็ทช่วงล่างที่ไม่กระด้าง และเกาะเข้าโค้งได้นิ่งเกินที่คาดเอาไว้ รอบปลายลากกันยาวๆ มีอาการตัดรอบ อั้นๆ เหมือนอยากจะไปต่อ อันนี้เอาไปปลดรอบก็มิดเกจ์แน่นอน

Pulsar NS200 Fi ABS
ด้วยรูปทรงแล้วไม่ได้แตกต่างกับตัว 160 ซีซี มีความคล่องตัว นั่งสบาย เพียงแต่เพิ่มในเรื่องของความจุกระบอกสูบเป็น 200
ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ และการจุดระเบิดด้วยหัวเทียน 3 หัว อารมณ์มันก็เปลี่ยนไป อัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน การบิดออกตัว หรือการเร่งแซง มาเร็วขึ้น มีความปลอดภัยด้วยระบบดิสก์หน้าพร้อม ABS อันนี้ได้ใช้งานรู้สึกว่ามั่นใจในถนนที่มีกรวด และแน่นอนว่าการทรงตัวที่โดดเด่น สำหรับช่วงล่างต้องบอกว่าแหล่มจริงๆ
Pulsar RS200 Fi ABS
เปลี่ยนอารมณ์จากเน็กเก็ดมาเป็นรถสปอร์ต ด้วยรูปทรงที่ออกแบบฟูลแฟริ่ง ให้ความสปอร์ต ด้านหน้าสวยสไตล์ยุโรป ไฟคู่โปรเจคเตอร์ งานประกอบไม่ก๊องแก๊ง คม เฉี่ยว ตามสมัยนิยม เรือนไมล์ดิจิตอลผสมกับอานะล็อค ที่วัดเกจ์รอบสไตล์เรซซิ่ง
เรพลิก้า ท่านั่งไม่ก้มมากนิ่งได้สบาย ตัวรถกระชับถังเว้าให้หนีบได้แน่นๆ แฮนด์สูงไปนิดขัดๆ ตา น่าจะจับหัวโช้คและต่ำลงหน่อยรับรองวิ่งอร่อยเหาะพร้อมหมอบ เครื่องยนต์ 200 ซีซี ระบบหัวฉีด มีอัตราเร่งที่กำลังพอดี มาเรียบๆ นุ่มๆ ไม่หวือหวา แต่มีกำลังอัดที่พอตัว ใช้เกียร์สูงในรอบต่ำได้สบายๆ เกียร์ 6 สปีด ดีดทุกเกียร์เหมือนกับลองได้เล่นลากกันยาวๆ ท็อปสปีด 146 กม./ชม. ดิสก์เบรกหน้าหลังโดยใช้คาลิเปอร์ BEBRE แบรนด์รองจาก Brembo ติดตั้งมาพร้อมสายเบรกถัก
DOMINAS D400
สายพันธุ์เน็กเก็ดสปอร์ตทัวร์ริ่ง แต่ไม่ได้บึกบึนใหญ่โตจนเกินไป หน้าตาฟัดกับค่ายแดนมังกรได้เลย มีลูกเล่นไฟบูลไลท์ ที่สวิตช์ทั้งสองข้าง เครื่องยนต์ขนาด 400 ซีซี สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยน้ำ จุดระเบิดด้วยหัวเทียน 3 หัว รับรองเผาไหม้หมดจด ได้กำลังอัดที่รุนแรง และรวดเร็ว เปิดคันเร่งดีดคลัทช์ที่ 7,000 รอบ มันกระโจนล้อลอยง่ายๆ ขนาดกำลังดี คล่องตัว นั่งสบายๆ จุดศูนย์ถ่วงอยู่ประมาณกึ่งกลาง ทำให้มีความเสถียร ไม่หนักหน้าพลิกเลี้ยวแล้วไม่รู้สึกท้ายแกว่ง การใช้เบรกลึก เบรกหนัก ด้วยจานที่ใหญ่ถึง 320 มม. มั่นใจ โช้คอัพหน้าหัวกลับ 35 มม. ก็เพียงแล้วสำหรับรถขนาดกลาง โช้คอัพหลัง คอยล์สปริง และซับแทงค์แก๊ส เอาอยู่ทุกสภาพถนนเลย เวลาเลี้ยวเข้าโค้งรู้สึกว่าเกาะถนนได้ดี การสั่นสะท้านถึงแฮนด์ก็มีบ้างเป็นธรรมดาแต่ไม่แรงจนมือสั่น ขี่ระยะทางสั้นๆ มีไอร้อนที่ขาเหมือนกันนะ มาให้ได้ลองขนาดนี้ก็ต้องกดท็อปสปีดดูสักหน่อย เชนลงเกียร์ 3 แล้วบิดคันเร่งสับเกียร์ช่วงไฟชิฟไลท์โชว์ ต่อเนื่อง 4-5-6 หมอบให้มิด หันมาไมล์ 178 กม./ชม. อันนี้ไม่ได้โม้ ไม่ได้อวย ค่าเฉลี่ยจากนักทดสอบทั้งหมดอยู่ที่ 173 กม./ชม. พอแล้ว กับเครื่องยนต์สูบเดี่ยว

 

Motorrad Discoveride F 900 R และ F 900 XR

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย จัดกิจกรรมทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และ F 900 XR ใหม่ ประเดิมความเร้าใจจากสมรรถนะทรงพลัง พร้อมพาชมสายการผลิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟในโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู ณ จังหวัดระยอง บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย นำคณะสื่อมวลชนมุ่งหน้าสู่จังหวัดระยอง เพื่อเปิดประสบการณ์ความสนุกสนานและสมรรถนะทรงพลังในสไตล์ไดนามิก โรดสเตอร์และแอดเวนเจอร์ สปอร์ต จากมอเตอร์ไซค์ขนาดมิดไซส์สองรุ่นใหม่ล่าสุด บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR บนระยะทางรวมกว่า 280 กิโลเมตร พร้อมเข้าชมสายการผลิตมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ณ โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง หนึ่งในโรงงานประกอบมอเตอร์ไซค์ที่สำคัญของบีเอ็มดับเบิลยูในภูมิภาคเอเชีย

กิจกรรมทดสอบรถครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “BMW Motorrad Discoveride” เพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานและปลอดภัย โดยสื่อมวลชนได้ทดสอบฟีเจอร์และสมรรถนะต่าง ๆ ของบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR อย่างเต็มที่ตลอดสองวัน เริ่มต้นด้วยการขับขี่บนเส้นทางจากสนามเอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ จังหวัดชลบุรี เพื่อเตรียมความพร้อมเรื่องอุปกรณ์การขับขี่และรับฟังคำแนะนำเกี่ยวกับรมอเตอร์ไซค์สองรุ่นใหม่จากทีมมาร์แชล ก่อนมุ่งหน้าสู่โรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง และเดินทางเข้าสู่ที่พักในวันแรกของกิจกรรม

การเดินทางในวันแรกเมื่อออกจากสนามเอ็นดูโร่ พาร์ค ไทยแลนด์ เริ่มต้นด้วยเส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำบางพระที่มีทางโค้งสนุก ๆ ให้ทำความคุ้นเคยกับรถด้วยความเร็วที่ไม่สูงมากนัก ต่อด้วยเส้นทางรอบอ่างเก็บน้ำ
หนองค้อที่เป็นถนนตัดผ่านพื้นที่เกษตรกรรมและมีทรายปกคลุมถนนในบางช่วง ซึ่งสื่อมวลชนได้ทดสอบระบบป้องกันการลื่นไถลของรถที่ตอบสนองได้ทุกสภาพพื้นผิวและเปลี่ยนค่าการทำงานในจังหวะที่รถเอียงอยู่ในโค้ง รวมถึงระบบช่วงล่าง Dynamic ESA ช่วยให้ขับขี่ผ่านทุกอุปสรรคบนถนนโดยไม่ต้องกลัวว่ารถจะเสียการควบคุม อีกทั้งยังได้ทดลองแรงบิดของรถที่พรั่งพรูลงพื้นถนนได้อย่างฉับไวตั้งแต่รอบต้น ๆ ของเครื่องยนต์บนถนนก่อนถึงโรงงานของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เพื่อเยี่ยมชมขั้นตอนการประกอบบีเอ็มดับเบิลยู F 900 R และ F 900 XR ที่มีมาตรฐานระดับโลก

ก่อนการเริ่มต้นขับขี่ในช่วงบ่าย เป็นการเรียนรู้วิธีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับระบบติดต่อสื่อสารของมอเตอร์ไซค์ เพื่อเก็บข้อมูลการขับขี่ผ่านแอปพลิเคชั่น BMW MOTORRAD CONNECTED และเปลี่ยนหน้าจอแสดงผล TFT บนตัวรถให้แสดงผลในโหมดสปอร์ต ซึ่งจะแสดงการวัดรอบเครื่องยนต์เหมือนการแสดงผลแบบเข็มวัด พร้อมฟังก์ชั่นแสดงผลองศาการเอียงของรถ การทำงานของระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ระดับการใช้เบรกในระหว่างการขับขี่ รวมถึงเก็บทุกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวรถและผู้ขับขี่ในช่วงบ่าย เพื่อใช้ประเมินผลการขับขี่ของทุกคนในช่วงค่ำ โดยเส้นทางช่วงบ่ายจะเป็นทางโค้งต่อเนื่องริมอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และทางตรงยาวก่อนถึงที่พัก หลังจากการขับขี่ในวันแรก ทีมครูฝึกยังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลการขับขี่ของผู้ขับขี่ทุกคน จากข้อมูลที่เชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและตัวรถ รวมไปถึงข้อมูลจากหน้าจอบนตัวรถในระหว่างขับขี่ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของกิจกรรมในครั้งนี้ และยังนับเป็นครั้งแรกที่ผู้ขับขี่ได้มีโอกาสสัมผัสระบบที่ทันสมัยที่สุดบนมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ซึ่งบันทึกข้อมูลการใช้งานรถและผลการขับขี่ได้อย่างละเอียดและครบถ้วน

ในวันที่สองของกิจกรรม จะเป็นการผสมผสานทุกรูปแบบของเส้นทางที่พบได้ในประเทศไทย ทั้งเส้นทางในย่านชุมชนที่มีทางแยกร่วมค่อนข้างถี่ เส้นทางหลวงยาว ๆ ที่สามารถทำความเร็วได้ รวมไปถึงทางโค้งที่มีระยะทางระหว่างโค้งแบบสั้นและแบบกว้างที่สามารถใช้ความเร็วได้ต่อเนื่อง กิจกรรมทดสอบการขับขี่ใน

 

ครั้งนี้จึงเป็นการมอบประสบการณ์ที่ครบรสทั้งในด้านข้อมูล การใช้งานจริงบนเส้นทาง และการเข้าชมโรงงานบีเอ็มดับเบิลยู พร้อมคำแนะนำอย่างละเอียดจากทีมมาร์แชลเพื่อพัฒนาทักษะการขับขี่ให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น

 

BMW เชิญสื่อมวลชนเช้าชมสายการประกอบมอเตอร์ไซค์ที่ จังหวัดระยอง

BMW GROUP MANUFACTURING THAILAND (บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย)สุดเอ็กซ์คูลซีฟ BMW เชิญสื่อมวลชนเช้าชมสายการประกอบมอเตอร์ไซค์ที่ จังหวัดระยอง บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดระยอง กับมาตรฐานการประกอบรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ BMW ที่จำหน่ายในประเทศไทย และต่างประเทศ

 

บีเอ็มดับเบิ้ลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เปิดตัวโรงงานในปี 2000 จนมาถึงปัจจุบันนี้ก็ 20 ปี พอดี เริ่มการประกอบมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด รุ่นแรก เมื่อปี 2014 เป็นเครื่องสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ที่มีต่อตลาดในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะตลาดประเทศไทย ว่าเป็นตลาดที่สามารถเติบโตได้อย่างมาก มีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และพนักงานผู้เชี่ยวชาญในด้านยนตรกรรม ทำให้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการประกอบยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยูในภูมิภาคอาเซียน ส่งออกทั้งในประเทศจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถประกอบรถยนต์รุ่นต่างๆ ทั้งหมด 16 รุ่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Turismo, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู X1, บีเอ็มดับเบิลยู X3, และ บีเอ็มดับเบิลยู X5} สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ดูแลในส่วนของการประกอบมอเตอร์ไซค์ ได้แก่  บีเอ็มดับเบิลยู F750 GS ,บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS ,บีเอ็มดับเบิลยู F 850 GS Adventure,บีเอ็มดับเบิลยู F 900 R.บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR,บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS,บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure,บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 R,บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทยยังขยายสายการประกอบรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด 5 รุ่นในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 330e  บีเอ็มดับเบิลยู 530e บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive30e บีเอ็มดับเบิลยู X5 xDrive45e และบีเอ็มดับเบิลยู 745Le xDrive ในด้านของศักยภาพการผลิตมอเตอร์ไซค์ โรงงานแห่งนี้สามารถประกอบรถได้มากถึง 45 คัน โดยมีกำลังการผลิตต่อปีอยู่ที่ 15,000 คัน/ปี ชิ้นส่วนทุกอย่างถูกนำเข้าสู่ไลน์ผลิตที่ใช้ความเชี่ยวชาญของช่างในละสถานี ที่มีทั้ง 14 สถานี เริ่มตั้งแต่การประกอบเครื่องเข้ากับเฟรม ระบบสายไฟ ป้อนข้อมูลซอฟแวร์ระบบอีเล็กทรอนิกส์ โช้คอัพ สวิงอาร์ม วงล้อ เบรก ฯลฯ สุดท้ายคือเข้าในห้องเทสต์ เครื่องยนต์ ระบบไฟ เบรก เกียร์ ช่วงล่าง เพื่อความสมบูรณ์ที่สุดก่อนออกมาเช็คความเรียบร้อยของการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะแพคกิ้งนำส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งในไลน์การประกอบจะใช้เวลาสถานีละ 13 นาที

สำหรับ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการขยายกระบวนการประกอบภายในโรงงานและเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีส่วนต่อการสร้างงานและส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศไทยจากการจัดซื้อชิ้นส่วนยานยนต์จากประเทศไทยในแต่ละปีเป็นจำนวนมากเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตในประเทศและเพื่อส่งออก คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาทต่อปี ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูได้จัดตั้งสำนักงานจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ขึ้นในประเทศไทยด้วย เพื่อจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์จากซัพพลายเออร์ในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพื่อรองรับเครือข่ายการผลิตของบีเอ็มดับเบิลยู 31 แห่ง ใน 15 ประเทศทั่วโลก

 

 

2021 Kawasaki KX450

เรือธงของรถโมโตครอสจาก Kawasaki นำมาด้วยพี่ใหญ่ของไลน์อัพอย่าง KX450 ที่มาพร้อมการอัพเดทในหลายๆจุดเพื่อพยายามให้เป็นหนึ่งในรถโมโตครอสที่ดีที่สุดในพิกัด เหมาะสำหรับการนำลงสู่สนามแข่งขันของนักแข่งวิบาก ด้วยเครื่องยนต์สี่จังหวะ ขนาด 449 ซีซี ที่มีการพัฒนาการตอบสนองในด้านกำลังเครื่องยนต์ มาพร้อมกับเฟรมที่เพรียวบาง slim aluminium perimeter frame ระบบกันสะเทือน Showa A-Kit technology suspension ชุดคลัทช์ปรับใหม่ redesigned hydraulic clutch และ ระบบสตาร์ทไฟฟ้า electric start

เพื่อเป้าหมายในการขึ้นสู่โพเดี้ยมสำหรับนักแข่งจึงได้อัพเดทเครื่องยนต์เพื่อการพัฒนาในส่วนของ performance ที่ต่อยอดมาจากโมเดลก่อนหน้านี่ ที่มีให่ชัดเจนก็คือ new coned disk-spring hydraulic clutch กับ new 1-1/8 Renthal Fatbar handlebar เมื่อรวมกับการอัพเดทหรือการพัฒนาเพิ่มเติมในแต่ละจุดของ 2021 KX450 แล้ว จึงส่งเข้าสู่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายที่มาพร้อมกับประโยคที่ว่า The bike that builds champions หรือ รถที่ใช้ในการสร้างแชมป์

พัฒนามาเพื่อชัยชนะคือเป้าหมายที่ไม่ต่างกับค่ายอื่นๆ ในการพัฒนารถโมโตครอสโมเดลล่าสุดนี้ Power กับ Performance คือโฟกัสของทุกค่ายในการกำหนดแนวทางพัฒนารถ เช่นเดียวกับ KX450 ที่เครื่องยนต์เพิ่มกำลังขับเคลื่อนหรือเพอร์ฟอร์ม้านซ์มากขึ้น ส่งกำลังได้ต่อเนื่อง มีแรงบิดที่พร้อมใช้งานอย่างเต็มกำลัง และที่สำคัญคือการส่งต่อการตอบสนองในแต่ละช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์สามารถตอบสนองได้ต่อเนืองรวดเร็ว จากเรื่องของพลังขับเคลื่อนก็มาที่ระบบกันสะเทือนได้รับการปรับเซ็ทระบบกันสะเทือนให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ทำงานได้อย่างมั่นคง นุ่มนวล นิ่งมากยิ่งขึ้นด้วย Showa 49 มม. coil spring front forks ที่มาพร้อมกับ A-Kit technology มีองค์ประกอบอย่าง large diameter inner tubes กล่าวคือแกนโช้คด้านในที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่แบบเดียวกับรถแข่งทีมแฟคทอรี่ หรือก็คือชุดคิทระดับเดียวที่ใช้ในระบบกันสะเทือนของทีมโรงงานนั่นเอง

ส่วนทางด้านระบบกันสะเทือนหลังนั้น มาด้วย new Uni-Trak linkage system หรือชุดกระเดื่องที่พัฒนาใหม่ ให้สามารถเชื่อมต่อกับ showa shock และ aluminium frame รวมทั้ง swingarm ได้อย่างลงตัว ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของ Showa rear shock หรือ โช้คหลัง Showa มาพร้อมกับชุดแต่ง A-Kit technology เช่นเดียวกัน โดยจะเป็นชิ้นส่วนอย่าง compression adjusters ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่ใหญ่ขึ้นแบบเดียวกับที่ใช้ในแฟคทอรี่ทีม ที่สามารถเคลื่อนที่ได้ถี่รวดเร็วเหมาะสมกับการใช้งานในสนามโมโตครอสยิ่งขึ้น

เบรกใช้จานดิสก์ขนาดใหญ่ oversized 270 มม. ที่เป็น petal-shaped front brake rotor จากค่าย braking ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับรองรับสมรรถนะของ KX450 เช่นเดียวกับเบรกหลัง ที่มาพร้อมกับจาน 250 มม. petal-shaped braking rotor ขณะที่องค์ประกอบอื่นๆอย่างแฮนด์เดิ้ลบาร์นั้นก็ทราบกันไปแล้วว่า ติดตั้ง Renthal Fatbar มาจากโรงงานโดยแฮนเดิ้ลบาร์ใหม่นี้จะมีตำแหน่งมือจับที่อยู่ต่ำและใกล้กับตัวผู้ขี่ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมได้ง่ายและมีส่วนช่วยลดน้ำหนักหรือแรงจากล้อหน้าได้ดียิ่งขึ้น แนวทางการออกแบบอย่างหนึ่งของ Kawasaki ที่มีมากับรถโมโตครอสนั่นก็คือ วลีที่ว่า ERGO-FIT ที่คำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นพิเศษในการที่จะจัดปรับตำแหน่งมิติท่าทางการขี่ได้โดยง่าย ด้วย adjustable handle mounting system ที่มีส่วนช่วยให้สามารถปรับตำแหน่งยึดแฮนด์เดิ้ลบาร์ได้สี่ตำแหน่งรวมทั้งพักเท้าที่ปรับได้หลากหลาย

สเปคของ KX450 โมเดลล่าสุดมีข้อมูลดังนี้

Engine 449cc, liquid-cooled,
4-stroke, DOHC 4-valve single
Bore x Stroke 96.0 x 62.1 mm
Compression Ratio 12.5:1
Fuel System Fuel injection: ø44 mm x 1
Ignition Digital DC-CDI
Starting Electric
Lubrication Forced lubrication, semi-dry sump
Transmission 5-speed, return
Clutch Wet multi-disc, manual
Final Drive Chain
PERFORMANCE
Frame Perimeter, aluminum
Front Suspension / Wheel Travel ø49 mm inverted fork with adjustable compression and rebound damping / 305 mm (12.0 in)
Rear Suspension / Wheel Travel New Uni Trak with adjustable dual-range (high/low-speed) compression damping, adjustable rebound damping and adjustable preload / 307 mm (12.1 in)
Rake / Trail 27.6° / 122 mm
Steering Angle (L/R) 42° / 42°
Front Tire 80/100-21 51M
Rear Tire 120/80-19 63M
Front Brake Single semi-floating ø270 mm petal disc with dual-piston caliper
Rear Brake ø250 mm petal disc with single-piston caliper
DETAILS
Dimensions (L x W x H) 2,185 x 820 x 1,265 mm (86.0 x 32.3 x 49.8 in)
Wheelbase 1,485 mm (58.5 in)
Road Clearance 340 mm (13.4 in)
Seat Height 955 mm (37.6 in)
Curb Mass** 110.2 kg (243 lb)
Mass Without Fuel 105.6 kg (233 lb)
Fuel Capacity 6.2 litres

“เรอนูซ์” ระเบิดฟอร์ม ฟาเอนซ่า บิด YZ250FM ประเดิมแชมป์ MX2 “คีทส์” ขึ้นโพเดี้ยมอันดับ 2

การชิงชัยในสนามที่ 6 ศึกเอฟไอเอ็ม โมโตครอส เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2020 ยกพลดวลความเร็วบนสังเวียน มอนติ โคราลลี่ เมืองฟาเอนซ่า ประเทศอิตาลี ระยะทางต่อรอบ 1.690 กิโลเมตร ในรายการเอ็มเอ็กซ์จีพี ออฟ อิตาลี

โดยเกมรุ่น MX2 เป็นการขับเคี่ยวของนักบิดค่ายยามาฮ่า ที่ไล่บดกันอย่างสุดมันส์ในเรซแรก ท้ายที่สุดเป็นทางด้าน ยาโก้ คีทส์ #193 ดาวบิดเบลเจี้ยน สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า แฟคทอรี่ เอ็มเอ็กซ์ทู ที่บิดคว้าแชมป์ในเรซแรกไปครอง ตามด้วย แม็กซิม เรอนูซ์ #939 ดาวรุ่งเฟรนช์แมน จาก ยามาฮ่า เอสเอ็ม แอคชั่น-เอ็มซี มิกลิโอริ ที่บิดรับธงตาหมากรุกในอันดับ 2

ก่อนที่ แม็กซิม เรอนูซ์ #939 ดาวรุ่งเฟรนช์แมน จาก ยามาฮ่า เอสเอ็ม แอคชั่น-เอ็มซี มิกลิโอริ จะรีดฟอร์มเก่งในเรซ 2 ที่ ฟาเอนซ่า ควบรถแข่ง ยามาฮ่า YZ250FM เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกหลังผ่าน 17 รอบสนามของการชิงชัย ขณะที่ ยาโก้ คีทส์ #193 ดาวบิดเบลเจี้ยน สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า แฟคทอรี่ เอ็มเอ็กซ์ทู แชมป์ในเรซแรก ทำได้ดีที่สุดด้วยการซิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับ 3

จากผลการแข่งขันดังกล่าวส่งผลให้แชมป์ประจำสนามตกเป็นของ แม็กซิม เรอนูซ์ #939 จาก ยามาฮ่า เอสเอ็ม แอคชั่น-เอ็มซี มิกลิโอริ ที่เก็บไปได้ 47 คะแนน คว้าแชมป์แรกบนเวทีเอ็มเอ็กซ์ทูให้กับตนเอง ส่วน ยาโก้ คีทส์ #193 สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า แฟคทอรี่ เอ็มเอ็กซ์ทู คว้าอันดับ 2 ไปครอง หลังเก็บไปได้ 45 คะแนน ผ่านการชิงชัยในสนามที่ 6 ยามาฮ่า ยังคงเป็นผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทค่ายผู้ผลิต หลังเก็บไปแล้วทั้งสิ้น 280 คะแนน เหนือกว่า เคทีเอ็ม ที่รั้งอันดับ 2 ถึง 20 คะแนน ขณะที่ ยาโก้ คีทส์ ยังคงรั้งอยู่ในอันดับ 2 บนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทนักบิด หลังเก็บไปได้ 254 คะแนน ตามหลังผู้นำเพียง 3 คะแนน รวมถึง แม็กซิม เรอนูซ์ ที่เก็บไปได้ 196 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับ 3 ศึกเอฟไอเอ็ม โมโตครอส เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2020 สนามถัดไป มีคิวดวลความเร็วในวันที่ 9 กันยายน นี้ บนสังเวียน มอนติ โคราลลี่ เมืองฟาเอนซ่า ประเทศอิตาลี เช่นเดิม ในรายการเอ็มเอ็กซ์จีพี ออฟ ซิตต้า ดิ ฟาเอนซ่า

CT125 Trail Experience จัดเต็มความสนุก ณ อ่างเก็บน้ำมาบประชัน

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าสร้างความสนุกตื่นเต้นและประทับใจให้กับสาวกสายลุยอย่าง Honda CT125 กันถ้วนหน้า สำหรับกิจกรรม CT125 Trail Experience ครั้งที่ 2 ด้วยการเชิญเจ้าของ CT125 มาร่วมเปิดประสบการณ์ความสนุกนอกเส้นทาง พิชิตเส้นทางธรรมชาติสุดท้าทาย บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำมาบประชัน จังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยการเข้าแคมป์ Workshop แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ในกิจกรรมสาธิต Coffee Drip Camp สอนวิธีการดริปกาแฟในแคมป์ที่สามารถทดลองทำได้เอง รวมถึงกิจกรรมสอนวิธีการตกปลาอย่างถูกวิธี โดยกูรูจาก Bangkok Hooker ที่พร้อมเผยเคล็ดลับการใช้คันเบ็ดแบบเจาะลึกทุกรายละเอียด

ใครที่พลาดไปไม่ต้องเสียใจ! ครั้งหน้ายังมี เตรียมตัวให้พร้อม รอติดตามความสนุกของกิจกรรม CT125 Trail Experience ครั้งต่อไปได้ที่ CUB House หรือ Honda Wing Center สาขาที่ท่านซื้อรถ

2021 Yamaha YZ250F Monster Energy Yamaha Racing Edition

มาพร้อมกับข้อความเปิดหัวว่า Ride like a factory racer หรือ ขี่คล้ายรถแข่งทีมโรงงานด้วยการทำตัวเลือกออกมาสู่ตลาด กับการอัพเกรดรถสแตนดาร์ดอย่าง 2021 YZ250F ด้วยการปรับชิ้นส่วนบางอย่างในระดับพรีเมี่ยมกว่ารถเดิม แม้จะใช้คำว่า performance boosting หรือเพิ่มสมรรถนะแต่พื้นฐานแล้วก็แทบจะใกล้เคียงกับรถสแตนดาร์ด ยกเว้น “ชุดสี” ที่มาในแบบเดียวกับทีมแข่งโรงงาน

พื่นฐานเกือบทั้งหมดไม่แตกต่างกับเวอร์ชั่นสแตนดาร์ด ไม่ว่าจะเฟรมที่ปรับใหม่ Tuned Aluminium Frame ที่ได้รับการอัพจากโมเดลก่อนด้วยพื้นฐานของเฟรม Yamaha bilateral beam frame ที่ได้รับการปรับแต่งส่วน main spar ปรับจุดยึด engine mounts หรือปรับตำแหน่งการวาง mounting position ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นจุดประสงค์ในการจัดการเรื่องศูนย์รวมน้ำหนัก

เพื่อให้รถมีสมดุลมากที่สุดในทุกจังหวะของการขับขี่ เช่นเดียวกับระบบกันสะเทือนที่ Yamaha spring-type forks ได้พัฒนาการปรับเซ็ทให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง speed-sensitive damping ที่โดดเด่นที่สุดในระดับเดียวกัน ขณะที่เครื่องยนต์อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นนั้น

ก็ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านความทนทานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งองค์ประกอบของเครื่องยนต์อย่าง CRANK CASE , CAM CHAIN , TENSIONER WATERPUMP ,CLUTCH BASKET และเกียร์ 3-4-5 ล้วนถูกออกแบบเพื่อให้มีความอึดทนทานยืนระยะได้นาน นี่ก็คือบางส่วนของพื้นฐาน 2021 YZ25F Monster Energy Racing Team ที่มีสเปคพื้นฐานเดียวกับโมเดลมาตรฐาน เพียงแต่ได้เพิ่มความภาคภูมิใจในความสำเร็จจากทีมแฟคทอรี่ ทั้งจากรายการ MX2 World Championship และ AMA SX ซึ่งคาดว่า YZF เวอร์ชั่นพิเศษนี้ จะสามารถมีส่วนสร้างแรงบันดาลใจ ให้ความรู้สึกที่พิเศษกับผู้ขับขี่ได้ด้วยข้อความที่ว่า Ride like a factory racer นั่นเอง

ข้อมูลพื้นฐานเวอร์ชั่น USA Spec มีดังนี้

Engine Type : 250cc liquid-cooled DOHC 4-stroke; 4 valves
Bore x Stroke : 77.0mm × 53.6mm
Compression Ratio : 13.8:1
Fuel Delivery : Mikuni® fuel injection, 44mm
Transmission : Constant-mesh 5-speed; multiplate wet clutch
Final Drive : Chain
Suspension / Front : KYB® Speed-Sensitive System inverted fork;
fully adjustable, 12.2-in travel
Suspension / Rear : KYB® single shock; fully adjustable, 12.5-in travel
Brakes / Front : Hydraulic disc, 270mm
Brakes / Rear : Hydraulic disc, 245mm
Tires / Front : 80/100-21 Bridgestone® Battlecross® X20F
Tires / Rear : 100/90-19 Bridgestone® Battlecross® X20R
L x W x H : 85.6 in x 32.5 in x 50.6 in
Seat Height : 38.2 in
Wheelbase : 58.1 in
Rake (Caster Angle) 26°
Trail 4.7 in
Maximum Ground Clearance : 13.2 in
Fuel Capacity** : 1.6 gal
Wet Weight*** : 234 lb

“ยามาฮ่า” พลิกบทบาท จัดทัพ “ทีมเรซซิ่ง เซอร์วิส”

“ยามาฮ่า” พลิกบทบาท จัดทัพ “ทีมเรซซิ่ง เซอร์วิส”ยกระดับมาตรฐานทีมแข่ง สานต่อนโยบายมอเตอร์สปอร์ตในทุกระดับ “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” เดินหน้าสานต่อนโยบายเกมความเร็วในทุกระดับ จัดทัพทีมเรซซิ่ง เซอร์วิส ยกมาตรฐานทีมแข่งค่ายยามาฮ่า บนเวทีความเร็วชิงแชมป์ประเทศไทยรายการ OR BRIC Superbike Championship และ R2M Thailand Superbike Championship พร้อมปั้นนักบิดดาวรุ่งขึ้นประดับวงการความเร็ว ตามรอยนักบิดรุ่นพี่ที่ขึ้นไปโลดแล่นเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเวทีความเร็วระดับโลกอย่าง FIM CEV Moto2 European Championship
วงการความเร็วโดนวิกฤติโควิด-19 เล่นงานอย่างหนัก เช่นเดียวกับทุกภาคส่วนที่ต่างได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆตามมา เพื่อรองรับและบรรเทาผลกระทบในช่วงวิกฤติที่ผ่านมา ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้วงการมอเตอร์สปอร์ตสามารถขยับตัว และกลับมาทำการแข่งขันได้อีกครั้ง ภายใต้มาตรการเข้มด้านความปลอดภัย รวมถึงเกมความเร็ว 2 ล้อทางเรียบในประเทศไทยด้วยเช่นกันโดยในปีนี้ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ยังคงยืนยันเดินหน้าสานต่อความสำเร็จบนเวทีความเร็ว หลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์และคว้าแชมป์ในสังเวียนความเร็วระดับประเทศ รวมถึงการแข่งขันในระดับทวีปไปจนถึงการชิงชัยบนเวทีระดับโลก สร้างความแข็งแกร่งและประสบการณ์ให้กับนักแข่ง รวมถึงบุคลากรในทีมทุกภาคส่วน ที่สามารถเรียนรู้และขยับมาตรฐานขึ้นไปอยู่ในระดับแถวหน้าของทวีปเอเชีย
ทว่า ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ได้พลิกบทบาทมาไล่ล่าความสำเร็จในรูปแบบของ RACING SERVICE ให้การสนับสนุนเหล่านักแข่งและทีมแข่งที่ใช้รถ Yamaha R-Series ได้แก่ Yamaha YZF-R1, Yamaha YZF-R6, Yamaha YZF-R3 และ Yamaha YZF-R15 ในการแข่งขันทั้ง 2 รายการใหญ่ของเมืองไทยอย่าง OR BRIC Superbike Championship และ R2M Thailand Superbike Championship
ซึ่งเป็นการขยับตัวครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การยกระดับทีมแข่งและนักแข่งที่ร่วมการแข่งขันในประเทศไทย ด้วยประสบการณ์ของ ช่างเครื่อง, Race Engineer และโค้ช ที่เก็บเกี่ยวจากการแข่งขันในระดับอินเตอร์ของ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม จึงได้คัดสรรทีมงาน Yamaha Thailand Racing Service มาสนับสนุนเหล่านักแข่งและทีมแข่งที่ร่วมทำการชิงชัยในรายการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย ภายใต้ชื่อทีมเรซซิ่ง เซอร์วิส
ประกอบด้วย นายภากร โรจนรุ่งทวี ผู้จัดการส่วนกีฬายานยนต์, นายวิชัย ไชยประภา ผู้เชี่ยวชาญพิเศษแผนกกีฬาแข่งรถ, นายพัฒนสิษฐ์ ทัพวงศ์ Race Engineer Yamaha Thailand Racing Team, นายวรรณศักดิ์ ทรัพย์คงดี Race Engineer Yamaha Thailand Racing Team และ นายพัชรกร วัฒนพนม Race Engineer Yamaha Thailand Racing Teamรวมถึง นายธานี ทองมนต์ Mechanic Yamaha Thailand Racing Team, นายศุภกิจ แก้วน้อย Mechanic Yamaha Thailand Racing Team, นายภูวดล เลิศบุญมี Mechanic Yamaha Thailand Racing Team, นายจุฑาวุฒิ แย้มทรัพย์ Mechanic Yamaha Thailand Racing Team และนายเดชา ไกรศาสตร์ ในบทบาทของ Coach Yamaha Thailand Racing Team
แนวทางการพัฒนานักบิดดาวรุ่งเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ให้ความสำคัญและเดินหน้าสานต่อมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เป็นโอกาสของ 2 นักบิดดาวรุ่งอย่าง นายนิติพงษ์ แสงสว่าง อายุ 18 ปี และนายกฤตภัทร เขื่อนคำ อายุ 15 ปี ที่ลงเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเวทีความเร็วชิงแชมป์ประเทศไทย ในรุ่นซูเปอร์สปอร์ต 600 เพื่อปูทางไปสู่เกมความเร็วในระดับอินเตอร์ตามรอยนักบิดรุ่นพี่อย่าง เขมินท์ คูโบะ และ พีรพงศ์ บุญเลิศ ที่ไปโลดแล่นอยู่บนเวทีเอฟไอเอ็ม ซีอีวี โมโตทู ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาลนี้ ภายใต้สังกัดวีอาร์โฟร์ตี้ซิกซ์ มาสเตอร์ แคมป์ ทีม ทั้งยังสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่น บิดคว้าอันดับท็อปไฟว์ได้จากการชิงชัยในสนามล่าสุดที่ สเปน ตอกย้ำแนวทางที่ชัดเจนของ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ที่พร้อมให้การสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรด้านความเร็วในทุกระดับและทุกบทบาท

2021 Honda CRF450R

นี่คือรถแข่งแชมป์โลก ที่กล่าวได้ว่าเป็นการสานต่อความสมบูรณ์แบบนับจากที่ HRC ประสบความสำเร็จด้วยการที่ Tim Gajser ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดของสังเวียน MXGP และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันแชมป์ การพัฒนาจึงถูกต่อยอดมายังไลน์อัพรถแข่งโปรดักชั่นอย่าง CRF450R เพื่อให้เป็นรถโมโตครอสที่ยอดเยี่ยมที่สุดไว้ได้ต่อไป

Hardder-Faster-Stronger และ Win repeat หรือชนะอีกครั้ง นี่คือเป้าหมายชัดเจนที่ Honda และ HRC มุ่งเน้นกับ 2021 CRF450R ที่ออกมาล่าสุดครั้งนี้ เบากว่าเดิมรวมเกือบสองกิโลกกรัม นั่นมาจากการเปลี่ยนชิ้วต่างๆโดยเฉพาะองค์ประกอบต่างๆ ของแชสซีส์ อย่างเช่นการปรับเฟรมให้เพรียวบางลงจากเดิมโดยเฉพาะส่วนของเมนเฟรมที่สามารถลดน้ำหนักลงได้ 700 กรัม หรือการเปลี่ยนซัพเฟรมที่ลดน้ำหนักลงได้อีก 320 กรัม ขณะที่ประสิทธิภาพของโครงสร้างนั้นสามารถลดความแข็งกระด้างจากเดิมถึง 20% กล่าวคือ ตัวรถแข่งจะมีการให้ตัวหรือมีความยืดหยุ่นของโครงสร้างมากกว่าเดิม และนั่นจะส่งผลโดยตรงต่อการทำความเร็วได้ดียิ่งขึ้นในโค้ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวเนื่องมาจากการออกแบบสวิงอาร์มใหม่ที่เพิ่มคุณสมบัติบางอย่างจนสามารถทำงานร่วมกับเฟรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นซึ่งตัวสวิงอาร์มใหม่นี่ก็จะมีความแคบมากขึ้นกว่าเวอร์ชั่นเดิมเล็กน้อย

มีกำลังที่เพิ่มขึ้นจากรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นอีกห้าพันรอบ ขณะที่แรงบิดในรอบการทำงานเครื่องยนต์ต่ำนั้นออกแบบมาให้รู้สึกนุ่มนวลใช้งานง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ปรับ airbox ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและสะดวกสบายในการเซอร์วิสบริเวณกรองอากาศได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือช่วย มีการออกแบบเรือนลิ้นเร่งให้การไหลเวียนอากาศที่ดีขึ้นจากเดิม องค์ประกอบเล็กน้อยแทบทุกรายละเอียดถูกนำมาพัฒนากับ CRF450R ใหม่ เพื่อให้มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดสำหรับการครองความสุดยอดในสังเวียนการแข่งขัน ซึ่งจุดหลักๆ ที่ไล่เรียงออกมานั้นได้แก่

Single-Muffler Exhaust Hydraulic Clutch Actuation Central-Port Cylinder Head 8-Plate Clutch Narrow-Spar Frame 12.2 inches Front Suspension Travel MX33 Tires Curb Weight: 110.6KG
สำหรับพื้นฐานเครื่องยนต์ 449 ซีซี สูบเดียว Unicam cylinder head ถือว่าเป็นรูปแบบของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมแบบหนึ่งในกลุ่มรถแข่งสูบเดียวด้วยกัน โดย CRF450R โมเดลใหม่นี้ได้เปลี่ยนรูปแบบการวางของฝาสูบสูบ Cylinder head layout ให้มีประสิทธิภาพดีเพิ่มขึ้น โดยยังคงรูปแบบและสมรรถนะตามแบบฉบับของ a double-overhead-cam layout แตะกลับมีความกะทัดรัดตามแบบของ a single-overhead-cam design อีกทั้งยังมีการปรับรูปทรงห้องเผาไหม้จนมีส่วนทำให้ได้อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 13.5:1 ถือว่ามีส่วนในการสร้างพละกำลังให้กับเครื่องยนต์ได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ electronic fuel injection และ electronic start ตามมาตรฐานรถแข่งสมัยใหม่แล้ว ยังได้ติดตั้ง Honda Selectable Torque Control ที่มีให้เลือกสามระดับ เพื่อควบคุมหรือปรับลดแรงบิดเพื่อให้ได้การยึดเกาะที่ดีกับสภาพแทร็คดังนั้นผู้ขับขี่สามารถปรับเลือกใช้กำลังที่ส่งผ่านล้อหลังได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะมีปุ่มปรับติดตั้งอยู่ที่แฮนเดิ้ลบาร์ ตามที่กล่าวไปแล้วคือสามารถเลือกได้สามโหมดสำหรับเจ้า ระบบ HSTC นี้

อีกทั้งยังมีการเลือกใช้โหมดการขับขี่ได้อีกสามโหมด คือ standard-smooth-Aggressive ซึ่งเปิดให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้ แมปที่เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันได้อีกด้วย สำหรับระบบไฟฟ้าหรือพลังงานที่นำมาใช้กับระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆนั้น มาจากแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบา lithium-ion battery ที่ออกมามาเพื่อรองรับการทำงานของระบบสจตาร์ทไฟฟ้าของรถแข่งโดยเฉพาะ ก็น่าติดตามยิ่งกว่าในฐานะรถแข่งแชมป์โลกที่พัฒนาออกมาเพื่อสานต่อความสำเร็จในสังเวียนการแข่งขัน จะมีความสมบูรณ์แบบเพียงใด แน่นอนว่า บทพิสูจน์ที่ชัดเจนก็คือ ผลงานในสนามแข่งขันนั่นเอง

สำหรับข้อมูลพื้นฐานของตัวรถมีดังนี้

Bore × Stroke (mm) : 96.0mm x 62.1mm
Carburation : CDI Electronic Fuel injection
Compression Ratio : 13.5 : 1
Engine Displacement (cc) : 449.7cc
Engine Type : Liquid-cooled 4-stroke single cylinder uni-cam
Starter: Electric
Oil Capacity (Litres) : 1.25 Litres
Brakes Front : Single 260mm disk
Brakes Rear : Single 240mm disk
Suspension Front : Showa 49mm USD fork
Suspension Rear : Showa monoshock using Honda Pro-Link
Tyres Fron : t Dunlop MX33F
Tyre Size Front : 80/100-21-51M
Tyre Size Rear : 120/80-19-63M
Tyres Rear : Dunlop MX33
Wheels Front : Aluminium spoke
Wheels Rear : Aluminium spoke
Caster Angle 27.1°
Dimensions (L×W×H) (mm) : 2,183mm x 827mm x 1,267mm
Frame type : Aluminium twin tube
Fuel Tank Capacity (Litres) : 6.3 litres
Ground Clearance (mm) 336mm
Kerb Weight (kg) 110.6kg
Seat Height (mm) 965mm
Trail (mm) 114mm
Wheelbase (mm) 1,481mm
Transmission
Clutch : Wet type multi-plate
Final Drive : Chain
Transmission Type : Constant mesh