New MT-125 : Step into the Dark Side

น้องเล็กในตระกูล MT ที่มาพร้อมกับ นิยามก้าวสู่ด้านมืด Step into the Dark Side ราวกับบอกว่า นี่คือตัวเริ่มต้นสำหรับซีรี่ส์ MT ที่เริ่มต้นในไลน์อัพด้วย MT-09 ตั้งแต่ปี 2013 จากนั้นมา รหัสในรุ่น MT ก็เริ่มเป็นที่ตอบรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก ด้วยความดิบดุดันในคอนเซ็ปท์การนำเสนอที่ว่า The Dark Side of Japan

นับจากนั้นมา ไลน์อัพการผลิตในรหัสรุ่นรถว่า MT ก็ขยายตัวเลือกเพิ่มขึ้น ในฐานะรถแบบ Hyper Naked ที่มีตั้งแต่ขนาด 125-1,000 ซีซีและนี่คือ น้องเล็กสุดเวอร์ชั่นล่าสุด “ที่ไม่มีขายในประเทศไทย” ด้วยบ้านเรามีทำตลาดในพิกัด 150 ซีซี ไปแล้ว

สำหรับตลาดยุโรป นี่คือ New MT-125 ที่พัฒนาออกมาใหม่ ในนิยามว่า Next Level เพื่อให้เป็นที่สุดของรถในพิกัด 125 ซีซี โดยพื้นฐานเครื่องยนต์ก็มาจาก YZF-R125

เอาเป็นว่าเรานำภาพสวยมาฝากกันเพื่อให้เห็นว่า ที่สุดของรถขนาด 125 ซีซี ของยุโรปนั้นเป็นอย่างไร กับชิ้นงานการออกแบบ

Yamaha R3 bLUcRU Challenge เส้นทางฝันนักแข่ง R-Series รุ่นเยาว์

Yamaha Motor Europe เดินหน้ากิจกรรมสานฝันให้กับนักแข่งวัยรุ่นในยุโรป ด้วยการผลักดันนักแข่งอายุน้อยหน้าใหม่ที่ได้จากการริเริ่มโครงการด้วยรถแข่งในกลุ่ม R-Series อย่าง R3 จากระดับคลับเรซ จบสู่ระดับชิงแชมป์ยุโรปและ สู่เป้าหมายในระดับอาชีพอย่าง WorldSSPหรือหากพัฒนาได้อีก หนทางสู่รุ่นการแข่งขันระดับพรีเมียร์คลาส อย่าง WorldSBKก็มีโอกาสไม่ไกลเกินฝัน

โดยในปีที่แล้ว Andy Verdoiaที่ผ่านการคัดเลือกและชนะ Yamaha R3 bLUcRU Challenge จนได้รับโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันใน 2019 World Supersport300 และเข้าร่วมการอบรมทักษะเพิ่มเติมใน Yamaha VR46 Master Camp ซึ่งในปีที่แล้วเขาสามารถจบฤดูกาลด้วยอันดับที่สี่ ในฐานะนักแข่งรุกกี้ที่ดีที่สุด  และนี่เองทำให้เขาได้รับโอกาสครั้งสำคัญ เข้าเป็นสมาชิก Yamaha bLUcRUWorldSSP by MS Racing team ที่ซึ่งเขาจะได้ขยับจาก R3 มาขี่ R6 เป็นครั้งแรกในสังเวียนแข่งระดับโลก ซ฿ง นักแข่งฝรั่งเศสวัย 17 ปี ได้กล่าวถึงโอกาสที่ได้รับอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมาว่า

“ ผมเชื่อว่าในปีที่ผ่านมานั้นมาจากผลงานที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ รวมทั้งความตั้งใจของผมในการฝึกซ้อมทั้งในยิม ทั้งการปั่นจักรยาน และทำตามแผนการต่างๆตามโปรแกรมที่ได้รับอย่างเครี่งครัด ซึ่งตลอดทั้งฤดูกาลผมได้รับการแนะนำจากทีมโค้ช bLUcRU coaching team และที่สำคัญคือการได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งใน YamahaVR46 Master Camp รวมทั้งการได้ร่วมใน Yamaha bLUcRU Masterclass ที่ช่วยให้ผมเรียนรู้สิ่งต่างมากมาย จนสามารถที่จะช่วยยกระดับทักษะต่างๆได้อย่างดี ที่ช่วยให้ผมได้เข้าใจและเรียนรู้ถึงการเป็นนักแข่งในระดับโปรเฟสชั่นแนล ซึ่งพัฒนาการนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่การมุ่งเน้นเฉพาะในสนามแข่งขันเท่านั้น แต่จะต้องมีองค์ประกอบอีกมากมาย เช่นที่ผมได้รับจากทุกประสบการณ์จากโปรแกรมต่างๆของยามาฮ่า   ”

และในนัดเปิดฤดูกาลของ WorldSSPที่ผ่านมา เขาสามารถประเดิมเกมแรกในชีวิตนักแข่งอาชีพด้วยการคว้าแต้มแรกมาครองได้สำเร็จหลังจากที่จบด้วยอันดับสิบห้าที่ออสเตรเลีย

แม้ว่าเวลานี่เกมการแข่งขันในระดับต่างๆทั่วโลกจะเลื่อโปรแกรมออกไปจากเดิมเนื่องจากสถานการณ์ไวรา Covid-19 ระหว่างนี้นักแข่งก็คงต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายอยู่ในบ้าน เช่นกับแฟนๆทั่วโลก ก็คงต้องรอลุ้นผลงานนักแข่งดาวรุ่งจากโปรเจ็คR-Series นี้ว่า จะสามารถไปได้ถึงฝั่งฝันแค่ไหน จากโอกาสที่ Yamaha Motor Europe จัดให้นี้

ขุนพล R-Series ใน 2020 WorldSBK

หลังจากที่หวนกลับคืนสังเวียนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง Yamaha ก็เร่งพัฒนา รถแข่งเพื่อให้สามารถลดช่องว่างจากทีมแข่งแฟคทอรี่ต่างๆให้มากที่สุดอย่างต่อเนื่อง จนสามารถที่จะขยับขึ้นไปสู้เพ่อชัยชนะได้สำเร็จ และในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา ปรากฏว่า รถแข่ง R1 สามารถทำผลงานได้ดีขึ้นมากโดยปี 2028-2019 ที่ทีม Official WorldSBK Team สามารถขึ้นโพเดี้ยมได้รวม 31 ครั้ง และชนะได้สี่ครั้ง นับได้ว่าเป็นการพัฒนาที่น่าพอใจอย่างยิ่งนับตั้งแต่ที่ YZF-R1 ได้ถูกนำกลับเข้าสู่สังเวียน WorldSBKในปี 2016เป็นต้นมา

และจะยังคงยืนหยัดร่วมสังเวียนเพื่อพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในสังเวียนแข่งขันดังนั้นในฤดูกาลนี้ ทีมอย่าง Pata Yamaha จะเป็นทีมหลักในการแข่งขัน ที่มีนักแข่ง อย่าง Michael van der Mark กับทีมเมทคนใหม่ คือ ToprakRazgatliogluพร้อมกันนี้ยังได้ตัดสินใจให้ทีมจากรุ่น WorldSSPอย่าง GRT Yamaha ขยับขึ้นมาแข่งใน WorldSBKโดยมี  Federico Caricasuloกับ นักแข่งซูเปอร์ไบค์จากสหรัฐอเมริกา อย่าง Garrett Gerloffและ อีกทีมอย่าง Ten Kate Yamaha WorldSBK Supported Team จะมีนักแข่งอย่าง Loris Baz ร่วมชิงชัย

รวมแล้วในปีนี้ทีมแข่งอย่างเป็นทางการที่รับการสนับสนุนจาก Yamaha ก็จะมีสามทีมอย่างเป็นทางการที่Yamahaสนับสนุน ขุนพล R1 ใน WorldSBKแม้จะเปิดฤดูกาลแข่งขันไปแล้ว เราก็นำภาพถ่ายอย่างเป็นทางการของนักแข่งจาก official team ของ Yamaha มาฝากกัน ระหว่างที่ต้องเฝ้ารอ สถานการณ์ไวรัสระบาดคลี่คลาย 

ซ้อมรถในบ้าน! “โทนี โบ” แชมป์โลก X-Trial ควบรถฮอนด้า Work From Home

โทนี โบ ดาวบิดชาวสเปน สังกัดทีมแข่งเรปโซล ฮอนด้า แชมป์โลกรถจักรยานยนต์ เอ็กซ์-ไทรอัล คนล่าสุด ใช้เวลาช่วงกักตัวอยู่ในที่พักอาศัยเพื่อสกัดกั้นการระบาดของเชื้อโควิด19 โชว์สกิลขั้นเทพควบตัวแข่งฮอนด้าเสมือนเป็นอวัยวะที่ 33 ของตัวเอง โดยสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่งเป็นที่สุด

ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการแข่งขันรถจักรยานยนต์ เอ็กซ์-ไทรอัล หรือมอเตอร์ไซค์ผาดโผนในร่ม พึ่งเถลิงบัลลังก์แชมป์โลก ประจำปี 2020 และเป็นสมัยที่ 14 ของตัวเอง เมื่อไม่นานที่ผ่านมา หลังจากเก็บคะแนนสะสมทิ้งห่างคู่แข่งในอันดับที่ 2 แบบขาดลอย แม้จะเหลือการชิงชัยอีกหนึ่งสนามก็ตาม

โดยในเวลานี้ ยอดนักบิดจอมเก๋าวัย 33 ปี กำลังอยู่ในช่วงพักเบรกเก็บตัวไม่ออกไปไหนโดยไม่จำเป็น เพื่อให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐ หวังยุติการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างเร็วที่สุดในโอกาสนี้เจ้าตัวได้เผยคลิปฝากความคิดถึงแฟน ๆ มอเตอร์สปอร์ต ซึ่งในคลิปเป็นการโชว์ทักษะควบคุมรถแข่งฮอนด้า Montesa Cota 4RT แบบ Work From Home ใครเห็นเป็นต้องทึ่ง ทั้งฝึกซ้อมและทำกิจวัตรต่าง ๆ พร้อมกันไปด้วยไม่ว่าจะแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือขึ้นลงบันได

“ผมฝากขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านที่ทำงานอย่างหนักและต่อสู้เพื่อพวกเราทุกคน เรามีวิธีช่วยเหลือที่ง่ายที่สุด เพียงอยู่บ้านเพื่อที่จะผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกัน ผมขอฝากความห่วงใยไปถึงทุกๆ คน ใครก็ตามในครอบครัวหรือเพื่อนๆ ที่ได้รับผลกระทบ ทุกอย่างจะกลับมาปกติในไม่ช้า ผมเชื่ออย่างนั้น” แชมป์โลก เอ็กซ์-ไทรอัล 14 สมัย กล่าว

#HRC #Honda #XTrial #COVID19

Benelli Leoncino 800 Trail

ท่อไอเสียคู่ วงล้อหน้า 19 นิ้ว  กับรูปแบบรถในแนว modern classic ที่พร้อมตอบสนองการขับขี่แบบออฟโรด พร้อมลุยได้ในระดับหนึ่ง นั่นคือ รถจักรยานยนต์ที่ Benelli ผลิตออกมาให้มีกลิ่นอายของความเป็นออฟโรด off-road soul ผสมผสานกับความเป็นตัวตนในแบบ Leoncino style และนี่คือรถรุ่นใหม่จากโรงงาน Pesaro ที่ผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและความคลาสสิคได้อย่างลงตัวใน Leoncino800

ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 754c.c. twin cylinder 4stroke engine ระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบเดียวกับที่ใช่ใน Leoncino800 ที่ให้กำลังสูงสุด 81.6 แรงม้า ที่ 9000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิด 67นิวตันเมตรที่ 6500 รอบต่อนาที ซึ่งเพียงพอที่จะตอบสนองความสนุกในการขับขี่บนทางวิบาก และด้วยองค์ประกอบเครื่องยนต์แบบ double overhead camshaft สี่วาล์วต่อสูบ และด้วย double throttle body ที่มีขนาด 43 ม.ม.รวมทั้งชุดคลัทซ์แบบ wet anti-slip clutch และชุดกียร์แบบ 6 speed gearbox ที่ล้วนมีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์พร้อมตอบสนองสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม

เมื่อผสานกับโครงสร้างแชสซีส์ ที่ปรับบางอย่างเพื่อให้สามารถตอบสนองการขับขี่ในแบบออฟโรดได้ดียิ่งขึ้น โดยโครงสร้างเฟรมแบบ tubular trellis มาพร้อมกับ steel plates แม้จะเป็นแบบเดียวกับในเวอรืชั่นออนโรด แต่ก็ได้รับการอัพเกรดในส่วนของระบบกันสะเทือนด้วย Marzocchi up-side down front fork ที่มีขนาด 50 ม.ม. สามารถปรับ rebound , compression ,และ preload ซึ่งมีระยะยุบตัวเพิ่มจาก130ม.ม.ในเวอร์ชั่นออนโรด เพิ่มเป็น 140 ม.ม. เช่นเดียวกันในส่วนกันสะเทือนหลังก็ได้รับการอัพเกรด ชุดกันสะเทือนหลังเดี่ยวกับสวิงอาร์มหลัง โดยระบบกันสะเทือน สามารถปรับ spring preload และ rebound damping

ขณะที่ความสูงเบาะนั่งเพิ่มจาก 800 ม.ม.มาเป็น 818 ม.ม.ในเวอร์ชั่น trail นี้ ซึ่

E-RACER MOTORCYCLES

นี่คือรถสองรุ่นพิเศษที่ตกแต่งเสริมสมรรถนะมาจากรถไฟฟ้า จากพื้นฐานของรถโปรดักชั่นอย่าง ZERO MOTORCYCLES จากแคลิฟอร์เนีย ที่เป็นที่ยอมรับกันว่า เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าสมรรถนะสูง

สำหรับ E-Racer Motorcycle ได้พรีเซ้นท์ว่าจะผลิตขายในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2020 นี้ อย่างที่บอกว่า พื้นฐานมาจากแบรนด์ ZERO ที่ใช้โรงงานผลิตเดียวกัน โดยข่าวแจ้งว่าจะมีสองโมเดลหรือสองเวอร์ชั่นออกมา คือ E-Racer Edge กับรุ่น Zero SR-F ที่จะออกแนว Café Racer กับ E-Racer Rugged Mark2 เอาเป็นว่าเราจะขอข้ามเรื่องราวของรถไฟฟ้าในสไตล์ Hypersport อย่าง Zero SR-F ไปก็แล้วกัน แต่จะมาโฟกัสที่ E-Racer RUGGED Mark2 ซึ่งเดิมทีเลยรถต้นแบบหรือโปรโตไทพ์นั้นเคยเผยโฉมครั้งแรกตั้งแต่งาน EICMA 2018 นานมาแล้ว ซึ่งจากโฉมของ RUGGED นั้นก็คือพื้นฐานเดิมจาก Zero FXS ตัวต้นแบบนั่นเอง แต่ได้มีการนำไปปรับเสริมเติมแต่งทางด้านวิศวกรรมในส่วนต่างๆ เพื่อให้มีความพร้อมที่จะผลิตขายอย่างเป็นทางการภายใต้ช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในปีนี้

หนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Rugged ก็คือเฟรมอลูมินัม aluminum frame ที่เดิมนั้นเป็นแบบที่พัฒนามาเป็นรถ Zero FXS ที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานในกองทัพ จึงมีห่วงสำหรับยึดด้านข้างเพื่อยึดติดกับเรือหรือยานยนต์บรรทุก ตามจุดประสงค์เดิมในการออกแบบ ดังนั้นเมื่อถูกนำมาใช้กับ E-Racer จึงได้รับการปรับแบบใหม่ ไฟหน้า และไฟท้าย เป็นแบบ full LED ที่ผ่านการโฮโมโลเกทเพื่อนำมาปรับใช้บนท้องถนน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นนำจากผู้ผลิตจากเยอรมันในการผลิต LED ยกตัวอย่างเช่น ไฟหน้า เป็นแบบ two polyellipsoidal micro unit ที่มีความกว้างเพียงสี่เซนติเมตรเท่านั้น ในบริเวณพื้นที่ใต้เบาะนั้น มีพื้นที่มากพอสำหรับเก็บของส่วนตัวของผู้ขี่ ขณะเดียวกันก็ใช้กลไกระบบไฮดรอลิค ในการเปิดปิดเบาะที่ออกแบบมาอย่างสวยงามควบคู่กับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในพื้นที่ใต้เบาะนั้นก็จะมีสายชารจ์ความยาว 15 เมตร ที่ช่วยอำนวยความสะดวกขณะที่จอดระหว่างทางหรือจอดในบ้านก็สามารถดึงสายเสียบกับแหล่งจ่ายไฟได้อย่างสะดวก

เบาะนั่งยาวเรียวเทียบแล้วสามารถที่จะนั่งสามคนได้สบายๆ ซึ่งทีมพัฒนาได้ทำเบาะด้วยการเย็บมือ ที่จัดได้ว่าเป็นงานในระดับแฮนเมดชั้นดี ในส่วนของไฟส่องสว่าง ของ Rugged นั้น ติดตั้งหลด LED ที่เรียกว่า Eagle Eye ขนาดเล็กสิบสองหลอด ที่สามารถส่องสว่างรอบทิศทาง ช่วยให้ผู้ขี่มีทัศนวิสัยที่ดียามค่ำคืนหรือในขณะที่สภาวะอากาศไม่ดี ด้วยจุดประสงค์เดิมที่พื้นฐานการออกแบบนั้นเพื่อใช้งานในกองทัพ ดังนั้นจึงเป็นการเอื้อในหลายๆ ด้านเมื่อนำมาปรับสำหรับใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะการนำมาใช้ในแบบออฟโรด

ทั่วไปก็คือ เสียงเครื่องยนต์ก็จะขาดหายไป ด้วยเหตุนี้เพื่อให้ปลอดภัยจากความเงียบ จึงได้มีการพัฒนาระบบเสียง E-RAF หรือ E-Racer Audio-Forceback system ที่มีความถี่สองแบบแบบหนึ่งเพื่อแสดงให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นรู้ว่ามีรถกำลังมา และอีกอย่างหนึ่งเป็นคลื่นเสียงที่ช่วยให้ผู้ขี่รู้ถึงจังหวะการขี่ต่างๆ โดยในระบบเสียงนี้ จะติดตั้งอยู่ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อย่างดี โดยจะควบคุมการทำงานด้วยแอพลิเคชั่น BT App สำหรับราคาเบื้องต้นนั้น คาดว่าจะสตาร์ที่ 6 พันยูโร ส่วนข้อมูลสเปคพื้นฐานของรถมีดังนี้
Tech Specs
MAX POWER 46 hp (34 kW)
MAX TORQUE 106 Nm
MAX SPEED 137 km/h
CHARGING TIME With max accessory
chargers: 1.8 hours (100% charged) /
1.3 hours (95% charged)
RANGE City : 161 km
WEIGHT : 136 Kg
FRAME : Aircraft-grade
WHEELS : front 120/70-17 – Rear 140/70 x 17
BODY: Kevlar and carbon fiber, 3d printed nylon,
Eco leather and Alcantara® Seat with tailored seam

Yamaha Tracer 900GT

สำหรับ Tracer 900GT เป็นการปรับรูปแบบความเป็นสปอร์ตทัวริ่งของ Tracer 900 เดิม ที่มีความใกล้เคียงกับโมเดล FJ-09 แบบดั้งเดิม ให้มีความ “พรีเมี่ยม” มากยิ่งขึ้น ผู้ขี่ที่ต้องการอุปกรณ์มาตรฐานที่มีสเปคสูงขึ้น มีคุณภาพเหนือกว่าเดิม พร้อมอุปกรณ์คุณภาพสูงที่ติดตั้ง
มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างกล่องสัมภาระ ระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ หรือแม้แต่แฮนด์จับแบบ ฮีทกริป(สำหรับรถที่เมืองหนาว) โดยการออกแบบ Tracer 900 GT นั้นก็เพื่อตอบสนองให้สามารถไปได้ทุกที่ทุกเส้นทา

ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับรถในปัจจุบันได้ถูกนำมาติดตั้ง อาทิ full-colour TFT instrument screen เรือนไมล์จอสีความระเอียดสูง , quickshifter , assist and slipper clutch , D-modes , traction control , และ ABS ที่ต่างก็เป็น อุปกรณ์มาตรฐานติดรถที่มีมาใน Tracer 900 GT ที่พร้อมตอบสนองการขี่ได้อย่างสะดวกปลอดภัยให้มากที่สุด เท่าที่เทคโนโลยีสมัยใหม่จะอำนวยให้ ในราคาที่เอื้อมถึง

ขณะที่เครื่องยนต์ CP3 หรือ Crossplane Concept ขนาด 847 ซีซี ออกแบบมาให้ได้แรงบิดในรอบต่ำ ขณะเดียวกันก็มีกำลังเครื่องยนต์ที่มากเพียงพอสำหรับตอบสนองการขี่ของผู้ขี่ที่ต้องการความสนุกในแบบสปอร์ตได้อย่างเต็มสมรรถนะ ที่สำคัญใน Tracer 900GT มีระบบโหมดการขับขี่ หรือ D-modes system ที่สามารถปรับเลือกการส่งกำลังของเครื่องยนต์ออกมาใช้งานได้อย่างเหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ที่แตกต่างกันไป ด้วยการออกแบบ และพัฒนาออกมาให้มีความหลากหลายในการขับขี่ จากเครื่องยนต์แบบสามสูบที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะ ผสานกับท่วงท่าการขับขี่ที่ผ่อนคลายให้มิติการขับขี่สะดวกสบาย ทุกองค์ประกอบที่มีของ Tracer 900GT สามารถที่จะผ่าเส้นทางที่คดเคี่ยว สภาพพื้นที่สมบุกสมบัน ไม่ว่าการเดินทางไกลหรือขับขี่ในเมือง และด้วยอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้อย่างกระเป๋าสัมภาระแบบแข็งนั้นก็พร้อมสำหรับการเดินทางได้ในทันท่วงที พร้อมองค์ประกอบอย่าง cruise control หรือ agjustable windscreen ที่บังลมสามารถปรับระดับได้ เช่นเดียวกันระบบกันสะเทือนแบบ fully adjustable suspension ที่ปรับเซ็ทได้อย่างเต็มรูปแบบที่มีมาใน Tracer 900GT นี้

ด้วยเครื่องยนต์ที่เพรียวบาง กะทัดรัด แบบสามสูบแถวเรียง inline-three engine 847 ซีซี DOHC 4วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำได้รับการจูนให้ตอบสนองการขับขี่ที่ดีในช่วงรอบต่ำถึงรอบกลาง ที่จะได้แรงบิดที่ดีในช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์ดังกล่าวนี้
ในการจ่ายเชื้อเพลิงนั้นใช้ระบบหัวฉีดด้วยชุดเรือนลิ้นเร่ง Mikuni throttle body ขนาด 41 มม. โดยที่ระบบหัวฉีดจะมีเซ็นเซอร์ TPS – throttle position sensor และ APS-acceleration position sensor ที่ช่วยคำนวณการจ่ายค่าเชื้อเพลิงของหัวฉีด ในการควบคุมการทำงานนี้จะมี Yamaha Chip Control Throttle หรือ YCC-T ที่เป็นระบบอิเล็คทรอนิคส์คอยควบคุมการเปิดปิดวาล์ว electronically controls throttle valves

และส่วนหนึ่งของระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เข้ามามีบทบาทเพื่อสร้างความสะดวกสบายในการขับขี่ก็คือ Yamaha D-Mode ที่มีสามโหมดให้เลือก เพื่อผู้ขี่จะสามารถเลือกใช้กำลังเครื่องยนต์ได้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ คือ A mode จะให้ความเป็นสปอร์ตสนุกสนานกับการขับขี่ด้วยกำลังที่จะส่งออกมาในช่วงรอบต่ำ และกลาง B mode จะส่งกำลังออกมาอย่างนุ่มนวล เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะลื่นสไลด์ ซึ่งจะเหมาะกับการขี่ในสภาพพื้นที่เปียก standard mode จะส่งกำลังออกมาตามปกติของธรรมชาติเครื่องยนต์ที่มี

นอกจากนี้ยังมีระบบอิเล็คทรอนิคส์อย่าง Traction control system ที่มาพร้อมสองโหมดควบคุม คือ mode 1 เป็นการทำงานในระดับ mid-level intervention คือเข้าควบคุมระดับปานกลาง นั่นก็คือ ระบบจะยังยอมให้ล้อหลังหมุนในบางจังหวะ กับ mode 2 จะเป็นการทำงานของระบบในระดับ maximum intervention ที่จะควบคุมไม่ให้ล้อหลังมีอาการหมุน ในที่นี้หมายถึงการหมุนฟรีในจังหวะการเร่งหรือจังหวะการส่งกำลังสู่ล้อหลัง และในส่วนของ cruise control นั้น ระบบจะเปิดทำงานในช่วงเกียร์ 4 ถึงเกียร์ 6 และทำงานในระหว่างช่วงความเร็ว 50-160 กม./ชม. ซึ่งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่กล่าวมานี้ล้วนจะถูกควบคุมจาก ECU -Electronic control unit ที่ใช้หน่วยประมวลผล 32 bit processor ส่งผลให้สามารถจัดการควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิง การจัดการเครื่องยนต์ และกระบวนการจุดระเบิดได้อย่างเหมาะสมถูกต้องแม่นยำ

ส่วรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อมูลตัวรถเบื้องต้นมีสเปคดังนี้
Engine : Liquid-cooled, DOHC, 12-valves (4 valves/cyl.), inline three-cylinder
Displacement : 847 cc
Bore and Stroke : 78 x 59.1 mm
Compression Ratio : 11.5:1
Maximum Torque : 8.9 kg-m (64.3 ft-lbs.)
@ 8,500 rpm
Engine Management : YCC-T, D-Mode (3 settings), traction control /cruise control
Fuel Delivery : Mikuni 41 mm throttle body F.I.
Estimated Fuel Consumption± : 18.6 kpl / 52.5 mpg (Imp.)
Lubrication : Wet sump
Ignition / Starting : TCI / Electric
Transmission : 6-speed
Final Drive : “O”-ring chain
Suspension (Front) : Fully adjustable 41 mm KYB inverted fork / 137 mm (5.4 in.) wheel travel
Suspension (Rear) : Adjustable link KYB / 142 mm (5.6 in.) wheel travel
Brakes (Front) : Dual 298 mm discs / radial mount 4-piston calipers / ABS equipped
Brakes (Rear) : 245 mm disc / single piston caliper / ABS equipped
Tires (Front) : 120/70ZR17
Tires (Rear) : 180/55ZR17
Length : 2,160 mm (85)
Width : 850 mm (33.4)
Height : 1,375 to 1,430 mm (54.1 to 56.3 in.)
Wheelbase : 1,500 mm (59.1 in.)
Rake / Trail : 24° / 100 mm
Ground Clearance : 135 mm (5.3 in.)
Seat Height : 850 or 865 mm (33.4 or 35 in.)
Fuel Capacity : 18 litres (4 imp. gallons)
Wet Weight : 227 kg (500 lb.) including cases and brackets

Review New Suzuki Burgman 400 “The Elegant Athlete”

New Suzuki Burgman 400 ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด The Elegant Athlete ที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และสง่างาม พร้อมรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว กะทัดรัด ปราดเปรียว คล่องแคล่ว มีสมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์ที่ดีเยี่ยม และการควบคุมบังคับรถที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน และเป็นรถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยมที่ใช้เดินทางสะดวกไปได้ในทุกที่ “ซูซูกิ” จึงได้รวบรวมเอาทุกฟังก์ชั่นในการใช้งานมาออกแบบ New Suzuki Burgman 400 จึงเป็นรถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยม ที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างแท้จริง

New Suzuki Burgman 400 “The Elegant Athlete”

New Suzuki Burgman 400 ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด The Elegant Athlete ที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และสง่างาม พร้อมรูปทรงที่โฉบเฉี่ยว กะทัดรัด ปราดเปรียว คล่องแคล่ว มีสมรรถนะกำลังของเครื่องยนต์ที่ดีเยี่ยม และการควบคุมบังคับรถที่ยอดเยี่ยมพร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน และเป็นรถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยมที่ใช้เดินทางสะดวกไปได้ในทุกที่ “ซูซูกิ” จึงได้รวบรวมเอาทุกฟังก์ชั่นในการใช้งานมาออกแบบ New Suzuki Burgman 400 จึงเป็นรถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยม ที่ตอบสนองการใช้งานได้อย่างแท้จริง

New Suzuki Burgman 400 ถูกพัฒนาทางด้านการออกแบบภายใต้แนวคิด Burgman Coupe ที่มีความสง่างาม ผ่านขั้นตอนการผลิตชั้นเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น (Made in Japan) มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 400 ซีซี DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมให้แรงบิดที่ดีตั้งแต่รอบความเร็วต่ำถึงกลางเป็นเยี่ยม ติดตั้งระบบ Suzuki’s Automatic Idle Speed Control (ISC) ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่อุณหภูมิต่ำ และผ่านมาตรฐานค่าไอเสียระดับ Euro 4 พร้อมช่วยลดมลพิษไอเสียอีกด้วย

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Telescopic และระบบกันสะเทือนหลังแบบ Link-Type Monoshock ซึ่งสามารถปรับค่า Spring Preload ได้ถึง 7 ระดับ สามารถรองรับการสั่นสะเทือนได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งบนถนนทางเรียบ และทางขรุขระได้อย่างนุ่มนวล เพื่อให้มีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมในการทรงตัว มั่นใจไปอีกขั้นด้วยดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่แบบ Twin Disc Brake ขนาด 260 มม. พร้อมเบรกหลังแบบดิสก์เบรกขนาด 210 มม. มาพร้อมกับระบบ ABS (Anti-lock Brake System) แบบใหม่ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้ง Rear Brake Lock System เพื่อป้องกันรถลื่นไถลในพื้นที่ลาดชันขณะจอดรถเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่ ชิลด์หน้านั้นดีไซน์ตามหลักอากาศพลศาสตร์ สามารถป้องกันลม แมลง และสิ่งแปลกปลอม ทำให้ทัศนวิสัยในขณะขับขี่ดียิ่งขึ้น ช่วยลดแรงลมหมุนวนเพิ่มความคล่องตัวในขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี มาพร้อมชุดแผงหน้าปัดขนาดใหญ่แบบอนาล็อกพร้อมจอ LCD แสดงผลชัดเจน อ่านง่าย แบบมัลติฟังก์ชั่น ชุดโคมไฟหน้า LED แบบโคมคู่ ที่ให้ความสว่าง และทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีทั้งกลางวัน และกลางคืน พร้อมไฟหรี่แบบ LED ส่วนชุดไฟท้ายได้ถูกออกแบบใหม่ให้ดูเพรียวบาง และดูเฉียบคมในทุกมุมมอง

กล่องเก็บของอเนกประสงค์ใต้เบาะได้รับการออกแบบให้มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีความจุถึง 42 ลิตร และสามารถใส่หมวกนิรภัยได้ถึง 2 ใบ ทั้งแบบเต็มใบ และแบบครึ่งใบ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งช่องจ่ายไฟสำรองขนาด 12 โวลต์ สามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือ และอุป
กรณ์อิเลคทรอนิกส์ได้อย่างง่ายดาย ที่คอนโซนหน้า

Honda ADV150 RIDING CUSTOM BIKE

ฮิต! ติดกระแส อินเทรนด์ จะได้ไม่เอ้าท์สำหรับความสวยเท่ของ ADV150 STREET ADVENTURE รถจักรยานยนต์ เอ.ที. ใหม่ล่าสุด ที่พร้อมลุยทุกสภาพเส้นทางการขับขี่ที่เร้าใจ “ชีวิตมีสองด้าน ใช้มันส์ซะ”สร้างกระแสความฮือฮา และยอดจองถล่มทลายในการเปิดตัว และต่อยอดมาจนถึงงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป เมื่อปลายปีที่แล้ว กับความโดดเด่นของตัวรถในสไตล์ สตรีท แอดเวนเจอร์ ที่ท้าทายทุกสภาพการขับขี่ ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน ซึ่งเน้นการใช้งานด้วยเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-Fi สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยน้ำ สมรรถนะขับขี่อัตราเร่งที่ถูกปรับใหม่ให้มีแรงบิดที่เร้าใจ ทั้งแต่รอบต้น กลาง ปลาย ทำให้สนุกกับการขับขี่มากขึ้น ระบบเบรกที่จัดมาให้ครบครัน ดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลัง

รูปลักษณ์สไตล์แอดเวนเจอร์ แต่มันยังไม่สุด งานนี้ไรดิ้งขอจัดใหม่ให้ครบเครื่องด้วยการคัสตอมเพิ่มเติม เพื่ออีกหนึ่งแนวทางของการแต่ง สำหรับชาวสองล้อที่ชื่นชอบการแต่งรถ ถึงแม้ว่าของแต่งจะไม่ใช่ระดับเทพซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก เพียงต้องการให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และสามารถหาอุปกรณ์ของแต่งง่ายๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไป แต่ก็ยังเป็นจุดที่น่าสนใจแบบสเปเชียลให้ได้ชมกัน

ด้วยดีไซน์ของตัวรถ และสีสันมีความโดดเด่นสะดุดตาอยู่แล้ว จึงไม่ต้องไปปรับเปลี่ยน และยังคงความเป็นเอกลักษณ์สีสันลวดลายประจำค่ายปีกนก เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง X-ADV750 และสีนี้ก็ได้รับความนิยมมียอดจำหน่ายสูงสุดด้วย อุปกรณ์สริมที่เสริมเข้ามาเพื่อการควบคุมรถกับแฮดน์เดิ้ลบาร์ ทรงต่ำ และกว้าง มีขนาดที่อวบอ้วนใหญ่เพื่อความแข็งแรง งานอลูมินัมไดซ์สีแดง ซึ่งก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านอะไหล่แต่งทั่วไป หรือจะเป็นแฮนด์ของรถวิบากก็สามารถใช้ด้วยกันได้ ตุ้มปลายแฮนด์บาร์ล้านซ์อลูมินัม และก้านรกที่ปรับระดับระยะกดตามความถนัดของแต่ละคน แทงค์ปั๊มเบรกเสริมตัวปิดด้านบนอีกนิดหน่อยเท่ใช่ย่อย พื้นเหยียบ ฟุตบอร์ดอลูมินัม CNC และแผ่นยางหนากันลื่น อันนี้ของตรงรุ่นใส่ได้พอดิบพอดี มีกันล้มให้ด้วย ในส่วนอื่นๆ ก็มีการเติมแต่งด้วยของแต่งจาก GTR Evolution และ H2C

ระบบรองรับแรงกระแทกจัดหนัก จัดเต็ม ทั้งหน้าหลัง ต้องขอบคุณ Gazi แบรนด์ดังระดับประเทศ ที่ซับพอร์ทโช้คอัพหน้า Hyper Hip-up แบบหัวกลับ Upside Down กระบอกดำแกนสีทอง และโช้คอัพหลังคู่รุ่น Hyper Hacker ที่ปรับได้เต็มระบบ รีบาวด์ คอมเพรสชั่น และพรีโหลด ช่วยให้การขับขี่ที่นิ่มนวล มั่นคง และมีความสวยงามเพิ่มขึ้นด้วย แกนล้อหน้าประกบด้วยตัวกันล้มยูรีเทรนที่มีความแข็งทนทานมาถึงไฮไลท์ที่ถือว่าเป็นสเปเชียลสำหรับ ADV150 คันนี้ กับวงล้อซี่ลวด อ้าว! แล้วมันจะสเปเชียลได้ยังไง? ก็นี่เลย การใส่วงล้อซี่ลวดหน้ากว้าง ถ้าไปซื้อวงล้อตามขนาดที่ต้องการ และดุมที่แปลงมันก็ง่ายไป แต่มันไม่ได้อิมเมทสำหรับไรดิ้งคัสตอม เพื่อให้เหมือนกับรุ่นพี่ X-ADV750 ที่ร้อยซี่ลวดจากขอบวงล้อเพื่อที่จะได้สวมรัดด้วยยางทูปเลส ก็ใช้ไอเดียการปรับแต่ง กลึง กัด ตัด ไส วงล้อแม็กเดิมๆ มาตัดก้าน และวัดองศาจากดุมหลบมุมให้พอดี เป็นงานคัสตอมมาสเตอร์พีซที่อยากนำเสนอ และเพื่อความมั่นใจ ก็ลงขับขี่ทดสอบให้ได้เห็นถึงความแข็งแรงและสามารถใช้งานได้จริง ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาพอสมควร เสร็จแล้วก็ออกมาลงตัวกับสไตล์ แอดเวนเจอร์

สไตล์การแต่งอาจเป็นเพียงแนวทางไอเดียให้กับคนที่ชอบการแต่งเพื่อเอาไปปรับใช้ตามความชอบของแต่ละคน แต่งกันแล้วสวยเท่ขนาดไหนอย่าลืมเอามาโชว์กันบ้างใน facebook : ridingmagazine

Benelli Leoncino Scrambler 250

ดุ ดิบ โหด กับสไตล์การแต่งของรถโมเดลสายพันธุ์อิตาลี Benelli Leoncino ที่ถูกปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ เพิ่มมุมมองและความโดดเด่น เน้นความคมเข้ม สีดำด้าน การไอเดียดีไซน์ที่ฉีกไปจากรถสไตล์ SCRAMBLER ทั่วไป

จากตัวรถเดิมๆ ก่อนจะเป็นภาพนี้ ที่มีรูปทรงสไตล์ของรถคลาสสิคผสมผสานกับความโมเดิร์นของยุคใหม่ มีความคล่องตัว กระชับ ขับขี่ควบคุมรู้สึกถึงความปราดเปรียว เครื่องยนต์ขนาด 250 ซีซี สูบเดี่ยว ที่ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม มีอัตราเร่ง และแรงบิดสนุกเร้าใจในช่วงต้น และกลาง คงสมรรถนะความแรงด้วยระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ จะขี่ทางไกล หรือใกล้ ก็ไม่หวัน การเสริมท่อไอเสียเพื่อรีดแรงม้าออกมาได้ดียิ่งขึ้น ตัวท่อพันด้วยผ้ากันความร้อน ปลายถูกวางตำแหน่งไว้ใต้เครื่องยนต์

การตกแต่งครั้งนี้เป็นไอเดียที่ค่ายผู้จำหน่ายยากจะนำเสนอให้ได้เห็นถึงความโดดเด่นของ Leoncino ที่สามารถปรับแต่งได้หลากหลายรูปแบบ การตัดเติมเสริมแต่งเฟรมใหม่ด้วยโครงเหล็กดัดรอบคันซึ่งเป็นตัวกันล้มด้วย และไฟเลี้ยวกับติดสปอร์ตไลท์ไว้ด้วย ซับเฟรมท้ายสร้างขึ้นมาใหม่ ท้ายสั้นดัดโค้งเพื่อวางเบาะตอนเดียวแบบกระดานเรียบ จุดยึดโช้คอัพหลังกับสวิงอาร์มเหล็ก ช่วงหน้าให้ความเข้ม ดุดัน วินชิลด์ครอบปิดทึบซ่อนไฟหน้าโปรเจ็คเตอร์ไว้ข้างใน โช้คอัพแบบหัวกหลับ Upside Down วงล้อแม็ก 12 ก้าน ดิสก์เบรกหน้าจานขอบหยักแบบให้ตัวได้สไตล์สปอร์ต คาลิเปอร์เรเดียลเม้าท์แบรนด์เดียวกับค่าย Benelli แบบ 4 พอร์ท แฮนด์บาร์ทรงต่ำกว้าง และมีกระจกขนาดเล็กที่ปลายแทงก์ดิสก์เบรกหน้าขนาดเล็ก สวิตช์สัญญาณไฟถูกตัดต่อพันธุกรรมใหม่ด้วยชุดปุ่มไฟทั้งสองข้าง จอแสดงผลแบบฟูลดิจตอล LCD

สวยเข้ม เต็มขั้นกับ Benelli Leoncino 250 SCRAMBLER คันนี้เป็นการนำเสนอให้เห็นว่า การแต่งรถมันไม่มีขีดจำกัด อยู่ที่ความพึงพอใจ สไตล์ใครก็สไตล์มัน

Review Honda ADV150 CUSTOM BIKE

ฮิต! ติดกระแส อินเทรนด์ สำหรับความสวยเท่ของ ADV150 STREET ADVENTURE กับการคัสตอมเพิ่มเติม เพื่อเป็น อีกหนึ่งแนวทางของการแต่ง สำหรับชาวสองล้อที่ชื่นชอบการแต่งรถ ถึงแม้ว่าของแต่งจะไม่ใช่ระดับเทพซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก เพียงต้องการให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และสามารถหาอุปกรณ์ของแต่งง่ายๆ ที่หาซื้อได้ทั่วไป แต่ก็ยังเป็นจุดที่น่าสนใจแบบสเปเชียลให้ได้ชมกัน