“มาร์เกซ” ควบ Honda RC213V บดคู่แข่ง คว้าท็อป 7 โมโตจีพี สนาม 9

มาร์ค มาร์เกซ ยอดนักบิดสแปนิชจาก เรปโซล ฮอนด้า แสดงศักยภาพแชมป์โลก 8 สมัย ฝ่าขีดจำกัดร่างกายควบรถแข่ง Honda RC213V กอบกู้อันดับสุดโหด ทะยานจากกริดที่ 20 บิดเข้าป้ายในอันดับ 7 ส่งท้ายครึ่งฤดูกาลแรกของศึกโมโตจีพี 2021 ที่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ศึกโมโตจีพี 2021 สนามที่ 9 ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ ทีที เซอร์กิต แอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ชิงชัยทั้งสิ้น 26 รอบสนาม โดยเรซนี้ ฮอนด้า กลับมามีลุ้นโพเดี้ยมอีกครั้งจาก ทาคาอากิ นาคากามิ นักบิดญี่ปุ่นจาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า ที่ได้ออกตัวจากกริดที่ 4 ก่อนจะขยับขึ้นมารั้งอันดับ 2 ได้ในช่วงครึ่งทางการแข่งขัน

ขณะที่ มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัย จาก เรปโซล ฮอนด้า เจอปัญหาในรอบควอลิฟาย ได้ออกตัวจากกริดที่ 20 แต่เพียง 3 รอบนักบิดสแปนิชก็ทะยานขึ้นมาถึงอันดับ 10 ก่อนจะสร้างผลงานยอดเยี่ยมบิดเข้าป้ายในอันดับ 7 ตามหลังแชมป์เพียง 10.110 วินาที ส่วน นาคากามิ เจอปัญหายางเล่นงานร่วงลงไปจบเรซในอันดับ 9 ตามด้วย โปล เอสปาร์กาโร จาก เรปโซล ฮอนด้า ในอันดับ 10 และ อเล็กซ์ มาร์เกซ จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า เข้าเส้นชัยในอันดับ 14

ผ่านการแข่งขัน 9 สนามแรกของฤดูกาล มาร์ค มาร์เกซ รั้งอันดับ 10 มี 50 คะแนน ตามด้วย นาคากามิ และ โปล เอสปาร์กาโร ในอันดับ 11 และ 12 มีคนละ 41 คะแนน ขณะที่ อเล็กซ์ มาร์เกซ รั้งอันดับ 15 มีทั้งสิ้น 27 คะแนน
ทั้งนี้ ศึก โมโตจีพี 2021 จะพักครึ่งฤดูกาลแข่งขันในช่วงฤดูร้อน 5 สัปดาห์ ก่อนจะกลับมาดวลความเร็วสนามที่ 10 ในวันที่ 6-8 สิงหาคมนี้ ที่สนาม เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย ในรายการ สตีเรียน กรังด์ปรีซ์ แฟนชาวไทยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของนักบิดฮอนด้าได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : fb.com/aphondaracingth

Suzuki ขึ้นโพเดียม โจน เมียร์ ระเบิดฟอร์มในการแข่งขัน MotoGP สนามที่ 9

โจน เมียร์ #36 ยอดนักบิดจาก Team Suzuki Ecstar ระเบิดฟอร์มออกสตาร์ทกริดที่ 10 พุ่งจบเรซขึ้นโพเดี้ยมในอันดับที่ 3 และอเล็กซ์ รินส์ #42 จบเรซในอันดับที่ 11 ในการแข่งขัน MotoGP สนามที่ 9 TT Circuit Assen ประเทศ เนเธอร์แลนด์

ในช่วงแรกของการแข่งขันนักบิดทั้งสองออกตัวได้อย่างดีเยี่ยม แต่โชคร้ายของรินส์ที่ถูกเสียบ จนเสียจังหวะ ตกไปรั้งท้ายของกลุ่ม ในขณะที่ เมียร์ยังคงเกาะกลุ่มผู้นำได้อย่างเหนียวแน่น และรักษาอันดับเพื่อรอจังหวะในการแซงตลอดช่วงเวลาของการแข่งขันนัดบิดทั้งสอง พยายามที่จะหาจังหวะขึ้นแซงคู่ต่อสู้ที่อยู่ด้านหน้าอยู่เสมอ แต่ด้วยสนามนี้เป็นสนามที่ค่อนข้างแซงยาก ทำให้นักบิดทั้งสอง ต้องใช้สมาธิ และรอจังหวะ เพื่อหาโอกาสในการขึ้นนำ จนในช่วง 8 รอบสุดท้ายของการแข่งขัน เมียร์ อาศัยจังหวะที่สามารถเปิดคันเร่งขึ้นแซงได้ขยับขึ้นมาจบเรซในอันดับที่ 3 ขึ้นโพเดี้ยมอย่างสวยงาม ในขณะที่ รินส์ สามารถแซงคู่ต่อสู้ได้เรื่อย ๆ และจบเรซในอันดับที่ 11 ของการแข่งขัน

ต้องบอกว่า ในการแข่งขัน MotoGP สนามที่ 9 TT Circuit Assen นี้ สองนักแข่ง Team Suzuki Ecstar โจน เมียร์ #36 และอเล็กซ์ รินส์ #42 ใช้ทักษะ สติ และรอจังหวะที่คู่แข่งผิดพลาดในการขยับขึ้นแซงคู่ต่อสู้ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งในการแข่งขันสนามต่อไป สนามที่ 10 คีมีริงค์ ประเทศฟินแลนด์ ช่วยเป็นกำลังใจให้กับสองนักแข่ง Team Suzuki Ecstar กันด้วยนะครับ

Honda REBEL300

ของใหม่มาแรงได้ลองแล้วติดใจ ครุยเซอร์สปอร์ตยุคใหม่กับชื่อที่ตำนานถูกรีบิ้วท์ใหม่ REBEL ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ขนาด 300 ซีซี โดยใช้พื้นฐานเดียวกับรถสปอร์ต CBR300 แบบสูบเดี่ยวให้อารมณ์ที่เร้าใจขับขี่ง่าย

ต้องบอกว่าแค่ยอดจองก็ส่งรถกันแทบไม่ทันแล้ว ด้วยความสวยมีสไตล์คลาสสิคผสมผสานทำให้ Rebel 300 ได้รับความนิยมและยิ่งได้มีการเสริมเติมแต่งด้วยของแต่งที่สวยงามเพิ่มความโดดเด่นบนท้องถนน ด้วยไอเดียของ พี่อุดม…จัดสรรปั้นแต่งใหม่ ด้วยสีดำด้านเพิ่มลายแอร์บรัชที่ถังน้ำมันรูปหัวกะโหลก ฝาถังน้ำมันแบบสปอร์ตเป็นอลูมินัมใช้มือบิด มีลายกราฟฟิคด้านข้าง และคาดลายด้วยสติ๊กเกอร์สีส้ม เข้ารับกับวงล้อแม็กที่ใช้สีส้มเหมือนกันทั้งหน้าและหลัง ยางลายใบเลื่อย

ช่วงบนแฮนด์เดฟตรงก้านเบรกและคลัทช์ปรับระดับ แท้งค์ดิสก์เบรกครอบด้วยฝาอลูมินัม ปลอกแฮนด์ลาย และกระจกมองหลังติดอยู่ที่ปลายแฮนด์ เรือนไมล์โดดเด่นแบบทรงกลมยังคงความคลาสสิคในยุคใหม่ แกนโช้คอัพหน้าชุบสีรุ้ง เบาะนั่งแบบเดี่ยวหุ้มด้วยหนังลายใหม่ และติดตั้งไฟ LED ที่ด้านท้ายเบาะ แทนไฟเลี้ยวที่ให้มาสามารถใส่ได้เพราะท้ายเปลือยโล่ง โช้คอัพหลังคู่ระบบแก๊สมีซับแทงค์บิ้วท์อิน ดิสก์เบรกหลังของเดิมซึ่งให้สมรรถนะที่ดีอยู่แล้ว

ทางด้านของเครื่องยนต์ขนาด 300 ซีซี สูบเดี่ยว 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ให้กำลังตอบสนองได้อย่างเร้าใจ อัพเกรดเสริมความจี๊ดจ๊าดด้วยท่อไอเสียปลายคู่อลูมินัมทรงสปอร์ตเสียงแผดดังในสไตล์ของสปอร์ตครุยเซอร์ อันเดอร์เคาริ่งล่าง และปีกข้างหม้อน้ำสร้างขึ้นมาใหม่ให้ดูมีความดุดัน

นี่คือไอเดียใหม่ๆ สำหรับไบค์เกอร์ที่ชื่นชอบความสวยงาม เพียงแค่แต่งเติมสีสันและออพชั่นอีกนิดหน่อยก็ทำให้รถของคุณนั้นโดดเด่น และเป็นที่น่าสนใจในแบบของคุณเอง…

Suzuki V-Strom 1050 XT

แอดเวนเจอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายคนบ้า Suzuki V-Strom 1050 ที่ปล่อยในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ และเป็นการนำเอาเอกลักษณ์ของรถมอเตอร์ไซค์ที่เคยโด่งดังเป็นอย่างมากในอดีตให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งบนแพลตฟอร์มของเครื่องยนต์สมัยใหม่ ล่าสุดมีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของตัวรถออกมาเป็นที่เรียบร้อย และเราจะมาลงลึกในรายละเอียดของโมเดล XT ที่จัดว่าเป็นตัวท็อปของรุ่น

2020 Suzuki V-Strom 1050 XT นั้นเป็นรถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางของ Adventure เต็มรูปแบบ สามารถใช้งานได้ทั้งทางเรียบและยังสามารถตะลุยในเส้นทางฝุ่นที่เป็น Off-Road โดยจะเน้นที่การผจญภัยไปในเส้นทางต่างๆ มากกว่าการปีนป่าย หรือการกระโดดเนินแบบต่อเนื่อง โดยที่ขุมกำลังเครื่องยนต์ของ Suzuki V-STROM 1050XT ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ 90° V-Twin 4 จังหวะ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดความจุกระบอกสูบที่ 1,037 ซีซี มอบพละกำลังสูงสุด 107.4 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที โดยเครื่องยนต์รุ่นนี้มีความโดดเด่นตรงที่ใช้หัวเทียนแบบ Iridium ถึง 2 หัว ต่อ 1 ลูกสูบ ทำให้รถคันนี้มีหัวเทียนทั้งหมด 4 อัน ส่งผลให้ตัวรถมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต่ำเพียง 24.5 กม./ลิตร และมอบพละกำลังที่เหลือเฝือ อีกทั้งทำให้รอบเดินเบานุ่มนวลขึ้น สตาร์ทเครื่องยนต์ก็ติดง่าย แต่ในส่วนของแรงบิดนั้นมีการปรับลดลงมาจากเดิมเล็กน้อย จาก 101 นิวตันเมตร ให้กลายเป็น 100 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยการลดแรงบิดลงมานั้นจะช่วยส่งให้รอบเครื่องยนต์ในย่านความเร็วกลางนั้นสามารถทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม

ในส่วนของโครงสร้างนั้น จะมาในรูปแบบของ Twin-spar aluminium frame โดยที่ชุดแฟริ่งการออกแบบไฟหน้า LED จะเป็นรูปทรงสีเหลี่ยมย้อนยุค โดยอ้างอิงมาจากรถแข่ง Dakar Rally ในช่วงยุค 80 อย่างเจ้า Suzuki DR Big โดยที่ในรุ่น XT นั้นจะมีให้เลือกกันอยู่ 2 ชุดสีประกอบด้วยสีขาว-ส้ม และสีเหลือง โดยที่อุปกรณ์พื้นฐานของเจ้า XT ที่แตกต่างไปจากรุ่นปกติก็คือ มีการติดตั้งแฮนด์การ์ด กันท้องเครื่อง ขาตั้งกลาง และที่เป็นจุดเด่นที่ชัดเจดที่สุดก็คือเรื่องของวงล้ออลูมิเนียมแบบซี่ลวดที่แตกต่างจากวงล้อแม็กแบบธรรมดาในรุ่นปกติ

ในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์นั้น Suzuki V-Strom 1050 ทั้งสองรุ่นจะมีการติดตั้งระบบพื้นฐานที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นโหมดการขับขี่ 3 โหมด ระบบ Traction Control ระบบเบรก ABS แต่จะมีความแตกต่างกันที่ รุ่น XT นั้้นจะมีการติดตั้งแกน IMU แบบ 6 แกน สำหรับการช่วยเหลือการทำงานของระบบเหล่านี้ รวมไปถึงการเพิ่มศักยภาพให้ระบบ Cruise Control ระบบ Traction Control และระบบ ABS ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ารุ่นปกติ

อีกหนึ่งส่วนที่มีการปรับปรุงไปจากโมเดลเดิมนั้นก็คือระบบช่วงล่าง โดยเจ้า V-Strom 1050 XT นั้นจะมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ Upside-Down ขนาด 43 มิลลิเมตร แบบปรับระดับได้ fully-adjustable จากแบรนด์ KYB โดยที่ระบบกันสะเทือนหลังจะเป็นแบบ Monoshock แบบปรับค่า Preload-Rebound damping ได้ และระบบกันสะเทือนหน้าหลังนั้นจะมีการปรับปรุงการทำงานใหม่ให้สอดคล้องกับรูปแบบการใช้งานในแต่ล่ะรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางเรียบ หรือการปรับค่าสำหรับการขี่ในทางฝุ่น ก็สามารถตอบสนองผู้ขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ารุ่นเดิม

นอกจากนี้แล้ว 2020 Suzuki V-Strom 1050 XT ยังสามารถปรับแต่งการใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นชิลด์หน้าปรับระดับได้ (แบบแมนนวล) เบาะนั่งปรับระดับได้โดยสามารถปรับให้ต่ำที่สุดได้ 850 มม. และสูงสุดได้ 870 มม. หน้าจอแสดงผลดิจิตอลปรับองศาได้ ถังน้ำมันจุดได้ 20 ลิตร โดยที่น้ำหนักตัวรวมของเหลวแล้วจะมีน้ำหนักที่ 247 กิโลกรัม

แน่นอนว่า 2020 Suzuki V-Strom 1050 ทั้งสองรุ่นนั้นจะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ BMW R1250 GS, Ducati Multistrafa 1260 หรือแม้แต่รถจากฝั่งญี่ปุ่นด้วยกันเองอย่าง Honda CRF1100 Afeica Twin Yamaha Tanere1200 และ Kawasaki Versys1000 โดยที่จุดเด่นสำคัญของเจ้า V-Strom ที่เหนือกว่าคู่แข่งคนอื่นๆ ก็คือเรื่องของราคาที่ย่อมเยา ประมาณ 579,000 บาทเท่านั้น และยังมีเวอร์ชั่นที่จัดเต็มในเรื่องของอุปกรณ์เสริมสำหรับสายเดินทางที่วางจำหน่ายในราคา ประมาณ 619,000 บาท

2021 Honda CRF450RW

รถสูตรระดับท็อปของ Honda ในเกมแข่งขันโมโตครอส/ซูเปอร์ครอส ก็คือรถแข่งโรงงาน หรือ workbikes ที่พัฒนามาจาก HRC ในเกม MXGP นั้นก็คือรถแข่งอย่าง Honda CRF450RW ที่พัฒนาภายใต้การดูแลจากเหล่าวิศวกรของทีม HRC ผสานกับศักยภาพความสามารถทางเทคนิคของ Honda Racing Corporation และแผนกวิจัยและพัฒนาของ Honda ในญี่ปุ่น จนเป็นที่ยอมรับกันว่ามันเป็นผลงานชิ้นเอกที่เปี่ยม มาจากเทคโนโลยีต่างๆรวมถึงองค์ความรู้ที่สั่งสมผ่านประสบการณ์ตรงจากสังเวียนการแข่งขันจริง โดยนักแข่งชั้นนำของโลก

หลังจากชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลก ในรุ่น MXGP ในปี 2019 พวกเขาก็มุ่งเน้นวิจัยพัฒนาเพื่อออกแบบเครื่องจักรในสงครามความเร็วอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยผลของความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องจนผลิตรถแข่งที่มีศักยภาพอย่างสมบูรณ์เพิ่มขึ้น จนสานต่อความความสําเร็จได้อีกครั้ง เมื่อ Tim Gajser คว้าแชมป์โลกครั้งที่สี่ในปี 2020 ด้วยรถแข่งโรงงานอย่าง CRF450RW

ไลน์อัพนักแข่งของทีม HRC ในปีที่แล้วได้มีนักแข่งดาวรุ่ง MXGP-rookie อย่าง Mitch Evans เข้ามาร่วมทีม ซึ่งในฤดูกาลที่ผ่านมานั้น ค่อนข่างเป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าทั่วทุกมุมโลกต่างได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดใหญ่ของ Covid-19 ไปทั่วโลก แม้จะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากและแตกต่างจากการแข่งขันในฤดูกาลปกติเช่นที่ผ่านมา นักแข่งหลักของทีมอย่าง Tim Gajser ก็สามารถทำผลงานได้ดีทำผลงานขึ้นโพเดี้ยมได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคว้าชัยชนะนั้น สามารถทำได้เหนือกว่านักแข่งที่มีรายชื่อคว้าชัยชนะคนอื่นๆ ด้วยการคว้าชัยได้มากถึง 15 เรซ มีโพเดี้ยมมากที่สุด 14 ครั้ง สามารถขึ้นการแข่งขันรวมจำนวนรอบได้มากที่สุด 226 รอบ มีรอบที่เร็วที่สุดหรือ fastest lap 11 ครั้ง และได้รับสิทธิ์เลือกเกทสตาร์ทเป็นคนแรกเนื่องจากชนะในการควอลิฟายเรซถึง 8 ครั้ง และครอง red plate จํานวนมากที่สุด 10 ครั้ง นับว่าเป็นอีกฤดูกาลที่ทําสถิติใหม่ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งในสารระบบของฮอนด้าที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในสายวิบากในประวัติศาสตร์การแข่งขันของ Honda มันเป็นข้อพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยม ทั้งผู้ขับขี่และรถแข่งโรงงานว่า สามารถประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม จนทําผลงานได้ดี ในสังเวียนการแข่งขันอันหลากหลายบนภูมิประเทศที่แตกต่างในแต่ละประเทศที่เป็นหนึ่งในโปรแกรมการชิงชัย และตอนนี้เพวกเขาพร้อมมุ่งหน้าเข้าสู่ฤดูกาลแข่งขันปี 2021 ด้วยเป้าหมายใหม่ นั่นคือความต้องการที่ต้องการสร้างความสำเร็จต่อเนื่อง ด้วยการคว้าสามแชมป์ติดต่อกันด้วยรถแข่งโรงงาน CRF450RW โมเดลล่าสุด

นับจากการพัฒนารถแข่งในปี 2014 ภายใต้การจัดการของโรงงานโดยตรง เมื่อ HRC ตัดสินใจกลับคืนสู่สังเวียนการแข่งขันอย่าง MXGPอย่างเป็นทางการในนามทีม HRC เต็มตัว ด้วยความตั้งใจอันเป็นความพยายามของ Honda จึงเริ่มสัมผัสชัยชนะในการแข่งขันได้ห้าครั้ง และยังคงเดินหน้าแผนการณ์ต่อเนื่องในฤดูกาล 2015 ที่นอกจากสามารถคว้าชัยชนะได้แล้ว ยังสามารถทำผลงานได้ดีขึ้นด้วยการจบจบที่สองและสามบนตารางคะแนนสะสมชิงแชมป์โลกนี้โลก และเมื่อเข้าสู่ในฤดูกาลแข่งขันปี 2016 ซึ่งนับเป็นวาระครบกำหนดระยะเวลาของแผนสามปีที่ HRC ตั้งเป้าไว้ ก็เป็นจริงเมื่อ Tim Gajser นํา CRF450RW ของเขาคว้าแชมป์โลกร่วมกับฮอนด้า อีกทั้งยังเป็นการกลับมาคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 16 ปี ของรถแข่งระดับพรีเมียร์คลาสของเกมโมโตครอส

ฤดูกาล 2017 MXGP Tim Gajser ยังคงทำผลงานได้ดีกับรถแข่ง CRF450RW ด้วยชัยชนะแปดครั้งและเพื่อนร่วมทีมอย่าง Evgeny Bobryshev ทําคะแนนได้อย่างน่าพอใจรวมทั้งทำผลงานขึ้นโพเดี้ยมได้รวมเก้าโพเดี้ยมตลอดทั้งฤดูกาล
สองปีต่อมา Gajser กลับมาฟิตสมบูรณ์มากขึ้นหลังพบกับความยากลำบากจากอาการบาดเจ็บที่เข้ามารบกวนต่อเนื่อง จนเสียเวลาไปมากกับการฟื้นฟูร่างกาย ขณะที่ CRF450RW ยังคงได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นรถแข่งโรงงานที่มีความพร้อมสมบูรณ์ที่สุดกับการชิงชัยในรุ่น MXGP ดังนั้นเมื่อร่างกายสมบูรณ์เต็มที่เขาจึงสามารถกลับมาคว้าแชมป์ในปี 2019 ได้สำเร็จ และทำได้อีกครั้งในปีที่ผ่านมา มันเป็นความสําเร็จที่ยอดเยี่ยมและพิสูจน์พลังและประสิทธิภาพของ Honda CRF450RW ได้อีกครั้ง

ด้วยพื้นฐานการออกแบบเครื่องที่มีขนาดกะทัดรัด ที่เบาที่สุดในคลาสเดียวกัน บวกกับแนวคิดของฮอนด้าในการพัฒนารถภายใต้เป้าหมายที่คำนึงถึงเรื่องของ การรวมศูนย์มวลรวมน้ำหนัก ที่มีผลต่อการวบคุมการขับขี่ที่มีความคล่องแคล่ว บังคับขับขี่ได้อย่างง่ายดายด้วยการส่งพลังงานที่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มสมรรถนะ จึงทำให้ CRF450RW มีพื้นฐานที่ดี อีกทั้งสามารถส่งต่อรายละเอียดข้อมูลนำไปใช้กับการผลิตรถในไลน์ผลิตของรถในตระกูล CRF ได้ทั้งหมด

เช่นกัน CRF450RW โมเดลล่าสุดสำหรับฤดูกาล 2021 ได้รับการต่อยอดจากเดิม ด้วยแนวคิดพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมของการออกแบบตัวรถ ไม่ว่าโครงสร้างที่เพรียวบางให้ความคล่องตัวสูง ควบคุมการขับขี่ง่าย บวกกับกำลังเครื่องยนต์ที่เพียงพอ ผสานกับชุดคิทพิเศษจาก HRC รวมทั้งอุปกรณ์เสริมที่เป็นออพชั่นชั้นดี ที่ได้รับการคัดสรรมาใช้กับรถแข่งโรงงาน ไม่ว่ายาง Pirelli หรือ ช่วงล่างจาก Showa และชิ้นส่วนที่เสนิมประสิทธิภาพต่างๆ เช่น พักเท้า และชิ้นส่วนอื่นๆ ที่ผลิตจากวัสดุชั้นดีอย่างไทเทเนียม ที่มีจุดประสงค์เพื่อลดนำ้หนัก อย่างเช่นฝาเกลียวปิดหัวกระบอกฟอร์ค เช่นเดียวกับการออกแบบปรับแต่ง ฝาสูบ สูบ ตามสเปคที่ทีมโรงงานเป็นผู้กำหนด และไอเสีย US-Yoshimura เป็นต้น

ข้อมูลของตัวรถที่เปิดเผยมีดังนี้

Machine Specs
Engine Liquid-cooled 4-stroke 4-valve Uni-cam
Displacement 449cc
Bore x Stroke 96.0 x 62.1
Max Power Restricted Information
Transmission 5-speed
Fuel System Fuel Injection
Ignition Factory Honda
Exhaust & Air filter US Yoshimura / Twin Air
Spark Plugs NGK
Clutch Hinson
Final Drive (Chain) D.I.D 520
Suspension Showa Factory
Wheels & Tyres D.I.D Dirt Star / Pirelli
Brakes Factory Nissin
Fuel Capacity Restricted Information

วิวัฒนาการของ Hyper Naked New MT-07

MT ย่อมาจาก Master of Torque (เจ้าแห่งแรงบิด) กับเทคโนโลยี Crossplane อันโดดเด่นที่เน้นย้ำคำนี้ได้อย่างชัดเจน กับแรงบิดที่ใช้งานได้จริงทุกย่านรอบพร้อมตอบสนองได้ในทุกการขับขี่ เฟรมที่มีขนาดกระทัดรัดยิ่งทำให้ส่วนผสมของความคล่องแคล่ว และสเถียรภาพของรถลงตัวมากขึ้น ท่านั่งที่สบาย และเป็นธรรมชาติ เข้าถึงผู้ขับขี่ได้ทุกวัย และด้วยราคาที่ย่อมเยาว์ ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกับทุกคน จึงทำให้รถคันนี้เป็นรถที่คุ้มค่าในแง่ของราคา และสมรรถนะที่ได้รับ

ภายหลังจากเปิดตัวไม่นานนัก ตลาดในยุโรปก็ให้ความสนใจกับ Hyper Naked คันนี้ ถึงความพิเศษ และเอกลักษณ์ที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่เรียบง่าย ก่อนจะทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2014 มาอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 125,000 คัน ทิ้งอันดับที่ 2 ไปถึง 2 เท่า ทำให้นี่คือรถที่ขายดีที่สุดของ Yamaha

MT-07 รุ่นใหม่ : อีกมิติของวิวัฒนาการกับยอดขายสูงสุดในกลุ่ม Naked ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว สื่อให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า MT-07 คือสิ่งที่ลูกค้า Yamaha ต้องการอย่างแท้จริง รูปลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่าย กับรหัส MT ทำให้ MT-07 ในปี 2021 นี้ยังคงก้าวไปสู่วิวัฒนาการใหม่กับรถ Naked ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุโรป

คุณสมบัติใหม่ๆถูกเพิ่มเข้ามาอีกมากมาย ปรับไฟหน้าและไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED พร้อมหน้าจอแบบ LCD และแฮนด์บาร์ที่ออกแบบใหม่ รวมเข้ากับระบบเบรคที่ดีขึ้นอีกขั้น พร้อมรองรับมาตรฐาน euro 5 ที่จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในโลกแห่งการขับขี่ให้กับ MT-07  คุณสมบัติใหม่ขับขี่ได้ง่ายขึ้น การออกแบบใหม่ที่ล้ำสมัย ให้เส้นสายของตัวรถที่คม และรับกันอย่างต่อเนื่อง

ไฟหน้าแบบ LED พร้อมโคมโปรเจกเตอร์โฉบเฉี่ยวมากขึ้น น้ำหนักเบาลง พร้อมด้วยเอกลักษณ์ของชุดไฟหน้ารูปตัว Y

เครื่องยนต์ 690cc 2 สูบ EU5 CP2รองรับมาตรฐาน EU5 ให้แรงบิดได้ทุกย่านรอบ พร้อมด้วยสุ้มเสียงที่ดุดัน

หน้าจอแบบ LCD หน้าจอแสดงข้อมูลที่ชัดเจน และเข้าถึงเมนูต่างๆได้จากประกับแฮนด์

ไฟเลี้ยวแบบ LED ทรวดทรงของรถที่เห็นได้ชัดเจน จากเส้นสายการออกแบบที่เฉียบคมขึ้น

จานเบรคหน้าขนาด 298mm 2 ชุด ระบบเบรคที่ดีขึ้นโดยไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับรถแฮนด์อลูมิเนียมกว้างขึ้น ท่านั่งที่เป็นมิตรมากขึ้น ควบคุมการขับขี่ในความเร็วต่ำได้ดีขึ้น

ยาง Michelin Road 5 ให้การยึดเกาะที่ดีทั้งถนนแห้ง และเปียก เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ และขับขี่ได้คล่องแคล่วสีใหม่ ลวดลาย และพื้นผิวใหม่

Technical Highlights
การออกแบบในยุคใหม่ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของ MT อย่างชัดเจน
ช่องอากาศเข้าแบบ ปีกที่โดดเด่นของ MT-07
ไฟหน้าแบบ LED โปรเจคเตอร์ในแบบตัว Y ที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ
เครื่องยนต์ขนาด 690cc แบบ Crossplane (CP2)
รองรับมาตรฐาน EU5
องศาจุดระเบิด 270 องศาเพื่อการส่งแรงบิดที่ต่อเนื่องได้ทุกย่านรอบ
แรงบิดสูงสุดที่ 67 Nm (6.8 kg-m) ที่ 6,500 rpm
จานเบรคใหม่ขนาด 298 mm 2 ชุด
แฮนด์บาร์ อลูมิเนียมที่กว้างขึ้น
ท่านั่งที่สบายมากขึ้น
หน้าจอแบบ LCD พร้อมเข้าถึงเมนูผ่านประกับแฮนด์
ไฟเลี้ยวแบบ LED
ยาง Michelin Road 5 ใหม่
สี และลวดลายใหม่
เฟรม ท่อขนาดเล็กพร้อมเบาะสูง 805 mm

Yamaha MT-15 Naked Bike MotoGP

ถึงช่วงนี้กระแสของรถออโตเมติกจะมาแรง แต่อย่าลืมว่ารถที่ขับขี่ได้สนุก และมีรูปร่างหน้าตาที่ดุดันอย่างเน็กเก็ดไบค์ ก็น่าสนใจเหมือนกัน ยิ่งมีการปรับแต่งสีสันและเพิ่มออพชั่นเข้าไปยิ่งทำให้สะดุดตา MT Series ของค่ายยามาฮ่าที่ได้มาพร้อมอัตราเร่งที่ดุดัน มาสเตอร์ ออฟ ทอรค์ ในเวอร์ชั่นของเครื่องยนต์ 155 ซีซี MT-15 รุ่นน้องสุดของซีรี่ส์ ที่สร้างกระแสให้รถเปลือยหน้าแปลกๆ วิ่งกันให้เต็มท้องถนน

การผงาดขึ้นมาจนได้รับความนิยมของ MT-15 ด้วยรูปทรงที่ถูกปรับเปลี่ยนลุคใหม่ โดยใช้ DNA มาจากรุ่นพี่อย่าง MT-09 โดดเด่นสะดุดตา และมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 155 ซีซี ระบบวาล์วแปรผัน VVA เพิ่มอัตราเร่งในรอบกลางและปลายได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีระบบสลิปเปอร์คลัทช์ช่วยควบคุมการรวบเกียร์ลงต่ำเพื่อสมรรถนะการทรงตัวที่ดีเยี่ยมให้ขับขี่ได้สนุกเร้าใจมากยิ่งขึ้น

สำหรับ MT-15 คันนี้ มีการตกแต่งเพิ่มเติมสีสัน และของแต่งมากมายเพื่อให้ดูสะดุดตา ลวดลายใหม่สไตล์โมโตจีพี ออพชั่นเสริมเพียบ ด้านบนติดตั้งกันสะบัดปรับระดับ ประกับคันเร่งแบบสองสาย ปั๊มแรงดันกระปุกลอยก้านพับ กระจกปลายแฮนด์ ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ เรเดียลเม้าท์ สายน้ำมันดิสก์สแตนเลสถักพร้อมหัวปลด ดิสก์เบรกหลังคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว และใช้สายถักแบบหัวปลดเช่นเดียวกัน

เบาะนั่งจัดแต่งทรงใหม่ท้ายเปลือยติดตั้งท้ายสั้นแบบสปอร์ต พักเท้าใช้ของเดิมเพิ่มเติมคือสเปเซอร์ขยับตำแหน่งแบบเกียร์โยงเรซซิ่ง เฟรมครอบด้วยเคฟล่าร์ โช้คอัพหลัง Gazi ที่สามารถปรับพรีโหลดได้ มีแทงค์ซับแยกกระบอกทอง สวิงอาร์มเสริมด้วยกันดีดหลังตามสไตล์ของเน็กเก็ด ตัวเฟรมครอด้วยเคฟล่าร์

ส่วนเครื่องยนต์เพิ่มเติมความโดดเด่นด้วยการด์เหล็กกันล้ม สายยางกันความร้อนสีแดงสำหรับการระบายความร้อนของหม้อน้ำ และตระแกรงหม้อน้ำสแตนเลส รวมไปถึงการรีดพละกำลังแรงม้าด้วยท่อไอสียปลายทรงกระบอกอลูมินัมคอสปริง

ยามาฮ่าเสริมความปลอดภัยให้กลุ่มนักศึกษา มอบหมวกนิรภัย 100 ใบให้วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค)

นายสมเกียรติ พูลขวัญ (คนที่ 6 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ด้านบริหาร พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมมอบหมวกนิรภัยจำนวน 100 ใบ รวมมูลค่า 32,000 บาท ให้กับวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) โดยมี นายประเสริฐ กลิ่นชู (คนที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) เป็นผู้รับมอบ

โดยยามาฮ่ามีวัตถุประสงค์ที่จะมอบหมวกนิรภัยในครั้งนี้เพื่อต้องการลดความรุนแรงจากการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนทั่วไป รวมถึงกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่จะเป็นกำลังหลักของประเทศ ทางบริษัทฯ จึงได้จัดทำโครงการมอบหมวกนิรภัยให้กับหน่วยงานต่างๆ เช่น หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล และสถานศึกษา ด้วยเป้าหมายของการเพิ่มความปลอดภัย และลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนให้กับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย

“กวาร์ตาราโร่” คว้าโพเดี้ยม ซัคเซ่นริง ควงคู่ต้นสังกัดครองจ่าฝูงโมโตจีพี

ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #20​ ยอดนักบิดเฟรนช์แมน สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี บิดคว้าโพเดี้ยมในเกมที่ ซัคเซ่นริง เก็บแต้มควงคู่ต้นสังกัดครองจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพ หลังผ่าน 8 สนาม โมโตจีพี

ศึกโมโตจีพี 2021​ สนามที่ 8​ ดวลความเร็วเมื่อสุดสัปดาห์​ที่ผ่านมา ณ ซัคเซ่นริง ประเทศเยอรมนี​ ระยะทางต่อรอบ 3.7 กิโลเมตร กำหนดชิงชัยทั้งสิ้น 30 รอบสนามในรายการลิควิ โมลี มอเตอร์ราด กรังด์ปรีซ์ ดอยช์ลันด์

โดย ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #20​ ผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพ เดินหน้าเก็บแต้มได้อย่างต่อเนื่อง หลังบิดจบการแข่งขันด้วยอันดับ 3 ผงาดขึ้นโพเดี้ยมในเรซสุดมัน ครองตำแหน่งผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพต่อไป

ขณะที่ มอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี ที่ยังคงรั้งจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภททีม รวมถึง ยามาฮ่า ที่ครองหัวแถวบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทค่ายผู้ผลิต หลังผ่าน 8 สนาม ศึกโมโตจีพี

สำหรับการแข่งขันในสนามที่ 9 ศึกโมโตจีพี 2021​ จะยกพลไปดวลความเร็วที่ ทีที เซอร์กิต แอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์​ ระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน​ นี้ ในรายการโมตุล ทีที แอสเซ่น

KEEWAY GT270 “More Then City Scooter” Sport Replica

เรียกกระแสได้ถล่มทลายกับรถสกู๊ตเตอร์รุ่นล่าสุดจากค่าย KEEWAY กับโมเดลใหม่ GT270 ที่มาพร้อมกับสมรรถนะเครื่องยนต์การันตีระดับยุโรป แถมยังจัดเต็มไปด้วยออพชั่น และฟีเจอร์มากมาย

การดีไซน์ออกแบบสไตล์ Sport Replica ใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่งในการออกแบบรูปทรง ให้ไม่ดูใหญ่เทอะทะ มีมุมเหลี่ยมของความเป็นสปอร์ต เน้นความคล่องตัว และรูปทรงกะทัดรัด เพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายใช้งานง่ายในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น โดดเด่นด้วยไฟหน้าที่โฉบเฉี่ยว สองโคมแยก หลอดไฟ LED 4 ดวง และไฟ Daytime Running Light ไฟเลี้ยวบิ้วท์อินที่แนบอยู่กับแฟริ่งด้านข้าง ไฟท้ายกรอบใสเรียบรับกับช่วงท้าย

ความลงตัวของ GT270 มาพร้อมกับออพชั่นเสริมเพิ่มความสวยงามและสมรรถนะของการขับขี่ โช้คอัพหลังแบบคอยล์สปริงที่มีซับแทงค์แก๊สแบบบิ้วท์อิน กับการร่วมมือกับแบรนด์ OKD เพื่อการรองรับน้ำหนัก และการทรงตัวกับความเร็วในโค้งได้เป็นอย่างดี (สำหรับรุ่น Standard) ส่วนรุ่น Extream จะให้โช้คอัพหลังของ Ohlins แบบมีซับแทงค์

ในส่วนของฟีเจอร์ ระบบกุญแจแบบสมาร์ทคีย์ สามารถเปิดเบาะ และฝาเติมน้ำมันได้ในจุดเดียว และสามารถใช้สัญญาณล็อคได้อีกหนึ่งชั้น จอแสดงผลเรือนไมล์ แบบ LCD Digital แสดงข้อมูลอย่างครบถ้วน และด้านข้างซ้าย/ขวา เป็นการแสดงแบบอะนาล็อค ที่บอกความเร็วและรอบเครื่องยนต์ เกะเก็บของหลังคอนโซล และช่อง USB สำหรับเสียบชาร์จสมาร์ทโฟน เพื่อไม่พลาดการสื่อสารในโลกโซเชียลในการเดินทางไกล ชุดแฮนด์บาร์ครอบเพื่อความหรูดูสปอร์ตพรีเมี่ยม สวิตช์คอนโทรล ซ้าย/ขวาใช้งานได้สะดวก ระบบสตาร์ทไฟฟ้า ไฟเลี้ยว แตร มีสัญญาณไฟฉุกเฉิน ออฟ/รัน ไฟ Pass กระพริบขอทาง และที่ขาดไม่ได้กับการอำนวยความสะดวกในการเดินทางหรือเก็บสัมภาระ กับกล่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ และยังแถมเครื่องมือชุดเล็กไว้ใต้เบาะ

เครื่องยนต์ที่เชื่อมั่นได้ถึงสมรรถนะการใช้งาน อัตราเร่ง และความแรง กับความจุกระบอกสูบขนาด 278 ซีซี สูบเดียว 4 วาล์ว SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำหมุนเวียนไปที่หม้อน้ำด้านหน้า และใต้ห้องแคร้งน้ำมันเครื่องดีไซน์เป็นครีบเพื่อการระบายความร้อนได้อีกหนึ่งทาง ระบบหัวฉีดอีเล็กทรอนิกส์ ให้แรงม้าสูงสุดที่ 21.4 แรงม้า ที่ 7,250 รอบ/นาที แรงบิดสุงสุดที่ 23.5 นิวตันเมตร ที่ 5,750 รอบ/นาที กรองอากาศขนาดใหญ่ให้อากาศเข้าไปเผาไหม้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ท่อไอเสียที่รีดแรงม้าได้ดี และดีไซน์สปอร์ต

ช่วงล่างจัดมาให้อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้อย่างที่บอกไว้ข้างต้น โช้คอัพหลังแบบแทงค์ซับแก๊สไนโตรเจน OKD โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค ระบบดิสก์เบรกหน้า จานดิสก์ 240 มม. พร้อมการทำงานร่วมกับ คาลิเปอร์แบบเรเดียลเม้าท์ 4 ลูกสูบ ดิสก์เบรกหลัง จาน 220 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว ที่จัดวางตำแหน่งไว้ด้านในวงล้อดูสวยงาม และมีระบบ ABS มาให้ทั้งหน้าและหลัง วงล้อขนาด 13 นิ้ว ทั้งหน้า/หลัง ยางหน้า 110/70-13 ยางหลัง 130/70-13 แบบทูบเลสของ IRC

ความคิดเห็นหลังการทดสอบขับขี่ จตุรงค์ หมื่นทิพย์ Golf Riding
เริ่มกันด้วยตำแหน่งท่านั่ง ที่ออกแบบในสไตล์ของสปอร์ตเรพพิก้า เด่นสะดุดตา แต่ต้องแลกกับความสบายเล็กน้อย เพราะตัวรถมีขนาดที่กะทัดรัดทำให้พื้นที่การวางเท้าน้อยลง แต่ให้ความกระชับกับตัวรถ สำหรับคนที่ขายาวอาจจะยืดได้ไม่เต็มที่ เมื่อเทียบกับรถออโตเมติกในคลาสเดียวกันเบาะนั่งใหญ่มีพนักพิงเล็กๆ กันลื่น คนซ้อนก็น่าจะนั่งสบายเหมือนกัน ระดับแฮนด์ขนาดกำลังเหมาะ ระยะกำลังดีจับแล้วรู้สึกผ่อนคลายไม่เมื่อยการขับขี่เครื่องยนต์มีกำลังแรงบิดที่ดีมาก ออกตัวได้เร็วแต่ไม่ถึงกับพุ่งออกไปจนกระชาก อัตราเร่งมาอย่างต่อเนื่อง คันเร่งเบามือ ใช้รอบอยู่ประมาณ 4,000-5,000 รอบ/นาที กำลังดีในความเร็ว 80 กม./ชม. การบิดเร่งแซงเรียกรอบใช้งานได้ทันใจ ไม่มีอาการหน่วง และด้วยตัวรถที่มีขนาดกะทัดรัดความคล่องตัว สามารถซิกแซกหลบหลีกการจราจรได้สะดวก ด้วยอัตราเร่งที่ดี และทำความเร็วปลายโดยประมาณ 145 กม./ชม. (ผู้ขับขี่สูง 168 น้ำหนัก 68 กม.)การทำงานของช่วงล่างต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์ โช้คอัพหลังที่ให้มาเป็นแบบซับแทงค์แก๊ส เมื่อตกหลุมหรือเกินขึ้นเนิน รับน้ำหนักและช่วยให้การทรงตัวได้ดีมาก ดิสก์เบรกหน้ากับคาลิเปอร์แบบเรเดียลเม้าท์ และ ดิสก์หลัง พร้อมระบบ ABS ทำงานได้ดี สั่งการได้ฉับไว เมื่อกดเบรกหนักๆ ABS ทำงานจนรู้สึกได้ ยางที่ให้มาของ IRC ถือว่ามั่นใจได้เกาะถนนได้ดี และการใช้วงล้อแม็กขนาด 13 นิ้ว ทำให้รถเลี้ยวได้ง่ายขึ้นสิ่งที่โดดเด่นของ GT270 ก็คือ เครื่องยนต์ ที่มั่นใจได้ถึงสมรรถนะ การดีไซน์ตัวรถที่กะทัดรัด ออพชั่นเสริม และราคาที่ไม่แพง

All New Honda Wave110i 2021

ฮอนด้า ผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย เดินหน้ารุกตลาดปี 2564 ด้วยการเปิดตัวรถใหม่ All New Honda Wave110i รถครอบครัวยอดนิยมอันดับหนึ่ง มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ Honda Smart Engine

All New Honda Wave110i ปรับเปลี่ยนดีไซน์ด้วยกราฟฟิก และสีสันใหม่ ให้ความสดใสมากขึ้น เฟรมใหม่น้ำหนักเบาลง ช่วยให้การควบคุมง่าย และคล่องตัว ไฟหน้า LED Headlight ส่องสว่างทุกเส้นทาง เพิ่มความปลอดภัยให้การขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น ไฟท้ายโฉบเฉี่ยวทันสมัย มองเห็นได้ไกล คมชัดทุกมุมมอง

All New Honda Wave110i ยกระดับความคุ้มค่าขึ้นไปอีกขั้น พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “เพื่อนร่วมทางที่ใช่ เชื่อใจเป็นที่ 1” มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด Honda Smart Engine ขนาด 110 ซีซี พัฒนาโดยวิศวกรฮอนด้า ด้วยการเพิ่มระยะชักยาวขึ้น ให้กำลังอัดมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการหล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน และระบายความร้อนได้ดีกว่าเดิม ส่งผลให้เครื่องยนต์ประหยัด แรง และทนทาน

มาพร้อมระบบหัวฉีด PGM-FI ที่ปรับองศาการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง เครื่องยนต์จึงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีอัตราความประหยัดมากที่สุดในกลุ่มรถครอบครัว 76.9 กม./ลิตร ผ่านการรับรองภายใต้มาตรฐานไอเสียระดับ 7 โดยสถาบันยานยนต์

All New Honda Wave110i เสริมความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชันการใช้งานครบครัน นำโดยพื้นที่ใต้เบาะหรือ U-Box ขยายใหญ่ขึ้น 35% เพิ่มพื้นที่ใส่สัมภาระจุใจไปได้ทุกเส้นทาง ถังน้ำมันออกแบบใหม่ เพิ่มความจุเป็น 5 ลิตร วิ่งได้ไกลขึ้นโดยไม่ต้องเติมน้ำมันบ่อย ใช้งานง่ายด้วยหน้าปัดเรือนไมล์ดีไซน์ใหม่ New Design Meter with LCD ให้ข้อมูลรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ อาทิ ตำแหน่งเกียร์ ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง และระยะทางรวม

ความรู้สึกหลังการขับขี่
จตุรงค์ หมื่นทิพย์ กอล์ฟ ไรดิ้ง

เวฟ เป็นรถครอบครัวที่เน้นการใช้งานง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ซื้อมาแล้วใช้เลยแบบไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติม นอกจากวัยรุ่นที่เอาไปแต่งสวยงามหรือทำเครื่องยนต์ ดีไซน์ใหม่ถือว่าสวยดูเพรียวกะทัดรัด ขับขี่แล้วไม่เทอะทะ นั่งสบายๆ เบาะกว้าง ระยะการวางมือจับแฮนด์กำลังดี สามารถซิกแซกในช่องเล็กๆ ได้คล่องแคล่ว และน้ำหนักก็ไม่เยอะสำหรับคนตัวเล็กๆ หรือสุภาพสตรีไม่ต้องกังวลเครื่องยนต์ใหม่มีอัตราเร่งที่ดีขึ้น การออกตัวจะเร็วกว่าเดิม แต่ก็ไม่มากจนกระชากให้ตกใจ เกียร์เข้าง่ายรู้สึกถึงความนุ่มลื่น เสียงเครื่องเงียบกว่าเดิม ดิสก์เบรกหน้าก็ทำงานได้ไม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ เบรกหลังแบบดรัมก็เพียงพอสำหรับสมรรถนะเครื่องยนต์ วงล้อแม็กเพิ่มความสปอร์ตและดูและง่าย

Benelli 502C มาพร้อมความดุดัน ด้วยเส้นสายอันเป็นเอกลักษณ์ ยืนหนึ่งรถสไลต์ครุยเซอร์ขนาดกลาง จาก Thailand Bike of The Year 2021 ด้วยรางวัล Best Cruiser Middle Weight

 

Benelli 502C ได้รับการออกแบบมาสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความโดดเด่นอย่างมีสไตล์ ประสานกับจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์ ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ล้ำสมัย ด้วยเครื่องยนต์แบบ 2 สูบ 4 จังหวะ 4 วาล์วต่อกระบอกสูบ แบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ โครงรถแบบ Steel Tube Trellis Frame ให้ความรูปสึกถึงจิตวิญญาณของรถสไตล์สปอร์ต ครุยเซอร์ ทีมีความคล่องตัวและการทรงตัวที่ดีเยี่ยมขณะขับขี่

มาค้นหาเหตุผลที่ 502C ได้รับรางวัล Thailand Bike of The Year 2021
ทุกศูนย์ทั่วประเทศ https://bit.ly/32IFCJ