Triump Rocket 3 R & Rocket 3 GT

Rocket 3 คือสุดยอดรถจักรยานยนต์ Roadster สมรรถนะสูงระดับชั้นนำของโลก ที่พร้อมแล้วสำหรับการสร้างตำนานรถจักรยานยนต์ครั้งใหม่

Rocket 3 R รุ่นใหม่นั้น สามารถสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านการควบคุมรถ และคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ให้การควบคุมอันน่าทึ่ง ที่มาพร้อมความสะดวกสบาย สมรรถนะระดับสูง และแรงบิดระดับชั้นนำของโลก เหนือกว่าแรงบิดสูงสุดของคู่แข่งในระดับเดียวกันถึงกว่า 71% และสูงกว่า Rocket รุ่นก่อนหน้า ด้วยกราฟแรงบิดที่สม่ำเสมอ โดยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 4,000 rpm จากนั้นก็จะคงแรงบิดสูงสุดไว้ตลอดช่วงรอบกลาง เพื่อมอบอัตราเร่ง และการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจในทุกๆ เกียร์ 

กำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที (สูงกว่ารุ่นก่อนหน้า 11%) โดยมีกำลังเพิ่มขึ้นตั้งแต่รอบต่ำที่ 3,500 รอบ/นาที ไปจนถึงอัตรารอบสูงสุดใหม่ถึง 7,000 รอบ/นาที ส่งผลให้ Rocket 3 R มีความสามารถอันน่าทึ่ง และมอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจที่เหนือกว่ารถคันอื่นๆ ได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใดสำหรับ Rocket 3 GT รุ่นใหม่ มีทั้งสมรรถนะ และภาพลักษณ์ที่คุณต้องตะลึง พร้อมความสะดวกสบายขั้นสูงสุด การขี่แบบเอนหลังสบายๆ สไตล์ Cruiser และความสามารถในการใช้งานแบบ Touring ซึ่งถือเป็นการสร้างตำนานรถจักรยานยนต์ครั้งใหม่นี่คือประสบการณ์การขี่แบบใหม่ที่เหนือชั้นที่สุด ด้วยความจุเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในสายพานการผลิตรถจักรยานยนต์ พร้อมค่าแรงบิดระดับชั้นนำของโลกที่สูงกว่าแรงบิดสูงสุดของคู่แข่งในระดับเดียวกัน ด้วยกราฟแรงบิดที่สม่ำเสมอ โดยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 4,000 รอบ/นาที จากนั้นก็จะคงแรงบิดสูงสุดไว้ตลอดช่วงรอบกลาง

ให้กำลังสูงสุดคือ 167 แรงม้า ที่ 6,000 rpm ที่เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 11% Rocket 3 รุ่นใหม่จึงให้การขับขี่ที่เร้าใจ โดยมีกำลังเพิ่มขึ้นตั้งแต่รอบต่ำที่ 3,500 รอบ/นาที ไปจนถึงอัตรารอบสูงสุดใหม่ 7,000 รอบ/นาที ซึ่งเหมือนกับ Rocket 3 R  เมื่อนำทั้งหมดนี้มารวมกัน จึงส่งผลให้ Rocket 3 GT รุ่นใหม่มีความสามารถในการใช้งานแบบ Touring ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นรถที่ขี่สบายตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใด เนื่องจาก Rocket 3 GT นั้นคงไว้ซึ่งความเป็นต้นแบบของ Triumph อย่างแท้จริง รถรุ่นนี้จึงโดดเด่นที่สุดทั้งในด้านสไตล์ ภาพลักษณ์ที่กำยำ และการตกแต่งรายละเอียด

นอกจากนี้คุณยังสามารถแต่งรถอันน่าทึ่งคันนี้ให้โดนใจมากยิ่งขึ้นด้วยอุปกรณ์เสริมสไตล์คัสตอมของ Rocket 3 รุ่นใหม่กว่า 50 รายการ เพื่อเสริมสไตล์ ประโยชน์ใช้สอย และความสามารถด้าน Touring ให้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม

Ducati Hypermotard 950

รถจากอิตาลีในสไตล์ Fun bike ของ Ducati ที่เน้นถึงความสนุกสนานในการขับขี่ อย่าง Hypermotard ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชั่นล่าสุด ให้มีความเป็นมิตรกับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น ด้วยการขับขี่ง่ายสบาย ในขณะที่ยังคงให้ความเร้าใจสนุกสนานในทุกจังหวะการขับขี่ พร้อมทั้งเพิ่มภาพลักษณ์ใหม่ที่เน้นความเป็นรถในสไตล์ซูเปอร์โมโตอย่างเต็มที่ โดยในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้คีย์ในการพัฒนานั้นอยู่ที่ ultra-advance chassis set-up และ electronics package

เพื่อเป้าหมายในการสร้างความรู้สึกสบายในการขับขี่ และสามารถควบคุมการขับขี่ได้ง่ายทาง Ducati จึงได้ทำการปรับตำแหน่งท่าทางการขับขี่ใหม่ให้กับ new Hypermotard 950 ไม่ว่าการเพิ่มความกว้างของแฮนเดิ้ลบาร์ ปรับแต่งให้มีความเพรียวบาง และปรับเบาะนั่งใหม่เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถขยับปรับเปลี่ยนท่าทางได้สะดวกนุ่มนวลในแต่ละจังหวะระหว่างการขับขี่ รวมทั้งสามารถวางเท้าลงบนพื้นได้ง่าย จากการที่ปรับโครงสร้างแชสซีส์ใหม่นั้น ส่งผลให้ขาด้านในของผู้ขับขี่กางออกด้วยระยะที่แคบลงจากเดิม 53 มม.

มุมมองด้านหน้าโฉบเฉี่ยวด้วยการปรับชุดไฟหน้าใหม่ที่กะทัดรัดมากขึ้นพร้อมทั้งโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ DRL-Daytime Running Light เช่นเดียวกับมุมมองด้านหลังที่ออกแบบช่วงท้ายใหม่พร้อมวางทางเดินท่อไอเสียแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนโดยวางแนวท่อคู่รอดใต้เบาะนั่ง ด้วยการเน้นโครงสร้างในแบบ minimalist superstructure ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในการจัดการดูแลรักษาตัวรถ ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ของ 2020 Hypermotard ที่ออกมาใหม่นี้ แสดงชัดเจนถึงความกะทัดรัดคล่องแคล่ว โดยสามารถลดน้ำหนักลงจากโมเดลก่อนหน้านี้ได้ร่วม 4 กก.(เฉพาะในส่วนของเครื่องยนต์นั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 1.5 กก.) ซึ่งน้ำหนักที่ลดลงไปนั้นเป็นผลมาจากการออกแบบปรับเปลี่ยนในส่วนของ เฟรมใหม่ วงล้อใหม่ , จานดิสก์เบรกใหม่ , รวมทั้งโช้คอัพน้ำหนักเบาจาก Marzocchi forks ที่ได้ทำการพัฒนาชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยวัสดุอลูมินัมเกรดดีรวมทั้งการปรับฟังก์ชั่นต่างๆของระบบกันสะเทือนใหม่

เครื่องยนต์ของ new Hypermotard 950 ปรับใหม่จากของเครื่องยนต์ Testastretta11 twin ขนาด 937 ซีซี ที่ให้กำลังขับเคลื่อนอย่างยอดเยี่ยม ผสานกับความลงตัวของระบบอิเล็คทรอนิคส์ new electronics ที่พัฒนามาเพื่อเน้นถึงความนุ่มนวลในการขับขี่และควบคุมจังหวะการขับขี่ได้อย่างเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ซึ่งเครื่องยนต์ใหม่ที่ปรับมานี้ ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดในระดับ 9.8kgm ที่แรงบิดกว่า 80% พร้อมถูกนำออกมาใช้ในช่วงระดับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ 3,000 รอบต่อนาที นี่คือเครื่องยนต์ที่มีความลงตัวสำหรับการขับขี่เพื่อความสนุกสนานและการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่สามารถตอบสนองการขับขี่ได้ทั้งเส้นทางในเมือง นอกเมือง ทั้งทางเรียบ และวิบาก อีกทั้งยังพร้อมตอบสนองการขับขี่ในแทร็คทางเรียบได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ

ไฮไลท์ความโดดเด่นในด้านสมรรถนะนั้นมาจากหัวใจที่สำคัญของรถสมัยใหม่ นั่นก็คือ ultra-modern electronics ที่ใช้พื้นฐานระบบประมวลผล Bosch 6-axis Inertial Measureement Unit หรือ 6D IMU ที่คำนวลการเคลื่อนไหวของรถจากรอบทิศทางหรือที่เรียกว่า หกแกนหรือหกระนาบ และจากระบบประมวลผลดังกล่าวนี้เอง ที่สามารถแตกย่อยไปสู่ระบบอิเล็คทรอนิคส์สำคัญที่ใช้ในการควบคุมการขับขี่ในแบบต่างๆ ของตัวรถที่มีบรรจุติดตั้งมาให้ ได้แก่ Bosch Cornering ABS ที่ควบคู่กับ Slide by brake function , Ducati Traction Control EVO หรือ DTC EVO , Ducati Wheelie Control หรือ DWC , และ Ducati Quick Shift หรือ DQS ทั้ง Up และ Down ที่จะติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับ 950 SP ขณะที่เวอร์ชั่น 950 สแตนดาร์ดนั้น จะเป็นออฟชั่นเสริมที่ผู้ขับขี่จะเลือกซื้อเพิ่มได้เอง นอกจากนี้ใน new Hypermotard นี้ ถ้าสังเกตุที่แฮนเดิ้ลบาร์อลูมินัม จะเห็น ว่า มีปั๊มเบรก และปั๊มคลัทช์ติดตั้งอยู่นั่นหมายความว่า ได้รับการเปลี่ยนแปลงระบบคลัทช์จากแบบ cable-operated มาเป็น hydraulic clutch ขณะที่ชุดเรือนไมล์นั้นเปลี่ยนมาเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ TFT เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถสปอร์ตอย่าง Panigale V4

สำหรับความแตกต่างของ Hypermotard 950SP กับ Hypermotard 950 นอกจากลวดลายกราฟฟิกของ SP version และ เบาะที่บางแคบกว่าแล้ว ก็คือ การเซ็ทอัพค่าของระบบกันสะเทือน ของ Ohlins suspension ที่มีระยะยุบตัว +15 ในช่วงหน้า กับ+25 ในช่วงหลัง อีกทั้งยังใช้วงล้อ Marchesini forged wheels มาจากโรงงาน และที่ทราบกันไปแล้วนั้นก็คือ การติดตั้ง DQS เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาจากโรงงานเลย และนอกจากนี้ใน new Hypermotard นี้สามารถที่จะติดตั้ง Ducati Multimedia System หรือ DMS เพื่อผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อระหว่างรถกับสมาร์ทโฟนได้ เพื่อใช้ในการควบคุมฟังก์ชั่นบางอย่างทางด้านมัลติมีเดียได้เช่นเดียวกับรถรุ่นอื่นๆ ของ Ducati ที่มีระบบนี้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ นั้นจะแสดงบนจอ TFT

2020 KTM Duke 250 BS-VI

เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากมาตรฐาน BS-VI ข้อบังคับเรื่องไอเสียที่ประกาศใช้งานในประเทศอินเดีย โดยเจ้า 2020 KTM Duke 250 BS-VI นั้นนอกจากจะได้รับการปรับปรุงในเรื่องของไอเสียใหม่แล้ว ยังมีการเพิ่มสีสันใหม่สำหรับการขายในปี 2020
ที่ประเทศอินเดีย

KTM Duke 250 BS-VI รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางของเน็กเก็ดสปอร์ตรุ่นใหม่ ปี 2020 มาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์ขนาด 248.8 ซีซี 1 ลูกสูบ 4 จังหวะแบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พละกำลังสูงสุด 30 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 24 นิวตันเมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที โดยที่เครื่องยนต์นั้นจะมีการติดตั้งระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ตัวใหม่ พร้อมระบบท่อไอเสียใหม่เพื่อให้ผ่านมาตรฐาน BS-VI โดยยังคงรูปแบบของตัวรถที่ดุดันทั้งการออกแบบ และประสิทธิภาพที่เทียบเท่ากับโมเดลเดิม

โครงสร้างหลักของ KTM Duke 250 BS-VI ยังคงรูปแบบของ Trellis Frame โครงถักสีส้มกระจายแรงได้เป็นอย่างดี ระบบกันสะเทือนหน้าจาก WP ขนาด 43 มม. แบบหัวกลับ Upside-Down โดยที่ระบบกันสะเทือนหลังจะเป็นแบบ Monoshock จากแบรนด์ WP เช่นเดียวกัน ระบบเบรกแบบดิสก์เดี่ยวหน้าหลังขนาด 320 มม. ปั้มเบรก 4 พอร์ทในด้านหน้าและด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 230 มม. ปั้มเบรก 1 พอร์ต พร้อมกับระบบนิรภัย ABS จาก Bosch แบบ Dual Channel

สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลดิจิตอล LCD เต็มรูปแบบ ระบบไฟส่องสว่างแบบฮาโลเจน โดยมีการเสริมระบบไฟ DRL แบบ LED เข้ามา ตัวรถยังมีการติดตั้งระบบ Assist & Slipper Clutch มาให้ใช้งาน ถังน้ำมันจุได้ 13.5 ลิตร น้ำหนักตัวโดยรวมอยู่ที่ 161.9 กิโลกรัม

Husqvarna 701 Supermoto

ด้วยขุมพลังระดับ 74 แรงม้า มาพร้อมระบบอิเล็คทรอนิคส์ล้ำสมัย advanced electronics และ โครงสร้างแชสซีส์ชั้นยอดที่ขนานให้เป็น state-of-the-art chassis ทำให้ 701 Supermoto เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีสมรรถนะในระดับรถแข่ง แต่พร้อมที่จะตอบสนองการขับขี่บนท้องถนนในเวลาเดียวกัน

รหัสรุ่น 701 นี้คือรถในไลน์ผลิต street motorcycle segment หรือรถที่พัฒนามาเพื่อใช้งานบนท้องถนนตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งมีทั้ง endure และ supermoto ที่มีการอัพเดทปีต่อปีที่มีการพัฒนาเวอร์ชั่นล่าสุดออกมา

และแน่นอนว่าโมเดล 2020 ล่าสุดนี้ ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนคาแรคเตอร์การส่งกำลังเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้สนุกกับการขับขี่ยิ่งขึ้น ด้วยการเซ็ทค่าของโหมดการขี่ใหม่ที่สามารถปรับผ่าน New Switchable Ride Modes พร้อมด้วยการติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่จำเป็น และสำหรับรถจักรยานยนต์สมัยใหม่ อย่างเช่น New Bosch cornering ABS ที่จะช่วยคำนวณจังหวะการเบรกกิ้งได้เหมาะสมกับองศาการเลี้ยว หรือแม้แต่ New Easy Shift function ที่ช่วยให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์สั้นลง และพัฒนาค่าแทร็คชั่นที่ล้อหลังให้ดีขึ้น improved rear wheel traction อีกทั้งยังมี New lean angle sensitive motorcycle Traction Control มีการคำนวณค่าแมร็คชั่นของล้อหลังที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวะที่รถกำลังเอียงหรือเลี้ยวได้เหมาะสมกับแต่ละองศาในการขี่ขณะเลี้ยวนั่นเอง แน่นอนว่า กราฟฟิคและสีสันคือสิ่งที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นปกติโดยกราฟฟิคในโมเดลล่าสุดนี้ได้ออกแบบให้เข้ากับมิติตัวรถที่เพรียวมากขึ้นจากเดิม

ด้วยขุมพลังขนาด 74 แรงม้า ตามที่กล่าวไว้แล้วนั้น มาจากเครื่องยนต์สูบเดียว single overhead camshaft สี่วาล์วระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มีการปรับฝาสูบด้วยการใช้ intake valve หรือ วาล์วไอดี ขนาด 42 มม. พร้อม exhaust valve หรือ วาล์วไอเสีย ขนาด 34 มม. ซึ่งเครื่องยนต์ให้แรงบิดขนาด 71 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบ ต่อนาที และแน่นอนว่ากำลังสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ ต่อนาที ซึ่งจะส่งผ่านชุดเกียรแบบ เกียร์บ๊อกซ์น้ำหนักเบา lightweight 6 speed gearbox ที่มาพร้อมกับ easy shift function ที่ออกแบบมาให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้คลัทช์ในการจ่ายน้ำมันนั้นใช้ Keihin electronic fuel injection system ที่มีเรือนลิ้นเร่งขนาด 50 มม. ซึ่งจังหวะการเปิดปิดคันเร่งนั้นเป็นแบบ Ride-by -wire throttle ที่ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า และผ่านการสั่งงานโดย engine management system หรือ EMS ที่จะประมวลผลผ่านเซ็นเซอร์

สเปคพื้นฐานของตัวรถมีข้อมูลดังนี้
ENGINE
Displacement 7 cm³
Power in KW 55 kW
Design1-cylinder, 4-stroke engine
Bore 105 mm
Stroke 80 mm
Starter Electric starter
Lubrication Forced oil lubrication with 2 oil pumps
Transmission 6-speed
Cooling Liquid cooled
Clutch APTC(TM) slipper clutch, hydraulically actuated
EMS Keihin EMS with RBW, twin ignition
CHASSIS
Frame design Chromium-Molybdenum steel trellis frame, powder coated
Suspension travel (front) 215 mm
Suspension travel (rear) 240 mm
Front brake Brembo four-piston radial fixed calliper, brake disc
Rear brake Brembo single-piston floating calliper, brake disc
Front brake disc diameter 320 mm
Rear brake disc diameter 240 mm
ABS Two-channel Bosch 9.1 MP ABS (incl. Cornering ABS and Supermoto mode Disengegable)
Steering head angle 6 °
Ground clearance 238 mm
Seat height 890 mm
Tank capacity (approx.) 13 l
Weight without fuel 147 kg

รีวิว ยามาฮ่าฟินน์ สีสันใหม่ สไตล์ ฟินน์

ยามาฮ่า ฟินน์ สีสันใหม่ มาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ๆ มีให้เลือกทั้งสตาร์ทมือ และสตาร์ทเท้า ให้ความสะดวกสบาย ทั้งสวย ทนทาน ไม่จุกจิก และสุดประหยัดด้วยสมองกลอัจฉริยะ ECU ควบคุมหัวฉีดสุดประหยัดสั่งจ่ายน้ำมันทำให้ประหยัดมากขึ้น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รับประกัน 5 ปี

Review New Honda MSX125SF

New Honda MSX125SF นับเป็นสตรีทไบค์ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นรถที่ขับขี่สนุกด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวคล่องตัว มันส์กว่าด้วยคลัทช์มือ ทั้งยังให้ความมั่นใจทุกครั้งที่ใช้เบรกหน้าด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีสุดล้ำอย่างระบบเบรก ABS With G-Sensor ซึ่งที่ผ่านมาเราจะได้เห็นเทคโนโลยีนี้เฉพาะในรถบิ๊กไบค์สายสปอร์ตเป็นส่วนใหญ่อาทิ CBR1000RR ครับ

Review All New YAMAHA NMAX 155

ยามาฮ่าตอกย้ำความเป็นผู้นำออโตเมติกสุดแม็กซ์เปิดตัว All New YAMAHA NMAX 155 รุกตลาดรถออโตเมติกพรีเมี่ยมระดับ 155 ซีซี เปิดจำหน่ายในราคา 85,900 บาท

Review New Yamaha GT125

Yamaha GT125 ใหม่! New Generation of Torque เฟี้ยวฟาสต์ บาดใจ สไตล์สปอร์ตเต็มขั้น ที่สุดแห่งความเร้าใจ โฉบเฉี่ยวขี่สนุก ด้วยเครื่องยนต์บลูคอร์ ขนาด 125 ซีซี ออกตัวแรง บิดเร่งเร้าใจ…สไตล์วัยมันส์ พร้อมรับประกันทั้งคัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร* เป็นครั้งแรกของโลก!

Yamaha Thailand Racing Team

ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมของทีมแข่ง ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีม ในสังเวียนระดับเอเชีย สามารถคว้าโพเดี้ยมมาครองได้ทั้งสองเรซในการแข่งขัน เอเชีย โรดเรซซิ่ง แชมเปี้ยมชิพ สนามแรกที่ เซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอรืกิต ประเทศมาเลเซีย มีคะแนนสะสมอยู่หัวตารางลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้

รุ่นใหญ่สุดของรายการ Superbike 1000cc ทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิง ทีม ส่งสองนักแข่งระดับหัวกะทิ สแตมป์-อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์#24 และ ตรี-อนุภาพ ซามูล#500 เพื่อลุ้นแชมป์ของฤดูกาลนี้ โดยทั้งคู่จะใช้รถแข่งทีเป็นสุดยอดของเทคโนโลยีรหัสแข่ง YZF-R1M 2020 ที่มีการพัฒนาสมรรถนะเครื่องยนต์เพื่อรองรับการขับขี่ที่เร้าใจทั้งในสนามแข่งและการขับขี่ทั่วไป แต่สำหรับใช้ในการแข่งขันจึงมีการปรับเปลี่ยนใหม่เหมาะสมในสนาม

มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้างดูได้ที่รูป และข้อมูลตัวรถ

Yamaha YZF-R1M #24 & #500
Yamaha Thailand Racing Team
ชุดแฟริ่ง สำหรับการแข่งขัน
กราฟฟิคสี Yamaha Thailand Racing Team
มือคลัตช์ Gale Speed
พักเท้า อะลูมิเนียมสำหรับการแข่งขัน
เครื่องยนต์ 4 สูบ ปริมาตรกระบอกสูบ
998 ccm. DOHC 4 วาล์วต่อสูบ
ระบบระบายความร้อน ระบายความร้อนด้วยน้ำ
หม้อน้ำ BM Radiator
ระบบจ่ายน้ำมัน ระบบหัวฉีดพร้อมเทคโนโลยี YCC-T และ YCC-I
กรองอากาศ Sprint Filter
เกียร์ 6 ระดับ
ระบบคลัตช์ แบบเปียกพร้อมเทคโนโลยี
สลิปเปอร์คลัตช์ STM
โซ่ DID
สเตอร์ อะลูมิเนียม Sunstar
ท่อ Akapovic
ECU GYTR
การ์ดแคร้งเครื่อง GB Racing
โช้คอัพหน้า Ohlins 43 mm. โมดิฟายชุดคิท FKR
โช้คอัพกันสะบัด Ohlins
โช้คอัพหลัง Ohlins TTX-GP
ระบบเบรกหน้า ดิสก์เบรกแบบคู่ ปั๊มลอย brembo Racing ขนาด 19×18 มือเบรก RCB การ์ดมือเบรก RC เพิ่มชุดรีโมทสำหรับปรับระยะมือเบรก จานเบรก brembo T Drive 320 mm. คาร์ลิปเปอร์ YZF-R1M ขนาด 4 ลูกสูบ
ระบบเบรกหลัง ดิสก์เบรกแบบเดี่ยว
ปั๊มเบรก YZF-R1M
จานเบรกหลัง YZF-R1M 220 mm. สายเบรก Active
ล้อ YZF-R1M 17×3.50, 17×6.00
ยาง DUNLOP

2020 AMA Supercros R.6-7

หลังจากที่โลกเผชิญกับโลกร้าย โควิด-19 รายการเอเอ็มเอซูเปอร์ครอส ก็ยังคงเดินหน้าจัดการแข่งขันต่อไป กระทั่งเข้าสู่ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งดำเนินการจัดแข่งขันมาถึงสนามที่ 10 โดยช่วงนี้ ไวรัสโควิด-19 ได้ขยายวงกว้างไปหลายประเทศ และเริ่มแทรกซึมเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ทางผู้จัดแข่งขัน จึงได้ประกาศเลื่อนการแข่งขันไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งเป็นไปตามประกาศของทางการสหรัฐที่ว่า ห้ามชุมนุม ห้ามเดินทางข้ามรัฐ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น….และทางไรดิ้งจะทำการรายงานการแข่งขันที่ได้แข่งไปแล้ว ไปเรื่อยๆ ครับผม

สนาม 6 (8 ก.พ.63)
ซานดิเอโก, รัฐแคลิฟอร์เนีย
250cc ฝั่งตะวันตก
โฮลชอตเป็นของ ออสติน โฟร์คเนอร์ (คาวาซากิ) ก่อนโดน ไมเคิล โมซิแมน (ฮัสวาน่า) แซงขึ้นนำ โฟร์คเนอร์พยายามไล่ทวงคืน และแซงขึ้นไปนำได้ในรอบที่ 5 โมซิแมนได้ ดีแลน เฟอร์แรนดิส (ยามาฮ่า) ขึ้นมาไล่กดดัน ทั้งคู่ผลัดกันขึ้นนำอยู่หลายโค้ง จนโมซิแมนขี่เสียจังหวะ เฟอร์แรนดิสเลยได้ขึ้นที่ 2 โมซิแมนเริ่มขี่ข้าลง เลยโดน จัสติน คูเปอร์ (ยามาฮ่า) แซงขึ้นที่ 3มาที่ เฟอร์แรนดิส เขาเร่งสปีดขึ้นไปหาจ่าฝูงโฟร์คเนอร์ พอทันก็ไล่กดดัน และแซงขึ้นนำได้โดยการเสียบไลน์ในโค้ง ช่วง 4 รอบสุดท้าย โดยเกมจบที่ เฟอร์แรนดิสชนะ โฟร์คเนอร์ที่ 2 คูเปอร์ที่ 3 โมซิแมนที่ 4 และแบรนดอน ฮาร์ทแรน (เคทีเอ็ม) ที่ 5
คะแนนสะสมฝั่งตะวันตก (6 จาก 10 สนาม)

  1. ดีแลน เฟอร์แรนดิส 135 คะแนน
  2. จัสติน คูเปอร์ 128 คะแนน
  3. ออสติน โฟร์คเนอร์ 122 คะแนน
  4. แบรนดอน ฮาร์ทแรน 110 คะแนน
  5. อเล็กซ์ มาร์ติน 98 คะแนน

450cc
เบลค แบคเก็ต (เคทีเอ็ม) ได้โฮลชอต แต่มาโดน อดัม เชนเชียรูโล (คาวาซากิ) กับคูเปอร์ เวบบ์ (เคทีเอ็ม) ที่ขี่อยู่ไลน์ในแซงขึ้นไปนำ ผ่านไปอีกไม่กี่โค้งเว็บบ์ก็โดน อารอน เพลสซิงเกอร์ (ยามาฮ่า) มัลคอม สจ๊วต (ฮอนด้า) และจัสติน ฮิล (ฮอนด้า) แซงขึ้นที่ 3-4-5 ได้ก่อนจบรอบแรก เวบบ์ตั้งหลักได้ก็จะขอแซงคืน เริ่มจากแซงฮิลขึ้นที่ 5 ในรอบที่ 2 แซงมัลคอมขึ้นที่ 4 ในรอบที่ 4 และแซงเพลสซิงเกอร์ขึ้นที่ 3 ในรอบที่ 7 ด้านหลังเวบบ์กลายเป็น จัสติน บาร์เชีย (ยามาฮ่า) เคน ร็อคเซน (ฮอนด้า) และอีไล โทแมค (คาวาซากิ) ที่ค่อยๆ ไล่แซงตามเวบบ์ขึ้นมา จากนั้นโทแมคก็แซงร็อคเซนขึ้นที่ 5 ในรอบที่ 9 และแซงบาร์เชียขึ้นที่ 4 ในรอบที่ 11 ไปที่คู่ชิงจ่าฝูง เวบบ์พอขึ้นมาทันโฟร์คเนอร์ ก็ไล่กดดัน ผลัดกันเสียบในอยู่หลายครั้ง แต่ที่สุดเวบบ์ก็นำขาด โดยเกมจบที่ เวบบ์ชนะ เชนเชียรูโลที่ 2 แบคเก็ตที่ 3 โทแมคที่ 4 และบาร์เชียที่ 5

สนาม 7 (15 ก.พ.63) แทมพา, รัฐฟลอริดา
250cc ฝั่งตะวันออก
เป็นสนามแรกของฝั่งตะวันออก จอร์ดอน สมิธ (คาวาซากิ) ได้โฮลชอตก่อนโดน เชน แมคเอลราธ (ยามาฮ่า) แซงขึ้นนำได้ก่อนจบรอบแรก จากนั้นสมิธก็มาโดน เจเรมี่ มาร์ติน (ฮอนด้า) ชิงที่ 2 ไปในรอบที่ 2 ขี่ตามสมิธมาก็มี เชส เซกซ์ตัน (ฮอนด้า) โจ ชิโมดา (ฮอนด้า) และอาร์เจ แฮมชายร์ (ฮัสวาน่า) เชสตันไล่กดดันสมิธ มาแซงขึ้นที่ 4 ได้ในรอบที่ 4 จากนั้นก็ชิงที่ 2 มาจากเจเรมี่ได้ในรอบที่ 5 ขณะที่ด้านหลัง สมิธโดน แกเรตต์ มาร์ชแบงค์ (คาวาซากิ) แซงขึ้นที่ 4 ได้ในรอบที่ 8 โดยเกมจบที่แมคเอลราธชนะ เซกซ์ตันที่ 2 เจเรมี่ที่ 3 มาร์ชแบงค์ที่ 4 และสมิธที่ 5
คะแนนสะสม

  1. เชน แมคเอลราธ 26 คะแนน
  2. เชส เซกซ์ตัน 23 คะแนน
    3 .เจเรมี่ มาร์ติน 21 คะแนน
  3. การ์เรตต์ มาร์ชแบงค์ 19 คะแนน
  4. จอร์ดอน สมิธ 18 คะแนน

450cc
วินซ์ ฟรีซ (ฮอนด้า) ได้โฮลชอตก่อนโดน เชนเชียรูโลแซงขึ้นไปนำแทน และในรอบที่ 2 ก็โดนโทแมคกับมัลคอมแซงขึ้นที่ 2-3 แถมในรอบที่ 3 ฟรีซยังมาโดน เวบบ์กับร็อคเซน ชิงที่ 3-4 ไปได้อีก โทแมคไล่กดดันจ่าฝูงเชนเชียรูโลก่อนแซงขึ้นนำได้ในรอบที่ 11 ขึ้นรอบที่ 15 โทแมคแซงมัลคอมขึ้นที่ 3 และในรอบต่อมา เชนเชียรูโลพลาดล้ม หล่นไปหลายตำแหน่ง โทแมคเลื่อนขึ้นที่ 2 เกมผ่านไปอีก 2-3 รอบ ร็อคเซนเสียบในมัลคอม แซงขึ้นที่ 3 ได้ในรอบที่ 18 ช่วงท้ายเกม มัลคอมโดน จัสติน ฮิล ชิงที่ 4 ไปได้ แต่ใน 2 รอบสุดท้าย ฮิลก็โดนบาร์เชียที่แซงมัลคอมมาได้ แซงชิงที่ 4 ไปได้อีก โดยเกมจบที่โทแมคชนะ เวบบ์ที่ 2 ร็อคเซนที่ 3 บาร์เชียที่ 4 และฮิลที่ 5
คะแนนสะสม (7 จาก 17 สนาม)

  1. อีไล โทแมค 155 คะแนน
  2. เคน ร็อคเซน 151 คะแนน
    3 .คูเปอร์ เวบบ์ 144 คะแนน
  3. จัสติน บาร์เชีย 135 คะแนน
  4. อดัม เชนเชียรูโล 128 คะแนน

Vespa Racing Sixties

นี่คือที่สุดของ Elegant Sports Style ที่ค่ายอิตาเลี่ยนสกู๊ตเตอร์อย่าง Vespa ออกแบบมาหรือตกแต่งภาพลักษณ์ให้กับ Vespa Sprint และ GTS Super โดยซีรี่ส์รถนี้เรียกว่า Vespa Racing Sixties ที่จัดอยู่ใน Special Series ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการแข่งขันในยุคคลาสสิค อย่างยุค ’60 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีตำนานประวัติศาสตร์ในวงการแข่งขันมากมาย

ดังนั้นเพื่อความพิเศษทาง Vespa จึงได้นำ Vespa Sprint และ Vespa GTS Super มาปรับแต่งเป็น Special Series ด้วยโทนสีและกราฟิคเฉพาะซีรี่ส์พิเศษ โดยในกลุ่มรถ Sprint จะมีทั้งขนาดเครื่องยนต์ 50-125-150 ซีซี ส่วนกลุ่มรถ GTS Super จะมีขนาด 125-300 ซีซี นอกจากลวดลายกราฟฟิค และสีดังกล่าวแล้ว ยังมีการปรับเบาะนั่งใหม่ และวงล้อใหม่อีกด้วยเพื่อให้เป็นซีรีส์พิเศษที่แตกต่างจากไลน์ผลิตปกติ ก็ติดตามจากภาพที่เรานำมาให้ชมกันนี้เลย

พร้อมด้วยคอลเล็คชั่นเครื่องแต่งกายที่ออกมาพร้อมกันนี้ ลองสอบถามตัวแทนจำหน่ายในประเทศว่ามีซีรีส์พิเศษนี้เข้ามาจำหน่ายหรือไม่ เพราะนี่เป็นภาพชุดที่เราได้รับมาจากต่างประเทศนำมาฝากกัน

Fino Sporty On The Road

จะมองมุมไหนก็โดนใจกับรถจักรยานยนต์ออโตเมติกแฟชั่นสุดสวยจากค่าย ยามาฮ่า หาเทรนด์ใหม่ให้ผู้ใช้ตลอดเวลา และไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักแต่งรถยุคนี้เพราะว่าอุปกรณ์ของแต่งทั้งหลายสามารถหาได้ง่าย แต่ใครจะสามารถออกไอเดียได้โดดเด่นกว่ากันนั่นมันอีกเรื่อง อย่างเจ้า FINO คันนี้ ถูกปรับแต่งเพิ่มออพชั่นด้วยของแต่งเทรนด์ใหม่ล้วนๆ ทั้งสมรรถนะที่ดีขึ้น และความสวยงามที่เตะตาบนท้องถนน

จัดแต่งมาแบบเห็นแล้วอยากได้ขี่ไปโฉบสาวสักรอบ ลวดลายสีสันเน้นความเป็นสปอร์ตคมเข้ม ด้วยพื้นดำด้านตัดด้วยลายข้างสีส้มและสีเทา ด้วยรูปทรงของตัวรถที่ออกแบบใหม่ จิวเวอรี่ลุค ทำให้มุมมองต่างๆ มีความโค้งมนรับกันตลอดทั้งคัน เรียกได้ว่าหล่อ เท่ห์ ไม่ซ้ำใคร

ปรับลุคให้ไฉไลด้วยของเล่นเทรนด์ใหม่ เพิ่มสมรรถนะการควบคุมที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้นด้วยโช้คอัพหน้าคู่ใหม่ เทคโนโลยีล้ำสมัยกับระบบการทำงานแบบหัวกลับ Up Side Down กระบอกดำแกนโคสติ้งสีทองสุดฮอตจาก โช้คอัพ Gazi วงล้อแม็กเปลี่ยนลายเพิ่มความสปอร์ตด้วยแม็กขนาด 12 นิ้ว หน้ากว้าง 10 ก้าน รัดขอบด้วยยางเรเดียลทูปเลส ระบบดิสก์เบรกใช้จานดิสก์สร้างขนาด 200 มม. แบบให้ตัวด้วยโฟลท์ติ้งอลูมินัม 8 ตัว คาลิเปอร์เบรกสไตล์ของรถสกู๊ตเตอร์ลูกสูบคู่ สายไล่น้ำมันแบบถักย้ำด้วยหัวสแตนเลสแบบวงแหวน ส่วนเบรกหลังแบบดรัมเบรกปรับเปลี่ยนขารั้งใหม่อลูมินัมแบบแยกชิ้น ช่วงบนควบคุมบังคับด้วยแฮนด์บาร์กว้างสวมด้วยปลอกแฮนด์อลูมินัมก้านเบรกแบบปรับระดับ กระจกมองข้างทรงเหลี่ยม เบาะนั่งปาดเรียบๆ ในส่วนของฟุตบอร์ดเสริมออพชั่นด้วยชุดพักเท้าโครงเหล็กดัด พักเท้าแบบพับขึ้น

ช่วงหลังจัดมาเต็มๆ กับระบบรองรับกันสะเทือนด้วยโช้คอัพเดี่ยว ทำงานสองระบบ ทั้งแก๊ส และน้ำมัน พร้อมกับแท้งค์แก็สแบบบิ้วท์อิน ที่สามารถปรับความพรีโหลด รีบาวด์ ได้ และยกสูงปรับองศาขึ้นด้วยสเปเซอร์อลูมินัม และเครื่องยนต์เสริมออพ ชั่นการดูดอากาศเพิ่มด้วยตัวกรองต่อยื่นออกมาด้านนอกปลายอลูมินัมเทรนด์ใหม่มาแรง ส่วนทางด้านขวา ท่อไอเสียสแตนเลสสวมด้วยปลายสแตนเลสชุบรุ้ง เบียดทุกกระแสความเท่ห์ด้วยไอเดียแบบสปอร์ตยอดนิยม ทั้งสีสัน และออฟชั่นที่ลงตัว…นี่ล่ะ Fino Sporty