New YAMAHA QBIX

New YAMAHA QBIX Digital Automaticสนุกสุด Fun…สีสันสุดเทรนด์
ยามาฮ่า คิวบิกซ์ ใหม่…เป็นอะไรที่สนุกสีสันใหม่ สไตล์แฟชั่น #ของมันต้องมี ออโตเมติคแฟชั่นลุคใหม่ สีสันสุดเทรนด์ ดีไซน์โมเดิร์นพร้อมฟังก์ชั่นสะดวกสบายรอบคัน ขี่สนุกและประหยัดด้วยเครื่องยนต์ BLUE CORE 125 ซีซี.

เรือนไมล์ดิจิตอล FULL LCD
ช่องต่อชาร์จไฟแบบรถยนต์ MOBILE CHARGER SOCKET
ที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 22.5 ลิตร
ไฟหน้า FULL LCD
ล้อแม็ก 12 นิ้ว พร้อมยาง 140* เฉพาะ QBIX ABS และ QBIX S
กุญแจรีโมท
ระบบกุญแจอัจฉริยะ*
เฉพาะรุ่น QBIX ABS
ไฟท้าย FULL LED
ระบบ STOP START SYSTEM ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
ถังน้ำมัน 4.2 ลิตร
น้ำหนัก QBIX 103.0 กก.

ราคา 54,400 บาท
QBIX S 106.0 กก.
ราคา 56,900 บาท
QBIX ABS 108.0 กก.
ราคา 60,800 บาท

2020 Yamaha MT-03 MT-125 อีกสองสมาชิกจากครอบครัว The Dark Side Of Japan

คอนเซ็ปท์ประจำแก๊งค์สำหรับรถกลุ่มสตรีทไบค์สไตล์เน็กเก็ดที่ Yamaha ระบุสัญชาติว่าเป็น Hyper Naked ที่มาพร้อมกับข้อความที่ว่า The Dark Side Of Japan ซึ่งริเริ่มมาพร้อมกับสปอร์ตโฆษณาไปทั่วทั้งยุโรปก่อนที่จะขยายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ กับการเปิดตัว MT-09 ในปี 2013 ที่ทางค่ายถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการทำตลาดรถในสายสตรีทไบค์อย่างเต็มตัว พร้อมนำเสนอภาพลักษณ์อีกด้านหนึ่งของความดุเดือดรุนแรงของสมรรถนะ

ด้วยการเล่นกับวัฒนธรรมของกลุ่มผู้ใช้รถของญี่ปุ่นบางส่วน ที่สามารถเกี่ยวโยงกับเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ ที่มีความโดดเด่นทางด้านแรงบิดจนเป็นที่มาของคำว่า “Masters of Torque” กลายมาเป็นรหัสรุ่น MT นับจากจุดนี้เองที่ทำให้ชื่อชั้นของรุ่นในรหัส MT เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน รถในซีรี่ส์นี้มีตั้งแต่ขนาด 125 ซีซี ถึง 1,000 ซีซี โดยในแต่ละรุ่นนั้นต่างก็มาพร้อมกับมาตรฐานที่อาจจะเรียกว่า Hyper Standard หรือรถที่มีความพิเศษเฉพาะจาก Yamaha ซึ่งมาในภาพลักษณ์ของเน็กเก็ดไบค์ โดยที่ผ่านมาในยุโรปได้มีความเคลื่อนไหวต่างๆตลอดเวลาสำหรับรถในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะระยะหลังเริ่มมีเวอร์ชั่นพิเศษที่เน้นสมรรถนะออกมา อย่าง SP Version ที่เพิ่มความเป็นสปอร์ตให้กับ MT-09 และ MT-10 หรือแม้แต่การปรับสไตล์เสริมประสิทธิภาพการขี่ทางไกลในแบบ Tourer Edition ให้กับ MT-10 สลับสับเปลี่ยนกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ตกแต่งต่างๆออกมาอย่างต่อเนื่องให้กับรถในกลุ่มรหัสรุ่น MT นี้

อย่างความเคลื่อนไหวล่าสุดกับการเปิดตัวชิ้นส่วนอะไหล่ตกแต่ง สำหรับ MT ในพิกัดเล็กของซีรี่ส์ อย่าง MT125 กับ MT03 ที่เป็นสองรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวออกมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเพื่อทำตลาดในยุโรป จากนั้นไม่นานในช่วงต้นปีก็ได้ส่ง New Sports Pack ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชุดแต่งด้าน body work ที่จะเป็นการปรับโฉมตัวรถไปให้มีความดุดันเข้มขลังยิ่งขึ้นตามนิยามของการออกแบบ New Sports Pack ที่ออกมานี้ว่า Darker Than Ever ซึ่งส่วนมากจะเป็นชิ้นส่วนสำหรับการตกแต่งในส่วนของ Body Parts ที่จะช่วยเสริมความดุดัน และความแปลกตาทางด้านรูปโฉมที่เด่นสะดุดตาเพิ่มไปจากรถเดิม ส่วนหนึ่งจากความพยายามในการพัฒนา และส่งเสริมความเคลื่อนไหวต่างๆของรถในกลุ่ม Hyper Naked ของ Yamaha จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตลอดหกปีต่อเนื่องที่ผ่านมานี้ รถในรหัส MT สามารถทำยอดขายในยุโรปได้มากกว่า 240,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ของกลุ่มผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า MT มี ตัวเลือกรุ่น ตั้งแต่ 125-1,000 ซีซี โดยล่าสุด กลุ่มผู้ถือใบอนุญาติขับขี่ระดับ A1 และ A2 คือเป้าหมายของการขยายฐาน ดังนั้น รถในพิกัดขนาดเล็ก อย่าง MT125 และ MT-03 จึงได้รับการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ MT-03 ใหม่ล่าสุดที่ออกมาเมื่อช่วงต้นปีก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งทุกโรงงานทุกค่ายต่างก็ต้องปิดโรงงานกันถ้วนหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น MT-03 จึงเป็นรุ่นล่าสุด ของรหัส MT ที่ถูกส่งออกมาในเวลานี้

ด้วยนิยาม Dark Lightning ที่มาพร้อมกับ New MT-03 น่าจะสื่อว่า นี่คือความโดดเด่นยามค่ำคืน ประดุจสายฟ้า หรือฟ้าแลบแป๊รบปร๊าบในยามราตรี ความโดดเด่นในที่นี้น่าจะสื่อถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับรถในพิกัดเดียวกัน เบา ทรงประสิทธิภาพ ซึ่ง Yamaha มุ่งหวังให้ MT-03 เป็นหนึ่งในรถที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่มเครื่องยนต์แบบ สองสูบ และแม่นยำเที่ยงตรงในทุกจังหวะของการขับขี่ ด้วยประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของระบบกันสะเทือน ที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถรองรับทุกฟิลลิ่งทุกจังหวะการโลดแล่นของผู้ขี่ ในขณะเดียวกันรถรุ่นนี้แม้จะเปี่ยมสมรรถนะ แต่ก็พร้อมสำหรับรองรับการเป็น ตัวเลือกแรกในฐานะ First Full Sized Machine ของนักบิดผู้หญิงที่จะเปิดประสบการณ์ในฐานะไบเกอร์สาวที่เตรียมโลดแล่นไปบนท้องถนนได้อีกด้วย

ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 321 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ จากเครื่องแบบ 2-cylinder engine ที่มาพร้อมกับลูกสูบเบาแข็งแกร่ง lightweight forged pistons และก้านสูบที่ทำงานอย่างเที่ยงตรงช่วยให้การจัดการการส่งกำลังทำได้ดีในรอบต่ำ และดุดันในรอบสูง จึงทำให้ MT-03 เป็นรถที่ขี่สนุกในเมืองและพร้อมพุ่งทะยานบนถนนขณะที่พิกัดเล็กสุดในรหัส MT ที่ออกโมเดลใหม่มาก่อน MT-03 ไม่นานนัก ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ระหว่างช่วงงานจัดแสดงรถในยุโรป ซึ่งก็คือ MT125 ที่มาพร้อมกับนิยามว่า Darkness is the next level ก็คงจะหมายถึงพัฒนาการอีกขั้น ของ MT125 ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมจากโมเดลก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ การปรับช่วง เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่เป้าหมายหลักของรถรุ่นนี้ ก็คือ วัยรุ่น ดังนั้นหัวใจของการพัฒนาก็คือ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถที่ “ขี่สนุก” และ มีสมรรถนะความเป็นสปอร์ตที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น New MT125 จึงมาพร้อมกับ all new Engine ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือ การแชร์เทคโนโลยีที่ได้พัฒนามาก่อนหน้านี้กับรถในกลุ่มสปอร์ตอย่าง YZF-R125 โดยเฉพาะเทคโนโลยีในส่วนของ Variable Valve Actuation (VVA) system ที่เน้นให้มีความเร็วสูงตามแบบรถสปอร์ต แต่ก็ได้ปรับให้สามารถตอบสนองเอกลัษณ์ของรถในรหัส MT นั่นก็คือ การพัฒนาให้มีแรงบิดที่ยอดเยี่ยมในช่วงรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่ต่ำด้วยเช่นกัน สำหรับในเอเชียหรือในประเทศเราเองนั้น พิกัดต่ำสุดที่จำหน่ายในรหัส MT ก็คือ ปริมาตรเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี แต่พื้นฐานก็มาจากเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับ MT125 ได้อัพระบบกันสะเทือนในระดับเดียวกับรถที่มีปริมาตรเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า ด้วยการใช้ชุดฟอร์คหน้าแบบหัวกลับ upside down ที่มีขนาด 41 มม. ซึ่งสามารถรองรับระยะยุบตัวได้ถึง 130 มม. เช่นเดียวกับเฟรมใหม่ New Deltabox frame ที่ปรับให้โครงสร้างตัวรถมีระยะวีลเบสอยู่ที่ 1325 มม. ซึ่งสั้นลงกว่าโมเดลก่อนหน้านี้ 30 มม. พร้อมด้วยชุดสวิงอาร์มใหม่ ซึ่งมีส่วนช่วยให้รถมีประสิทธิภาพในการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็เคาะราคาขายกันตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะส่งชุดแต่งและอะไหล่เพิ่มเติมต่างๆออกมาพร้อมกับ MT-03 นับว่าในยุโรปมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับการเปิดตลาดเจาะกลุ่มผู้ขับขี่ในระดับเริ่มต้น และเยาวชนที่มีใบอนุญาติขับขี่ระดับ A1 และ A2 สำหรับรายละเอียดของทั้งสองโมเดลในพิกัดเล็กสุดจากซีรี่ส์ Hyper Naked รหัส MT จาก Yamaha มีดังนี้

สเปค MT-03
Engine type: liquid-cooled;4-stroke;DOHC;4-valves
Displacement: 321 cm³
Bore x stroke: 68.0 mm x 44.1 mm
Compression ratio: 11.2 : 1
Maximum power: 30.9kW (42.0PS) @ 10750 rpm
Maximum Torque: 29.6Nm 3.0kgf+m) @ 9000 rpm
Lubrication system: Wet sump
Clutch Type: Wet;Multiple Disc
Ignition system: TCI
Starter system: Electric
Transmission system Constant Mesh: 6-speed
Final transmission: Chain
Fuel consumption: 3.81l/100km
CO2 emission: 89g/km
Frame: Diamond
Front travel: 130 mm
Caster Angle: 25º
Trail: 95mm
Front suspension system: Telescopic forks, Ø41.0 mminner tube
Rear suspension system: Swingarm
Rear Travel: 125 mm
Front brake: Hydraulic single disc, Ø298 mm
Rear brake: Hydraulic single disc, Ø220 mm
Front tyre: 110/70-17M/C (54H) Tubeless
Rear tyre: 140/70-17M/C (66H) Tubeless
Overall length: 2090 mm
Overall width: 755 mm
Overall height: 1070 mm
Seat height: 780 mm
Wheel base: 1380 mm
Minimum ground clearance: 160 mm
Wet weight (including full oil and fuel tank): 168 kg
Fuel tank capacity: 14L
Oil tank capacity : 2.40L
สเปค MT125
Engine type: Single cylinder;4-stroke;liquid-cooled;SOHC;4-valves
Displacement: 124cc
Bore x stroke: 52.0 mm x 58.6 mm
Compression ratio: 11.2 : 1
Maximum power: 11.0kW (15.0PS) @ 10,000 rpm
Maximum Torque: 11.5Nm (1.16kg-m) @ 8,000 rpm
Lubrication system: Wet sump
Clutch Type: Wet;Multiple Disc
Ignition system: TCI
Starter system: Electric
Transmission system: Constant Mesh;6-speed
Final transmission: Chain
Fuel consumption: 2.13l/100km
CO2 emission: 49g/km
Carburettor: Electronic Fuel Injection
Frame: Steel Deltabox
Caster Angle: 26º
Trail: 95mm
Front suspension system: Upside-down telescopic fork, Ø41 mm
Rear suspension system: Swingarm
Front travel: 130 mm
Rear Travel 114 mm
Front brake: Hydraulic single disc, Ø292 mm
Rear brake: Hydraulic single disc, Ø220 mm
Front tyre: 100/80-17 M/C 52S
Rear tyre: 140/70-17 M/C 66S
Overall length: 1,960 mm
Overall width: 800 mm
Overall height: 1,065 mm
Seat height: 810 mm
Wheel base: 1,325 mm
Minimum ground clearance: 140 mm
Wet weight (including full oil and fuel tank): 140 kg
Fuel tank capacity: 10litres
Oil tank capacity : 1.05litres

เอช เซม มอเตอร์ สยายปีก รุกตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เปิดตัว 3 รุ่นรวด

เอช เซม มอเตอร์ ขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ หลังพิษโควิดซา รุกตลาดครั้งใหญ่ เอาใจลูกค้าที่ชอบพลังงานสะอาด เปิดตัวขายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทีเดียว 3 รุ่นรวด ยืนยันเป็นรถที่จดทะเบียนได้ พร้อมให้บริการหลังการขายถึงพื้นที่ใช้งาน เผยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 600 คัน

นายวันชัย ลี้นะวัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอช เซม มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯได้มุ่งเน้นให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานตลอดมานั้น ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 3 รุ่น โดยจะเริ่มวางตลาดอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งทั้ง 3 รุ่นเป็นรถที่จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฎหมาย คาดว่าจะจำหน่ายได้ในปีนี้ประมาณ 600 คัน สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้ง 3 รุ่นที่จะออกจำหน่ายนี้ประกอบด้วยรุ่น เอช เซม เชา (H SEM CIAO) เป็นรถที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน DC 60V 2000W มีชื่อเรียกว่า Brushless Hub-Motors ความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม. มาพร้อมกุญแจรีโมท ปุ่มกดสตาร์ท สัญญาณกันขโมย และระบบครูสคอนโทรล (Cruise Control) สำหรับล็อคความเร็ว มีให้เลือก 4 สี คือ แดง เหลือง ฟ้า และขาว ราคา 49,700 บาท
อีกรุ่นหนึ่งคือ เอช เซม โมบิล่า (H SEM MOBILA) รุ่นนี้จะแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อยคือ รุ่น G และรุ่น S โดยรุ่น จี (G) ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนแบบเกียร์มอเตอร์ DC72V 3000W ปรับความเร็วแบบเกียร์โลว์-ไฮ (Low – High) ส่วนรุ่น เอส (S) ใช้มอเตอร์ DC72V 3000W แบบ Brushless Hub-Motors ความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม. ปรับความเร็วได้ 2 ระดับพร้อมระบบถอยหลัง มาพร้อมที่เก็บสัมภาระด้านหลังขนาดใหญ่ สามารถติดตั้งกล่องอเนกประสงค์ด้านหลัง พร้อมช่องใส่แบตเตอรี่ได้ถึง 2 ลูก เหมาะกับธุรกิจกลุ่มเดลิเวอรี่หรือใช้ส่งสินค้า มีให้เลือก 4 สี คือ แดง ฟ้า เทา และดำ MOBILA – S ราคา 89,900 บาท ส่วน MOBILA – G ราคา 92,200 บาท และสุดท้ายเป็นรุ่น เอช เซม วิงส์ (H SEM WINGS) ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน DC 72V 3000W แบบ Brushless Hub-Motors ความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม. ปรับความเร็วได้ 3 ระดับ พร้อมระบบถอยหลัง มีความเรียบหรู สวยงามด้วยขอบโครเมี่ยมรอบคัน พร้อมกล่องใส่ของ U Box ใต้เบาะ มี 4 สี คือ แดง ขาว เทา และดำ ราคาอยู่ที่ 95,700 บาท
โดยทุกรุ่นมีการรับประกันมอเตอร์สูงสุด 3 ปี หรือ 30,000 กม. แบตเตอร์รี่ 2 ปี เฉพาะรุ่น WINGS (วิงส์) MOBILA S/G (โมบิล่า เอส/จี) และ สำหรับรุ่น CIAO (เชา) รับประกันแบตเตอร์รี่ 1 ปี อุปกรณ์ไฟฟ้าและตัวรถรับประกัน 1 ปี หรือ 10,000 กม. พร้อมบริการตรวจซ่อมและตรวจเช็คฟรี 3 ครั้ง โดยลูกค้าสามารถนำรถมาที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน หรือต้องการให้เข้าบริการ ณ พื้นที่ใช้งาน (Onsite Service) ก็สามารถโทรนัดหมายล่วงหน้าได้ และที่สำคัญหมดกังวลเรื่องการหาอะไหล่ เพราะ เอช เซม มีคลังอะไหล่ทุกชิ้นรองรับตลอดอายุการใช้งานได้อย่างแน่นอน

“ผมเริ่มสนใจศึกษา และหาข้อมูลเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ประมาณปี 2560) ด้วยเหตุผลที่ต้องการยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ช่วยลดมลพิษฝุ่น PM 2.5 และที่สำคัญคือตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการจดทะเบียนได้ด้วย การเปิดตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ เอช เซม นี้ ส่วนตัวแล้วเราไม่ได้เป็นคู่แข่งกับใคร เราแข่งกับตัวเอง เป็นการเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ เพราะเรามีสินค้าครบวงจร ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ทั้งการใช้งานทั่วไป และการใช้ในภาคธุรกิจต่างๆ อาทิกลุ่มธุรกิจเดลิเวอรี่ ขนส่งสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว สามารถเข้าถึงสถานที่ที่มีพื้นที่จำกัดได้อย่างคล่องตัว” นายวันชัยกล่าว

สำหรับแผนธุรกิจของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า นายวันชัยกล่าวว่า “ด้านการผลิตในปีแรกจะเป็นการนำเข้าทั้งคัน และหลัง จากนั้นเราจะประกอบ และผลิตเองในประเทศไทย โดยใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศและนำเข้าเฉพาะบางชิ้นส่วน เพื่อให้เม็ดเงินอยู่กับประเทศไทย ด้วยศักยภาพและความพร้อมของสายพานการผลิตที่มีอยู่ของเรา เพียงปรับเพิ่มเติมเล็กน้อยก็สามารถเริ่มการผลิตได้ และเป็นการใช้เครื่องมือเครื่องจักรที่มีอยู่ให้คุ้มค่ากับการลงทุนมากยิ่งขึ้น ส่วนการขายเราตั้งเป้าไว้ที่ 600 คันภายในปีนี้”

เอช เซม มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ออกแบบภายใต้แนวคิด “ก้าวล้ำทุกสไตล์ในแบบคุณ” หรือ “Unique On Your Way” เราผ่านการตรวจสอบมาตรฐานในประเทศไทยและสามารถจดทะเบียนกับกรมขนส่ง โดยทุกรุ่น จุผู้โดยสารได้ 2 ที่นั่ง รับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 150 กก. มีความแข็งแรงด้วยโครงสร้างเหล็ก ขับขี่ง่ายด้วยการควบคุมแบบแฮนด์บิดคันเร่ง ตกแต่งสวยงาม ดูทันสมัยด้วยเรือนไมล์แบบดิจิตอล พร้อมไฟ LED รอบคัน และดิสเบรคหน้า-หลัง ล้อแม็กอลูมิเนียมอัลลอย แบตเตอรี่แบบลิ เธียม สามารถยกตัวแบตเตอรี่ออกมาชาร์จไฟด้านนอกได้ และจะใช้เวลาชาร์จเต็มภายใน 4 ชั่วโมง โดยมีประมาณการค่าไฟอยู่ที่ 7 บาทต่อการชาร์จ 1 ครั้ง สนใจสามารถดูรายละเอียดผ่านแฟนเพจ “http://www.facebook.com/hsemmotor.sev” และ “http://www.facebook.com/hsemmotor.stc” หรือสายด่วนลูกค้าสัมพันธ์ โทร.099-001-1888 วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 08.30 – 17.30 น.

Review Yamaha AEROX 155 สีใหม่

New YAMAHA AEROX 155 สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมาพร้อมกับเทรนด์สีใหม่ปี 2020 ที่สุดแห่งความสปอร์ต และเป็นเอกลักษณ์ จัดจ้านเร้าใจกับ 6 สีสันใหม่ สไตล์ผู้นำ เต็มอารมณ์สปอร์ต ในรุ่น ABS Version, R Version และ Standard Version

รีวิว Yamaha Tenere 700 Off-Road Rally

เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กับ Yamaha Tenere 700 รถจักรยานยนยนต์ Off-Road Rally เต็มรูปแบบคันแรกของค่ายส้อมเสียงในยุคปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวและจับจองเป็นเจ้าของไปแล้วในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ปลายปีที่แล้ว และได้เวลาของการส่งมอบให้กับลูกค้า พร้อมกับได้ทดสอบขับขี่กันแล้ว ทีมงานไรดิ้งจึงไม่รอช้าขอลองความมันสักหน่อย

เปิดเทรนด์ใหม่ให้โลกของการขับขี่! เอ.พี. ฮอนด้า เปิดตัว New Honda CT125 กับคอนเซปต์ ได้เวลา… ออกนอกเส้นทาง

วางจำหน่ายที่ประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก

เอ.พี. ฮอนด้า ผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย สร้างสรรค์เทรนด์การขับขี่รูปแบบใหม่ให้กับวงการ ฯ อีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุด New Honda CT125 (นิว ฮอนด้า ซีทีหนึ่งสองห้า) รถเลเชอร์ไบค์ (Leisure Bike)ดีไซน์เฉพาะตัว สานตำนานอันโด่งดังจากยุค 60s ของ Original CT Series ผสานเทคโนโลยียุคใหม่ พร้อมเครื่องยนต์ขนาด 125ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ติดตั้งการ์ดเครื่องยนต์ (Engine Guard) ที่แข็งแกร่ง มาพร้อม CARRIER แร็คหลังขนาดใหญ่ และท่อไอเสียพร้อมกรองอากาศแบบยกสูง เพื่อการลุยน้ำลึกและการผจญภัยแบบเทรล (TRAIL) มั่นใจด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบเบรกหน้าแบบ ABS และยางดูอัลเพอร์เพิส (Dual Purpose Tire) วางจำหน่ายที่เมืองไทยเป็นประเทศแรกของโลก ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ด้วยราคาแนะนำเพียง 84,900 บาท สำหรับรุ่นมาตรฐาน ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ พร้อมเพิ่มความพิเศษด้วยเวอร์ชั่นเสริมชุดแต่งจาก H2C แบรนด์อะไหล่แต่งรถจากฮอนด้า มีให้เลือก 2 สไตล์ ได้แก่ City Trail ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 คัน ราคาแนะนำ 95,900 บาท และ Country Trekking มีจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน ราคาแนะนำ 108,900 บาท ที่ร้านไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ CUB House ทุกสาขาทั่วประเทศ

มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “เทรนด์ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ รถในกลุ่มมูลค่าเพิ่มมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน ล่าสุดใน 4 เดือนแรกของปี 2020 ก็ยังคงมีการเติบโตมากถึง 20% โดยหลัก ๆ แล้วการเติบโตนี้มาจากความนิยมในกลุ่มยังเจนที่เติบโตในยุคโซเชียลมีเดียและมีพฤติกรรมชอบความสนุกท้าทาย โดยเฉพาะในมุมของการท่องเที่ยวแบบเอาท์ดอร์ ลุยไปกับธรรมชาติ ไปยังสถานที่ ๆ ใหม่ ๆ น่าสนใจว่าในปี 2019 สินค้าในกลุ่มเอาท์ดอร์ไลฟ์สไตล์มีการเติบโตขึ้นถึง 30%”

“ในขณะเดียวกัน การเป็นผู้นำตลาดรถจักรยนยนต์ไทยก็ไม่ได้ทำให้ฮอนด้าหยุดนิ่ง แต่เรายังคงมุ่งมั่นส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่หลากหลายให้กับผู้ใช้ของเราผ่านการทำตลาดด้วยสินค้าในกลุ่มมูลค่าเพิ่ม ครั้งนี้ เราพร้อมนำเสนอรถรุ่นใหม่ New Honda CT125 วางตำแหน่งสินค้าเป็นรถขี่ง่ายสายลุย เจาะตลาดไลฟ์สไตล์แบบเอาท์ดอร์ ด้วยการถ่ายทอดการผจญภัยของ CT Series ซึ่งเป็นรถที่ได้ความนิยมในอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย มาตั้งแต่ปี 1960 จนกลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบัน และในวันนี้คนไทยจะมีโอกาสได้สัมผัสกับรถรุ่นนี้เป็นประเทศแรกก่อนใครในโลก นี่คือรถที่นำเสน่ห์ของ CT มาผสานกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของฮอนด้าในปัจจุบัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้คนไทยได้สัมผัสและสนุกกัน” New Honda CT125 รถจักรยานยนต์แนวใหม่สไตล์ Trail Hunter เป็นการนำเสนอเพื่อจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจด้วยคอนเซปต์ “Time to Trail ได้เวลาออกนอกเส้นทาง” ออกแบบทุกรายละเอียดให้สะท้อนเอกลักษณ์ของสุดยอดรถแห่งการผจญภัยระดับตำนานของ CT Series ตั้งแต่ปี 1960 ดีไซน์เพื่อไลฟ์สไตล์ Explore ที่แท้จริง ด้วยเอกลักษณ์การขับขี่แบบ SINGLE RIDING “ขับคนละคันมันส์กว่า” ให้ผู้ขับขี่ได้ลุยไปกับเพื่อน ๆ พร้อมด้วย CARRIER แร็คหลังขนาดใหญ่ (47.7 x 40.9 ซม.) รองรับทุกสัมภาระ ท่อไอเสียและกรองอากาศยกสูงสำหรับลุยน้ำลึก เพื่อการผจญภัยแบบ TRAIL ขนานแท้ โดดเด่นด้วยไฟส่องสว่างรอบคันเต็มระบบแบบ Full LED เรือนไมล์ LCD ทรงกลม พร้อมด้วยเทคโนโลยีมาตรวัดความเร็วแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความคลาสสิกด้วยโลโก้ Honda CLASSIC WING สัญลักษณ์ที่มีเฉพาะในมอเตอร์ไซค์แนวไลฟ์สไตล์ของฮอนด้าเท่านั้น

New Honda CT125 มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ขนาด 125 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ให้แรงบิดสูง พร้อม ENGINE COVER COMP ช่วยลดเสียงเครื่องยนต์ ไม่รบกวนธรรมชาติ ยกชุดมากับการ์ดป้องกันเครื่องยนต์ที่แข็งแกร่ง ให้ความสนุกทุกเส้นทางการผจญภัย ถังน้ำมันขนาดใหญ่ 5.4 ลิตร เติมครั้งเดียววิ่งไปได้ไกลกว่า 360 กิโลเมตร

New Honda CT125 ติดตั้งระบบกันสะเทือนด้านหน้าที่ออกแบบให้สามารถดูดซับแรงกระแทกได้มากเป็นพิเศษ ด้วยระยะยุบมากกว่าปกติถึง 10 มม. พร้อมยางกันฝุ่นหุ้มโช้ก ลุยได้มากกว่า เข้าถึงได้ทุกพื้นที่ มั่นใจด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบเบรกหน้าแบบ ABS และยางแบบดูอัลเพอร์เพิส (Dual Purpose Tire)

เอ.พี. ฮอนด้า พร้อมวางจำหน่าย New Honda CT125 ที่เมืองไทยเป็นประเทศแรกในโลก ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป สำหรับรุ่นมาตรฐาน มีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ สีแดงโกลวิงเร้ด และสีน้ำตาลแมทเฟรซโก้บราวน์ ราคาแนะนำเพียง 84,900 บาท ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ฮอนด้ายังเพิ่มความพิเศษด้วยเวอร์ชั่นแต่งเต็มขั้น ด้วยชุดแต่ง H2C จากฮอนด้า มีให้เลือก 2 สไตล์ ได้แก่ City Trail สีแดงโกลวิงเร้ด ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 คัน ราคาแนะนำ 95,900 บาท และ Country Trekking สีน้ำตาลแมทเฟรซโก้บราวน์ มีจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน ราคาแนะนำ 108,900 บาท วางจำหน่ายเฉพาะที่ CUB House ร้านไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ ทุกสาขาทั่วประเทศ
พบกับข้อเสนอพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัว
1. ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.59% เท่านั้น สำหรับ New Honda CT125 ทุกรุ่น
2. พิเศษเมื่อซื้อรุ่นแต่ง City Trail และ Country Trekking ที่ร้าน CUB House ทุกสาขา รับทันทีหมวกกันน็อก Bell Helmet Custom 500 Series พร้อมด้วยประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปี (เมื่อซื้อตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2563)

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ New Honda CT125 ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่

เว็บไซต์ : www.aphonda.co.thwww.hondacubhouse.com
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : www.fb.com/hondamotorcyclethailand
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : www.fb.com/cubhousebyhonda
ยูทูบ : www.youtube.com/hondamotorcycleTHA

YAMAHAGarenaและ BuriramUnited Esports 3 ยักษ์ใหญ่แท็กทีมปล่อย New YAMAHA AEROX 155สีใหม่ บุกตลาดออโตเมติกคลาส 150 ซีซี

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด สวนวิกฤติโควิด-19 เดินเกมรุกตลาดรถจักรยานยนต์สปอร์ตออโตเมติก ตอกย้ำบทบาทผู้นำตัวจริงด้วย New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาส ที่สุดแห่งสปอร์ตออโตเมติก พร้อมจับมือ 2 พันธมิตรใหญ่ อย่าง Garenaและ Buriram United Esportsทำการตลาดผ่านเกมออนไลน์ชื่อดัง RoVพร้อมกล้ารับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร* เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด / ลงทะเบียนรับประกันตั่งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นไป ยกเว้นอะไหล่สึกหรอตามอายุการใช้งาน

“ถึงแม้ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ จะโดนผลกระทบจากวิกฤติของไวรัสโควิด-19แต่รถจักรยานยนต์ออโตเมติกของยามาฮ่ายังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก กลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ด้วยความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ยามาฮ่าของเราที่มีคุณภาพ ในครั้งนี้เราได้ส่ง New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาส บุกตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติกสไตล์สปอร์ต พร้อมจับมือ 2 พันธมิตรใหญ่ อย่าง Garenaค่ายเกมยักษ์ใหญ่และ Buriram United Esportsสโมสรอีสปอร์ตชั้นนำของเอเชีย ทำการตลาดผ่านเกมออนไลน์ชื่อดัง RoVโดยมีกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกันคือกลุ่มวัยทีนที่ชื่นชอบความท้าท้ายและหลงไหลในความสปอร์ตผ่านเกมออนไลน์ชื่อดัง RoVจาก Garenaพร้อมกับการส่ง 5 ผู้เล่นระดับโปรเพลเยอร์ชื่อดังชั้นแนวหน้าของประเทศมาร่วมเป็นพรีเซนเตอร์ของรถจักรยานยนต์New YAMAHA AEROX 155 สีใหม่ เพื่อถ่ายทอดจิตวิญญาณแห่งความท้าทาย และความแรงที่ไม่มีใครตามได้ทัน” นางสรวงสุดามนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส ฝ่ายสื่อสารการตลาดกลุ่มรถออโตเมติก และตราสินค้า บริหารลูกค้าสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์ และสื่อดิจิทัล บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ใหม่

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมาพร้อมกับเทรนด์สีใหม่ปี 2020 ที่สุดแห่งความสปอร์ต และเป็นเอกลักษณ์ จัดจ้านเร้าใจกับ 6 สีสันใหม่ สไตล์ผู้นำ เต็มอารมณ์สปอร์ต ในรุ่น ABS Version, R Version และ Standard Version  

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมาพร้อมกับความแรงที่เหนือชั้น ด้วยเครื่องยนต์บลูคอร์ 155 ซีซี 4 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVA (Variable Valve Actuation) ที่พร้อมตอบสนองทุกอัตราเร่ง ประหยัดทุกความเร็ว เป็นระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะแบบเดียวกับในยนตรกรรมชั้นนำ ระบายความร้อนด้วยน้ำเต็มระบบ กระบอกสูบไดอะซิล ทน แกร่ง ถือเป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ยุคใหม่ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้ให้สมบูรณ์ขึ้น ระบายความร้อนได้ดีกว่า และลดการสูญเสียกำลัง ช่วยให้สมรรถนะความแรง มาพร้อมความประหยัดน้ำมัน เผาไหม้หมดจด ช่วยลดมลพิษ…เครื่องยนต์บลูคอร์ ที่สุดแห่งเทคโนโลยีความแรง และความประหยัดNew YAMAHA AEROX 155 ใหม่!!ยืนหนึ่งแรงสุดในออโตเมติกคลาส 150 ซีซี

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาพร้อมกับความสปอร์ตทุกองศา ด้วย FULL LCD DIGITAL METER เรือนไมล์ดิจิทัลแบบ NEGATIVE ขนาดใหญ่ 5.8 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ตเทรนดี้ ที่สุด…ความเทรนด์สไตล์สปอร์ตสุดไฮเทค, TWIN LED HEADLIGHTS ไฟหน้าคู่แบบ LED ดีไซน์สปอร์ตดุดัน สว่างชัดทุกระยะ, LED TAILLIGHT ไฟท้าย LED ดีไซน์ตามแบบฉบับรถสายพันธุ์สปอร์ต พร้อมที่จับกันตกแบบบิ้วท์อิน, CONVENIENT FUEL CAP LID ฝาเปิดถังน้ำมันกลางตัวรถ CENTER TUNNEL เติมน้ำมันสะดวก ไม่ต้องลงจากรถ, ELECTRIC POWER SOCKET ช่องต่อชาร์จแบตมือถือหรือไฟสำรอง พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า ให้ความสะดวกสบาย

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสทั้งยังให้สมรรถนะและอารมณ์ในการขับขี่สไตล์รถสปอร์ตด้วย REAR SUSPENSIONS – SUB TANK ระบบกันสะเทือนหลังแบบซับแทงค์ ดีไซน์สปอร์ต ดูดซับแรงกระแทกเป็นเยี่ยม ตอบสนองการขับขี่ในทุกสภาพเส้นทาง และ FRONT WAVE DISC BRAKE ดิสก์เบรกหน้าแบบรถสปอร์ต โฉบเฉี่ยวโดดเด่นทุกองศา ให้ทุกการชะลอความเร็วและการหยุดรถเต็มไปด้วยความมั่นใจและปลอดภัย โดยมีในรุ่น R version

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมาพร้อมกับกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สามารถควบคุมรถได้ทั้งคันในจุดเดียว พร้อมสัญญาณตอบรับเพื่อใช้ในการค้นหารถ ANSWER BACK พร้อมระบบ Spot & Start System ดับเครื่องยนต์อัจฉริยะเมื่อขับขี่ในสภาพการจราจรที่ติดขันเพิ่มอความประหยัดที่เหนือชั้น และปลอดภัยสูงสุดด้วยระบบเบรก ABS ควบคุมการเบรกเพื่อป้องกันล้อล๊อคเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกขั้น โดยมีในรุ่น ABS Version

สำหรับ New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมีให้เลือกด้วยกัน 6 สี ใน 3 เวอร์ชั่น ได้แก่

รุ่น STANDARD VERSION  สีดำ-แดง และ สีน้ำเงิน-ขาว  ราคา 65,400 บาท

รุ่น R VERSION    สีเขียว และสีเทา-ฟ้า  ราคา 68,400 บาท

รุ่น ABS VERSION   สีเทา-แดง กับ สีดำ-ฟ้า   ราคา 75,900 บาท 

New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสมาพร้อมการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด / ลงทะเบียนรับประกันตั้งแต่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นไป ยกเว้นอะไหล่สึกหรอตามอายุการใช้งาน

พบกับ New YAMAHA AEROX 155สปอร์ตสุดแรงค์…แรงสุดในคลาสที่สุดแห่งสปอร์ตออโตเมติได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ร้านผู้จำหน่ายรถยามาฮ่ายามาฮ่า สแควร์ ทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999

Yamaha Tenere 700

เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กับ Yamaha Tenere 700 รถจักรยานยนยนต์ Off-Road Rally เต็มรูปแบบคันแรกของค่ายส้อมเสียงในยุคปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวและจับจองเป็นเจ้าของไปแล้วในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ปลายปีที่แล้ว และได้เวลาของการส่งมอบให้กับลูกค้า พร้อมกับได้ทดสอบขับขี่กันแล้ว ทีมงานไรดิ้งจึงไม่รอช้าขอลองความมันสักหน่อย

Yamaha Tenere 700 ถูกเติมเต็มด้วยรูปแบบ จากรถจักรยานยนต์แรลลี่ ที่เราเห็นในการแข่งขันระดับโลกอย่าง Darka Rally โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 689 ซีซี Crossplane 2 ลูกสูบเรียง 4 จังหวะ 8 วาล์ว (4 วาล์ว ต่อสูบ) แบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งก็เป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ Yamaha MT-07 ที่เน้นสมรรถนะของแรงบิดสูงในรอบต่ำ 68.0 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที พละกำลังสูงสุด 54 แรงม้า (KW) ที่ 9,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์แบบ 6 สปีด ระบบคลัทซ์มือแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ส่งกำลังสุดท้ายด้วยระบบโซ่

ไฟหน้า 4 ดวง แบบ LED วินชิวด์ทรงสูง แฮนด์เดิ้ลบาร์กว้าง หน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล TFT โครงสร้างตัวรถ Blackbone Double Cradle ระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ Upside-Down ขนาด 43 มม. ระยะยุบตัว 8.3 นิ้ว ระบบกันสะเทือนหลัง Singe Shock ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัม สามารถปรับระดับ Preload และ Rebound ได้ ระยะยุบตัว 7.9 นิ้ว ระบบเบรกหน้าคู่ขนาด 282 มม. พร้อมคาลิเปอร์ Brembo ระบบเบรกหลังดิสก์เดี่ยว ขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ โดยมีระบบเบรก ABS ที่สามารถเลือกเปิดและปิดการทำงานได้อย่างอิสระ วงล้อมีขนาดที่ไม่เท่ากัน โดยวงล้อหน้าจะมีขนาด 21 นิ้ว ตามแนวทางของรถที่ใช้ในการตะลุยทางวิบาก สวมยางขนาด 90/90R21 และวงล้อหลังขนาด 18 นิ้ว สวมยางขนาด 150/70R18 โดยตัวยางจากโรงงานจะเลือกใช้งานยางของแบรนด์ Pirelli Scorpion Rally STR มิติตัวรถมีความยาว 2,365 มม. ความกว้าง 915 มม. ความสูงโดยรวม 1,455 มม. ความสูงเบาะนั่ง 875 มม. ฐานล้อ 1,590 มม. ถังน้ำมันจุได้สูงสุด 16 ลิตร

ความคิดเห็นนักทดสอบ จตุรงค์ หมื่นทิพย์

มันคือรถจักรยานยนต์ที่ออกมาตอบสนองการขับขี่ที่หลากหลายรูปแบบจริงๆ การดีไซน์ขนาดของตัวรถที่เพรียว ดูไม่เทอะทะ เบาะนั่งที่ไม่สูงมาก วงล้อหน้าใหญ่หลังเล็ก และเสริมออพชั่นการ์ดกันล้มพร้อม แลคหลังสำหรับติดตั้งกล่อง สำหรับการผจญภัยโดยไร้ความกังวลสัมผัสแรกของการขึ้นไปคร่อม ท่านั่งกำลังดีกับสรีระของผมกับความสูง 168 ซม. ปลายเท้ายังพอจิกพื้นเอาตัวรอดได้ ถังน้ำมันทำสโล้ปให้รับกับเบาะนั่ง มันสะดวกในการใช้หัวเข่าหนีบรถ น้ำหนักประมาณ 220 กิโลกรัม เอาเรื่องอยู่นะกับขนาดรถเพียง 700 ซีซี แต่พอได้สตาร์ทออกตัวไป รอบเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงแบบ Crossslane ดุดัน รุนแรง ทำให้รู้สึกถึงการควบคุมที่เบาแรงหักล้างกับน้ำหนัก การบิดกระแทกคันเร่งอย่างรวดเร็วทำเอาท้ายสไลด์ปั่นฝุ่นกระจาย แต่อัตราการทดเกียร์ช่วงต้นเกียร์ 1-2 ลากกันได้ยาว ทำให้ขี่ได้สนุกไม่ต้องกลัวแรงกระชากในการเปลี่ยนเกียร์ กำลังดีไม่มีตกรอบที่ต่อเนื่อง
ระบบช่วงล่าง การใช้วงล้อหน้าใหญ่ 21 นิ้ว สไตล์รถวิบาก มันพร้อมสำหรับการลุยฝ่าอุปสรรค ทางวิบาก ท่อนไม้ ก้อนหิน หรือการโดดเนินได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่สำสหรับยางที่ไม่ใช่ดอกลึกคงต้องระวังกันหน่อย โช้คอัพหน้า แบบหัวกลับ ตั้งค่าสแตนดาร์ดก็เอาอยู่สำหรับการรับแรงกระแทกจากการโดด และขึ้นเนินลงหลุม การ์ดกันแคร้งเครื่องยนต์ด้านล่างพร้อมปะทะ ส่วนโช้คอัพหลังเดี่ยวก็เช่นกัน การเปิดคันเร่งในโค้งท้ายสไลด์คงไม่แปลกแต่มันช่วยซับแรงกด และสามารถคอนโทรลกลับเข้าสู่เส้นทางได้มั่นใจ ระบบดิสก์เบรกที่จัดหนักมาให้กับ Brembo คู่หน้า มั่นใจได้กับแบรนด์นี้ แต่ถ้าเจอทรายก็มีอาการแถๆ แถดๆ ออกข้างไปบ้าง ดิสก์เบรกหลังเดี่ยวก็ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แฮนด์เดิ้ลบาร์ ติดตั้งการ์ดมาให้สบายใจได้เมื่อลุยเข้าป่า จอแสดงผลแบบ TFT ธรรมดาๆ อ่านง่ายจอใหญ่
โดยจุดเด่นที่เหนือกว่าก็คือ รูปแบบของตัวรถที่เปิดโอกาสในการใช้งานได้หลากหลายของ Off-Road อย่างเต็มที่ ทั้งทางขรุขระ ทางวิบาก เนิน หลุม ทราย น้ำ และด้วยการใช้ถังน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ถึง 16 ลิตร สามารถเดินทางท่องเที่ยว หรือลุยเข้าป่าลึกได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับไบค์เกอร์มือเก๋าๆ ทั้งหลายน่าจะชอบอารมณ์ลุยๆ ที่มีความคล่องตัว แต่ไบค์เกอร์มือใหม่ คงต้องทำความรู้จักกับกำลังเครื่องยนต์ และการควบคุมสักพักรับรองว่าขี่แล้วสนุกแน่นอนส่วนราคาค่าตัวเปิดด้วยตัวสแตนดาร์ด ด้วยราคา 439,000 บาท และออพชั่นเสริม Touratech 493,000 บาท ส่วนตัวท็อปมีเพียง 7 คันเท่านั้น มาพร้อมของแต่ง Touretech เต็มคัน ราคา 575,600 บาท

Triump Rocket 3 R & Rocket 3 GT

Rocket 3 คือสุดยอดรถจักรยานยนต์ Roadster สมรรถนะสูงระดับชั้นนำของโลก ที่พร้อมแล้วสำหรับการสร้างตำนานรถจักรยานยนต์ครั้งใหม่

Rocket 3 R รุ่นใหม่นั้น สามารถสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านการควบคุมรถ และคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ให้การควบคุมอันน่าทึ่ง ที่มาพร้อมความสะดวกสบาย สมรรถนะระดับสูง และแรงบิดระดับชั้นนำของโลก เหนือกว่าแรงบิดสูงสุดของคู่แข่งในระดับเดียวกันถึงกว่า 71% และสูงกว่า Rocket รุ่นก่อนหน้า ด้วยกราฟแรงบิดที่สม่ำเสมอ โดยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 4,000 rpm จากนั้นก็จะคงแรงบิดสูงสุดไว้ตลอดช่วงรอบกลาง เพื่อมอบอัตราเร่ง และการตอบสนองที่รวดเร็วทันใจในทุกๆ เกียร์ 

กำลังสูงสุดจะอยู่ที่ 167 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที (สูงกว่ารุ่นก่อนหน้า 11%) โดยมีกำลังเพิ่มขึ้นตั้งแต่รอบต่ำที่ 3,500 รอบ/นาที ไปจนถึงอัตรารอบสูงสุดใหม่ถึง 7,000 รอบ/นาที ส่งผลให้ Rocket 3 R มีความสามารถอันน่าทึ่ง และมอบประสบการณ์การขับขี่สุดเร้าใจที่เหนือกว่ารถคันอื่นๆ ได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใดสำหรับ Rocket 3 GT รุ่นใหม่ มีทั้งสมรรถนะ และภาพลักษณ์ที่คุณต้องตะลึง พร้อมความสะดวกสบายขั้นสูงสุด การขี่แบบเอนหลังสบายๆ สไตล์ Cruiser และความสามารถในการใช้งานแบบ Touring ซึ่งถือเป็นการสร้างตำนานรถจักรยานยนต์ครั้งใหม่นี่คือประสบการณ์การขี่แบบใหม่ที่เหนือชั้นที่สุด ด้วยความจุเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดในสายพานการผลิตรถจักรยานยนต์ พร้อมค่าแรงบิดระดับชั้นนำของโลกที่สูงกว่าแรงบิดสูงสุดของคู่แข่งในระดับเดียวกัน ด้วยกราฟแรงบิดที่สม่ำเสมอ โดยจะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ 4,000 รอบ/นาที จากนั้นก็จะคงแรงบิดสูงสุดไว้ตลอดช่วงรอบกลาง

ให้กำลังสูงสุดคือ 167 แรงม้า ที่ 6,000 rpm ที่เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 11% Rocket 3 รุ่นใหม่จึงให้การขับขี่ที่เร้าใจ โดยมีกำลังเพิ่มขึ้นตั้งแต่รอบต่ำที่ 3,500 รอบ/นาที ไปจนถึงอัตรารอบสูงสุดใหม่ 7,000 รอบ/นาที ซึ่งเหมือนกับ Rocket 3 R  เมื่อนำทั้งหมดนี้มารวมกัน จึงส่งผลให้ Rocket 3 GT รุ่นใหม่มีความสามารถในการใช้งานแบบ Touring ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นรถที่ขี่สบายตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะใช้เกียร์ใด เนื่องจาก Rocket 3 GT นั้นคงไว้ซึ่งความเป็นต้นแบบของ Triumph อย่างแท้จริง รถรุ่นนี้จึงโดดเด่นที่สุดทั้งในด้านสไตล์ ภาพลักษณ์ที่กำยำ และการตกแต่งรายละเอียด

นอกจากนี้คุณยังสามารถแต่งรถอันน่าทึ่งคันนี้ให้โดนใจมากยิ่งขึ้นด้วยอุปกรณ์เสริมสไตล์คัสตอมของ Rocket 3 รุ่นใหม่กว่า 50 รายการ เพื่อเสริมสไตล์ ประโยชน์ใช้สอย และความสามารถด้าน Touring ให้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเดิม

Ducati Hypermotard 950

รถจากอิตาลีในสไตล์ Fun bike ของ Ducati ที่เน้นถึงความสนุกสนานในการขับขี่ อย่าง Hypermotard ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเวอร์ชั่นล่าสุด ให้มีความเป็นมิตรกับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น ด้วยการขับขี่ง่ายสบาย ในขณะที่ยังคงให้ความเร้าใจสนุกสนานในทุกจังหวะการขับขี่ พร้อมทั้งเพิ่มภาพลักษณ์ใหม่ที่เน้นความเป็นรถในสไตล์ซูเปอร์โมโตอย่างเต็มที่ โดยในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้คีย์ในการพัฒนานั้นอยู่ที่ ultra-advance chassis set-up และ electronics package

เพื่อเป้าหมายในการสร้างความรู้สึกสบายในการขับขี่ และสามารถควบคุมการขับขี่ได้ง่ายทาง Ducati จึงได้ทำการปรับตำแหน่งท่าทางการขับขี่ใหม่ให้กับ new Hypermotard 950 ไม่ว่าการเพิ่มความกว้างของแฮนเดิ้ลบาร์ ปรับแต่งให้มีความเพรียวบาง และปรับเบาะนั่งใหม่เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถขยับปรับเปลี่ยนท่าทางได้สะดวกนุ่มนวลในแต่ละจังหวะระหว่างการขับขี่ รวมทั้งสามารถวางเท้าลงบนพื้นได้ง่าย จากการที่ปรับโครงสร้างแชสซีส์ใหม่นั้น ส่งผลให้ขาด้านในของผู้ขับขี่กางออกด้วยระยะที่แคบลงจากเดิม 53 มม.

มุมมองด้านหน้าโฉบเฉี่ยวด้วยการปรับชุดไฟหน้าใหม่ที่กะทัดรัดมากขึ้นพร้อมทั้งโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ DRL-Daytime Running Light เช่นเดียวกับมุมมองด้านหลังที่ออกแบบช่วงท้ายใหม่พร้อมวางทางเดินท่อไอเสียแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนโดยวางแนวท่อคู่รอดใต้เบาะนั่ง ด้วยการเน้นโครงสร้างในแบบ minimalist superstructure ที่เอื้อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในการจัดการดูแลรักษาตัวรถ ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ของ 2020 Hypermotard ที่ออกมาใหม่นี้ แสดงชัดเจนถึงความกะทัดรัดคล่องแคล่ว โดยสามารถลดน้ำหนักลงจากโมเดลก่อนหน้านี้ได้ร่วม 4 กก.(เฉพาะในส่วนของเครื่องยนต์นั้นสามารถลดน้ำหนักได้ 1.5 กก.) ซึ่งน้ำหนักที่ลดลงไปนั้นเป็นผลมาจากการออกแบบปรับเปลี่ยนในส่วนของ เฟรมใหม่ วงล้อใหม่ , จานดิสก์เบรกใหม่ , รวมทั้งโช้คอัพน้ำหนักเบาจาก Marzocchi forks ที่ได้ทำการพัฒนาชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยวัสดุอลูมินัมเกรดดีรวมทั้งการปรับฟังก์ชั่นต่างๆของระบบกันสะเทือนใหม่

เครื่องยนต์ของ new Hypermotard 950 ปรับใหม่จากของเครื่องยนต์ Testastretta11 twin ขนาด 937 ซีซี ที่ให้กำลังขับเคลื่อนอย่างยอดเยี่ยม ผสานกับความลงตัวของระบบอิเล็คทรอนิคส์ new electronics ที่พัฒนามาเพื่อเน้นถึงความนุ่มนวลในการขับขี่และควบคุมจังหวะการขับขี่ได้อย่างเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ซึ่งเครื่องยนต์ใหม่ที่ปรับมานี้ ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดในระดับ 9.8kgm ที่แรงบิดกว่า 80% พร้อมถูกนำออกมาใช้ในช่วงระดับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ 3,000 รอบต่อนาที นี่คือเครื่องยนต์ที่มีความลงตัวสำหรับการขับขี่เพื่อความสนุกสนานและการใช้งานในชีวิตประจำวัน ที่สามารถตอบสนองการขับขี่ได้ทั้งเส้นทางในเมือง นอกเมือง ทั้งทางเรียบ และวิบาก อีกทั้งยังพร้อมตอบสนองการขับขี่ในแทร็คทางเรียบได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ

ไฮไลท์ความโดดเด่นในด้านสมรรถนะนั้นมาจากหัวใจที่สำคัญของรถสมัยใหม่ นั่นก็คือ ultra-modern electronics ที่ใช้พื้นฐานระบบประมวลผล Bosch 6-axis Inertial Measureement Unit หรือ 6D IMU ที่คำนวลการเคลื่อนไหวของรถจากรอบทิศทางหรือที่เรียกว่า หกแกนหรือหกระนาบ และจากระบบประมวลผลดังกล่าวนี้เอง ที่สามารถแตกย่อยไปสู่ระบบอิเล็คทรอนิคส์สำคัญที่ใช้ในการควบคุมการขับขี่ในแบบต่างๆ ของตัวรถที่มีบรรจุติดตั้งมาให้ ได้แก่ Bosch Cornering ABS ที่ควบคู่กับ Slide by brake function , Ducati Traction Control EVO หรือ DTC EVO , Ducati Wheelie Control หรือ DWC , และ Ducati Quick Shift หรือ DQS ทั้ง Up และ Down ที่จะติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับ 950 SP ขณะที่เวอร์ชั่น 950 สแตนดาร์ดนั้น จะเป็นออฟชั่นเสริมที่ผู้ขับขี่จะเลือกซื้อเพิ่มได้เอง นอกจากนี้ใน new Hypermotard นี้ ถ้าสังเกตุที่แฮนเดิ้ลบาร์อลูมินัม จะเห็น ว่า มีปั๊มเบรก และปั๊มคลัทช์ติดตั้งอยู่นั่นหมายความว่า ได้รับการเปลี่ยนแปลงระบบคลัทช์จากแบบ cable-operated มาเป็น hydraulic clutch ขณะที่ชุดเรือนไมล์นั้นเปลี่ยนมาเป็นหน้าจอแสดงผลแบบ TFT เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถสปอร์ตอย่าง Panigale V4

สำหรับความแตกต่างของ Hypermotard 950SP กับ Hypermotard 950 นอกจากลวดลายกราฟฟิกของ SP version และ เบาะที่บางแคบกว่าแล้ว ก็คือ การเซ็ทอัพค่าของระบบกันสะเทือน ของ Ohlins suspension ที่มีระยะยุบตัว +15 ในช่วงหน้า กับ+25 ในช่วงหลัง อีกทั้งยังใช้วงล้อ Marchesini forged wheels มาจากโรงงาน และที่ทราบกันไปแล้วนั้นก็คือ การติดตั้ง DQS เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาจากโรงงานเลย และนอกจากนี้ใน new Hypermotard นี้สามารถที่จะติดตั้ง Ducati Multimedia System หรือ DMS เพื่อผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อระหว่างรถกับสมาร์ทโฟนได้ เพื่อใช้ในการควบคุมฟังก์ชั่นบางอย่างทางด้านมัลติมีเดียได้เช่นเดียวกับรถรุ่นอื่นๆ ของ Ducati ที่มีระบบนี้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ นั้นจะแสดงบนจอ TFT

2020 KTM Duke 250 BS-VI

เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากมาตรฐาน BS-VI ข้อบังคับเรื่องไอเสียที่ประกาศใช้งานในประเทศอินเดีย โดยเจ้า 2020 KTM Duke 250 BS-VI นั้นนอกจากจะได้รับการปรับปรุงในเรื่องของไอเสียใหม่แล้ว ยังมีการเพิ่มสีสันใหม่สำหรับการขายในปี 2020
ที่ประเทศอินเดีย

KTM Duke 250 BS-VI รถมอเตอร์ไซค์ในแนวทางของเน็กเก็ดสปอร์ตรุ่นใหม่ ปี 2020 มาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์ขนาด 248.8 ซีซี 1 ลูกสูบ 4 จังหวะแบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พละกำลังสูงสุด 30 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 24 นิวตันเมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที โดยที่เครื่องยนต์นั้นจะมีการติดตั้งระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ตัวใหม่ พร้อมระบบท่อไอเสียใหม่เพื่อให้ผ่านมาตรฐาน BS-VI โดยยังคงรูปแบบของตัวรถที่ดุดันทั้งการออกแบบ และประสิทธิภาพที่เทียบเท่ากับโมเดลเดิม

โครงสร้างหลักของ KTM Duke 250 BS-VI ยังคงรูปแบบของ Trellis Frame โครงถักสีส้มกระจายแรงได้เป็นอย่างดี ระบบกันสะเทือนหน้าจาก WP ขนาด 43 มม. แบบหัวกลับ Upside-Down โดยที่ระบบกันสะเทือนหลังจะเป็นแบบ Monoshock จากแบรนด์ WP เช่นเดียวกัน ระบบเบรกแบบดิสก์เดี่ยวหน้าหลังขนาด 320 มม. ปั้มเบรก 4 พอร์ทในด้านหน้าและด้านหลังดิสก์เดี่ยวขนาด 230 มม. ปั้มเบรก 1 พอร์ต พร้อมกับระบบนิรภัย ABS จาก Bosch แบบ Dual Channel

สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ก็มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลดิจิตอล LCD เต็มรูปแบบ ระบบไฟส่องสว่างแบบฮาโลเจน โดยมีการเสริมระบบไฟ DRL แบบ LED เข้ามา ตัวรถยังมีการติดตั้งระบบ Assist & Slipper Clutch มาให้ใช้งาน ถังน้ำมันจุได้ 13.5 ลิตร น้ำหนักตัวโดยรวมอยู่ที่ 161.9 กิโลกรัม

Husqvarna 701 Supermoto

ด้วยขุมพลังระดับ 74 แรงม้า มาพร้อมระบบอิเล็คทรอนิคส์ล้ำสมัย advanced electronics และ โครงสร้างแชสซีส์ชั้นยอดที่ขนานให้เป็น state-of-the-art chassis ทำให้ 701 Supermoto เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีสมรรถนะในระดับรถแข่ง แต่พร้อมที่จะตอบสนองการขับขี่บนท้องถนนในเวลาเดียวกัน

รหัสรุ่น 701 นี้คือรถในไลน์ผลิต street motorcycle segment หรือรถที่พัฒนามาเพื่อใช้งานบนท้องถนนตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งมีทั้ง endure และ supermoto ที่มีการอัพเดทปีต่อปีที่มีการพัฒนาเวอร์ชั่นล่าสุดออกมา

และแน่นอนว่าโมเดล 2020 ล่าสุดนี้ ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนคาแรคเตอร์การส่งกำลังเครื่องยนต์ใหม่เพื่อให้สนุกกับการขับขี่ยิ่งขึ้น ด้วยการเซ็ทค่าของโหมดการขี่ใหม่ที่สามารถปรับผ่าน New Switchable Ride Modes พร้อมด้วยการติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่จำเป็น และสำหรับรถจักรยานยนต์สมัยใหม่ อย่างเช่น New Bosch cornering ABS ที่จะช่วยคำนวณจังหวะการเบรกกิ้งได้เหมาะสมกับองศาการเลี้ยว หรือแม้แต่ New Easy Shift function ที่ช่วยให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์สั้นลง และพัฒนาค่าแทร็คชั่นที่ล้อหลังให้ดีขึ้น improved rear wheel traction อีกทั้งยังมี New lean angle sensitive motorcycle Traction Control มีการคำนวณค่าแมร็คชั่นของล้อหลังที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวะที่รถกำลังเอียงหรือเลี้ยวได้เหมาะสมกับแต่ละองศาในการขี่ขณะเลี้ยวนั่นเอง แน่นอนว่า กราฟฟิคและสีสันคือสิ่งที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนเป็นปกติโดยกราฟฟิคในโมเดลล่าสุดนี้ได้ออกแบบให้เข้ากับมิติตัวรถที่เพรียวมากขึ้นจากเดิม

ด้วยขุมพลังขนาด 74 แรงม้า ตามที่กล่าวไว้แล้วนั้น มาจากเครื่องยนต์สูบเดียว single overhead camshaft สี่วาล์วระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มีการปรับฝาสูบด้วยการใช้ intake valve หรือ วาล์วไอดี ขนาด 42 มม. พร้อม exhaust valve หรือ วาล์วไอเสีย ขนาด 34 มม. ซึ่งเครื่องยนต์ให้แรงบิดขนาด 71 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบ ต่อนาที และแน่นอนว่ากำลังสูงสุด 74 แรงม้า ที่ 8,000 รอบ ต่อนาที ซึ่งจะส่งผ่านชุดเกียรแบบ เกียร์บ๊อกซ์น้ำหนักเบา lightweight 6 speed gearbox ที่มาพร้อมกับ easy shift function ที่ออกแบบมาให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้คลัทช์ในการจ่ายน้ำมันนั้นใช้ Keihin electronic fuel injection system ที่มีเรือนลิ้นเร่งขนาด 50 มม. ซึ่งจังหวะการเปิดปิดคันเร่งนั้นเป็นแบบ Ride-by -wire throttle ที่ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า และผ่านการสั่งงานโดย engine management system หรือ EMS ที่จะประมวลผลผ่านเซ็นเซอร์

สเปคพื้นฐานของตัวรถมีข้อมูลดังนี้
ENGINE
Displacement 7 cm³
Power in KW 55 kW
Design1-cylinder, 4-stroke engine
Bore 105 mm
Stroke 80 mm
Starter Electric starter
Lubrication Forced oil lubrication with 2 oil pumps
Transmission 6-speed
Cooling Liquid cooled
Clutch APTC(TM) slipper clutch, hydraulically actuated
EMS Keihin EMS with RBW, twin ignition
CHASSIS
Frame design Chromium-Molybdenum steel trellis frame, powder coated
Suspension travel (front) 215 mm
Suspension travel (rear) 240 mm
Front brake Brembo four-piston radial fixed calliper, brake disc
Rear brake Brembo single-piston floating calliper, brake disc
Front brake disc diameter 320 mm
Rear brake disc diameter 240 mm
ABS Two-channel Bosch 9.1 MP ABS (incl. Cornering ABS and Supermoto mode Disengegable)
Steering head angle 6 °
Ground clearance 238 mm
Seat height 890 mm
Tank capacity (approx.) 13 l
Weight without fuel 147 kg