2022 Honda CRF450R

กล่าวได้ว่านี่คือการ redesigned หรือปรับปรุงจากโมเดล 2021 CRF450R แต่ได้เสริมแนวคิดในการออกแบบ ด้วยนิยามสั้นๆว่า Razor-Sharp Cornering ซึ่งระบุชัดเจนว่า 2022 CRF450R พัฒนาคุณสมบัติเพิ่มเติมในการขับขี่การเคลื่อนไหวการควบคุมที่ยอดเยี่ยมในโค้งเป็นสำคัญ

ไม่เพียงเท่านี้ในการปรับปรุง 2022 CRF450R ยังระบุว่าได้มีการเน้นที่ส่วนของแรงบิดให้กับรอบการทำงานเครื่องยนต์ในช่วงต่ำและกลางอีกด้วย ขณะที่น้ำหนักของเฟรมและสวิงอาร์มนั้นสามารถพัฒนาจนมีน้ำหนักเบากว่าเดิมสองกิโลกรัม เมื่อเทียบกับโมเดล 2020 CRF450R กล่าวได้ว่า แนวคิดทั้งหมดของการพัฒนา 2022 CRF450R ล้วนต่อยอดมาจาก 2021 CRF450R นั่นเอง
ความเร็วคือเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเพื่อผลที่ยอดเยี่ยมในสังเวียน MXGP ดังนั้นด้วยประสบการณ์ของ HRC จึงเป็นส่วนสำคัญที่พวกเขาจะเข้าใจดีว่าจะต้องจัดการอย่างไรเพื่อให้รถแข่งสามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากการอัพแดทสู่ความสมบูรณ์แบบที่เพิ่มขึ้นจาก 2021 CRF450R มาสู่ 2022 CRF450R ทั้งในส่วนเฟรมสวิงอาร์ม และเครื่องยนต์ในแบบของการ redesigned แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องมีการอัพเดทควบคู่ไปด้วยก็คือ ECU ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบกันสะเทือน โดยการ re-valve ของ Showa suspension ทั้งในส่วนกันสะเทือนหน้า และกันสะเทือนหลัง เพื่อเสริมสมรรถนะในการซับแรงสั่นสะเทือนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพียงพอที่จะรองรับพละกำลังเครื่องยนต์ที่เค้นมาอย่างเต็มที่ในขณะแข่งขันด้วยความเร็วสูง

เมื่อกล่าวถึง ECU ก็ต้องพูดถึงระบบอิเล็คทรอนิคส์ ที่ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นหัวใจสำหรับรถจักรยานยนต์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถแข่งถือได้ว่าระบบอิเล็คทรอนิคส์เข้ามามีส่วนช่วยในการควบคุมเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกันใน 2022 CRF450R ก็มีการอัพเดท Honda Selectable Torqque Control-HSTC ที่มาพร้อมกับ 3 riding modes (รวม off) HRC Launch Control มาพร้อมด้วยออพชั่นออกตัวสามรูปแบบ 3 start options คือ Level3 ที่ 8,250 rpm สำหรับการออกตัวในสภาพโคลน muddy codition-Level2 ที่ 8,500 rpm สำหรับการออกตัวในสภาพแห้ง dry condition หรือโหมดมาตรฐาน Level1 ที่ 9,500 rpm เป็นการออกตัวในสภาพ dry conditions แต่เป็นระดับมืออาชีพที่เหนือกว่าเลเวล 2 Engine Mode Select Button-EMSB มาพร้อมกับ 3 maps ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม HRC Setting tool สามารถปรับแต่ง Aggressive และ Smooth modes หากกล่าวโดยภาพรวมแล้ว 2022 CRF450R ก็คือการ”เก็บงาน” ที่อัพเดทเพิ่มเติมจาก 2021 CRF450R ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายไปก่อนหน้านี้ หัวใจสำคัญของ 2022 CRF450R นั่นก็คือการอัพเดท ECU เพื่อให้ได้การส่งกำลังที่นุ่มนวลมากกว่าเดิม อีกจุดหนึ่ง็คือการ re-valce สำหรับ Showa suspenrion ตามที่กล่าวไป

สเปคของตัวรถมีดังนี้
ENGINE
Type Liquid-cooled 4-stroke single cylinder uni-cam
Displacement 449.7cc
Bore ´ Stroke 96.0mm x 62.1mm
Compression Ratio 13.5 : 1
FUEL SYSTEM
Carburation Fuel injection
Fuel Tank Capacity 6.3 litres
ELECTRICAL SYSTEM
Ignition Digital CDI
Starter Self-Starter
DRIVETRAIN
Clutch Type Wet type multi-plate
Transmission Type Constant mesh, 5-speed,manual
Final Drive Chain
FRAME
Type Aluminium twin tube
CHASSIS
Dimensions (L´W´H) 2,182 x 827 x 1,267mm
Wheelbase 1,481mm
Caster Angle 27.1°
Trail 114mm
Seat Height 965mm
Ground Clearance 336mm
Weight Dry 105.8kg – wet 110.6kg
SUSPENSION
Type Front Showa 49mm USD fork
Type Rear Showa monoshock using Honda Pro-Link
WHEELS
Type Front Aluminium, spoke
Type Rear Aluminium,  spoke
Tyres Front 80/100-21-51M Dunlop MX33F
Tyres Rear 120/80-19-63M Dunlop MX33
BRAKES
Front Single 260mm disk
Rear Single 240mm disk

BMW C400X + C400GT

รถสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางระดับพรีเมี่ยม จาก BMW ที่ได้รับการอัพเกรดออกมาล่าสุด ก็คือ C400X กับ C400GT ซึ่งเวอร์ชั่นแรก อย่าง C400X ถูกส่งออกมาครั้งแรกในปี 2017 เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในเมือง ขณะที่ C400GT ที่ส่งออกมาสู่ตลาดในปี 2019 นั้น ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการเดินทางไกล ด้วยความเป็นรถในแบบ Gran Turismo หรือ ทัวร์ริ่ง และล่าสุดทาง BMW Motorrad ได้ทำการอัพเกรดสกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยมขนาดกลางทั้งสองเวอร์ชั่นด้วยการระบุอย่างชัดเจนว่า Technology upgrade for the midsize scooters

ด้วยจุดประสงค์ในการออกแบบที่ต้องการให้ทั้ง C400X และ C400GT เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางที่มีความทนทาน ตอบสนองการใช้งานที่ดี และให้ความสนุกสนานในการขับขี่ รวมทั้งลดภาระการดูแลรักษา ตัวเลือกของเครื่องยนต์แบบสูบเดียว single-cylinder engine จึงเป็นตัวเลือกที่ดีพร้อมด้วยชุดเกียร์บ๊อกซ์ที่กำหนดมาเป็นแบบอัตโนมัติ หรือ CVT-continuously variable transmission ที่มีสมรรถนะของขุมกำลังในการขับเคลื่อนขนาด 25kW หรือ 34 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 35Nm ที่ 5,750 รอบต่อนาที ที่มาพร้อมกับ electronic throttle grip-E-gas ซึ่งเป็นระบบควบคุมการเปิดปิดเรือนลิ้นเร่งด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์ รวมทั้งปรับปรุงระบบควบคุมเครื่องยนต์มาใหม่ new engine management system กล่าวได้ว่าหลากหลายส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการทำงานของ”ระบบ” ล้วนถูกพัฒนามาใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่า catalytic converter oxygen sensor cylinder head new sensor on the generator cover เป็นต้น

เป็นที่รู้กันว่าในโมเดลก่อนหน้านี้ ได้มีการติดตั้ง ASC-Automatic Stability Control ซึ่งเป็นระบบที่มีเซ็นเซอร์คอยแจ้งเตือนความมั่นคงในการขับขี่ ที่คำนวณขนาดวงล้อ ความเร็วและหน้าสัมผัสของพื้นผิว โดยในระบบเดิมที่ติดตั้งมานั้น จะต้องคอยป้อนข้อมูลหรือวัดขนาดของวงล้อใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ ดังนั้นในโมเดลล่าสุดของ C400X และ C400GT นี้ ได้พัฒนาให้สามารถคำนวณได้โดยอัตโนมัติ คือ เป็น ASC ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ Automatic radius calibration นอกจากนี้ยังได้เพิ่มออพชั่นในการควบคุมความเร็วสูงสุดตามกฏหมายของประเทศจีน ที่กำหนดให้มี top speed ที่ 129 กม./ชม. แต่ในประเทศอื่นๆ นั้นยังคง top speed ไว้ที่ระดับ 139 กม./ชม.

นอกจากนี้ไฮไลท์ที่มีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ก็เป็นในส่วนของระบบเบรก ที่มีการเปลี่ยนส่วนของคาลิเปอร์เบรกหน้า new front brake calipers และยังมีการปรับระยะเคลื่อนที่ของมือเบรก adjusted lever travel ของทั้งเบรกหน้า และเบรกหลัง โดยเฉพาะในส่วนของ new brake calipers นั้นมีส่วนให้การเบรกหน้านั้นมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ด้วย double-disc brake system ซึ่งมีการปรับใหม่ทั้ง C400X และ C400G

“R6” กระหึ่ม นาบาร์ร่า กวาดโพเดี้ยม WSSP “เอเกอร์เตอร์” ซิวแชมป์ 8 เรซติด

โดมินิก เอเกอร์เตอร์ #77 ดาวบิดสวิส สังกัดเทน คาเตะ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ระเบิดฟอร์มร้อนแรงคว้าดับเบิ้ลแชมป์ เกมเวิลด์ซูเปอร์สปอร์ต ผงาดคว้าชัยเป็นเรซที่ 8 ติดต่อกัน รวมถึง สตีเว่น โอเดนดาล #4 และ ลูก้า แบร์นาดี้ #29 ที่ควบรถแข่ง YZF-R6 ครองดับเบิ้ลโพเดี้ยม จากการชิงชัยในเรซล่าสุด ที่ เซอร์กิโต เดอ นาบาร์ร่า

ศึกซูเปอร์สปอร์ต เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 ดวลความเร็วสนามที่ 6 ของฤดูกาลระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม ที่ผ่านมา บนสังเวียนแห่งใหม่อย่าง เซอร์กิโต เดอ นาบาร์ร่า แคว้นนาบาร์ ประเทศสเปน ระยะทางต่อรอบ 3.933 กิโลเมตร ในรายการพิเรลลี่ นาบาร์ร่า ราวนด์การชิงชัยในเรซดังกล่าวเป็นผลงานระดับมาสเตอร์ของ โดมินิก เอเกอร์เตอร์ #77 ดาวบิดสวิส สังกัดเทน คาเตะ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ที่ระเบิดฟอร์มเก่งบิดคว้าชัยจากการชิงชัยทั้ง 2 เรซ ผงาดซิวแชมป์ในคลาสดังกล่าวเป็น 8 เรซติดต่อกัน และยังคงเป็นรถแข่งยามาฮ่า YZF-R6 ที่คว้าอันดับสูงสุดบนโพเดี้ยมทั้ง 12 เรซที่ผ่านมาขณะที่ สตีเว่น โอเดนดาล #4 นักบิดเซาท์แอฟริกา จาก อีแวน บรอส. เวิลด์เอสเอสบี ทีม ยังคงอยู่ในผลงานอันยอดเยี่ยม บิดคว้าอันดับ 2 จากการชิงชัยทั้ง 2 เรซ ที่ นาบาร์ร่า รวมถึง ลูก้า แบร์นาดี้ #29 ดาวบิดจากซานมาริโน่ สังกัดซีเอ็ม เรซซิ่ง ที่ส่ง R6 เหมาโพเดี้ยมอันดับ 3 ในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
จากผลการแข่งขันดังกล่าว ส่งผลให้ ยามาฮ่า นำโด่งบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทค่ายผู้ผลิต หลังเก็บไปได้ 300 คะแนนเต็ม รวมถึง โดมินิก เอเกอร์เตอร์ ที่ครองจ่าฝูงในประเภทนักบิดได้อย่างเหนียวแน่น เก็บไปแล้วทั้งสิ้น 257 คะแนน เหนือกว่า สตีเว่น โอเดนดาล ที่รั้งอันดับ 2 อยู่ 47 คะแนน สำหรับการแข่งขันในสนามที่ 7 ศึกซูเปอร์สปอร์ต เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 จะยกพลไปดวลความเร็ว ที่ เซอร์กิต เด แนร์แวร์ส แม็กนีย์-คูส์ ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 3-4 กันยายน นี้

2022 Suzuki GSX1300RR Hayabusa

2022 Suzuki Hayabusa ถูกจัดไว้ในส่วนของ “Ultimate Sportbike” มันเป็นยิ่งกว่าการอัพเกรดธรรมดาของเจ้า “พญาเหยี่ยว” ทุกอย่างถูกปรับแต่งได้อย่างลงตัวครบถ้วน ไฟหน้าแบบโคมเดี่ยว ทรงเรียว ช่อง Air Intake ด้านหน้า แฟร์ริ่งที่มีความบึกบึน ส่วนโค้งท้ายตัวรถที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยเบาะนั่งทรงสปอร์ตสำหรับการซุกตัวหมอบใต้อุโมงค์ลมชิลด์หน้า\

เครื่องยนต์จะมาพร้อมกับขุมกำลังขนาด 1,340 ซีซี แบบ 4 ลูกสูบเรียง DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 187.75 แรงม้าที่ 9,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 110.68 นิวตันเมตร ที่ 7,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ส่งกำลังสุดท้ายด้วยโซ่ ระบบกันสะเทือนแบบหัวกลับ Upside-Down KYB ขนาด 43 มม. สามารถปรับระดับได้ ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ปรับได้เต็มระบบ Preload rebound และ compression damping ระบบเบรกหน้าแบบดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. คาลิเปอร์แบบ 4 พอร์ท ด้านหลังจานดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 260 คาลิเปอร์แบบลูกสูบเดี่ยว พร้อมระบบ ABS พิเศษ Motion Track Anti-Lock Brake System ที่ไวต่อการเอียงรถ และมีระบบ Combined Brake System เพื่อช่วยให้แชสซีรักษาระดับ สำหรับผู้ที่ชอบใช้เบรกหลังเพียงอย่างเดียว และยังมีระบบ Slope Dependent Control System ที่ทำงานเพื่อลดการยกล้อหลังให้น้อยที่สุดเมื่อเบรกบนทางลาดลงเนิน รวมไปถึงระบบ Hill Hold Control System ระบบช่วยเบรกในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะจอดบนทางที่ลาดเอียง วงล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว แบบ 7 ก้านใหม่ พร้อมด้วยยาง Bridgestone S22ไซส์ 120/70ZR-17 และ 190/50ZR-17

โดยขุมกำลังใหม่นี้ เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพในการส่งกำลังในรอบต่ำและกลางมากขึ้น ถึงแม้ว่าขนาดของกระบอกสูบ x ช่วงชักจะยังเท่ากับ 81.0 x 65.0 มม เหมือนเดิม แต่ก็มีการออกแบบลูกสูบใหม่ที่มีน้ำหนักที่เบากว่า ก้านลูกสูบน้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม 3 กรัม ห้องเผาไหม้ได้รับการแก้ไขใหม่ โดยลดค่าสัมประสิทธิ์การไหลลง 5% เพื่อให้การเผาไหม้ของอากาศ เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่เพียงเท่านี้ ยังปรับปรุงระบบหล่อลื่นไปจนถึงตลับลูกปืนที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อความทนทาน และประสิทธิภาพในทุกๆ ย่านความเร็ว ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ก็พัฒนาใหม่ โดยการอัพเกรดระบบไหลเวียนของอากาศที่ไหลได้สะดวกมากขึ้น 8% ในขณะเคลื่อนที่ และเพิ่มขึ้นอีก 7% ในจังหวะที่พัดลมเริ่มทำงาน และเพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ตามที่ต้องการรวดเร็ว Suzuki จึงใช้เป็นคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire และตัว throttle bores แบบ 2 หัวฉีด ขนาด 43 มม. หัวฉีดหลักจะฉีดพ่นลงไปที่รูโดยตรงในขณะที่ Suzuki Side Feed Injector ใหม่จะฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงกับแผ่นสะท้อนแสงที่อยู่ข้างหน้าวาล์วปีกผีเสื้อ ส่งผลให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น 2% ในช่วงต่ำและช่วงกลาง ท่อไอดีทั้งหมดมีความยาวเพิ่มขึ้น 12 มม เพื่อเพิ่มกำลังในช่วงรอบต่อนาที ช่อง AirBox ที่ปรับขนาดความจุใหม่ 11.5 ลิตร ไส้และระบบไอเสียเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการลดน้ำหนักลงกว่าของเดิม 2.04 กิโลกรัม

โครงสร้างหลักแบบ twin-spar aluminum frame และ swingarm รูปทรงเดิม แต่มีการย้ายจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลงใกล้กับพื้นมากขึ้น และกระจายน้ำหนักด้านหน้าหลังได้ 50/50 ลดน้ำหนักของโครงสร้างแต่เพิ่มความแข็ง ซึ่งนั้นหมายความถึงตัวรถจะถูกปรับปรุงในเรื่องของประสิทธิภาพในการขับขี่ในทางโค้งที่ดี แต่จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมกับการวิ่งทำความเร็วสูงบนเส้นทางตรง แบบ ที่ออกแบบมาเฉพาะจัดเต็มกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย Hayabusa รุ่นใหม่มาพร้อมกับคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ใหม่ โดยมีระบบ Suzuki Intelligent Ride System (SIRS) และรระบบ Suzuki Drive Mode Selector Alpha ที่มีโหมดการขับขี่มาตรฐานโรงงานสามโหมด และโหมดที่ผู้ใช้กำหนดเองได้สามโหมด โดยการปรับแต่ค่าต่างๆ นั้น ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับหรือเปิดปิดระบบการทำงานต่างๆ ได้อย่างอิสระไม่เพียงเท่านี้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายจะทำงานรวมกับแกน IMU จาก Bosch และควบคุมการทำงานด้วยระบบ ECU เพลิดเพลินกับการขับขี่ด้วยตัวช่วยอย่าง ระบบ Quick Shift แบบสองทาง ที่สามารถปรับขึ้นและลดเกียร์ได้อย่างอิสระ และความสามารถใหม่ Active Speed ​​Limiter ระบบจำกัดความเร็วที่สามารถปรับค่าได้ โดยสามารถไล่เรียงขีดจำกัดความเร็วตั้งแต่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปถึงขีดสุดของตัวรถที่สามารถทำได้ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สีสันทีจะผลิตออกสู่ตลาดมีการประกาศออกมาแล้วว่าจะมาพร้อมกัน 3 ชุดสี ประกอบไปด้วย Glass Sparkle Black – Candy Burnt Gold, Metallic Matte Sword Silver – Candy Daring Red และ Pearl Brilliant White – Metallic Matte Stellar Blue สำหรับ Suzuki Thailand จะมีการนำเข้ามาในช่วงเวลาใด และราคาของมันนั้นจะเพิ่มจากราคาปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่ที่ 850,000 บาท หรือมากกว่า ต้องตามลุ้นกันอีกที

CB150R SCRAMBLER CITY

เรื่องของไอเดียการตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์สำนักแต่งประเทศไทยถือได้ว่าไม่ธรรมดา รวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นมาเองและยังสามารถส่งไปขายยังต่างประเทศได้อีกด้วย

นการนำเสนอไอเดียของสำนักแต่ง Note Kevlar ในรูปแบบของ Scrambler ซึ่งต้องมีการตัดเติมเสริมแต่งเฟรมช่วงท้ายใหม่เพื่อให้รอบรับกับเบาะนั่งที่เรียบและตรง ถังน้ำมันครอบปิดด้วยเคฟล่าร์ และคาดด้วยลายสติ๊กเกอร์พร้อมโลโก้ของ H2C ปีกข้างหม้อน้ำ บังโคลนหน้า เป็นงานเคฟล่าร์ที่ทางร้านมีความถนัด ไฟหน้าครอบปิดด้วยตระแกรงสไตล์ทัวร์ริ่ง แฮนด์บาร์พร้อมตัวค้ำกันแฮนด์บิดเสียทรง กระจกทรงกลมติดที่ปลายแฮนด์ โช้คอัพหน้าหัวกลับ ระบบดิสก์เบรกหน้าจานเดี่ยว 310 มม. คาลิเปอร์แบบเรเดียลเม้าท์ บังโคลนขนาดเล็ก วงล้อจากแม็กเปลี่ยนเป็นอลูมินัมซี่ลวด และยางกึ่งสำหรับการใช้งานที่หลากหลายสไตล์

ท่านั่งกระชับมากยิ่งขึ้นมาที่พักเท้าแบบเกียร์โยงให้ดูสปอร์ตมายิ่งขึ้น สวิงอาร์มอลูมินัมงาน CNC จาก Nui Racing ทำงานร่วมกับโช้คอัพหลังโมโนโช้คเทคโนโลยีระดับแชมป์แบรนด์ชั้นนำระดับประเทศ Gazi ที่มีทั้งความสวยงามและสมรรถนะอย่างเต็มที่ รุ่นนี้มีซัพแท้งค์บิ้วท์อินและปรับพรีโหลด ดิสก์หลังจานเดี่ยว 240 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว

เครื่องยนต์แคร้งทั้งสองข้างถูกป้องกันด้วยชุดกันสไลด์ การ์ดด้านหน้ากันเศษหิน และกันกระแทก ส่วนเครื่องยนต์ของความเร้าใจในการขับขี่ก็เพิ่มการรีดแรงม้าให้บิดติดมือ และเสียงทุ้ม เป็นการเดินท่อไอเสียออกข้างยกขึ้นแบบสแครมเบลอร์พร้อมกับแผ่นกันร้อนปลายกระบอกสแตนเลส

MSX125 City Cross

รถแต่งยังไงก็ไม่เอ้าท์ ไม่มีตกเทรนด์ จัดมาให้สำหรับนักบิดที่ชอบความเร้าในรูปแบบของรถจักรยานยนต์มินิสตีทไบค์ ดีไซน์แบบซิตี้ครอสและมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 125 ซีซี บิดได้เร้าใจแบบสั่งได้ด้วยคลัทช์มือ และเทคโนโลยีระบบหัวฉีด อัจฉริยะ PGM-Fi ที่ให้ทั้งความสนุกและความมันบนทางเรียบ หรือทางฝุ่น

MSX 125 จากค่ายปีกนก ที่คัดสรรรถจักรยานยนต์หลากหลายสไตล์มาเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่น เรียกได้ว่าจัดมาเต็มๆ กับการตกแต่งในแบบซิตี้ครอส ไอเดียสุดๆ ด้วยออพชั่นในมุมต่างๆ สีสันโดดเด่น Green Neon เขียวสะท้อนแสง เล่นลวดลายเส้นอย่างลงตัวตามขอบมุม และเปลี่ยนไฟหน้าเป็นทรงกลม

ตัวรถมีการปรับเซ็ทใหม่ซึ่งยังคงไว้เพียงเมนเฟรมเดิมๆ ยกระดับความสูงกึ่งวิบากด้วยโช้คอัพหน้ายาวหุ้มแกนด้วยยางกันฝุ่น บังโคลนลอยยึดกับแผงคอเสริมตัวล่างสุด วงล้ออลูมินัมซี่ลวดรัดขอบด้วยยางกึ่งวิบาก ใช้ได้ทั้งทางเรียบ และทางฝุ่น ดิสก์เบรกหน้า คาลิเปอร์ 2 ลูกสูบ จานดิสก์สร้างพร้อมด้วยโฟลท์ติ้ง 10 ตัว สำหรับการให้ตัวของจาน ตัวปั๊มแรงดันกระปุกลอยอลูมินัม ก้านเบรก และคลัทช์แบบพับได้ ประกับคันเร่งทดรอบด้วยสายคู่ ปลอกแฮนด์ยางปั๊มขึ้นรูปบิดได้ติดมือ

ท่านั่งปรับตำแหน่งการวางเท้าด้วยชุดพักเท้าเกียร์โยงแบบแยกชิ้นที่เสริมสำหรับคนซ้อนท้ายด้วย ขาเกียร์หุ้มด้วยยางกันลื่น เบาะนั่งตัดต่อเหลือเพียงที่เดียว เสริมตระแกรงหลังสำหรับมัดสัมภาระเดินทางลุยเข้าป่า แฮนด์ Fat Bar กว้างให้นั่งควบคุมได้ง่ายด้านปลายถ่วงมาพร้อมกับกระจกอลูมินัม

ช่วงหลังเพิ่มการควบคุมเข้าโค้งหรือเส้นทางขรุขระด้วยโช้คอัพแก๊สของแต่งสุดฮิตจาก Gazi แบบซับแท้งค์แยกสามารถปรับรีบาวด์ดัมพ์ปิ้ง และ พรีโหลดได้ สวิงอาร์มหลังอลูมินัมตัวตั้งแกนแบบสปอร์ต ดิสก์เบรกหน้าดับเบิ้ลดิสก์ คาลิเปอร์แบบ4 พอร์ม เรเดียลเม้าท์ จานแต่งขอบ เครื่องยนต์ถูกปรับให้โดดเด่นด้วย ออพชั่นอลูมินัมสไลด์เดอร์และตัวกันล้ม กรองอากาศเดินเลี้ยวออกมารับลมด้านหน้า เพิ่มการรีดแรงม้าด้วยท่อไอเสียสแตนเลสที่มีดีไซน์การเดินข้องอส่วนปลายวางตำแหน่งอยู่ใต้ท้องรถ และติดตั้งชุดออยคูลเลอร์ระบายความร้อนน้ำมันของเครื่องยนต์ ตัวแผงคอเป็นสีเดียวกับตัวรถไม่ได้แต่งเพิ่มออพชั่นความสวยอย่างเดียว เครื่องยนต์ก็ปรับเพิ่มอัตราการเร่งให้บิดได้สนุกมากยิ่งขึ้น พร้อมลุยสำหรับการขับขี่ ทั้งในเมือง และทางวิบาก

2021 Honda NC750X

ชัดเจนกับคำจำกัดความที่ว่า One Motorcycle.For Everything ที่ถูกนำมาใช้กับ NC750X ซึ่งผู้ใช้ที่ได้สัมผัสมาแล้วต่างเข้าใจกันดีว่ารถรุ่นนี้พร้อมเพียงใดที่จะตอบสนองการเดินทางสู่เป้าหมายที่ผู้ขับขี่ต้องการ

ด้วยความมั่นใจในสมรรถนะ ความปลอดภัยในด้านความปลอดภัย คุณภาพมาตรฐานสูงที่ผลิต และความสะดวกสบายที่ได้รับจากรถรุ่นนี้ คือสิ่งที่ทุกคนยืนยันได้ และนี่คือเวอร์ชั่นล่าสุดที่ได้รับการอัพเดทออกมาสู่ตลาดในปีนี้ ด้วยโครงสร้างบอดี้เวิร์คที่มีความกะทัดรัดมากขึ้น มีความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น มีพื้นที่เก็บสัมภาระมาเป็นพิเศษ เพิ่มพลังให้กับเครื่องยนต์ มีอัตราการเร่งที่รวดเร็วขึ้น มีการปรับโหมดการขับขี่ให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น และตัวรถโดยรวมมีน้ำหนักลดลงจากเดิม 6 กก. กำลังสูงสุดจากเครื่องยนต์ 750 ซีซี parallel twin engine เพิ่มจากเดิม 4kW และมีรอบการทำงานสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 600rpm สามเกียร์แรกได้รับการปรับอัตราทดให้สั้นลงเพิ่มความรู้สึกในแบบสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม

โหมดการขับขี่ได้รับการปรับให้ทำงานร่วมกับ throttle by Wire ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งสามโหมดมาตรฐาน คือ sport rain-standard และยังมีอีกหนึ่งโหมด คือ โหมดที่อนุญาติให้ผู้ใช้สามารถปรับเซ็ทได้ตามความต้องการ ซึ่งแต่ละโหมดจากที่มีสี่ riding mode ล้วนถูกออกแบบมาให้มีความสัมพันธ์กับรูปแบบของ Dual Clutch Transmission อีกด้วยอย่างที่กล่าวไปแล้ว NC750X ได้รับการปรับโครงสร้างบอดี้เวิร์คใหม่ ดังนั้นในส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระ central storage จึงมีความจุเพิ่มขึ้นเป็นขนาด 2 ลิตร อีกทั้งยังได้รับการปรับบังลมหน้าใหม่ รวมถึงการใช้แผงเรือนไมล์ full colour LCD มีติดตั้งพอร์ท USB และยังปรับความสูงเบาะนั่งต่ำลงจากเดิม 30 มม. เช่นเดียวกับที่มีการพัฒนาปรับปรุงระบบควบคุมและระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆให้มีประสิทธิภาพที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปรับเลือกแรงบิด Honda Selecctable Torue Control ที่เซ็ทมาใหม่ หรือแม้แต่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของโมเดลล่าสุดนี้ก็อยู่ในระดับ 28.3 กม./ลิตร

หลังจากที่เปิดตัวออกมาในปี 2012 ของ NC750X ก็สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวาง ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง DCT-Dual Clutch Transmission ที่เป็นจุดขายของ NC750X ในช่วงเวลานั้น ควบคู่กับองค์ประกอบต่างๆที่ส่งเสริมให้รถรุ่นนี้”ฉีก”จากตลาดรถจักรยานยนต์ด้วยมาตรฐานความสะดวกสบายและปลอดภัยของการขับขี่ จากรถที่สามารถตลุยไปได้ในทุกเส้นทางรุ่นนี้ ก่อนที่จะได้รับการปรับปรุงและเสริมความสมบูรณ์แบบเพิ่มเติมมากมายหลายจุดในปี 2014 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขนาดความจุดอีก 75 ซีซีจาก 670 ซีซี เป็น 745 ซีซี ตามด้วยการเพิ่มคุณสมบัติในแบบแอดเวนเจอร์ด้วยการอัพเกรด DCT ในปี 2016 ตามด้วยการติดตั้ง HSTC- Honda Selectable Torque Control แบบสองระดับเข้ามาให้กับเครื่องยนต์ ใน ปี 2018

จนกระทั่งมาถึงในโมเดลล่าสุด 2021 NC750X ได้รับการอัพเกรดต่างเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น อย่างที่บอกไปแล้วว่าเน้นการตอบสนองคันเร่งที่ดีขึ้นให้ความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ดังนั้น TBW-Throttle By Wire จึงสามารถปรับเซ็ทได้ให้มีความเหมาะสมกับแต่ละ riding mode รวมทั้ง HSCT ที่มีการเซ็ทติ้งมาให้เลือกใช้มากถึง 3 level เช่นเดียวกับที่ DCT มีออพชั่นเพิ่มเติมด้วย Automatic shiftingที่อัพเกรดให้สัมพันธ์กับโหมดการขับขี่ที่พัฒนามาใหม่เช่นกัน

ตัวรถมีสเปคดังนี้

ENGINE
Type Liquid-cooled 4-stroke 8-valve, SOHC parallel 2-cylinder. EURO5 compliant.
Displacement 745cc
Bore&Stroke 77mm x 80mm
Compression Ratio 10.7: 1
Max. Power Output 43.1kW @6,750rpm
Max. Torque 69Nm @ 4,750rpm
Oil Capacity 4L
FUEL SYSTEM
Carburation PGM-FI electronic fuel injection
Fuel Tank Capacity 14.1 litres
Fuel Consumption MT: 28.3km/l (WMTC mode)
DCT: 28.3km/l (WMTC mode-Tested in D-Mode)
ELECTRICAL SYSTEM
Starter Electric
Battery Capacity 12V/11AH
DRIVETRAIN
Clutch Type MT Wet multiplate clutch
DCT: Wet multiplate hydraulic 2-clutch
Transmission Type MT: 6-speed Manual Transmission
DCT: 6-speed Dual ClutchTransmission
Final Drive Chain
FRAME
Type Diamond; steel pipe
CHASSIS
Dimensions (L´W´H) 2210mm x 846mm x 1330mm
Wheelbase MT: 1535mm
DCT: 1535mm
Caster Angle 27°
Trail 110mm
Seat Height 800mm
Ground Clearance 145mm
Kerb Weight MT: 214kg
DCT: 224kg
SUSPENSION
Type Front 41mm telescopic fork, 120mm stroke
Type Rear Monoshock damper, Pro-Link swingarm, 120mm travel
WHEELS
Type Front Multi-spoke cast aluminium
Type Rear Multi-spoke cast aluminium
Rim Size Front 17M/C x MT3.50
Rim Size Rear 17M/C x MT4.50
Tyres Front 120/70-ZR17M/C (58W)
Tyres Rear 160/60-ZR17M/C (69W)
BRAKES
ABS System Type 2-channel ABS
Type Front 320mm single wavy hydraulic disc with 2-piston caliper and sintered metal pads
Type Rear 240mm single wavy hydraulic disc with single-piston caliper and resin mold pads
INSTRUMENTS & ELECTRICS
Instruments Digital speedometer, digital bar-typetachometer, clock, bar-type fuel meter,two trip meters,gear position indicator,
‘instant’and‘average’fuel consumptionandcoolant temperature warning light.
Security System HISS
Headlight LED
Taillight LED

2020 Ninja ZX-25R

เปิดตัวมาในปี 2020 ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างมาก กับรถซูเปอร์สปอร์ต Ninja ZX-25R ขนาด 250 ซีซี มาพร้อมเครื่องยนต์ Inline 4 สูบเรียง รอบจัด เครื่องยนต์บล็อคใหม่กับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากคาวาซากิ

เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีกระบอกสูบ x ช่วงชัก = 50.00 x 31.8 มม. ปริมาตรความจุ 250 ซีซี อัตราส่วนกำลังอัด 11.5:1 ให้แรงม้าสูงสุด 47 แรงม้าที่ 15,500 รอบ/นาที ให้แรงบิด 30 นิวตันเมตร จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด มีชุดลิ้นปีกผีเสื้อขนาด 30 มม. x 4 ช่อง ระบบคลัทช์มาพร้อม Assist & Slipper Clutch เกียร์ 6 สปีด โดยเครื่องยนต์สามารถปั่นรอบได้สูงกว่า 17,000 รอบ/นาที

แรมแอร์ไดเร็ก ช่วยให้รอบปลายทำงานได้อย่างสุงสุด เป็นเทคโนโลยีที่ขึ้นชื่อในตระกูล Ninja ZX จากคาวาซากิ ระบบท่อดักอากาศ หรือ Ram-Air ถูกติดตั้งไว้บริเวณกึ่งกลางด้านหน้าของตัวรถ โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก Ninja H2 อากาศที่ถูกอัดเข้าช่อง Ram-Air ไอดีจะมีปริมาณที่มาก และเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องยนต์ ซึ่งเห็นผลจากแรงม้า และกำลังที่จะเพิ่มขึ้นในความเร็วสูงเสริมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการทำงานที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ Ninja ZX-25R เป็นรถขนาด 250 ซีซี รุ่นแรกที่ติดตั้งระบบ Traction Control และ Quick Shifter ที่ทำงานได้เต็มระบบ ทั้ง Up และ Down ให้กำลังของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และยังให้โหมดสำหรับการขับขี่ Power Mode ที่มีให้เลือก Full และ Low

รม และช่วงล่างจัดเต็มสมรรถนะ เฟรมแบบ Trellis หรือแบบโครงถัก เป็นเฟรมใหม่ที่ช่วยกระจายแรงได้ดี โช้คอัพหน้าหัวกลับ Upside Down ของ Showa ขนาด 37 มม. การทำงานภายในแบบ SFF-BP (Separate Function Fork – Big Piston) ด้านหลังโช้คอัพเดี่ยววางนอนเกือบจะขนานกับพื้นหรือในชื่อ Horizontal Back-link ดิสก์เบรกหน้าเดี่ยวขนาด 330 มม. คาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ เป็นคาลิเปอร์โมโนบล็อคยึดแบบเรเดียลเมาท์ ด้านหลังดิสก์ขนาด 220 มม. คาลิเปอร์ขนาด 1 ลูกสูบ ล้อแม็ก 17 นิ้ว ยางหน้าขนาด 110/70R17 ยางหลังขนาด 150/60R17 ใช้รุ่น Dunlop GPR300
ถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาดความจุ 15 ลิตร ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 785 มม. ระยะฐานล้อหรือ Wheelbase ที่ 1,380 มม. มีน้ำหนักตัวรวมของเหลว 184 กิโลกรัม

ถ้าสนใจก็สามารถสอบถามหรือเข้าไปที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านได้แลย Kawasaki Ninja ZX-25R มี 2 สีคือ สีเขียว Lime Green / Ebony (SE) และสีดำ Metallic Spark Black / Pearl Flat Stardust White (SE) เปิดราคาที่ 269,000 บาท

ความรู้สึกหลังจากการขับขี่
จตุรงค์ หมื่นทิพย์ Golf Riding
ด้วยความที่เป็นรถสปอร์ตแต่กลับให้อารมณ์เหมือนรถทัวร์ริ่งทั่วๆ ไป ที่ให้ท่านั่ง และการควบคุมที่รู้สึกสบายๆ ไม่ก้มมากจนเกินไป น้ำหนักที่แขนไม่ทิ้งไปที่แฮนด์ เบาะนั่งที่ต่ำ 78 ซม. รองรับสำหรับผู้ชายตัวเล็กและผู้หญิงเพิ่มความมั่นใจเมื่อได้คร่อม การวางเท้าก็ไม่ได้เยื้องไปข้างหลังอยู่ในตำแหน่งที่กำลังดี ทำให้ตัวผู้ขับขี่ไม่โน้มไปข้างหน้านั่นเอง น้ำหนัก 184 กิโลกรัม ถือว่าเยอะมาก แต่เมื่อออกตัวไปรู้สึกเบา และมีความเสถียรมั่นคง บอดี้ที่ใหญ่พอๆ กับตัว 600 ซีซี แต่การพลิกเลี้ยวคล่องตัว วงเลี้ยวแคบทำให้ซิกแซกง่าย แต่มีอุปสรรคที่กระจกหน้าที่เป็นเหมือนหนวดกุ้ง เพราะว่าระดับพอดีกับกระจกรถยนต์เครื่องยนต์บล็อคใหม่ๆ ซิงๆ 4 ลูก เรียง แต่มันขัดใจนิดหน่อยเรื่องอัตราเร่งช่วงออกตัวที่จะอืดๆ เล็กน้อย ไม่พุ่งปรี๊ดปร๊าดอย่างที่หลายๆ คนคิดเอาไว้ สำหรับคนที่ชอบขี่เกียร์สูงรอบต่ำก็พอได้อยู่สัก 3,000-4,000 รอบ/นาที แต่พอรอบกวาดไปถึง 7,500-8,000 รอบ/นาที ทีนี้ล่ะความสนุกเร้าใจเริ่มบังเกิดขึ้นแล้ว เกียร์ 3-4-5-6 มาเต็ม มีย่านกำลังให้ใช้เหลือเฟือ จะกระแทกคันเร่งตอนไหนก็ได้ ด้วยเครื่องยนต์ที่เป็น 4 สูบ ทำให้การลากรอบได้ถึง 15,500 รอบ/นาที ความเร็วปลายทะลุ 180 กม./ชม. การเสริมช่องแลมแอร์มาให้ช่วยการดักอากาศเข้าไปที่กรองเพื่อใช้ในรอบปลาย กับความเร็วตั้งแต่ 100กม./ชม. ขึ้นไป จะรู้สึกได้เมื่อใช้ความเร็วรอบที่เหมาะสม โหมดการขับขี่ 2 โหมด Full และ Low สามารถปรับใช้งานได้ง่าย ระบบแทร็คชั่นคอนโทรล ปรับได้ 3 ระดับ และปิดการใช้งานได้เพื่อความสนุกในเซอร์กิต และ ควิกชิพเตอร์ ทำงานรวดเร็วเข้าง่ายแทบไม่ต้องใช้คลัทช์ แต่จังหวะลดเกียร์ต้องใช้แรงกดมากหน่อย
ช่วงล่างด้านหน้าเซ็ทได้ลงตัว Upside Down รับแรงกระแทกและแรงกดได้หนึบ สะท้านถึงมือน้อย ช่วงหลังโช้คอัพที่วางตำแหน่งองศาเกือบขนานกับพื้น การรับน้ำหนัก และแรงกดกำลังเครื่องยนต์ก็นุ่มหนึบใช้ได้ แต่ตอนเข้าโค้งมีสวิงเล็กน้อย อาจเป็นที่พื้นถนนด้วย แต่ถ้าขี่ในสนามไม่น่าจะมีปัญหา เบรกหน้าไร้กังวล จัดมาให้แบบดับเบิ้ลดิสก์ ส่วนดิสก์เบรกหลังเดี่ยวก็มั่นใจได้
สรุปโดยรวม การออกแบบตัวรถสปอร์ตสวยเท่ และเครื่องยนต์ออกมาตอบโจทย์การใช้งานทั่วไป นั่งสบาย คล่องตัว เสียงเพราะ และขับขี่สนุกด้วยอัตราเร่ง

ซูซูกิ เปิดตัว All New Suzuki Hayabusa เทคโนโลยีจัดเต็ม!!!

พร้อมส่งมอบแล้วในไทยวันนี้พร้อมกันทั่วประเทศ ราคาของเจ้าพญาเหยี่ยว All New Suzuki Hayabusa นั่นอยู่ที่ 899,000 บาท หลังจากที่ บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Suzuki V-Strom 1050XT “Master of Adventure”, Suzuki V-Strom 650XT, Suzuki GSX-S750 และรถจักรยานยนต์สไตล์สปอร์ต Middle Class อย่าง Suzuki Gixxer SF “Your Track Redefined”
ล่าสุดเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ ผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วย All New Suzuki Hayabusa “The Legend is Back” รถจักรยานยนต์ Ultimate Sport Bike ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก พร้อมราคาสุดเร้าใจ 899,000 บาท All New Suzuki Hayabusa ได้รับการพัฒนาเพื่อให้ตอบโจทย์การขับขี่ขั้นกว่า ด้วยสมรรถนะที่เยี่ยมยอด พร้อมเทคโนโลยีใหม่สุดล้ำแบบจัดเต็ม อีกทั้งยังพัฒนาตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษ Euro 5 เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดมลพิษในอากาศ แต่ยังคงไว้ซึ่งความ สง่างาม น่าดึงดูด ด้วยสไตล์ที่โฉบเฉี่ยว ดุดัน ตามแบบฉบับเอกลักษณ์ของ Hayabusa
คุณพลอยไพลิน ศักดาเพชรศิริ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด กล่าวว่า “อย่างที่ทราบกันดีว่า All New Suzuki Hayabusa Generation 3 ได้มีการเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อแทนคำขอบคุณและสร้างความเชื่อมั่นให้กับครอบครัวซูซูกิ ในวันนี้ บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว All New Suzuki Hayabusa ในประเทศไทยพร้อมกันกับการเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลก ภายในปีเดียวกัน กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั่วโลก”

All New Suzuki Hayabusa คือเทคโนโลยีระดับตำนานที่พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ด้วย เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ขนาด 1,339.8 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัพเกรดอุปกรณ์และเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความทนทานไปอีกขั้น New Exclusively Designed Exhaust System ดีไซน์ระบบไอเสียแบบพิเศษ ช่วยพัฒนาและเสริมพละกำลังและแรงบิดช่วงต่ำถึงกลางให้ดี ทั้งยังเป็นไปตามมาตรฐาน Euro 5 คุณลักษณะของเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่นี้ ส่งผลให้มีกำลังเครื่องยนต์ที่นุ่มนวลและสม่ำเสมอมากขึ้น ผ่านรอบเครื่องยนต์ระดับต่ำถึงกลาง ซึ่งเป็นย่านความเร็วที่ใช้กันมากที่สุดในการขับขี่ประจำวัน
โครงสร้างของตัวรถน้ำหนักเบา แข็งแกร่ง ด้วยเฟรมอลูมิเนียมอัลลอยแบบ ทวิน-สปา และสวิงอาร์มที่ขึ้นรูปด้วยการหล่อและรีดขึ้นรูป สามารถผสมผสานและรองรับพลังกำลังของ Hayabusa ในช่วงความเร็วสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาลิปเปอร์ Brembo Stylema® รุ่นล่าสุด น้ำหนักเบากว่าคาลิปเปอร์ทั่วไป และสามารถระบายความร้อนได้ดีกว่า พร้อมจานเบรกขนาดใหญ่ถึง 320 มม. พร้อมการออกแบบรูระบายความร้อนแบบใหม่ มั่นใจในทุกครั้งที่ต้องการหยุดรถเหนือกว่าด้วยเทคโนโลยี อัจฉริยะ Suzuki Intelligent Ride System (S.I.R.S.) ชุดระบบอิเล็กทรอนิกส์สุดล้ำ ใหม่ล่าสุด เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถตอบสนองทุกช่วงขณะการขับขี่ ดึงศักยภาพของตัวรถออกมาในทุกช่วงรอบความเร็ว และปรับโหมดการขับขี่ได้อย่างหลากหลายตามความต้องการ เพื่อให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความสนุกแบบไม่หยุดยั้งตามแบบฉบับของ Hayabusa
ใหม่สุดจัดเต็มด้านเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ Suzuki Drive Mode Selector Alpha หรือ (SDMS-α) เป็นการนำเสนอโหมดการขับขี่ 3 ระดับตั้งต้น คือ (A: Active, B: Basic, C: Comfort) ซึ่งโหมดการควบคุมที่ตั้งค่ามาจากโรงงานนั้น ประกอบด้วย 1. Power Mode Selector 2. Motion Track Traction Control 3. Anti-lift control 4. Engine Brake Control และ 5. Bi-directional Quick Shift Systems และยังสามารถตั้งเป็นโหมด Custom ได้อีก 3 โหมด (U1, U2, U3)
นอกจากนี้ All New Suzuki Hayabusa นับเป็นครั้งแรกของเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์ ที่ผู้ขับขี่สามารถกำหนดขีดจำกัด ความเร็วได้ ด้วยระบบ Active Speed Limiter ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ความเร็วเกินกำหนดอีกต่อไป และยังมีระบบ Launch Control System ที่จะควบคุมรอบและแรงบิดของเครื่องยนต์ให้สัมพันธ์กัน ถึง 3 โหมด ช่วยให้การออกตัวได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ
ครั้งแรกกับฟังก์ชันพิเศษ Emergency Stop Signal ที่จะทำงานด้วยการ กะพริบสัญญาณไฟเลี้ยวด้านหน้าและด้านหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อเตือนรถที่ตามมา เมื่อผู้ขับขี่เบรกกะทันหันที่ความเร็ว 55 กม./ชม. ขึ้นไป เพิ่มเติมเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวก Suzuki Easy Start System ให้ผู้ขับขี่ก่อนเดินทาง สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เพียงการกดสวิตช์เพียงครั้งเดียว ระบบ Low RPM Assist เพิ่มรอบความเร็วของเครื่องยนต์อย่างราบรื่น เมื่อออกตัวหรือขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ป้องกันเครื่องยนต์ดับ เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจทุกครั้งที่ขับขี่ แม้ในสภาพการจราจรที่ติดขัด ระบบ Cruise Control System สามารถตั้งค่าความเร็วคงที่ในช่วงความเร็วระหว่าง 31-200 กม./ชม. โดยขับขี่ที่รอบความเร็ว 2,000 – 7,000 รอบ ที่เกียร์ 2 หรือสูงกว่า ระบบเบรกแบบกระจายหน้า-หลัง Combined Brake System เพียงแค่บีบมือเบรกด้านหน้า
เพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่ระบบ Motion Track Brake System ช่วยในการควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้งหรือลงทางลาดชัน โดยรับข้อมูลและประมวลผลจากระบบ IMU เพื่อทรงตัวที่ดีเยี่ยม Slope Dependent Control System ระบบป้องกันล้อหลังยกตัวขณะลงเนินหรือทางลาดชัน ทำงานร่วมกับกล่อง IMU โดยจะตรวจสอบท่าทางและองศาของตัวรถ การควบคุมแรงดันเบรกขณะลงเนิน Hill Hold Control System ระบบช่วยหยุดรถบนทางลาดชัน โดยระบบจะสั่งการเบรกหลังให้ทำงานอัตโนมัติ โดยไม่ต้องบีบมือเบรกค้าง เพื่อป้องกันการไหลของตัวรถโดยมีระยะเวลา 30 วินาที ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมดของ All New Suzuki Hayabusa คุณพลอยไพลิน กล่าวถึงรายละเอียดอย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ All New Suzuki Hayabusa ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “The Refined Beast” หมายถึง ความงดงามน่าเกรงขามแต่แฝงไปด้วยความชาญฉลาด เปรียบเสมือนเหยี่ยวเพเรกรินของญี่ปุ่น ด้วยภาพลักษณ์ที่ทันสมัย พร้อม Feature ใหม่ๆ มากมาย กับสไตล์รูปทรงที่ดุดัน หรูหราด้วยเส้นสายที่เฉียบคม และการออกแบบแอโรไดนามิกใหม่ สามารถถ่ายทอดด้วยความรู้สึกพุ่งทะยานไปข้างหน้า พร้อมไฟท้ายแบบใหม่ที่สะดุดตา ท่อไอเสียสไตล์สปอร์ต การดีไซน์ล้อแบบ 7 ก้านใหม่ ที่ดึงดูดใจ และทรงประสิทธิภาพ รูปลักษณ์ด้านหน้าแบบใหม่หมดจด ด้วยการออกแบบไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Positioning Light ที่รวมเอา Day Time Running Light กับชุดไฟเลี้ยวสไตล์สปอร์ตเข้าด้วยกัน โดดเด่น เร้าใจยิ่งขึ้น พร้อมเทคนิคการใช้สีและสร้างความโดดเด่นเฉพาะตัว เพื่อแสดงออกถึงสมรรถนะที่เป็นที่สุดของ Hayabusa แบบ Two Tone ทั้ง 3 แบบ กับเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

คุณณวีเอก พิชยามารินทร์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย กล่าวเสริมว่า “สีสันของพญาเหยี่ยวที่ทาง บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้เตรียมมาในการเปิดตัวครั้งนี้ เรานำเข้าทั้ง 3 สีนั้น มาในรูปแบบของความดุดัน สปอร์ต สะท้อนความปราณีต แม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆ ทีมออกแบบของซูซูกิก็ยังใส่ใจอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทุกอัตราเร่ง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร” เริ่มด้วยสีแรก Glass Sparkle Black / Candy Burnt Gold : สีดำ/ส้ม สปอร์ตเร้าใจ ลึกลับ น่าค้นหา บ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่น สีที่ 2 Metallic Matte Sword Silver / Candy Daring Red : บรอนซ์/แดง สปอร์ตล้ำแห่งอนาคต พละกำลังที่ซ่อนเร้น หรูหรา มีระดับ และสีที่ 3 Pearl Brilliant White / Metallic Matte Stellar Blue : ขาว/น้ำเงิน สปอร์ตเรียบง่าย หรูหรา ตามสไตล์ Suzuki
จากการเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา All New Suzuki Hayabusa ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยมทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทยเอง ที่การเปิดตัวในครั้งนี้ถือเป็นการปลุกกระแส Hayabusa ให้กลับมาโลดเล่นอีกครั้ง สมกับการเป็นเจ้าตำนานความเร็ว ที่เปลี่ยนนิยามของการขับขี่รถจักรยานยนต์ไปตลอดกาล โดยสนนราคาของเจ้าพญาเหยี่ยว All New Suzuki Hayabusa นั่นอยู่ที่ 899,000 บาท พร้อมเงื่อนไขพิเศษ ฟรี ประกันภัยชั้น 1 ค่าจดทะเบียน พรบ. Roadside Assistance พร้อม Warranty ไม่จำกัดระยะทางถึง 2 ปีเต็ม
คุณพิทักษ์ ทับทิม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกล่าวสรุปว่า “จากความตั้งใจ ความทุ่มเทของทีมงานชาวซูซูกิทุกท่าน เราพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ซูซูกิ และในปีนี้ ทางบริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด จะมีการเปิดตัวรถจักรยานยนต์อีกหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก และรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หวังว่าทุกท่านจะได้รับประสบการณ์อันดีเยี่ยมในวันนี้ และต่อๆไป”นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ All New Suzuki Hayabusa ท่านที่สนในสามารถติดต่อได้ที่ผู้แทนจำหน่าย Suzuki Big Bike ทั่วประเทศ หรือ Website: www.suzukimotosales.co.th ช่องทาง Facebook ที่ Suzuki Society Thailand

2021 KTM 125SX

สเต็ปแรกสำหรับการก้าวสู่ระดับอาชีพในฐานะนักแข่งวิบาก KTM เขาว่ามาอย่างนั้น สำหรับคำจำกัดความของ KTM 125SX ที่จั่วหัวว่า Kickstart your MX racing career

นี่คือรถโมโตครอสที่มีขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเบาที่สุดในกลุ่มรถ full-size bike ด้วยโครงสร้างแชสซีส์ที่มีน้ำหนักเบามากเมื่อผสานกับเครื่องยนต์พร้อมแข่งขนาด 125 ซีซี แบบสองจังหวะก็สามารถเร่งเร้าพลังความกระหายชัยชนะให้กับนักแข่งวัยรุ่น ที่พร้อมเค้นสมรรถนะที่สามารถทะยานพุ่งไปได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วเฉียบคมทุกจังหวะการขับขี่

องค์ประกอบแรกที่ KTM กล่าวถึง คือ ระบบไอเสียที่ชุดท่อไอเสียได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมทั้งระบบ อีกทั้งปรับรูปทรงให้เหมาะสมกับมิติของตัวรถ อีกทั้งจำกัดระดับมาตรฐานไอเสียตามข้อกำหนดในกติกาของสนามแข่งขององค์กรควบคุมอย่าง FIM และแน่นอนว่าระบบไอเสีย รวมทั้งท่อไอเสีย มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมขึ้น พร้อมเค้นสมรรถนะมาอย่างเต็มกำลัง

ด้วยปริมาตรเครื่องยนต์ขนาด 124.8 ซีซี จากระยะช่วงชัก 54.5 มม. และขนาดกระบอกสูบ 54 มม. พร้อมที่จะส่งพลังขับเคลื่อนออกมาเต็มพิกัดในระดับเครื่องยนต์ของ 125SX ที่มีระบบส่งกำลังแบบ 6 สปีด พร้อมคลัทช์ แบบ Multi-plate clutch,Brembo hydraulics นี่คือรถที่มีอัตราส่วนระหว่างกำลังต่อน้ำหนักอยู่แถวหน้าของคลาสนี้

ในช่วงต้นจะกล่าวถึงระบบไอเสียที่ออกแบบท่อใหม่แล้ว ในส่วนของระบบไอดีนั้นก็ได้มีการพัฒนาในส่วนของ Airbox เพื่อให้สามารถป้อนอากาศหรือออกแบบให้มีอากาศไหลเวียนเข้าไปได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นใน KTM125SX นี้จึงออกแบบ Airbox รวมทั้ง intake snorkels หรือท่อทางเดินอากาศ ให้สามารถป้อนอากาศได้ดีกว่าเดิม รวมถึงมีการใช้กรองอากาศขนาดใหญ่ ที่นอกจากมีขนาดที่ใหญ่เพื่อการไหลเวียนที่ดีแล้ว ยังจำเป็นต้องออกแบบให้มีการป้องกันสิ่งสกปรกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ข้อมูลตัวรถ มีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้

ENGINE
TRANSMISSION 6-speed
STARTER Kickstarter
STROKE 54.5 mm
BORE 54 mm
CLUTCH Multi-plate clutch, Brembo hydraulics
DISPLACEMENT 124.8 cm³
EMS Kokusan
CHASSIS
WEIGHT (WITHOUT FUEL) 87.5 kg
TANK CAPACITY (APPROX.) 7.5 l
FRONT BRAKE DISC DIAMETER 260 mm
REAR BRAKE DISC DIAMETER 220 mm
FRONT BRAKE Disc brake
REAR BRAKE Disc brake
CHAIN 5/8 x 1/4”
FRAME DESIGN Central double-cradle-type 25CrMo4 steel
FRONT SUSPENSIONWP XACT-USD, Ø 48 mm
GROUND CLEARANCE 375 mm
REAR SUSPENSIONWP XACT Monoshock with linkage
SEAT HEIGHT 850 mm
STEERING HEAD ANGLE 63.9 °
SUSPENSION TRAVEL (FRONT) 310 mm
SUSPENSION TRAVEL (REAR) 300 mm

Honda Gold Wing

ถึงคราวอัพเดทยักษ์ใหญ่สายทัวร์ริ่งประจำค่าย Honda อย่าง รถในรหัส GL1800 ที่มีการขยับไลน์อัพโมเดล 2021 ในเบื้องต้น ส่งออกมาสองเวอร์ชั่น คือ GL1800 GoldWing กับ GL1800 GoldWing Tour

โดยตัวแรก GL1800 Gold Wing จะมาพร้อมกับเฉดสีแบบ contemporary new colour scheme หรือโทนสีแบบร่วมสมัย ขณะที่ GL1800 Gold Wing Tour ได้รับการปรับเสริมเติมแต่งเพิ่มออพชั่นเข้าไปเพื่อให้มีขีดความสามารถในการใช้งานเดินทางไกลได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น และทั้งสองโมเดลต่างก็จะได้รับการอัพเกรดในส่วนของระบบเครื่องเสียงด้วยกันทั้งคู่

โดยรวมแล้วก็น่าจะกล่าวว่าเป็นการปรับในแบบไมเนอร์เชนจ์เป็นส่วนใหญ่ สำหรับเจ้า GL1800 ยักษ์ใหญ่จากค่ายฮอนด้า ก็เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่เปิดตัวมาแม้จะเป็นการปรับเสริมในแบบไมเนอร์เชนจ์ก็ตามที ซึ่งในปีนี้ตามแพลนของตลาดยุโรปนั้น จะมีส่งออกมาจากไลน์การผลิตทั้งสิ้นยี่สิบสี่รุ่น นั่นเอง

แม้จะมีสองเวอร์ชั่นหลักตาที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีรายละเอียดย่อยในแต่ละเวอร์ชั่นออกมา คือ Gold Wing สแตนดาร์ด กับ Gold Wing DCT และ เวอร์ชั่น Tour นั้นก็จะมี Gold Wing Tour-Gold Wing Tour DCT-และ Gold Wing Tour DCT Airbag ตามลำดับ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดสเปคให้มาอย่างเป็นทางการ แต่ก็ตามที่กล่าวไปแล้ว ว่านี่คือไมเนอร์เชนจ์ ดังนั้นคงไม่มีแตกต่างจากโมเดลก่อนหน้านี้เท่าไรนัก

ความสนุกของการขับขี่ WR155R ที่จะเปลี่ยนทุกเส้นทางของคุณให้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

ความสนุกของการขับขี่ WR155Rที่จะเปลี่ยนทุกเส้นทางของคุณให้ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป‼️ ?เก็บเกี่ยวทุกเส้นทาง และประสบการณ์ใหม่ๆแล้วจะพบว่าทุกเส้นทางที่เราได้ไป…มักมีสิ่งสวยงามรอเราอยู่ทั้งสองข้างทางเสมอ