











บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติกของเมืองไทย พร้อมเปิดประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ “EXPERIENCE THE UNDISCOVERED” ค้นหาประสบการณ์เร้าใจไปกับ ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ รถออโตเมติก 300 ซีซี ยอดนิยมที่ครองใจคนทั่วโลกตามเอกลักษณ์แห่งตระกูล MAX Series สุดยอดดีไซน์ผสานสุดยอดสมรรถนะการขับขี่ ตอบสนองจิตวิญญาณแห่งความเป็น MAX สีสันใหม่ เท่ สปอร์ตเร้าใจ และคุ้มค่ากว่าด้วยการรับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร
สำหรับ ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่! ที่มาพร้อมกับสโลแกน “MAXPERIENCE ประสบการณ์แห่งความเร้าใจ…สุดแม็กซ์” ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมเต็ม MAX ด้วยเครื่องยนต์ BLUE CORE ในพิกัด 300 ซีซี ผสมผสานเทคโนโลยีแห่งความแรงและความประหยัดได้อย่างลงตัว สั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดอัจฉริยะ พร้อมกระบอกสูบไดอะซิล ที่ให้ประสิทธิภาพในการขับขี่สนุกเร้าใจในทุกระดับความเร็ว
ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่! ยังเสริมสมรรถนะการขับขี่ให้เต็ม MAX ด้วย โช้คหน้าขนาด 33 มม. ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ให้ความมั่นใจในทุกสภาพถนน อีกทั้งยังให้ความมั่นใจในการหยุดรถด้วยระบบเบรก ABS ที่ช่วยควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติ ป้องกันล้อล็อกทั้ง 2 ล้อ พร้อมระบบ Traction Control System (TCS) ระบบปรับสมดุลความเร็วล้อหน้า-หลัง ให้สัมพันธ์กัน ให้ความปลอดภัยในทุกสถานการณ์การขับขี่ และตอบโจทย์การเดินทางไกลด้วย ถังน้ำมันขนาด 13 ลิตร จุน้ำมันได้มากหมดกังวลทุกการเดินทางไกล พร้อมที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บหมวกกันน็อกเต็มใบได้ถึง 2 ใบ
ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่! นอกจากมีสมรรถนะการขับขี่สุด MAX แล้ว ยังเพียบพร้อมด้วยฟีเจอร์หรูหราสุดพรีเมี่ยมตลอดทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า-ไฟท้าย แบบ FULL LED ดีไซน์สปอร์ตดุดัน ต้นฉบับความเท่ของตระกูล MAX สว่างขึ้นชัดเจนกว่าเดิม เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่, เรือนไมล์แบบ Multi-function Digital Meter จอ LCD สไตล์สปอร์ต ครบทุกฟังก์ชัน พร้อมสวิตช์เปลี่ยนโหมดที่แฮนด์, ช่องชาร์จแบตมือถือหรืออุปกรณ์นำทาง ขนาด 12V พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า รวมทั้งกุญแจรีโมทอัจฉริยะ SMART KEY SYSTEM ที่สามารถใช้งานทั้งสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์, ปลดล็อกแฮนด์รถ / ปลดล็อกเบาะ / ปลดล็อกฝาปิดถังน้ำมัน และส่งสัญญาณตอบรับ ANSWER BACK
ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่! มาพร้อมกับสีสันใหม่ เท่ สปอร์ตเร้าใจ ซึ่งมีให้เลือกด้วยกันถึง 4 สี คือ สีเขียว Dark Petrol, สีแดง Redline, สีน้ำเงิน Icon Blue และสีขาว Milky White ด้วยราคาแนะนำที่ 179,000 บาท โดยสามารถสัมผัสกับ MAXPERIENCE ประสบการณ์แห่งความเร้าใจ…สุดแม็กซ์ ไปกับ ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่! ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่
Website : www.yamaha-motor.co.th
Facebook : Yamaha Society Thailand
Instagram : @Yamaha Society Thailand
Youtube : Yamaha Society Thailand
“ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร ยอดนักบิดดาวรุ่งชาวไทย หมายเลข 20 จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สร้างผลงานสุดร้อนแรงต่อสู้กับคู่แข่งหัวกะทิจากทั่วทวีปเอเชีย ก่อนทะยานคว้าอันดับ 7 ในศึกดาวรุ่งชิงแชมป์เอเชีย รายการ อิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2022 สนามแรก เรซที่ 1 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ประเทศกาตาร์
ทั้งนี้ การแข่งขันเรซที่ 2 ของศึก อิเดมิตสึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2022 สนามแรก จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม เวลา 15.50 น. ตามเวลาประเทศไทย รับชมถ่ายทอดสดทาง ยูทูป https://www.youtube.com/AsiaTalentCup ติดตามความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม :
ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม จัดทัพใหญ่ไล่ล่าความสำเร็จเกมความเร็วฤดูกาล 2022 ยกระดับสู่ทีมอาชีพ ปูทางสู่เวทีระดับโลก ชูสมรรถนะ Yamaha R-Series จับคู่ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ และ “ตี” อนุภาพ ซามูล ดวลเกมรุ่นใหญ่ศึกชิงแชมป์เอเชีย 2022 ขณะที่ โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ พร้อมป้องกันแชมป์รุ่น SS600
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร, นายวีรพงษ์ ธนากิจจานนท์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายกีฬายานยนต์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมด้วยนักแข่งนำโดย“แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์, “ตี” อนุภาพ ซามูล, “โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ ร่วมประกาศความยิ่งใหญ่บนสังเวียนความเร็วในงานเปิดตัวทีมแข่ง ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ทีมแข่งชั้นนำของทวีปเอเชีย ประจำปี 2022 ณ สถาบันฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์ (YAMAHA RIDING ACADEMY) ถนนบางนา- ตราด กม.21 เมื่อวันที่ 3 มี.ค.65
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัดกล่าวว่า “ในปีนี้ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ชูสมรรถนะ Yamaha R-Series จัดทัพไล่ล่าความสำเร็จบนเวทีความเร็ว จับคู่ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ และ “ตี” อนุภาพ ซามูล ดวลเกมรุ่นใหญ่ศึกชิงแชมป์เอเชีย แท็กทีม “โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ ที่ลงป้องกันแชมป์รุ่น SS600 พร้อมผลักดัน “เค” เขมินท์ คูโบะ สู่เวที Moto2 World Championship และเดินหน้าปั้นดาวหน้าใหม่ขับบนเวที Yamaha R3 European Cup
นอกจากนี้ยังเดินหน้าสานต่อความสำเร็จและโฟกัสไปที่การแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ด้วยศักดิ์ศรีตัวแทนทีมแข่งจากประเทศไทยที่คว้าแชมป์ในรายการนี้มาครองได้ถึง 6 ครั้ง ทั้งยังเป็นทีมไทยทีมเดียวที่ครองโพเดียมและชนะการแข่งขันมากที่สุดในคลาสซูเปอร์สปอร์ต โดยวางเป้าหมายไว้ที่ตำแหน่งแชมป์ในเกมรุ่นใหญ่สุดอย่าง Asia SuperBike 1000 cc (ASB1000) ซึ่ง “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ และ “ตี” อนุภาพ ซามูล พร้อมลงชิงชัยด้วยรถแข่ง YZF-R1 รวมถึงในรุ่น Super Sport 600 cc (SS600) ซึ่ง Yamaha Thailand Racing Team คว้าแชมป์มาแล้วถึง 5 ครั้ง โดย “โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ พร้อมลงป้องกันแชมป์ภายใต้รถแข่ง Yamaha YZF-R6
ในเวทีระดับโลกเรายังคงเดินหน้าสานต่อโครงการ Road to World Class และนับเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับเราหลังจากที่ได้ผลักดันนักแข่งไทยสู่การแข่งขันระดับโลกมาโดยตลอดทั้งในเวที World Superbike และ MotoGP ภายใต้สิทธิ์ไวล์ดการ์ด รวมถึงเข้าร่วมชิงชัยรายการ Moto3 Junior World Championship และ Moto2 European Championship ซึ่งเป็นบันไดขั้นสำคัญก่อนจะไต่ขึ้นสู่ ศึกMoto2 World Championship ของ “เค” เขมินท์ คูโบะ ที่จะได้ลงทำการชิงชัยแบบเต็มฤดูกาล ซึ่งเป็นความร่วมมือของ Thai Yamaha Motor, Yamaha Motor ประเทศญี่ปุ่น และ VR46 RIDER ACEDEMY ภายใต้สังกัด Yamaha VR46 MASTER CAMP ที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 21 สนาม จาก 18 ประเทศทั่วโลก
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 MOTO GUZZI ได้รับเลือกเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ให้เข้ามาผลิตรถสำหรับใช้ในการรักษาความปลอดภัย หรือกล่าวง่ายๆคือ เป็นกลุ่มรถนำขบวนให้กับผู้นำประเทศ หรือประธานาธิบดีของอิตาลีในเวลานั้น และจากจุดนี้จึงมีส่วนทำให้แบรนด์นกอินทรีย์ของ MOTO GUZZI นี้ เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในฐานะรถจักรยานยนต์ของชาวอิตาเลี่ยน
ล่าสุดจากงาน EICMA 2021 ปลายปีที่ผ่านมา นับเป็นวาระครบรอบ 75 ปี ของการร่วมมือระหว่างโรงงานผลิตแบรนด์ MOTO GUZZI กับกองทัพในส่วนของขบวนรถอารักขา จึงได้ทำการเปิดเผยรถรุ่นพิเศษเนื่องในวะระดังกล่าว ที่จะผลิตในแบบลิมิตเต็ดอิดิชั่น ภายใต้ชื่อ V85 TT Guardia d’Onore ซึ่งจะผลิตจำกัดจำนวนที่ 1946 คัน โดยแต่ละคันจะระบุหมายเลขที่ผลิตตั้งแต่ 1-1946 ไว้บนแฮนเดิ้ลบาร์แม้จะเป็นรุ่นพิเศษทว่าพื้นฐานสเปคนั้นยังคงเป็นไปตามรุ่นปกติอย่าง V85TT กับ V85TT Travel ที่มาพร้อมค่าไอเสีย Euro5 ขณะที่สมรรถนะของรถนั้นเน้นแรงบิดที่มากขึ้นในช่วงรอบการทำงานเครื่องยนต์ต่ำและกลาง รวมถึงมีการติดตั้งโหมดการขับขี่มา 5 โหมดเช่นเดียวกัน
โดยมี 2 โหมดขับขี่ใหม่ เพิ่มขึ้นจาก 3 โหมดขับขี่เดิม เพื่อช่วยให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีในการจัดการเกี่ยวกับ traction control ABS และ ride-by-Wire throttle รวมถึง cruise control กล่าวได้ว่า MOTO GUZZI พัฒนาเน้นมาทางส่วนของระบบอิเล็คทรอนิคส์มากขึ้นกับรถในกลุ่ม V85 โมเดลใหม่นี้ไม่น้อย โดยเฉพาะการออกแบบแพล็ตฟอร์มการทำงานด้านมัลติมีเดีย ที่เรียกว่า MOTO GUZZI MIA ที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนกับรถ พร้อมทั้งแสดงผลและทำงานร่วมกับจอแสดงผลต่างๆผ่านฟังก์ชั่นบนแผงเรือนไมล์ TFT จอสีที่อัพเกรดมาใหม่
ส่วนพืนฐานเครื่องยนต์ก็ยังคงเป็นไปตามมาตรฐานของMOTO GUZZI ที่เป็นเครื่องยนต์ 90องศา transverse V-twin ระบายความร้อนด้วยอากาศ อย่างไรก็ตาม2022 MOTO GUZZI V85TT Guardia d’ Onore ได้รับการเสริมแต่งให้มีความพิเศษในบางจุด เพื่อสร้างกลิ่นอายของความเป๋นรถนำขบวน ที่มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยแก่ผู้นำประเทศเช่นช่วงยุคหลังสงครามโลกครั้งที่2 ตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นจึงมีองค์ประกอบบางอย่างที่ต่างจาก V85TT และ V85TT Travel ที่ออกมาก่อนอยู่บ้าง
รายละเอียดตัวรถมีดังนี้
Engine ; Transversal 90° V-twin, two valves per cylinder (titanium intake).
Cooling ; air
Displacement ; 853 cc
Bore and stroke ; 84 x 77 mm
Maximum power ; 76 CV (56 kW) – 7.500 rpm (Also available at 35 kW, A2 driver license).
Maximum torque ; 82 Nm – 5.000 rpm.
Compliance Meets European Directive ; Euro 5
Emissions ; 119 g/km (CO2)
Consumption ; 4,9 l/100 km
Gearbox ; 6 speed
Fuel tank ; 23 l (5 reserve).
Seat height ; 830 mm.
Dry weight ; 209 kg.
Kerb weight ; 230 kg
Front suspension ; Upside-down hydraulic telescopic fork Ø 41 mm, with adjustable extension and spring preload.
Rear suspension ; Swingarm Twin-sided with lateral mono shock absorber, adjustable extension and spring preload.
Front wheel ; Cross spoked tubeless wheel, 19” 110/80.
Rear wheel ; Cross spoked tubeless wheel, 17”150/70.
Front brake ; Double stainless steel floating disk Ø 320 mm, radial Brembo calipers with 4 opposed pistons.
Rear brake ; Stainless steel disk Ø 260 mm, floating 2 pistons caliper.
Features ; Display TFT, full LED lights, Ride by Wire, 5 Riding Mode (Street, Rain, Offroad, Sport, Custom), Cruise Control, Handguard, Aluminium sump guard, MGCT
Moto Guzzi Controllo di Trazione, Standard double channel ABS.
CUB House by Honda เดินหน้าส่งมอบความสนุกอย่างไรขีดจำกัด ด้วยโปรเจกต์ใหม่ล่าสุด จับมือค่าย Toei Animation เปิดตัว Monkey x One Piece Limited Edition ถ่ายทอดคาแรคเตอร์ความสนุกจาก “วันพีช” มังงะราชาโจรสลัดที่โด่งดังไปทั่วโลก ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 คัน เท่านั้น!
มร.ทาคาโนริ มารุยามะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า “ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับแฟนคลับรถจักรยานยนต์ระดับตำนานอย่าง Monkey เราจึงได้จับมือกับพันธมิตรมากมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบความสนุกที่เหนือความคาดหมาย เริ่มจาก Monkey x Dragon Ball Limited Edition ตามด้วย Monkey x Gundam Limited Edition จนมาถึง Monkey x Hot Wheels Limited Edition ซึ่งทั้งหมดล้วนได้การตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนคลับ Monkey และนักสะสมมาโดยตลอด”
แฟนๆ ของ Continental GT และ Interceptor 650 ของ Royal Enfield ที่ลงทุนไปกับก่อนหน้านี้ และการได้เห็นโฉมของ SG650 Concept Bike การตีได้ถึงความนีโอเรโทร ทำให้มองหันกลับไปมองถึง Eicher Motors ซึ่งเป็นเจ้าของ RE ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อ “Royal Enfield Shotgun” ซึ่งมันอาจจะเป็นบทสรุปได้ว่าจะใช้เป็นการผลิตสำหรับแนวคิด SG650 ในอนาคต
ถึงแม้ว่า SG650 ยังคงเป็นคอนเซ็ปต์ไบค์ แต่การออกแบบดูแล้วมันอาจจะเป็นจริงได้แบบไม่ยาก เมนเฟรมจะไม่มีช่วงท้ายใช้บังโคลนหลังยึดติดแบบบ๊อบเบิ้ลที่มีเบาะนั่งแบบเดี่ยวซึ่ แผงด้านข้างที่ปิดช่องแอร์บ็อกซ์ รูปลักษณ์ที่ต่ำด้านหน้าและด้านหลังถูกเน้นด้วยยางขนาดใหญ่เนื้อแน่นๆ ดิสก์เบรกหน้าคู่จานแบบทึบ เพื่อเน้นสไตล์ที่เคร่งขรึมยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบ ABS
ถังน้ำมันไปจนถึงกระจังหน้าไฟหน้าที่ดูเหมือนจะรวมเข้ากับแคลมป์ได้รับการแกะสลักเพื่อสร้างความประทับใจในความเร็ว ด้านบนประกอบด้วยชุดมาตรวัดรอบ/มาตรวัดความเร็วแบบ LED ทางด้านซ้าย และระบบนำทาง Tripper ใหม่ (เพิ่งเปิดตัวในรุ่น 2022 Royal Enfield Himalayan) ทางด้านขวา โครงร่างสีแบบโมโนโครมสีเงินถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสมรรถนะใดๆ ได้ แต่ตัวเครื่องยนต์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบด้วยกระบอกสูบคู่ที่ปิดทึบ ท่อไอเสียแบบ dual peashooter สีดำยังคงเน้นไปที่แสงและความเข้มโดยใช้ตัวยึดท่อไอเสียอลูมินั่ม
วงล้อแม็กครอบทึบ โช้คอัพหน้าปรับรูปลักษณ์ดูทันสมัยขึ้นแบบหัวกลับ ในขณะที่โช้คอัพหลังคู่ตอกย้ำถึงประวัติศาสตร์ของ รอยัล เอนฟิลด์ ไฟส่องสว่างด้านหน้ายังคงเป็นหลอดฮาโลเจน ในขณะที่ไฟที่เหลือเป็น LED
ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำตลาดของ BMW Motorrad ในการเดินหน้าผลักดันรถครุยเซอร์ในรหัส R18 โดยล่าสุดในระหว่างงาน Verona Motor Bikes Expo ได้นำเสนอรถแต่งจากสำนักแต่งชั้นนำของอิตาลีออกมาสองเวอร์ชั่น คือ R18M ที่จัดทำโดยทีมงานนิตยสารของอิตาลีที่ชื่อ LowRide จับมือกับทีมออกแบบในนาม American Dreams และอีกเวอร์ชั่นคือ R18Aurora ที่จัดทำโดย Garage221 ร่วมกับตัวแทนจำหน่าย BMW Motorrad Roma
สำหรับตัวแรก R18M นั้น เป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงกับ รหัส M ของรถยนต์ BMW ที่หมายถึงรถในกลุ่มสปอร์ตสมรรถนะสูง เพราะฉะนั้นทีมงานของ LowRide จึงมีความต้องการที่จะออกแบบให้รถครุยเซอร์อย่าง R18 นี้ ได้รับการออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ตมากกว่าเดิมที่มีเอกลักษณ์ของกลิ่นอายความเป็นเรโทร ของเจ้าครุยเซอร์เครื่องยนต์ Boxer 1800 ซีซี จึงถูกจับโยงถึงความเป็นสปอร์ตของรถยนต์ BMW และนั่นก็คือที่มาของ BMW R18 M Project
สมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆจะไม่ถูกแตะต้องใดใด สเปคเดิมๆจะถูกคงไว้ เพียงแต่สีสันรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวกระทัดรัดมากขึ้นและตำแหน่งท่าทางการขับขี่เล็กน้อยเท่านั้นที่จะถูกปรับ เพื่อให้สามารถสัมผัสถึงความเป็นสปอร์ต จากภาพร่างที่ถ่ายทอดแนวคิดของ LowRide ที่จะปรับโฉม R18 ใหม่ ได้ถูกส่งต่อ American Dreams ผู้ที่จะรับช่วงสร้างชิ้นงานออกมาตามคอนเซ็ปท์ดังกล่าว ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากช่างฝีมือจำนวนหนึ่งในการสร้างชิ้นงานต่างๆ ขึ้นมาจากวัสดุไฟเบอร์กลาส และคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อปรับในส่วนบอดี้พาร์ทให้มีความเป็นสปอร์ต รวมทั้งการออกแบบชุดท่อไอเสียที่มีส่วนเพิ่มความกะทัดรัดคล่องตัวให้กับโครงสร้างตัวรถเดิม ที่สำคัญช่วยให้ตัวรถมีองศาการเลี้ยวที่ดีขึ้นอีกด้วย แม้กระทั่งชุดสี หนังหุ้มเบาะ มือจับ แม้กระทั่งกระจกข้าง ล้วนถูกสร้างขึ้นมาหรือจัดหามาเพื่อให้ได้ตรงตามแนวคิดการออกแบบของ R18M Project ซึ่งก็มีรายละเอียดตามภาพที่เรานำมาฝากกัน
และเวอร์ชั่นถัดมาก็คือ R18Aurora ที่จัดทำโดย Garage221 ซึ่งมีแนวคิดที่ค่อนข้างต่างกับเวอร์ชั่น M โดยทางหัวหน้าโปรเจ็คจาก Garage221 มีความต้องการที่จะเชื่อนโยงแนวคิดการออกแบบไปที่การเปิดตัวครั้งแรกของ BMW Motorrad ที่เผยไลน์อัพรถในกลุ่มครุยเซอร์ออกมาครั้งแรก นั่นก็ต้องย้อนหลังไปใน 2019 EICMA ที่มีการประกาศว่าจะเปิดไลน์ผลิตรถครุยเซอร์อย่าง R18 เป็นครั้งแรก เริ่มด้วยกระบวนการเริ่มต้นของการออกแบบ จนถึงการผลิตออกมาเป็นคัน เป้าหมายการออกแบบ Garage221 ก็คือนำแนวคิดดั้งเดิมของ R18 มาเชื่อนต่อกับสิ่งใหม่ๆในโลกปัจจุบัน เพราะพื้นฐานของ R18 นั้นมีพื้นเพความเป็นมาของแนวคิดการพัฒนารถแนวครุยเซอร์ย้อนหลังไปถึงช่วงยุค 1970 ก่อนจะค่อยๆตกผลึกและพัฒนาแนวทางออกมาเป็น R18 ในปัจจุบัน ดังนั้น R18 Aurora จะเป็นการผสมผสานระหว่างวิถีดั้งเดิมกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าการแต่งแต้มสีสันให้กับชิ้นส่วนบังโคลน การนำเบาะนั่งของ BMW 1200C จากปี 2005 มาประยุกต์ใช้กับ R18 หรือแม้แต่การสร้างชิ้นส่วนที่เรียกว่า Batwing ที่ดัดแปลงมาจากรถ BMW R100 จากปี 1982 รวมทั้งมีการนำชิ้นส่วนเฟรมท้ายของ BMW RT100 จากปี 1983 มาปรับแต่งพื่อติดตั้งในโปรเจ็คนี้ รวมทั้งการจับมือกับผู้ผลิตท่อไอเสียอย่าง Leo Vince ที่ออกแบบท่อมาเพื่อใช้กับ R18 Aurora เป็นการเฉพาะ
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโปรเจ็คแต่งโชว์ Custom bikes ของ BMW Motorrad ที่ออกแบบมาเพื่อจัดแสดงในงาน Verona Motor Expo แต่ก็มีส่วนสำคัญในการเปิดมุมมองใหม่ๆในการที่กลุ่มลูกค้าจะเกินแนวคิดที่จะทำการปรับแต่ง R18 ของตนเองให้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งที่ BMW Motorrad นำมาใช้กับการเคลื่อนไหวกิจกรรมเพื่อการทำตลาดให้กับรถในกลุ่มครุยเซอร์ของตนเอง อย่างเจ้า R18 ที่แม้จะมีความเป็นรถในแนวเฮอริเทจ มีวิถีทางที่ค่อนข้างอนุรักษณ์นิยมตามแบบฉบับเครื่องยนต์Boxer แต่ก็มีขีดความสามารถอันหลากหลายที่จะสามารถนำไปตกแต่งเพิ่มเติมได้อย่างหลากหลายสไตล์เช่นกัน
เป็นการรีบอร์นกลับมาของรถมอเตอร์ไซค์ยุค 90 สายสปอร์ตทัวร์ริ่ง 2 จังหวะ ที่มีความแรงจี๊ดจ๊าด ปราดเปรียว เสียงแหลมผ่านท่อสูตรที่บาดลึกเข้าสู่โสดประสาท และกลิ่นควันที่หอมหวลชวนดม กับค่ายดังค่ายนี้ คาวาซากิ เรียกได้ว่าเป็นอันดับ 1 ครองใจวัยรุ่นมายาวนาน
คาวาซากิ เซอร์ปีโก้ 150 ที่คลานตามรุ่นพี่อย่าง KR ออกมาสู่ตลาด และได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แต่เรื่องของการแต่งนั้นก็อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนว่าจะเพิ่มเติมชิ้นส่วนไหนให้ดูโดดเด่น และความแรงของเครื่องยนต์ที่รู้กันดีว่าทะลุ 200 กม./ชม. สิงห์ถนนหลวงในยุคนั้น เดิมๆ ไม่มีอยู่จริง
จากสภาพก่อนหน้านี้ ลงมือจัดทรงเก็บงานทุกชุดสีตามต้นฉบับเดิมๆ ตัดรูปแบบกราฟฟิกใหม่เป็นสีเขียว / ม่วง เบาะปาดบางแต่งฟองน้ำใหม่แบบแว๊นซ์ซิ่ง ที่พักเท้าต้องเกียร์โยงเท่านั้นไม่งั้นเชย เครื่องยนต์ 2 จังหวะ 150 ซีซี รหัสเสื้อสูบ 1855 เครื่องในลงทุนจัดชุดใหญ่ ลูกสูบ, แหวน, เพลาข้อเหวี่ยง เบิกใหม่แน่นๆ หม้อน้ำอลูมินัม และคาร์บูเรเตอร์ลูกดเหลี่ยม เบิกของแท้ แถมจัดการปาดทะลวงพอร์ทเพิ่มแรงม้าเป็นที่เรียบร้อย เน้นชุดบน เสื้อ ฝา เป็นหลัก
ปั๊มเบรกบน Adelin 17.5 x18 พร้อมขายึดอลูมินัม คาลิเปอร์ตัวล่าง Brembo 4 พอร์ท แบบโมโนบล็อกหูชิด จานเบรก Brembo ทานตะวันโฟลท์ติ้ง 10 ตัว ขนาด 285 มม. เบรกหลังก้านกระทุ้ง NISSIN ส่งผ่านน้ำมันแรงดันด้วยสายถักไปยังคาลิเปอร์เบรกที่ด้านหลังของ BREMBO ลูกสูบเดี่ยว ทรงผีเสื้อ ทำงานร่วมกับจานขนาด 220 มม.
โช้คอัพหลัง GAZI ที่ปรับค่าพรีโหลดของสปริงใหม่สำหรับใช้งานทั่วไป สวิงอาร์ม Aluminium Unitrak ดามล่างของตัวรหัส SE เอกสิทธิ์เฉพาะของ Kawasaki ชุดล้อเป็นล้ออลูมินัมสีทอง D.I.D งานญี่ปุ่น หน้า 1.40×17 ล้อหลังคือ 1.40X18 ใส่ยาง หน้า – หลัง IRC โซ่ RK 420 และช่วงท้ายความเท่ด้วยท่อไอเสียท่อลอดท้องสแตนเลสปลายไทเทเนียม DBS พร้อมกับเสียงที่กระตุ้นต่อมยุค 90s
ช่วงก่อนปีใหม่ทาง Benelli ได้เปิดตัว รถแอดเวนเจอร์ ที่พวกเขาระบุว่าเป็น the brand new adventure bike จากฐานการผลิตที่โรงงานใน Pisaro ของอิตาลี ที่ออกแบบมาภายใต้แนวคิดเพื่อรองรับการเดินทางที่หลากหลายรูปแบบ ด้วยการตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนานสะดวกสบาย ทั้งในแบบออฟโรดและออนโรด
ด้วยการออกแบบและพัฒนาจากแผนกวิจัยและพัฒนาที่สำนักงานใหญ่ ของ Benelli ที่อิตาลี ดังนั้นรถรุ่นนี้จึงคงเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของรถอีกหนึ่งรุ่นในสไตล์แอดเวนเจอร์ที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง TRK502X ที่ได้รับการตอบสนองที่ค่อนข้างดีจากผู้ใช้หน้าใหม่ที่ต้องการเปิดโลกใหม่ๆกับการขับขี่ในแนวแอดเวนเจอร์ และเนื่องด้วยกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาครบรอบ 110 ปีของการถือกำเนินแบรนด์ Benelli จึงถือโอกาสนี้เริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Benelli ด้วยการอัพเกรด เสริมสมรรถนะของรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง TRK502X ให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น ดุดันขึ้น ด้วยความสดใหม่ของเครื่องยนต์ขนาด 754 ซีซี ที่จะใช่วยยกระดับรถแอดเวนเจอร์ของ Benelli ให้มีสามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ดังนั้นการออกแบบ TRK800 จึงมีการผสมผสานในด้านต่างๆให้มีความลงตัวยิ่งขึ้น ทั้งด้านอารมณ์ ภาพลักษณ์ ความรู้สึก ที่ผู้ขับขี่จะสัมผัสถึงคำว่าแอดเวนเจอร์ได้ดียิ่งขึ้นนอกจากการแต่งเสริมชิ้นส่วนอย่าง การ์ด ชิ้นส่วนป้องกัน รวมทั้งบังโคลนและชิ้นส่วนอื่นๆที่จะเข้ามาช่วยปรับภาพลักษณ์ที่ดุดันโฉบเฉี่ยวให้กับ TRK800 แล้ว ยังติดตั้งชุดไฟหน้า ที่เป็นแบบ full LED ที่เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมรูปโฉมที่ดุดันยิ่งขึ้น
ขณะที่เครื่องยนตืนั้นเป็นขนาดความขจุ 754 ซีซี twin cylinder 4จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งก็มีพื้นฐานเดียวกับเครื่องยนต์ Leoncino800 ที่มีกำลังสูงสุด 76.2แรงม้า ที่ 8500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 67 นิวตัน-เมตร ที่ 6500 รอบต่อนาที นับได้ว่ามีสมรรถนะที่เพียงพอสำหรับสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ที่เพียงพอกับทุกสภาพแวดล้อม ที่ได้ขุมพลังมาจาก
ฟอร์แมทเครื่องยนต์แบบ double overhead camshaft timing with 4valves per cylinder ที่มาพร้อมกับเรือนลิ้นเร่งแบบ dual throttle body ขนาด 43 มม. ที่มีชุดเกียร์ 6 speed gearbox ซึ่งเครื่องยนต์นี้ติดตั้งอยู่บนโครงสร้างแชสซีส์ที่เป็นเฟรมแบบ tubular trellis frame rith a high-strength steel plate ที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความคล่องแคล่วในการขับขี่ทุกสถานการณ์ อีกทั้งยังต้องให้ความรู้สึกที่สบายในทุกจังหวะการขี่ ไม่ก่อให้เกิดความเมื่อยล้าขณะขับขี่ โดยเน้นการออกแบบให้ได้ตำแหน่งท่าทางการควบคุมที่ลงตัวที่สุดสำหรับผู้ขี่
เช่นเดียวกับในส่วนของระบบกันสะเทือนที่ Benelli คำนึงถึงความสบายสูงสุดของการขับขี่ทั้งแบบออนและออฟโรด ดังนั้นระบบกันสะเทือนหน้า จึงเลือกที่จะใช้ Marzoccho upside-down fork ที่สามารถปรับ rebound,compression และ spring preload ซึ่งฟอร์คหน้านี้มาพร้อมกับช่วงยุบตัว 170 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนหลังนั้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง aluminium swing arm กับ central monoshock ที่ปรับได้ทั้ง spring preload และ hydraulic rebound damping ที่มาพร้อมช่วงยุบตัว 53 มม. โดยรวมแล้วนี่คือรถแอดเวนเจอร์จากโรงงานใน Pesaro ที่พัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้งานในสไตล์แอดเวนเจอร์ ที่อัพเกรดเพิ่มเติมจากสมรรถนะที่มีของ TRK502X มาเป็น TRK800 ที่มีพละกำลังเพิ่มขึ้นพร้อมกับรูปโฉมที่ดุดัน
นับตั้งแต่ Tenere700 ถูกผลิตขึ้นมา ก็ได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในตลาดยุโรป นี่คือรถที่มีความต้องการในตลาดสูงรุ่นหนึ่งเท่าที่ Yamaha เคยส่งออกมาจำหน่าย ด้วยการเป็นที่ยอมรับของสมรรถนะในเครื่องยนต์ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีระดับตำนานของ Yamaha อย่าง CP2 engine ที่โดดเด่นในเรื่องของแรงบิดอันเป็นเอกลักษณ์ high-torque คือซิกเนเจอร์ของเครื่องยนต์ตัวนี้ ขณะที่โครงสร้างแชสซีส์นั้นออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด ตามเป้าหมายในการออกแบบ คือ compact chassis แลมาพร้อมด้วยระบบกันสะเทือนที่มีช่วงยุบตัวที่ยาว ในแต่ละโมเดลแต่ละปีผู้ขับขี่จำนวนมากต่างเฝ้ารอการพัฒนาการอัพเกรดของรถรุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นความยอดเยี่ยมของการต่ยอดพัฒนาสายพานการผลิตมาอย่างยาวนานนับจากการที่ Yamaha ริเริ่มเปิดสายพานการผลิตรถในกลุ่มแอดเวนเจอร์ครั้งแรกของตนเองในช่วงปี 1980
ous off-road คือเป็นรถในระดับจริงจังสำหรับการใช้งานในรูปแบบแอดเวนเจอร์ ไม่ว่า การเดินทางไกล การบุกตลุยเส้นทางที่ท้าทาย การใช้งานครอบคลุมทั้งแบบแรลลี่และแอดเวนเจอร์
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ Yamaha มีกิจกรรมพิเศษต่อเนื่องสำหรับ Tenere700 มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการจัดทำก่อนที่จะวางตลาดโมเดลล่าสุดของ Tenere700 ในแต่ละปี ซึ่งในแต่ละโมเดลนั้น Tenere700 จะได้รับการอัพเกรดพัฒนาในส่วนต่างๆเพิ่มเติมเสมอ
และล่าสุดได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียนรู้และศึกษาแนวทางการพัฒนาของ Tenere700 ให้เข้าสู่นิยามที่ว่า the next level โดยการเปิดตัวรถต้นแบบของ Tenere700 ที่คาดว่าน่าจะเป็นสเปคอัพเดทล่าสุดที่จะผลิดออกมาเป้นไลน์อัพล่าสุด ซึ่ง Tenere700 Raid Prototype ได้เปิดเผยว่าทำการอัพเกรดด้วยการนำชิ้นส่วนและชุดคิด GYTR หรือ Genuine Yamaha Technology Racing มาติดตั้งให้กับตัวรถ พร้อมทั้งวางเส้นทางที่จะย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่ซึ่งโปรเจ็คพัฒนารถในตระกูล Tenere ได้กำเนิดขึ้นมา บนสังเวียนทะเลทรายของแอฟริกาดังนั้น Yamaha Europe จังได้พัฒนา High specification Raid bike เพื่อให้ Tenere700 มีสมรรถนะสูงสุดในแบบฉบับของรถ full Raid potential พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ Alessandro Botturi กับ Pol Tarres
นำรถต้นแบบโมเดลนี้ ฝ่าไปบนเส้นทางของทะเลทราย moroccan desert และนี่น่าจะเป็นเพียงโปรเจ็คแรกของกิจกกรม ที่เรียกว่า The next horizon ที่Yamaha มักจะวางเส้นทางสองสามแห่งสำหรับอดีตนักแข่งและแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่จะขี่ Tenere ต้นแบบ เพื่อเรียนรู้และศึกษา การยกระดับ Tenere700 ก่อนที่จะวางจำหน่ายจริงนั่นเอง สำหรับข้อมูลของเจ้าต้นแบบหรือโปรโตไทพ์นี้ ตามที่กล่าวไปแล้วว่า ปรับเสริมด้วยชิ้นส่วนจาก GYTR เป็นหลัก เพราะฉะนั้นรายละเอียดของตัวรถจึงมิใช่ข้อมูลของเวอรืชั่นที่วางขายแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้ไม่นาน โมเดลล่าสุดของ Tenere700 ก็จะค่อยๆทยอยเปิดตัวออกมาในโอกาสถัดไป
ข้อมูลสเปคตัวรถ 2022 Yamaha
Ténéré 700 Raid Prototype
Full titanium Akrapovic race exhaust
GYTR ECU
High performance airbox and fi lter
48 teeth fi nal drive sprocket
Oversize radiator
Dual cooling fans
New water pump cover
New oil cooler
Rekluse heavy duty clutch
Two-piece clutch cover
New clutch lever
Suspension
48 mm long travel front forks – 270 mm
CNC triple clamps
New long travel rear shock – 260 mm
New rear suspension linkage
Brakes
High specifi cation single front disc – 300 mm
Racing brake pads
Upgraded front brake master cylinder
New front brake lever
Oversize 267 mm diameter rear disc
New caliper mounting bracket
Steel braided front and rear brake hoses