2017 Suzuki Workbike RM-Z450WS

ตัวแข่งโรงงาน Suzuki RM-Z450WS โมเดลล่าสุดของทีม Suzuki MXGP ที่พัฒนาออกมาสำหรับ Kavin Strijbos กับ Arminas Jasikonis ในการแข่งขัน 2017 MXGP ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถมากนัก แต่จากข้อมูลของนิตยสาร RacerX ได้ระบุว่านี่คือว่าที่ตัวแข่งโปรดักชั่น 2018 RM-Z450 ดังนั้นสเปคทุกอย่างที่เห็นจากรถคันนี้จึงแตกต่างกับรถแข่งของ Broc Tickle หรือ Justin Bogle ใน AMA Motocross/Supercross ที่จะต้องรอให้รถสเปคนี้ได้รับการโฮโมโลเกทก่อนจึงจะสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันได้ นั่นก็หมายความว่าต้องรอ”เวอร์ชั่นโปรดักชั่นที่จะออกในปีหน้านั่นเอง”

จากภาพของตัวรถจะพบว่าในส่วนของบอดี้พาร์ทนั้นจะมีความแตกต่างออกไป รวมทั้งเฟรม และสวิงอาร์มที่ดูเหมือนว่าทั้งสามส่วนนี้ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด แม้ว่าภาพรวมโดยหลักๆแล้วจะมีความใกล้เคียงกับพื้นฐานเดิมของรถตระกูล RM-Z ที่ใช้พิมพ์เดียวกันตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา แม้ว่าข้อมูลของตัวแข่งจะมีให้มาแต่ก็ถือว่าไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนัก เพราะว่านี่คือ workbike ตัวแข่งโรงงานที่ว่ากันว่า จะเป็นสเปคต้นแบบของรถโปรดักชั่นในปีต่อไปนั่นเอง

เครื่องยนต์ :  4 จังหวะ สูบเดียว
ระบายความร้อนด้วยน้ำ water-cooled single
ความจุเครื่องยนต์ : 449 ซีซี
กำลังเครื่องยนต์สุงสุด:  –
วาล์ว :  4 วาล์ว DOHC
ระบบจัดการเครื่องยนต์ :  Suzuki Fuel Injection System
หัวเทียน : NGK
ระบบหล่อลื่น :  Semi Dry Sump
คลัทซ์ :  Wet Multi Plate Hinson/ Suzuki
ระบบส่งกำลัง : –
ระบบท่อไอเสีย : Akrapovic
กรองอากาศ : Twin Air
การส่งกำลังขั้นสุดท้าย :  โซ่ DID
เฟรม : Twin Spar Aluminium Alloy
กันสะเทือนหน้า :  KYB – PSF
กันสะเทือนหลัง :  ชุดกระเดื่อง ร่วมกับ ช๊อค KYB
ยาง : Pirelli
ล้อหน้าขนาด :  21 นิ้ว
ล้อหลังขนาด :  19 นิ้ว
วงล้อ : Excel
เบรกหน้า : จานดิสก์เดี่ยวแบบSteel Disc
ชุดเบรกจาก NISSIN/ BRAKING
เบรกหลัง : จานดิสก์เดี่ยวแบบ Steel Disc
ชุดเบรกจาก NISSIN/ BRAKING
สเตอร์, แฮนเดิลบาร์ และ ปลอกแฮนด์ : RENTHAL
ความจุถังเชื้อเพลิง : –
การจ่ายเชื้อเพลิง :  ETS
น้ำมันหล่อลื่น : MOTUL
ชุดสี และหุ้มเบาะ :  Blackbird Racing
อุปกรณ์เสริม :  Zeta Holeshot Device
ความยาว : –
ความสูง : –
วีลเบส : –
น้ำหนักรถ : –

YAMAHA YZF-R1 คว้าชัยการแข่งขัน Le Mans 24 Hr

เปิดฤดูกาล 2017 ยามาฮ่าคว้าชัยการแข่งขันแบบมาราธอน หรือเกมเอ็นดูร้านซ์ รายการใหญ่สุดในโลก กับรายการ 2017 FIM Endurance World Championship เลอมังส์ 24 ชั่วโมง ด้วยการคว้าแชมป์ และรองแชมป์มาครองด้วย YAMAHA YZF-R1 เข้าสู่การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบแบบมาราธอนพิชิตความทรหดของรถ และนักแข่งในรายการเอ็นดูร้านซ์ที่ประเทศฝรั่งเศษ ซึ่งนักแข่งจะต้องลงขับขี่รถจักรยานยนต์แบบมาราธอนถึง 24 ชม. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกับรายการ Endurance France – Le Mans 24 Hours ซึ่งในปีนี้ยามาฮ่าวสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันกับตำแหน่งแชมป์ และรองแชมป์ในการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล โดยทีม GMT94 Yamaha Official EWC Team โดยทั้งสองทีมใช้รถยามาฮ่า YZF-R1

สองทีมแข่ง Yamaha ในเกมเอ็นดูร้านซ์ชิงแชมป์โลก ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในการแข่งขัน 24 ช.ม.ที่ Bugatti Circuit ใน Le Mans ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งสังเวียนแข่งขันเก็บคะแนนสะสม 2017 FIM Endurance World Championship โดยทีม GMT94 Yamaha Official EWC Team ที่มี 3 นักแข่งอย่าง David Checa ,Mike Di Meglio และ Niccolo Canepa ร่วมกันทำรอบการแข่งขันได้รวม 860 รอบ ด้วยเวลารวม 24 ชั่วโมง 04.27 นาที ในขณะที่ทีม YART Yamaha Official EWC Team ที่มีนักแข่งอย่าง Broc Parkes, Marvin Fritz และ Kohta Nozane ทำจำนวนรอบได้ 860 รอบเท่ากัน แต่ใช้เวลารวมมากกว่า 19.819 นาที ส่งผลให้ทั้งสองทีมทางการของ Yamaha คว้าชัยชนะอันดับ 1 และ2 ในการชิงชัยเอ็นดูร้านซ์ 24 ชั่วโมงนี้ไปได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งผลการแข่งขันในกลุ่มสิบอันดับแรกมีดังนี้

1.GMT94 Yamaha Official EWC Team (No.94)  Yamaha YZF-R1 – 860 laps  24:04:27

2.YART Yamaha Official EWC Team (7) Yamaha YZF-R1 – 860 laps  +19.819

3.Team SRC Kawasaki – 848 laps  +12 lps

4.Suzuki Endurance Racing Team – 848 laps  +12 lps

5.F.C.C. TSR Honda – 843 laps  +17 lps

6.Tati Team Beaujolais Racing – 837 laps  +23 lps

7.Moto AIN CRT – Yamaha YZF-R1 – 834 laps +26 lps

8.Maco Racing Team – Yamaha YZF-R1 – 831 laps  +29 lps

9.Yamaha Viltaïs Experience – Yamaha YZF-R1 – 829 laps  +31 lps

10.AM Moto Racing Competition – 824 laps  +36 lps

MSX125 SUPERTRACKER

จัดมาให้สำหรับนักบิดที่ชอบความสปอร์ตในรูปแบบของรถจักรยานยนต์มินิโมตาร์ด ดีไซน์ออกแนวล้ำอนาคตและมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 125 ซีซี บิดได้เร้าใจแบบสั่งได้ด้วยคลัทช์มือ และเทคโนโลยีระบบหัวฉีด อัจฉริยะ PGM-Fi ที่ให้ทั้งความสนุกและความมันกับเจ้าโมเดิร์น สตรีทไบค์ MSX 125 จากค่ายปีกนกที่คัดสรรรถจักรยานยนต์หลากหลายสไตล์มาเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่น เรียกได้ว่าจัดมาเต็มๆ กับการตกแต่งในแบบสปอร์ตไอเดียสุดเดิร์นด้วยออฟชั่นในมุมต่างๆ สีสันลวดลายมาในแนวของรถสปอร์ต

ช่วงล่างมาพร้อมกับวงล้อแม็กขนาด 10 นิ้ว และยางหน้ากว้างแบบเรเดียลจุ๊บเลสโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับเพิ่มลุคระดับพรีเมี่ยม ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์ brembo แบบลูกสูบเดี่ยวเข้ากับรถแบบมินิ จานดิสก์สร้างพร้อมโฟลท์ติ้งอลูมินัมแบบให้ตัว ไฟหน้ายกของเดิมเก็บไว้เป็นอะไหล่ จัดใหม่แบบสองดวงถูกติดตั้งไว้ที่การ์ดออกแบบดีไซน์ใหม่แนวเอเลี่ยนแฮนด์บาร์ระดับต่ำ ประกับคันเร่งแบบทดรอบ ปั๊มแรงดันดิสก์เบรก brembo แท้งค์เล็กก้านสั้น ตัวเรือนไมล์ดิจิตอลอ่านง่ายครบทุกฟังก์ชั่นของดีที่จัดมาพร้อมกับตัวรถ ครอบถังด้านบนลายเคฟล่าร์ เบาะนั่งเย็บเล่นลาย พักเท้าแบบยาวชิ้นเดียวกับคนซ้อน โช้คอัพหลังเดี่ยวแบบโมโน ของแต่งระดับท๊อปจากค่าย
Gazi ที่มีตัวปรับรีบาวด์ความหนืดได้ตามความต้องการ พรีโหลดความแข็งอ่อน ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัมทรงเหลี่ยม ดิสก์เบรกหลัง คาลิเปอร์ brembo ลูกสูบเดี่ยวห้อยล่าง ช่วงท้ายเปลือยโล่งในแบบเรซซิ่งสปอร์ตส่วนเครื่องยนต์บิดสนุกทุกอารมณ์ เพิ่มสมรรถนะการระบายความร้อนด้วยชุดออยคูลเลอร์อลูมินัมถูกวางตำแหน่งอยู่ด้านในอย่างลงตัวต่อเข้ากับฝาสูบด้วยสายถักสเตนเลส ตัวกรองเปลือยหันออกข้างรับอากาศ เสริมชุดการ์ดกันแคร้งอลูมินัมในแบบสปอร์ต และท่อไปเสียปลายแบบซูเปอร์แท๊ป

ของใหม่ก็มาแรงต้องเจอกับการตกแต่งใหม่ๆ ออพชั่นเพียบจัดมาเพื่อการขับขี่ที่ดีและความสวย เท่ห์ ในแบบฉบับของ โมเดิร์นสตรีทไบค์

2017 TC125 ขาวปลอดยอดอัศวิน 2 จังหวะ

หายไปนานกับโมโตครอส 2 จังหวะเมื่อกระแสโลกสวยด้วยมือเรามาพรากเอาไปแล้วให้บิด 4 จังหวะกันจนชิน ทว่ายังมีความนิยมที่แฝงเร้นทำให้ยังมีการผลิตสนองความต้องการของตลาด แม้แทบจะลาขาดจากสนามแข่งแต่ความแรงของ 2 จังหวะยังเป็นที่โหยหาของนักบิดที่เคยได้ลิ้มลอง TC125 ปี 2017 คือตัวเลือกที่ครอบครองได้อย่างสะดวกใจในราชอาณาจักรไทยขณะนี้

เทคโนโลยีเบสิค
ด้วยการผลักดันจากส่วนใดก็แล้วแต่ เทคโนโลยีรถโมโตครอส 4 จังหวะก้าวไกลถึงขนาดใส่แทร็คชั่นคอนโทรลกันไปแล้ว แต่กับ TC125 ยังคงเป็นรถแข่งแบบดิบๆ ที่พร้อมหยิบยื่นความแรงแบบจริงใจไม่ซับซ้อนจากกลไกที่ใช้มาตั้งแต่ยุคอนาลอค เครื่องยนต์ 2 จังหวะ สูบเดียวระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบเพาเวอร์วาล์ว ยังคงได้รับการป้อนเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์มิคูนิ 38 มม.แฟลตสไลด์ที่ไร้แจ็คเสียบและสายไฟ สิ่งที่ฮัสควาน่าทำคือย่อและรีดน้ำหนักของเครื่องยนต์ให้เล็กและเบาที่สุดด้วยวัสดุที่เลือกสรร ขนาดฝาครอบจานไฟยังใช้พลาสติก เห็นดิบๆ อย่างนี้ 40 แรงม้าก็มาเต็มๆ นะ

เฟรมลูกผสม
เช่นเดียวกับไลน์ของโมโตครอส 4 จังหวะ TC125 ปี 2017 ได้มาไม่น้อยหน้าด้วยเฟรมเหล็กโครโมลิบ ดินั่ม ส่วนซับเฟรมด้านท้ายใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งนอกจากจะเบาแล้วยังขึ้นรูปง่ายทำให้ดีไซน์เป็นที่จัดวางอุปกรณ์พร้อมหม้อกรองอากาศได้ในตัวเดียวกัน เป็นการผสมผสานทั้งเทคโนโลยีและการใช้งานที่ฉลาดลงตัวมาก

กันสะเทือนอัพเกรด
เป็นส่วนที่ได้ประโยชน์ตามยุคสมัยมากที่สุด เพราะสามารถนำเอาเทคโนโลยีกันสะเทือนของยุคใหม่เข้ามาใส่ในรถอนุรักษ์นิยมได้อย่างไม่ติดขัด แน่นอนว่าเป็นสัมปทานงานเหมาของเจ้าเดิม WP คราวนี้ให้มาเป็นรุ่นล่าสุด AER48 ที่ไม่ต้องใช้สปริงแล้ว ส่วนโช้คหลังเดี่ยวก็พัฒนาควบคู่กันไปด้วยรหัส DCC ที่ทำงานคู่กับกระเดื่องทดแรงซึ่งระบบการทำงานคุ้นเคยกันดี

แม้แต่ปลอกแฮนด์ก็ยังเลือกของแบรนด์เนม

ปั๊มมือสำหรับสูบลมโช้คหน้า

ปั๊มคลัทช์ของ MAGURA

เครื่องยนต์เล็กห้องเครื่องโล่งเพื่อเซอร์วิส

ชิ้นไหนแจมอะไหล่ได้ดูง่ายเลย

พักเท้าตัว Y เหยียบสบายกว้างมาก

AER48 ให้สามผ่าน!!!

งานเบรกของเบรมโบ้ทั้งเซ็ต

มีดีต้องโชว์ ปลายซับเฟรมคาร์บอน

ของดีรอบคัน
แม้ว่าค่ายต่างๆ จากแดนอาทิตย์อุทัยจะปรับปรุงตัวด้วยการเริ่มเลือกใช้อุปกรณ์จากผู้ผลิตเฉพาะทางที่มีชื่อเสียงมาใช้ในรถตัวเองบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าที่ฮัสควาน่าจัดหามาประดับ แฮนด์โปรเทเปอร์พร้อมปลอกแฮนด์ ODI แถมยังให้การ์ดแฮนด์มาอีก ก้านบีบทั้ง 2 ด้านเป็นการสั่งงานผ่านระบบน้ำมันด้วยปั๊มเบรกเบรมโบ้และปั๊มคลัทช์มากูระ พักเท้าขนาดกว้างใหญ่ ขาเกียร์ทรงไม่คุ้นตากับการวางตำแหน่งที่ห่างจากพักเท้ามากกว่าที่คุ้นเคย การ์ดเฟรมกันสีถลอกถึงไม่บอกยี่ห้อก็รู้สึกดีที่มีมาให้ แถมยังได้ตัวนับชั่วโมงการทำงานของเครื่องยนต์ติดมาให้บนแผงคอ เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถโมโตครอสที่ต้องการการดูแลบ่อยครั้งกว่ารถใช้งานทั่วๆ ไป

ขอขอบคุณ คุณวิรัช ธนะแพสย์ แห่งโรงกลึงเจริญยนต์ร้อยเอ็ด ที่ยังคงจัดเต็มกันเหมือนเดิม พร้อมการสนับสนุนจากน้ำมันเครื่อง GPR และวงล้อ YOKO SUPER 7 ขาดไม่ได้คือชุดนักทดสอบจาก DirtShop และเครื่องดื่ม GSD สดชื่นตลอดการเดินทาง รวมถึงผู้อ่านทุกๆ ท่าน อย่าลืมคลิกไปชมคลิปวิดีโอการทดสอบกันด้วยนะ

ความเห็นนักทดสอบ “เขมรัฐ สุธรรมวาท”
“เล็ก บาง เบา สั้น สูง แรงมั้ยตอบว่าแรง รอบเครื่องมันยังมีช่วงเวลาให้เราพอจะเตรียมตัวรับมือกับมันได้บ้าง อันนี้คือปรับนมหนูลงมาแล้วนะครับ เดิมๆ ต้องคุยกันที่รอบสูงๆ อย่างเดียวเลย ยังไม่มีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น การควบคุมทุกอย่างจะต้องมาจากคนขี่ทั้งหมด มิติรถที่โดดเด่นคือความสูง สูงมากจนจะสตาร์ททีต้องหาที่สูงๆ เหยียบจะง่ายกว่า ดีที่ว่าแรงต้านจากคันสตาร์ทมันไม่มากมาย สตาร์ทติดง่ายครับ มิติที่เล็กและน้ำหนักที่เบามันทำให้เลี้ยวโค้งได้ง่ายด้วยครับ เป็นรถที่เลี้ยวง่ายมาก จับไลน์เลี้ยวได้แบบไม่น่ากลัว ก่อนวาล์วเปิดก็มีแรงบิดบางๆ ดันส่งเหมือนกัน แต่ถ้าวาล์วเปิดล่ะก็ความมันส์มาเยือนแน่นอนครับ ส่วนการควบคุมนี่ผมชอบมาก เพราะตัวรถเขาเล็กแล้วก็เบา ผนวกกับการใช้กันสะเทือนที่ถือว่าแนวหน้าของโลก โช้คหน้าที่เป็นการใช้แรงดันอากาศแทนสปริงนี่ขี่แรกๆ เหมือนจะแข็ง ก็ลองลดแรงดันลง แต่พอเริ่มคุ้นจนมีความเร็วแล้วก็ปรับอีกจนแรงดันมาพอดีตามที่คู่มือแนะนำคือ 8.2 บาร์ ส่วนโช้คหลังรู้สึกรีบาวด์ไวไปนิดปรับ 3 คลิกพอดี ความมั่นใจคล้ายๆ ตอนขี่ FC250 เลย คือวิ่งชนหน้าเนินไปเลย มันตกตรงไหนก็ช่างมันซับได้ไม่เด้ง การเลี้ยวบนพื้นกว้างก็คล้ายกันผมว่ามิติของรถนี่มันได้ คือเรานั่งในตำแหน่งที่คุมรถแล้วเปิดคันเร่งได้ง่าย ยิ่งผ้าหุ้มเบาะที่เป็นลายหยาบหนามใหญ่ๆ นี่เกาะก้นดีเหลือเกินชอบมาก นั่งแล้วไม่ค่อยไหลไปตรงอื่น เบรกก็สมราคาครับงานของเบรมโบ้ ตรงนี้มันทำให้ผมรู้สึกมั่นใจแล้วล่ะว่าโช้คหน้าตัวนี้ WP AER48 เนี่ย เป็นโช้คใช้แรงดันอากาศแทนสปริงที่ให้ความรู้สึกคล้ายการใช้ขดลวดสปริงมากที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ครับ
ขาเกียร์หน้าตาดูแตกต่างนะครับ ลายกันลื่นจะไม่ถี่หยาบ อีกอย่างที่ผมสังเกตคือระยะจากพักเท้าถึงขาเกียร์นี่มันดูจะไกลกว่ารถจากญี่ปุ่นอยู่พอสมควร ผมว่าสะดวกดีไม่ต้องระวังมากว่าจะไปโดนโดยไม่ตั้งใจ แต่การชิพเกียร์ก็ง่ายนะไม่ได้ติดขัดอะไรเลย คงไม่มีอะไรมากมายนอกจากถ้าใจรักแล้วก็ทำความคุ้นเคยกับมันเยอะๆ นะครับ ความสนุกมันจะเกิดก็ตอนที่คุณอยู่ในช่วงที่วาล์วมันเปิด ส่วนมิติตัวรถนั้นมันควบคุมง่ายอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะมีเวลาให้กับมันขนาดไหนเท่านั้น”

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะ
ปริมาตร 124.8 ซีซี
กระบอกสูบ 54 มม.
ระยะชัก 54.5 มม.
ระบบสตาร์ท เท้า
เกียร์ 6 สปีด
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น, ปั๊มไฮดรอลิกมากูระ
เฟรม เหล็กโครโมลิบดินัม
โช้คหน้า หัวกลับ WP AER48 ระยะยุบ 310 มม.
โช้คหลัง โช้คเดี่ยว WP พร้อมกระเดื่อง ระยะยุบ 300 มม.
เบรกหน้า เบรมโบ้ลูกสูบคู่ 260 มม.
เบรกหลัง เบรมโบ้ลูกสูบเดี่ยว 220 มม.
ระยะฐานล้อ 1,485 มม.
สูงถึงเบาะ 960 มม.
ถังน้ำมันจุ 7 ลิตร
น้ำหนักตัวไม่รวมเชื้อเพลิง 87.4 กก.

Kawasaki Z900 New Neked Bike

สายพันธุ์เน็กเก็ดไบค์จากตระกูล Z Series ได้รับการออกแบบที่ดูดุดันผสมผสานความเป็นสปอร์ตเพิ่มความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น เน้นถึงสรีระการควบคุมขับขี่ที่คล่องแคล่ว กะทัดรัด และแน่นอนว่ามันมีน้ำหนักที่เบาจนไม่น่าเชื่อนี่คือเน็กเก็ดไบค์ขนาด 900 ซีซี ซึ่งนั่นคือจุดเด่นที่คาวาซากิได้ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่

สัดส่วนมิติใหม่ เร้าใจทุกมุมมอง…
Z900 ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาจาก Z800 แต่เป็นสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่แชสซีที่เป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Ninja H2 เป็นแบบโครงเหล็กถักที่กระจายแรงบิดได้ดี และยังเด่นด้วยสีสัน ซึ่งแชสซีนั้นจะมีน้ำหนักค่อนข้างเบาอยู่ที่ 13.5 กก. เท่านั้น ไฟหน้าเพิ่มความโคงมนโฉบเฉี่ยวมากขึ้น แม้จะไม่ได้โหดดิบไปกว่า Z800 แต่ก็มีความทันสมัยและแปลกตาไปจากเดิม ปีกข้างหม้อน้ำโฉบเฉี่ยว ไฟหน้ามีความโค้งมนมากขึ้น มาตรวัดแบบ LED มีบอกตำแหน่งเกียร์ และมีไฟ Shift light เตือนให้เปลี่ยนเกียร์เมื่อถึงรอบที่เหมาะสม โหมดการขับขี่ 3 โหมด เบาะนั่งมีความสูงจากพื้น 794 มิลลิเมตร (เตี้ยกว่า Z800) และเว้ารับกับถังน้ำมันทำให้หนีบเข่าได้กระชับมากยิ่งขึ้น ด้านท้ายเพรียวแบบสปอร์ต ระบบการทำงานของดิสก์เบรกหน้าแบบทวินดิสก์เบรก จานขนาดใหญ่คาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ดิสก์เบรกหลังเดี่ยว วางเยื้องศูนย์เล็กน้อย ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัม

สมรรถนะเครื่องยนต์ บิดสนุก เร้าใจ
Z900 คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 948 ซีซี ซึ่งถือว่าเซอร์ไพร์สเลยทีเดียว เพราะขนาดเครื่องยนต์นั้นใหญ่กว่าชื่อรุ่น 900 ไปถึง 948 ซีซี แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 4 จังหวะ DOHC จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ส่งผ่านกำลังราวๆ 125 แรงม้า มีระบบ Assist and Slipper Clutch ลดแรงกระชักของเครื่องยนต์เมื่อลดเกียร์ลงต่ำ ให้กำลังในการบิดที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่ในย่านความเร็วกลางถึงปลาย แต่การส่งกำลังนั้นจะเน้นความนุ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะสร้างความมั่นใจในการคอนโทรลรถกับผู้ขี่ ตัวท่อรถนั้นเป็นแบบ 4 สูบออก 1 ท่อ ที่มีหัวขนาด 35 มม.ในส่วนของออพชั่นต่างๆ นั้นก็จะมีระบบ Assist & Slipper Clutch ที่จะช่วยให้ล้อหลังไม่สะบัดหรือล็อคเวลาเชนเกียร์ แล้วเอนจิ้นเบรกส่งผลการทำงานในย่านความเร็วสูง ส่วนโช้คอัพด้านหน้านั้นเป็นแบบหัวกลับขนาด 41 มม. โดยสามารถปรับระยะยุบตัวและคืนตัว (พรีโหลดแอนด์รีบาวด์)ได้อย่างละเอียด ในขณะที่ด้านหลังเป็นโช้คแบบยูนิตลิงค์ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ซึ่งแน่นอนว่าสามารถปรับระยะพรีโหลดได้เช่นกัน สำหรับดิสก์เบรกหน้านั้นเป็นดิสก์คู่ขนาดใหญ่ 300 มม. ทำงานร่วมกับระบบเบรก ABS ของ Nissin ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับการเบรกทุก ล้อแม็กนั้นเป็นแบบ 5 ก้านดีไซน์ใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว และที่สำคัญในส่วนของไฟท้ายนั้นจะเป็นแบบ LED รูปทรง “Z” ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนอย่างชัดเจน

ความคิดเห็นนักทดสอบ จตุรงค์ หมื่นทิพย์
“ตัวนี้เป็นตัวพิเศษพร้อมออพชั่นเสริม แรกเห็นก็ต้องบอกมันโดนมากๆ กับรูปทรงเน็กเก็ดไบค์พันธุ์แท้ โดดเด่นด้วยการดีไซน์และดูเพรียวกระชับ ซึ่งทางคาวาซากิเองก็การันตีได้ถึงความเบาที่เน้นถึงความคล่องตัว สัมผัสแรกเมื่อขึ้นคร่อมความสูงจากเบาะถึงพื้นที่ไม่สูงมากขนาด ผู้ทดสอบสูงเพียง 168 ซม. วางเท้าได้เกือบเต็ม ทำให้มั่นใจมากขึ้น แฮนด์เดิ้ลบาร์ขนาดพอเหมาะไม่กว้างจนเกินไป เรือนไมล์อ่านง่ายชัดเจนแบบฟูลดิจิตอล ช่วงแรกอาจจะต้องปรับตัวสักพักเพราะการบอกรอบเครื่องยนต์เป็นดิจิตอลขึ้นเป็นขีดๆสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมกับการใส่เกียร์เปิดคันเร่งเดินหน้า การคาดหวังถึงรอบเครื่องยนต์ที่จะจี๊ดจ๊าด…ถูกความนุ่มนวลสยบลงโดยสิ้นเชิง รอบที่มาแบบเรียบๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก รู้สึกว่ารถในคอนโทรลง่ายในรอบต่ำ เสียงทุ้มๆ ตามสไตล์ 4 สูบเรียง ทำความรู้จักกันสักพักก่อนค่อยเติมคันเร่งด้วยความเร็วที่สูงขึ้น การทำงานของรอบเครื่องยนต์ที่นิ่มนวลค่อยๆ ลั่น และทะยานอย่างรวดเร็วเมื่อรอบกวาดเลย 7,000 รอบ/นาที ขึ้นไป ช่วงเกียร์ 1 -2 -3 ค่อนข้างจะลากรอบได้สั้น แต่ปลายๆ เกียร์ 3 ต่อ 4-5-6 จะมาเป็นพายุ สมความแรงของคาวาซากิในแบบสปอร์ตยัดมาให้เต็มๆ จนทำให้การต่อเกียร์ในความเร็วสูงนั้นหน้าจะสะบัดเล็กน้อยด้วยความเบา สำหรับการทรงตัวควบคุมที่อออกแบบช่วงเว้าถังกับเบาะให้หนีบได้กระชับ ทำให้ง่ายต่อการพลิกเลี้ยวทั้งซิกแซกเมื่อรถติดหรือโค้งแคบและกว้าง ระบบซับเพนชั่นหลังเดิมๆ ที่มีอาการย้วยนิดๆ เมื่อเติมคันเร่งออกจากโค้ง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะว่าโช้คอัพหลังสามารถปรับพรีโหลดได้ ตามน้ำหนักของผู้ขับขี่ เบรกหน้าทวินดิสก์สั่งการทันใจพร้อม ABS ที่ตอบสนองได้ดี โดยรวมๆ ถือว่า อารมณ์จะเป็นเหมือนกับรถ 1000 ซีซี ที่ตอบสนองความเร้าใจในรอบกลางและปลาย แต่โดดเด่นด้วยสรีระที่เพรียว กะทัดรัด และน้ำหนักเบา จะว่าไปแล้วกับตัวธรรมดา เปิดราคา 399,000 บาท ส่วนตัวพิเศษ 429,000 กับเครื่องยนต์ 948 ซีซี คุ้มค่ามาก..

All New Yamaha MT-09

เน็กเก็ดสายพันธุ์ดิบจากค่ายส้อมเสียง ได้เวลาแห่งการปรับเปลี่ยนโฉม ด้วยรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ ที่มีฉายาว่า “Eyes of Darkness” คราวนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

สิ่งแรกที่เห็นก็คือไฟหน้า 2 ดวงแยกฝั่งซ้ายขวา และใช้หลอด LED 2 หลอดเล็กอยู่ภายใน ส่วนด้านใต้ LED ยังเสริมไฟรันนิ่งไลท์อยู่ด้านใต้ด้วย ในตำแหน่งของไฟเลี้ยววางที่ให้อยู่ใหม่ที่ด้านข้างหม้อน้ำและไฟท้าย LED 3 มิติเป็นรูปทรงตัว “M” มีการออกแบบใช้เส้นสายที่เฉียบคมและมีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม ช่วงท้ายสั้นลงกว่าเดิม 30 มม. เบาะนั่งออกแบบใหม่มีความหนามากกว่าเดิม5 มม. และปรับรูปทรงให้เหมาะสมสำหรับผู้ขี่ทำให้การเบรก, เข้าโค้ง หรือ การเร่ง ก็ทำได้ถนัดมากยิ่งขึ้น และในส่วนของเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่องยนต์ขนาด 847 ซีซี แบบ 3 สูบ DOHC 4 จังหวะ 4 วาล์ว แบบ Crossplane ทำให้มีอัตราการเร่งที่ดีในทุกย่านความเร็ว ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 11.5:1 ให้แรงม้ามาอยู่สูงสุดที่ 115 แรงม้า ที่ 10,000 รอบ/นาที และทอร์คสูงสุดที่ 87.5 Nm ที่ 8,500 รอบต่อนาที คลัทช์เป็นแบบเปียก สตาร์ทมือไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยโซ่กับระบบเกียร์ 6 สปีด มิติของตัวรถ ยาว 2,075 มม. กว้าง 815 มม. สูง 1,120 มม. ความสูงเบาะนั่ง 820 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,440 มม. น้ำหนักตัวรถโดยรวมอยู่ที่ 193 กก. ความจุถังน้ำมันได้ 14 ลิตร เฟรมเป็นแบบไดมอนด์ โช้คอัพด้านหน้าเป็นแบบ Telescopic forks Upside Down ส่วนด้านท้ายเป็นแบบโมโนลิงค์ ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มขนาดใหญ่ ช่วงล่าง ระบบเบรกหน้าแบบดับเบิ้ลดิสก์เบรก 298 มม. ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มม. ยางหน้า ขนาด 120/70ZR17M/C ยางหลัง 180/55ZR17M/C

และที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือตัวรถ MT-09 2017 นั้นจะมีระบบออพชั่นต่างๆอย่างเช่น Quick Shift System (QSS) ระบบในการช่วยเปลี่ยนเกียร์ให้โดยไม่
ต้องบีบคลัทช์ และยังมีระบบ Assist & Slipper (A&S) Clutch ที่ช่วยในการป้องการล้อหมุนฟรี, Adjustable suspension for enhanced sports riding ช่วยในการปรับระดับของระบบกันสะเทือนทั้งหน้าและหลัง, D-Mode adjustable engine character ที่จะช่วยในการปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่าง, ที่ใส่ป้ายทะเบียนด้านหลังแขนเดี่ยว mounted licence plate holder ใครที่รอคอยเจ้า All New Yamaha MT-09 ก็เตรียมตัวกันได้เลย คาดว่าในช่วงอีกไม่นานนี้ก็จะเข้ามาวางขายกันในบ้านเราแล้ว

2017 YZ250F ปรับเครื่องใหม่ ใส่โช้คแข็ง

เป็นปีที่ 4 ของรูปโฉมที่มาพร้อมเครื่องยนต์หัวฉีดในรถโมโตครอส YZ250F ปี 2017 ใช่ว่าจะไม่มีอะไรที่แตกต่างเมื่อยามาฮ่าได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุดทั้งส่วนของเครื่องยนต์ เฟรม และกันสะเทือน ที่จะทำให้ 2017 YZ250F มีคาแรคเตอร์ในการขับขี่ที่ไม่เหมือนปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

ถือว่าเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในทุกๆ สนามแข่งขันทั่วโลก ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่ YZF สามารถกลับมาสร้างชื่อคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ด้วยดีไซน์การออกแบบมิติตัวรถที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ของตัวเองมาตลอด ผนวกกับการนำเอาเทคโนโลยีหัวฉีดเข้ามาใช้ก็ทำให้นักแข่งในสังกัดของยามาฮ่าขึ้นมาผงาดในแถวหน้าให้เห็นกันบ่อยๆ และในปี 2017 นี้ก็นับเป็นวาระครบ 4 ปีของโฉมนี้ทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมใหญ่ๆ แต่ในรายละเอียดแล้วได้มีการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนในหลายจุดจึงทำให้เป็นเหตุผลของหลายคนที่ต้องยอมควักกระเป๋าอีกรอบเพื่อโมเดลนี้

เครื่องยนต์ของคนห้าวลึก
4 จังหวะ 4 วาล์วหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ 5 เกียร์ คือพื้นฐานดั้งเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงสเป็คของเพลาข้อเหวี่ยงใหม่ ให้สัมพันธ์กับการทำงานที่รอบสูงมากยิ่งขึ้น เพราะสไตล์ของ 2017 จะเน้นการเค้นที่รอบกลางถึงสูงให้มีประสิทธิภาพยิ่งยวด ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนในชิ้นส่วนของฝาสูบเพื่อเน้นการส่งไอดีเข้าสู่ห้องเผาไหม้ให้ได้ทันอกทันใจและมากพอ เรือนลิ้นเร่งยังเป็นของ Keihin กลไกการเปลี่ยนเกียร์ก็ปรับปรุงใหม่ให้ง่ายต่อการเข้าเกียร์ด้วยเช่นกัน

ท่อไอเสียเปลี่ยนขนาดคอใหม่

เกียร์เข้าง่ายจนสังเกตไม่ได้ว่าดีขึ้นยังไง

บล็อคตั้งโซ่สีทองเหมือนของแต่ง

วัดเดือนปีที่ผลิตชัดเจน

พักเท้าต่ำลงพร้อมเสริมให้แข็งแรงขึ้น

เฟรมขยับปรับจุด
เฟรมอลูมินัมทรงเดิมที่เพิ่มเติมมีเรื่องความแข็งแรงของจุดยึดพักเท้า แถมยังเลื่อนต่ำลงกว่าโมเดลก่อน 5 มม. ทำให้ขาหนีบข้างรถได้ลึกขึ้น อีกส่วนคือแผ่นยึดเครื่องยนต์ที่แข็งแรงกว่าเดิมรองรับการเพิ่มของรอบรัวๆ
โช้คหน้ามหาโหด
กันสะเทือนปรับเปลี่ยนไปมากด้วยความตั้งใจ เนื่องจาก YZ250F เป็นรุ่นเดียวในคลาสที่ยังคงใช้โช้คหน้าแบบกลไกและน้ำมันดั้งเดิมทำให้ดูจะเป็นความหวังของนักบิดที่ต้องการความนุ่มนวลในที แต่กับ Kayaba SSS (Speed Sensitive System) ของปี 2017 กลับถูกปรับเซ็ทให้โช้คโดยเฉพาะด้านหน้าเพิ่มความแข็งมากยิ่งขึ้น สไตล์ความเร็วสูงและการโดดหนักๆ ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรกับการขี่ลุยบนพื้นหรือขี่ความเร็วต่ำ ส่วนโช้คหลังยังคงทำหน้าที่ได้ไร้ที่ติ

ชุดควบคุมตอนหน้ายังให้มาเดิมๆ

ดิสก์เบรกโอเวอร์ไซส์ใหญ่สุด

ท่อไอเสียอ้วนสั้นหลบใน

แอบหรูดูดีด้วยสีทอง
ยังคงมีออกมาให้เลือกกัน 2 สี คือน้ำเงินกับขาว โดยที่มีการเพิ่มความดูดีมีระดับให้กับทั้งสองแนว ด้วยการใช้บล็อกตั้งโซ่, โซ่ และตัวล็อคสายเบรกหน้าเป็นสีทอง วงล้อสีดำเข้มและแฮนด์เดิลแบบเทเปอร์ไร้บาร์ขวางเช่นเคย โดยรถทดสอบในครั้งนี้เป็นสีขาวลิมิเต็ด จากความเอื้อเฟื้อของผู้กองคิด ร้อยตำรวจเอกสมคิด ยานะพันธ์ ตำรวจมือปราบผู้มีความเร็วในหัวใจแห่งเมืองชลบุรี

ขอบคุณสนามเขาไม้แก้ว จังหวัดชลบุรี ชุดนักทดสอบจากร้านเดิร์ทช็อพ สนับสนุนการเดินทางโดยเครื่องดื่ม GSD และขาดไม่ได้กับผู้สนับสนุนคอลัมน์คือวงล้อโยโกกับน้ำมันเครื่อง GPR ฉบับหน้าพบกันใหม่กับตัวจี๊ด 2 จังหวะปี 2017 กันบ้าง

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 1 สูบ DOHC 4 วาล์วไทเทเนียม
ปริมาตร 250 ซีซี
กระบอกสูบ 77 มม.
ระยะชัก 53.6 มม.
สตาร์ท เท้า
เกียร์ 5 สปีด
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น
เรือนลิ้นเร่ง Keihin 44 มม.
เฟรม อลูมินัม
โช้คหน้า หัวกลับ KYB ช่วงยุบ 12.2 นิ้ว
โช้คหลัง โช้คเดี่ยว KYB ช่วงยุบ 12.4 นิ้ว
เบรกหน้า คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ จานดิสก์ขนาด 270 มม.
เบรกหลัง คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว จาน ดิสก์ขนาด 245 มม.
กว้าง 32.5 นิ้ว
ยาว 85.2 นิ้ว
สูง 50.4 นิ้ว
ระยะฐานล้อ 58.1 นิ้ว
สูงจากพื้น 12.8 นิ้ว
สูงถึงเบาะ 38.0 นิ้ว
ความจุถังน้ำมัน 7.4 ลิตร
น้ำหนักไม่รวมเชื้อเพลิง 104 กก.
ความเห็นนักทดสอบ “เขมรัฐ สุธรรมวาท”
“ดูด้วยสายตาแทบไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ได้รับการปรับปรุงจากภายในบ้าง ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นชิ้นงานที่เป็นสีทองโดยเฉพาะบล็อคตั้งโซ่ที่เหมือนของแต่งทำให้รถดูดีมากๆ สีขาวของชุดพลาสติกกับกราฟฟิคแบบเรียบง่ายก็ดูสะอาดตาไปอีกแบบครับเครื่องยนต์ยังคงสตาร์ทง่าย เสียงดูดของกรองและเสียงท่อไอเสียยังดังลั่นถึงผู้ขับขี่ไม่น้อยกว่าคนที่ยืนดู กำลังของเครื่องยนต์มาที่รอบลึกหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นรถที่ขี่ยาก หรือเรียกกำลังยาก เพียงแต่ช่วงคะนองของมันต้องเดินรอบให้สูงสักหน่อยถึงจะเจอกับแรงม้าดุๆ ของมัน การตอบสนองของแรงบิดในช่วงต้นยังคงฉับไวสไตล์ 4 จังหวะ การเปลี่ยนเกียร์ปกติก็ง่ายอยู่แล้วทำให้ไม่รู้สึกถึงการปรับปรุงสักเท่าไร ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ตอบสนองฉับไวเพียงแต่ย้ายย่านกำลังไปที่รอบสูงกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้นกันสะเทือนรองรับการโดดได้หมดจดจริงๆ นิ่งและหนึบมากๆ ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกกระด้างเวลาวิ่งพื้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะโช้คหน้า ทำให้กลายเป็นรถหน้าไวเลี้ยววูบวาบไปด้วยเลย เจอพื้นเป็นคลื่นต้องมีสมาธิกับการคุมหน้ารถมากๆ ครับ แทบจะแข็งกว่าโช้คอัดอากาศแทนสปริงของรุ่นอื่นเสียอีก พักเท้าที่เลื่อนต่ำลงไปเพียง 5 มม.แต่ก็รู้สึกได้ชัดมากนะครับว่าขาแนบข้างตัวรถได้ลึกกว่าเดิม ทำให้ยืนได้มั่นคงขึ้นเป็นประโยชน์มากเวลาที่ต้องหนีบรถให้มั่นคง ที่เหลือส่วนอื่นยังคงคล้ายเดิมรวมๆ แล้วมันเป็นรถที่ต้องขี่ให้เร็วจึงจะอยู่ในย่านกำลังของเครื่องยนต์ โช้คอัพก็เช่นกันกับการกระแทกหนักจากการโดดนั้นมันนิ่งมากแต่งานรูดคลื่นบนพื้นยังเป็นปัญหาสำหรับน้ำหนักตัวคนขี่ที่ไม่ถึง 70 กก.ไม่รวมชุด สองอย่างนี้ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นรถของผู้ที่มีความชำนาญในการขับขี่ระดับหนึ่งจึงจะถูกใจกับการขี่มันในสภาพเดิมๆ ครับ”

ยามาฮ่ากับการล่าแชมป์โลกในปี 2017 ในศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรายการ MotoGP

ในศึกชิงเจ้าความเร็วปี 2017 ที่กำลังจะระเบิดความมันส์ขึ้นในสนามแรกที่ประเทศกาตาร์ ในวันที่ 26 มีนาคม ที่จะถึงนี้ เรามาดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ของทีม Movistar Yamaha MotoGP กันสักนิดดีกว่าครับ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันบ้างในฤดูกาลนี้

เริ่มจากการปล่อยทีเซอร์การเปิดตัวทีม Movistar Yamaha MotoGP ไปก่อนหน้า และในวันที่ 19 มกราคม 2560 ในเวลา 11.30 น.ตามเวลาประเทศสเปน ก็ได้เวลาการเปิดตัวทีมแข่งอย่างเป็นทางการ พร้อมสองนักแข่งทีม นำโดยแชมป์โลก 9 สมัย วาเลนติโน่ รอสซี่ และ ทีมเมทคนใหม่ มาเวริค บีญาเลส พร้อมกับ ยามาฮ่า YZR-M1 เวอร์ชั่นปี 2017 ที่จะใช้ทำการแข่งขันในฤดูกาลนี้ พร้อมกับการตั้งเป้าหมายคว้าแชมป์โลกมาครอง โดยมีผู้บริหารทีม และทีมงานรวมถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ Telefónica ร่วมงานด้วย

ทีม Movistar Yamaha MotoGP ทีมแข่งที่มีแฟนๆ อยู่ทั่วทุกมุมโลก ได้ทำการเปิดตัวทีมสำหรับการแข่งขันโมโตจีพีในฤดูกาล 2017 ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ Telefónica ในกรุงมาดริดประเทศสเปน โดยการเปิดตัวมีขึ้นท่ามกลางผู้บริหารทีมพร้อมทีมงานมาร่วมการเปิดตัวกันอย่างพร้อมเพียง โดยสองนักแข่งของทีม วาเลนติโน่ รอสซี่ และ มาเวริค บีญาเลส ได้ขึ้นมาให้สัมภาษณ์บนเวที ก่อนที่จะต่อด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารทีม และร่วมทำการเปิดผ้าคลุม ยามาฮ่า YZR-M1 เวอร์ชั่นปี 2017 โดยรถยามาฮ่า M1 ตัวใหม่นี้ได้รับการพัฒนาในช่วงของการปิดฤดูกาลการแข่งขัน และจะนำรถแข่งตัวใหม่นี้ลงสนามในการทดสอบครั้งแรกใน IRTA MotoGP Test ที่สนามเซปังประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการซ้อมปรีซีซั่นครั้งแรกของปี 2017 และทุกทีมจะร่วมทำการซ้อมในครั้งนี้ด้วยกัน

และในการซ้อมก่อนเปิดฤดูกาลแข่งขัน มาเวริค บีญาเลส ทำเวลาในการซ้อมมาเป็นอันดับ 1 ในรอบ IRTA MotoGP Test

การทดสอบ IRTA MotoGP Test ของปี 2017 ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งในระหว่างวันที่ 30 มกราคม 2560 ถึง 1 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ทุกทีมต่างนำรถแข่งในฤดูกาล 2017 มาทำการเปิดตัว และลงซ้อมกันอย่างคึกคัก ทุกค่ายรถจักรยานยนต์ที่ลงทำการแข่งขันในรุ่น MotoGP ทีมวิศวกรแต่ละค่ายต่างรุดเร่งพัฒนารถแข่งของตนให้พร้อมเพื่อให้นักแข่งลงทำการทดสอบ โดยหลังจากจบการซ้อมตลอดทั้ง 3 วันนั้น นักแข่งทีม Movistar Yamaha MotoGP มาเวริค บีญาเลส นำยามาฮ่า YZR-M1 ลงทำการทดสอบอย่างหนัก พร้อมทำเวลาการซ้อมในสนามเซปังเซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย มาเป็นอันดับ 1 ด้วยเวลา 1’59.368 นาที โดยหลังจบการทดสอบรถ มาเวริค บีญาเลส ที่ลงขับขี่ทดสอบรวม 72 รอบ ได้กล่าวว่า “วันนี้ก็คล้ายกับเมื่อวาน ที่เรายังคงทำงานด้วยการโฟกัสไปที่การทดสอบการเพื่อตำแหน่งในการแข่งขัน เราพยายามหลายอย่าง ทั้งการทดสอบเพื่อเน้นทำเบสต์แล็บสลับกับการทดสอบเสมือนแข่งจริงเพื่อพัฒนารถแข่ง ซึ่งผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่สามารถทำเวลาวันนี้ได้อยู่ในระดับ 1 นาที 59 วินาที ซึ่งรถแข่งที่ทดสอบนี้ให้ผลออกมาดีเกินกว่าที่คิด จนผมคิดไปว่าเวลานี้เรามีรถแข่งที่ดีที่สุดจากการทดสอบในครั้งนี้ ซึ่งข้อมูลหลายๆ อย่างจะเป็นส่วนสำคัญให้เรานำไปทดสอบต่อที่ฟิลลิป ไอส์แลนด์”

การทดสอบก่อนการเปิดฤดูกาลใน IRTA MotoGP Test ครั้งที่ 3 เริ่มขึ้นอีกครั้งในระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่สนามฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ทีมวิศวกรของแต่ละค่ายต่างนำผลการทดสอบที่สนามเซปังเซอร์กิต ไปปรับปรุงรถแข่งให้พร้อมต่อการทดสอบในครั้งที่ 3 นี้ โดยหลังเข้าสู่การซ้อมวันที่สอง มาเวริค บีญาเลส นำยามาฮ่า YZR-M1 หมายเลข 25 ลงทำการขับขี่พร้อมปรับเซ็ทรถแข่งอย่างเต็มที่ และลงขับขี่รวมทั้งหมด 80 รอบสนาม พร้อมทำเวลามาเป็นอันดับที่ 1 ของการซ้อม โดยกดเวลาไว้ที่ 1’28.847 นาที โดย MV25 ได้กล่าวว่า “ในวันนี้เรามุ่งเน้นไปที่การทำตำแหน่งในการแข่งขัน (ทดสอบขี่เน้นทำเวลาเทียบจากการแข่งขันจริง) ซึ่งเราก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เราสามารถก้าวหน้าได้มากเมื่อเทียบกับผลการทดสอบที่ทำได้ในวันแรก ผมรู้สึกสบายกับสนาม และรู้สึกมั่นใจกับความหนึบของยาง แม้ว่าเราจะทำงานได้ดีแต่ก็ยังมีอะไรอีกมากที่ยังจะต้องทำในการทดสอบที่นี่ พวกเรายังจะต้องทดสอบเพื่อที่จะตัดสินใจเลือกแชสซีส์รถแข่งที่มีอีกไม่กี่สเปคที่จะต้องเลือก ซึ่งผมสามารถที่จะไปได้เร็วกับแชสซีส์ทั้งสองสเปคที่จะต้องทดสอบในวันนี้ ซึ่งผมสามารถที่จะคงความเร็วได้อย่างสม่ำเสมอในช่วงระหว่าง 1.29 อ่อน ถึง 1.29 กลาง ดังนั้นในวันพรุ่งนี้เรายังคงมีงานที่จะต้องทำ และหวังว่าจะพัฒนาได้รุดหน้ายิ่งขึ้น” และในการทดสอบวันที่สามที่ออสเตรเลีย มาเวอริค บีณาเลส ก็ยังแรงไม่หยุดลงขับขี่ถึง 101 รอบ พร้อมทำเวลามาเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยกดเวลาไว้ที่ 1’28.549 นาที พร้อมทั้งยังกล่าวว่า “มันคือผลการทดสอบที่เป็นไปในทิศทางที่ดีมากสำหรับเรา ซึ่งเรามาทำการทดสอบพร้อมด้วยชิ้นส่วน และอุปกรณ์หลายอย่างซึ่งเราก็สามารถทำงานได้ลุล่วงตามที่วางแผนไว้ และสามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะต้องเตรียมการเซ็ทอัพอะไรสำหรับการเริ่มต้นฤดูกาลที่จะมาถึง เราทำงานกันเยอะมาก และเราก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำได้นี้  โดยเฉพาะการทดสอบในวันนี้เรามุ่งมั่นอยู่ที่การขับขี่ในแบบเสมือนกับการแข่งขันจริงที่จะพยายามยืนระยะการขี่ติดต่อเป็นเวลานานหลายรอบเพื่อเน้นที่อันดับการแข่งขัน ซึ่งผมพอใจกับผลที่ออกมา แต่ก็ยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก อีกทั้งเวลานี้เราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจในส่วนของแฟริ่ง ซึ่งยังคงต้องพัฒนากันต่อไปอีก”

และการทดสอบ IRTA MotoGP Test ในครั้งสุดท้ายที่สนามไนซ์เรซ ประเทศกาต้าร์ ก็มีขึ้นก่อนเปิดฤดูกาลราวๆ สองสัปดาห์ โดยมีขึ้นในระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2560 ซึ่งมาเวริค บีญาเลส ก็สร้างเซอร์ไพรสให้กับแฟนๆ กีฬามอเตอร์สปอร์ต ด้วยการคว้าผู้นำเวลาในการซ้อมได้ถึง 2 วัน โดยวันที่สองของการซ้อม (11 มี.ค.) สามารถทำเวลาไว้ที่ 1’54.455 นาที และในวันสุดท้าย(12 มี.ค.) ลงขับขี่ทั้งหมด 60 รอบสนาม ทำเวลาดีที่สุดมาเป็นอันดับที่ 1 ด้วยเวลา 1’54.330 นาที โดยการแข่งขัน MotoGP 2017 ในสนามแรกที่ประเทศกาต้าร์ จะเริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 23 -26 มีนาคมนี้ 2560 โดยเกมการแข่งขัน MotoGP 2017 นี้ ยามาฮ่าได้ให้การสนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกในรายการ MotoGP เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยจะถ่ายทอดสดทางช่อง 3SD (ช่อง 28) ไปตลอดทั้งฤดูกาล

2017 Beta Xtrainer

ในประเทศไทย ชื่อของ Beta น่าจะจำกัดอยู่ในวงการไทรอัล ที่บรรดานักแข่งมอเตอร์ไซค์ไต่เขาได้มีการนำเข้ารถแบรนด์นี้เข้ามาใช้ขับขี่กันในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงชื่อรถ Beta จึงน่าจะไม่เป็นที่คุ้นหูกันมากนัก แม้ว่าระยะหลังๆ นี้ค่ายรถนี้จะเริ่มเปิดไลน์การผลิตที่หลากหลายขึ้น แต่ก็ยังคงสถานการณ์ผลิตในรถประเภท “บังโคลนลอย” เป็นหลัก โดยเฉพาะในปี 2016 ที่ผ่านมา

ต้องบอกว่า Beta ประสบความสำเร็จครั้งแรกในเกมการแข่งขัน World Enduro Championship ดังนั้น “ไลน์การผลิตรถในกลุ่มเอ็นดูโร่จึงค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ” อีกทั้งยังส่งอานิสสงค์ถึงรถในกลุ่ม “ลูกครึ่งกึ่งจริงจัง” อย่าง Xtrainer ที่กล่าวได้ว่าเป็น อัลสปอร์ตหรือแอดเวนเจอร์สปอร์ต สำหรับการขับขี่ทั้งในแบบออฟโรดและบนท้องถนนทั่วไปนั่นเอง

ด้วยนิยามการออกแบบของรถรุ่นนี้ที่ว่า “designed for FUN” คือ ออกแบบมาเพื่อให้เป็นรถที่ขับขี่เพื่อความสนุก ขับขี่ง่าย หลากหลายการใช้งานที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆที่เน้นสมรรถนะในเกมการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อเทียบกับรถในซีรี่ส์ RR แล้วจะพบว่า Xtrainer มีมิติของเฟรมที่เล็กกว่า 10% เพื่อให้ขับขี่ได้ง่าย ตำแหน่งเบาะนั่งที่ต่ำกว่าถึง 1 นิ้ว ในส่วนของเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ 300 ซีซี. ออกแบบมาให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวล ไม่กระชากดุดัน สามารถควบคุมได้ง่าย ด้วยระบบการจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด Electronic Oil Injection ช่วยให้มีการจ่ายน้ำมันได้เหมาะสมกับจังหวะการเปิดปิดเรือนลิ้นเร่ง จึงช่วยลดปริมาณควันลงได้มากกว่า 50% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบสองจังหวะทั่วไป แม้ว่าเครื่องยนต์จะออกแบบให้มีความนุ่มนวลไม่กระชากดุดันเช่นในซีรี่ส์ RR แต่ระบบเบรกนั้นติดตั้งมาเป็นสเปคเดียวกัน จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการ “เบรก” ได้อย่างเต็มที่

เครื่องยนต์ เครื่องยนต์สูบเดียว
สองจังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
มาพร้อมด้วย BPV power valve system
และสตาร์ทไฟฟ้า
กระบอกสูบxช่วงชัก 72 x 72 มม.
ปริมาตรความจุ 293.1 ซีซี.
อัตราส่วนกำลังอัด 11.3:1
ระบบวาล์วไอเสีย Beta Progressive Valve (BPV)
การจุดระเบิด AC-CDI Kokusan
หัวเทียน NGK GR7CI8
การหล่อลื่น Electronic Oil Injection
( ความจุน้ำมัน 650 ซีซี.)
คาร์บูเรเตอร์ Keihin PWK 36mm
คลัทซ์ แบบเปียกหลายแผ่นซ้อน การส่งกำลัง 6 สปีด
โซ่ O-ring chain
เฟรม Molybdenum steel แบบ Parameter-Style
ฐานล้อ 57.8 นิ้ว
ความสูงเบาะนั่ง 35.8 นิ้ว
ระยะห่างจากพื้น 12.6 นิ้ว
ระยะห่างพักเท้าจากพื้น 15.4 นิ้ว
น้ำหนัก 218 lbs.
ความจุถังเชื้อเพลิง 2.25 US gallons
กันสะเทือนหน้า ฟอร์คหัวกลับ ขนาด 43 มม.
สามารถปรับค่า rebound และ spring preload
กันสะเทือนหลัง Steel body shock
สามารถปรับค่า rebound และ compression
ระยะยุบตัวล้อหน้า 10.6 นิ้ว
ระยะยุบตัวล้อหลัง 10.6 นิ้ว
เบรกหน้า fl oating rotor 260 มม.
เบรกหลัง rotor 240 มม.
ขนาดวงล้อ (หน้า/หลัง) 21 นิ้ว / 18 นิ้ว
ยาง (หน้า/หลัง) Soft Enduro Competition

All New CBR1000RR พร้อมนิกกี้ เฮเด้น อดีตแชมป์ MotoGP ร่วมเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่

บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำสายพันธุ์สปอร์ตตัวจริงด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ได้แก่ All New Honda CBR1000RR และ All New Honda CBR1000RR SP ที่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “Total Control’” โดดเด่นทั้งในด้านขุมพลังของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งและที่สุดแห่งการควบคุม เสริมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่กับชุดอุปกรณ์ควบคุม อิเล็กทรอนิคที่จะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในรถคลาสเดียวกัน  พร้อมดึง นิกกี้ เฮเด้น สุดยอดนักบิดชาวอเมริกันเจ้าของดีกรีแชมป์โลกโมโต จีพี ปี 2006 และสเตฟาน  แบรดเดิล แชมป์โลกโมโตทู ปี 2011 สังกัดทีม Red Bull Honda World Superbike มาร่วมเปิดตัวสุดยอดยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ตให้คนไทยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และพร้อมให้จับจองเป็นเจ้าของได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 นี้  นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า “ความนิยมรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเภทรถสปอร์ตที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่มรถประเภทอื่น ซึ่งแน่นอนกลุ่มประเภทรถสปอร์ตของฮอนด้าก็ต้องเป็นรถในตระกูล CBR ที่มีชื่อเสียงในด้านสมรรถนะและการควบคุมรถ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ CBR1000RR ที่มีจุดกำเนิดตั้งแต่ปี 1992 และมีแนวคิดการพัฒนาคือ การนำเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง และ การควบคุมการขับขี่ที่ง่าย เข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งฮอนด้าได้ยึดถือแนวคิดการออกแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน”

ฮอนด้าได้พัฒนา All New Honda CBR1000RR ขึ้นมาใหม่ ให้เป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่การขับขี่ท้องถนนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง น้ำหนักที่เบาลง และสามารถควบคุมได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ประกอบกับสีสันและดีไซน์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์เรซซิ่งไบค์ และในครั้งนี้เรายังได้นำรุ่น CBR1000RR SP ที่เป็นรุ่นระดับท็อปที่มีเทคโนโลยีระดับรถที่ใช้แข่งขันเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย All New Honda CBR1000RR ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ขนาด 1000 ซีซี ที่ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาด้วยอัตราส่วนกำลังอัดที่ 13.0 และสามารถทำกำลังสูงสุดได้ 141 กิโลวัตต์ที่ 13,000 รอบต่อนาที เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น TBW & APS เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) ที่ทำงานประสานกับเซ็นเซอร์ APS ที่ฝังอยู่ใน Handlebar grip เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองกับแรงบิดของผู้ขับขี่ได้อย่างดีที่สุด, Power Selector ระบบการตั้งค่าการขับขี่ โดยผู้ขับขี่เลือกตั้งค่ากำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่ง, HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกได้ของฮอนด้า เพื่อตรวจจับความเร็วล้อด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างราบรื่น และ Engine Brake Control ซึ่งสามารถปรับเลือกได้ตามโหมดขับขี่ที่ที่ตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐานหรือผู้ใช้สามารถตั้งค่าเองได้ตามต้องการ สะท้อนภาพลักษณ์รถสปอร์ตได้อย่างลงตัวด้วยชุดไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED และ     ท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ที่ทำจากไทเทเนียมทำให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ CBR1000RR มีสองสีให้เลือกด้วยกัน ได้แก่ สีแดง (Victory Red) และ สีดำ (Mat Ballistic Black Metallic)

ซุปเปอร์ไบค์พันธุ์แรง ดีไซน์สปอร์ตเฉียบทุกองศา รถยอดนิยมของผู้ที่หลงไหลในความเร็วและการออกแบบที่ลงตัว

สีแดง (Victory Red)

สีดำ (Mat Ballistic Black Metallic)

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับรุ่น All New CBR1000RR SP พร้อมกับชุดสีดีไซน์ใหม่แบบ Tri-color (Victory Red) โดยถังน้ำมันได้ถูกทำขึ้นจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างไทเทเนียม ทำให้รถรุ่นนี้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบันถึง 17 กิโลกรัม และยังอัดแน่นด้วยสุดยอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Quick shifter ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องบีบคลัทช์ ระบบโช๊ค Ohlins ทั้งหน้า-หลัง ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า และระบบเบรคคู่หน้าเป็นคาลิปเปอร์เบรค Monoblock 4 POT จาก Brembo เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมรถสำหรับการ  ขับขี่ในสนามแข่งได้สนุกยิ่งขึ้น

จุดเด่นผลิตภัณฑ์

TBW & APS เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) ที่ทำงานประสานกับเซ็นเซอร์ APS ที่ฝังอยู่ใน Handlebar gripเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองกับแรงบิดของผู้ขับขี่ได้อย่างดีที่สุด

Power Selector, HSTC และ Engine Brake Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น Power Selector ระบบการตั้งค่าการขับขี่ โดยผู้ขับขี่เลือกตั้งค่ากำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่ง, HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกได้ของฮอนด้า เพื่อตรวจจับความเร็วล้อด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างราบรื่น, Engine Brake Control แบบปรับเลือกได้ตาม Riding Mode ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเองได้ตามต้องการ

New LED Headlight & Taillightไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED

Titanium Muffler ท่อไอเสีย Titanium น้ำหนักเบาแต่ให้เสียงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

Thin-Film Transistor Meter จอแสดงผลแบบ TFT (Thin-Film Transistor) LCD เทคโนโลยี  เดียวกับที่ใข้ใน RC213V-S

https://www.youtube.com/watch?v=Kte0dCa-z4M

ยามาฮ่าส่ง “แสตมป์” แชมป์เอเชีย ลุยศึก Moto3 World Championship สังกัดทีมยอดนักบิดยามาฮ่า วาเลนติโน่ รอสซี่

นายธีระพงษ์ โอภาสกรกุล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สนับสนุนการขาย และการตลาด พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด มาร่วมส่ง และให้กำลังใจนักแข่งดาวรุ่ง แชมป์เอเชีย “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ ที่เดินทางไปเก็บตัว และเข้าร่วมฝึกซ้อม ณ ประเทศอิตาลี ก่อนลงศึกการแข่งขันรถจักรยานยนต์ระดับโลก ณ ประเทศสเปน รายการ FIM CEV International Championship 2017 รุ่น Moto3 World Championship ภายใต้สังกัดทีม VR46 MASTER CAMP TEAM ของยอดนักบิดทีมยามาฮ่าแชมป์โลก 9 สมัย วาเลนติโน่ รอสซี่ โดยในปี 2017 นี้ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ จะลงทำการแข่งขันแบบเต็มฤดูกาล โดยที่เป็นนักบิดต่างชาติคนแรก และคนเดียวของทีมนี้อีกด้วย ในการร่วมส่ง พร้อมให้กำลังใจ แสตมป์ เดินทางไปในครั้งนี้เกิดขึ้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเร็วๆ นี้

 

The Adrenaline Clutcher Caravan Camp

คาราวานแห่งความสนุก เฉพาะผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้า MSX125 และ MSX125 SF เท่านั้นครั้งแรกกับการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของ MSX125 และ MSX125 SF กว่าพันคันกับคาราวานชาว THE CLUTCHER นักบิดหัวใจฮอนด้าเดินทางสู่ AREA125 ที่จะทำให้คุณมีความสุขตลอดค่ำคืน พร้อมมันส์ไปกับคอนเสิร์ตจากศิลปิน ชื่อดัง, การประกวด Msx125 ตกแต่งพิเศษชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 15,000บาท ร่วมประกวดสาวสวย MISS CLUTCHER LADY ชิงเงินรางวัล รวมมูลค่า 30,000บาท