CUB House คอลแลปส์ 2 ตำนานสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เปิดตัว Monkey x One Piece Limited Edition ผลิต 300 คันทั่วโลก

CUB House by Honda เดินหน้าส่งมอบความสนุกอย่างไรขีดจำกัด ด้วยโปรเจกต์ใหม่ล่าสุด จับมือค่าย Toei Animation เปิดตัว Monkey x One Piece Limited Edition ถ่ายทอดคาแรคเตอร์ความสนุกจาก “วันพีช” มังงะราชาโจรสลัดที่โด่งดังไปทั่วโลก ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 คัน เท่านั้น!

มร.ทาคาโนริ มารุยามะ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย เปิดเผยว่า “ด้วยความตั้งใจที่จะนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับแฟนคลับรถจักรยานยนต์ระดับตำนานอย่าง Monkey เราจึงได้จับมือกับพันธมิตรมากมายอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบความสนุกที่เหนือความคาดหมาย เริ่มจาก Monkey x Dragon Ball Limited Edition ตามด้วย Monkey x Gundam Limited Edition จนมาถึง Monkey x Hot Wheels Limited Edition ซึ่งทั้งหมดล้วนได้การตอบรับอย่างล้นหลามจากแฟนคลับ Monkey และนักสะสมมาโดยตลอด”

“ล่าสุด เราพร้อมที่จะส่งมอบประสบการณ์ความสนุกครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัว Monkey x One Piece Limited Edition ที่มีความพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ผลิตจำนวนจำกัด 300 คัน โดยถ่ายทอดคาแรคเตอร์ความสนุกผ่าน 2 ตัวเอกในวันพีช ประกอบด้วย Honda Monkey Monkey D.Luffy Edition และ Honda Monkey Tony Tony Chopper Edition นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก อาจารย์ เออิจิโระ โอดะ ผู้เขียนการ์ตูน วันพีช มาร่วมออกแบบโลโก้ Honda Monkey D.Luffy ให้กับ Monkey x One Piece Limited Edition ด้วยตัวเอง” Monkey x One Piece Limited Edition ทั้ง 2 รุ่น ได้รับการออกแบบให้มีความโดดเด่นแบบเฉพาะตัว ถังน้ำมันหุ้มคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Double layer มาพร้อม Aluminium Emblem ตราสัญลักษณ์ลิขสิทธิ์แท้จากประเทศญี่ปุ่น ครอบกรองอากาศลวดลายพิเศษ ฝาครอบข้างหุ้มคาร์บอนไฟเบอร์ ปลอกแฮนด์และขอบล้อสีสันแตกต่างไม่เหมือนใคร ฝาถังดีไซน์เฉพาะรุ่น พร้อม Serial Number บ่งบอกความพิเศษด้วยตัวเลข Limited Edition
Monkey x One Piece Limited Edition ผลิตจำนวนจำกัดรุ่นละ 150 คัน มาพร้อมชุดเซตที่นักสะสมห้ามพลาด! ประกอบด้วย หมวกกันน็อก, พวงกุญแจเข็มทิศโจรสลัด ระบุลำดับหมายเลข 1-150 ของรถแต่ละรุ่น, แผ่นป้ายทะเบียนสไตล์ญี่ปุ่น, พรมลายแผนที่วันพีช, ผ้าคลุมรถที่ดีไซน์เป็น Outline ของเวอร์ชัน Limited Edition และ Leaflet คาแรคเตอร์ของตัวรถ โดยทั้งหมดนี้จะถูกใส่ในอยู่ในหีบสมบัติพรีเมียมบ็อกเซต Limited Treasure Set วางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำ 129,900 บาทต่อเซต ที่ร้าน CUB House ทุกสาขา เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำหรับแฟนคลับ Monkey และ One Piece ที่สนใจจองรถ Monkey x One Piece Limited Edition สามารถร่วมสนุกลุ้นรับ “สิทธิ์จองรถ” ครั้งแรกในแบบออนไลน์ ที่มีเพียงแค่ 10 สิทธิ์เท่านั้น โดยร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2022 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2022 ได้ที่ fb.com/cubhousebyhonda

2022 Royal Enfield SG650 Concept

แฟนๆ ของ Continental GT และ Interceptor 650 ของ Royal Enfield ที่ลงทุนไปกับก่อนหน้านี้ และการได้เห็นโฉมของ SG650 Concept Bike การตีได้ถึงความนีโอเรโทร ทำให้มองหันกลับไปมองถึง Eicher Motors ซึ่งเป็นเจ้าของ RE ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในชื่อ “Royal Enfield Shotgun” ซึ่งมันอาจจะเป็นบทสรุปได้ว่าจะใช้เป็นการผลิตสำหรับแนวคิด SG650 ในอนาคต

ถึงแม้ว่า SG650 ยังคงเป็นคอนเซ็ปต์ไบค์ แต่การออกแบบดูแล้วมันอาจจะเป็นจริงได้แบบไม่ยาก เมนเฟรมจะไม่มีช่วงท้ายใช้บังโคลนหลังยึดติดแบบบ๊อบเบิ้ลที่มีเบาะนั่งแบบเดี่ยวซึ่ แผงด้านข้างที่ปิดช่องแอร์บ็อกซ์ รูปลักษณ์ที่ต่ำด้านหน้าและด้านหลังถูกเน้นด้วยยางขนาดใหญ่เนื้อแน่นๆ ดิสก์เบรกหน้าคู่จานแบบทึบ เพื่อเน้นสไตล์ที่เคร่งขรึมยิ่งขึ้น พร้อมกับระบบ ABS

ถังน้ำมันไปจนถึงกระจังหน้าไฟหน้าที่ดูเหมือนจะรวมเข้ากับแคลมป์ได้รับการแกะสลักเพื่อสร้างความประทับใจในความเร็ว ด้านบนประกอบด้วยชุดมาตรวัดรอบ/มาตรวัดความเร็วแบบ LED ทางด้านซ้าย และระบบนำทาง Tripper ใหม่ (เพิ่งเปิดตัวในรุ่น 2022 Royal Enfield Himalayan) ทางด้านขวา โครงร่างสีแบบโมโนโครมสีเงินถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสมรรถนะใดๆ ได้ แต่ตัวเครื่องยนต์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบด้วยกระบอกสูบคู่ที่ปิดทึบ ท่อไอเสียแบบ dual peashooter สีดำยังคงเน้นไปที่แสงและความเข้มโดยใช้ตัวยึดท่อไอเสียอลูมินั่ม

วงล้อแม็กครอบทึบ โช้คอัพหน้าปรับรูปลักษณ์ดูทันสมัยขึ้นแบบหัวกลับ ในขณะที่โช้คอัพหลังคู่ตอกย้ำถึงประวัติศาสตร์ของ รอยัล เอนฟิลด์ ไฟส่องสว่างด้านหน้ายังคงเป็นหลอดฮาโลเจน ในขณะที่ไฟที่เหลือเป็น LED

BMW R18 Custom Bikes R18M & R18 Aurora

ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องสำหรับการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนการทำตลาดของ BMW Motorrad ในการเดินหน้าผลักดันรถครุยเซอร์ในรหัส R18 โดยล่าสุดในระหว่างงาน Verona Motor Bikes Expo ได้นำเสนอรถแต่งจากสำนักแต่งชั้นนำของอิตาลีออกมาสองเวอร์ชั่น คือ R18M ที่จัดทำโดยทีมงานนิตยสารของอิตาลีที่ชื่อ LowRide จับมือกับทีมออกแบบในนาม American Dreams และอีกเวอร์ชั่นคือ R18Aurora ที่จัดทำโดย Garage221 ร่วมกับตัวแทนจำหน่าย BMW Motorrad Roma

สำหรับตัวแรก R18M นั้น เป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงกับ รหัส M ของรถยนต์ BMW ที่หมายถึงรถในกลุ่มสปอร์ตสมรรถนะสูง เพราะฉะนั้นทีมงานของ LowRide จึงมีความต้องการที่จะออกแบบให้รถครุยเซอร์อย่าง R18 นี้ ได้รับการออกแบบให้มีความเป็นสปอร์ตมากกว่าเดิมที่มีเอกลักษณ์ของกลิ่นอายความเป็นเรโทร ของเจ้าครุยเซอร์เครื่องยนต์ Boxer 1800 ซีซี จึงถูกจับโยงถึงความเป็นสปอร์ตของรถยนต์ BMW และนั่นก็คือที่มาของ BMW R18 M Project

สมรรถนะของเครื่องยนต์และระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆจะไม่ถูกแตะต้องใดใด สเปคเดิมๆจะถูกคงไว้ เพียงแต่สีสันรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวกระทัดรัดมากขึ้นและตำแหน่งท่าทางการขับขี่เล็กน้อยเท่านั้นที่จะถูกปรับ เพื่อให้สามารถสัมผัสถึงความเป็นสปอร์ต จากภาพร่างที่ถ่ายทอดแนวคิดของ LowRide ที่จะปรับโฉม R18 ใหม่ ได้ถูกส่งต่อ American Dreams ผู้ที่จะรับช่วงสร้างชิ้นงานออกมาตามคอนเซ็ปท์ดังกล่าว ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากช่างฝีมือจำนวนหนึ่งในการสร้างชิ้นงานต่างๆ ขึ้นมาจากวัสดุไฟเบอร์กลาส และคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อปรับในส่วนบอดี้พาร์ทให้มีความเป็นสปอร์ต รวมทั้งการออกแบบชุดท่อไอเสียที่มีส่วนเพิ่มความกะทัดรัดคล่องตัวให้กับโครงสร้างตัวรถเดิม ที่สำคัญช่วยให้ตัวรถมีองศาการเลี้ยวที่ดีขึ้นอีกด้วย แม้กระทั่งชุดสี หนังหุ้มเบาะ มือจับ แม้กระทั่งกระจกข้าง ล้วนถูกสร้างขึ้นมาหรือจัดหามาเพื่อให้ได้ตรงตามแนวคิดการออกแบบของ R18M Project ซึ่งก็มีรายละเอียดตามภาพที่เรานำมาฝากกัน

และเวอร์ชั่นถัดมาก็คือ R18Aurora ที่จัดทำโดย Garage221 ซึ่งมีแนวคิดที่ค่อนข้างต่างกับเวอร์ชั่น M โดยทางหัวหน้าโปรเจ็คจาก Garage221 มีความต้องการที่จะเชื่อนโยงแนวคิดการออกแบบไปที่การเปิดตัวครั้งแรกของ BMW Motorrad ที่เผยไลน์อัพรถในกลุ่มครุยเซอร์ออกมาครั้งแรก นั่นก็ต้องย้อนหลังไปใน 2019 EICMA ที่มีการประกาศว่าจะเปิดไลน์ผลิตรถครุยเซอร์อย่าง R18 เป็นครั้งแรก เริ่มด้วยกระบวนการเริ่มต้นของการออกแบบ จนถึงการผลิตออกมาเป็นคัน เป้าหมายการออกแบบ Garage221 ก็คือนำแนวคิดดั้งเดิมของ R18 มาเชื่อนต่อกับสิ่งใหม่ๆในโลกปัจจุบัน เพราะพื้นฐานของ R18 นั้นมีพื้นเพความเป็นมาของแนวคิดการพัฒนารถแนวครุยเซอร์ย้อนหลังไปถึงช่วงยุค 1970 ก่อนจะค่อยๆตกผลึกและพัฒนาแนวทางออกมาเป็น R18 ในปัจจุบัน ดังนั้น R18 Aurora จะเป็นการผสมผสานระหว่างวิถีดั้งเดิมกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าการแต่งแต้มสีสันให้กับชิ้นส่วนบังโคลน การนำเบาะนั่งของ BMW 1200C จากปี 2005 มาประยุกต์ใช้กับ R18 หรือแม้แต่การสร้างชิ้นส่วนที่เรียกว่า Batwing ที่ดัดแปลงมาจากรถ BMW R100 จากปี 1982 รวมทั้งมีการนำชิ้นส่วนเฟรมท้ายของ BMW RT100 จากปี 1983 มาปรับแต่งพื่อติดตั้งในโปรเจ็คนี้ รวมทั้งการจับมือกับผู้ผลิตท่อไอเสียอย่าง Leo Vince ที่ออกแบบท่อมาเพื่อใช้กับ R18 Aurora เป็นการเฉพาะ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงโปรเจ็คแต่งโชว์ Custom bikes ของ BMW Motorrad ที่ออกแบบมาเพื่อจัดแสดงในงาน Verona Motor Expo แต่ก็มีส่วนสำคัญในการเปิดมุมมองใหม่ๆในการที่กลุ่มลูกค้าจะเกินแนวคิดที่จะทำการปรับแต่ง R18 ของตนเองให้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นแนวคิดหนึ่งที่ BMW Motorrad นำมาใช้กับการเคลื่อนไหวกิจกรรมเพื่อการทำตลาดให้กับรถในกลุ่มครุยเซอร์ของตนเอง อย่างเจ้า R18 ที่แม้จะมีความเป็นรถในแนวเฮอริเทจ มีวิถีทางที่ค่อนข้างอนุรักษณ์นิยมตามแบบฉบับเครื่องยนต์Boxer แต่ก็มีขีดความสามารถอันหลากหลายที่จะสามารถนำไปตกแต่งเพิ่มเติมได้อย่างหลากหลายสไตล์เช่นกัน

Kawasaki SERPOICO 150 ตำนานแห่งยุค 90

เป็นการรีบอร์นกลับมาของรถมอเตอร์ไซค์ยุค 90 สายสปอร์ตทัวร์ริ่ง 2 จังหวะ ที่มีความแรงจี๊ดจ๊าด ปราดเปรียว เสียงแหลมผ่านท่อสูตรที่บาดลึกเข้าสู่โสดประสาท และกลิ่นควันที่หอมหวลชวนดม กับค่ายดังค่ายนี้ คาวาซากิ เรียกได้ว่าเป็นอันดับ 1 ครองใจวัยรุ่นมายาวนาน

คาวาซากิ เซอร์ปีโก้ 150 ที่คลานตามรุ่นพี่อย่าง KR ออกมาสู่ตลาด และได้รับความนิยมไม่แพ้กัน แต่เรื่องของการแต่งนั้นก็อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนว่าจะเพิ่มเติมชิ้นส่วนไหนให้ดูโดดเด่น และความแรงของเครื่องยนต์ที่รู้กันดีว่าทะลุ 200 กม./ชม. สิงห์ถนนหลวงในยุคนั้น เดิมๆ ไม่มีอยู่จริง

จากสภาพก่อนหน้านี้ ลงมือจัดทรงเก็บงานทุกชุดสีตามต้นฉบับเดิมๆ ตัดรูปแบบกราฟฟิกใหม่เป็นสีเขียว / ม่วง เบาะปาดบางแต่งฟองน้ำใหม่แบบแว๊นซ์ซิ่ง ที่พักเท้าต้องเกียร์โยงเท่านั้นไม่งั้นเชย เครื่องยนต์ 2 จังหวะ 150 ซีซี รหัสเสื้อสูบ 1855 เครื่องในลงทุนจัดชุดใหญ่ ลูกสูบ, แหวน, เพลาข้อเหวี่ยง เบิกใหม่แน่นๆ หม้อน้ำอลูมินัม และคาร์บูเรเตอร์ลูกดเหลี่ยม เบิกของแท้ แถมจัดการปาดทะลวงพอร์ทเพิ่มแรงม้าเป็นที่เรียบร้อย เน้นชุดบน เสื้อ ฝา เป็นหลัก

ปั๊มเบรกบน Adelin 17.5 x18 พร้อมขายึดอลูมินัม คาลิเปอร์ตัวล่าง Brembo 4 พอร์ท แบบโมโนบล็อกหูชิด จานเบรก Brembo ทานตะวันโฟลท์ติ้ง 10 ตัว ขนาด 285 มม. เบรกหลังก้านกระทุ้ง NISSIN ส่งผ่านน้ำมันแรงดันด้วยสายถักไปยังคาลิเปอร์เบรกที่ด้านหลังของ BREMBO ลูกสูบเดี่ยว ทรงผีเสื้อ ทำงานร่วมกับจานขนาด 220 มม.

โช้คอัพหลัง GAZI ที่ปรับค่าพรีโหลดของสปริงใหม่สำหรับใช้งานทั่วไป สวิงอาร์ม Aluminium Unitrak ดามล่างของตัวรหัส SE เอกสิทธิ์เฉพาะของ Kawasaki ชุดล้อเป็นล้ออลูมินัมสีทอง D.I.D งานญี่ปุ่น หน้า 1.40×17 ล้อหลังคือ 1.40X18 ใส่ยาง หน้า – หลัง IRC โซ่ RK 420 และช่วงท้ายความเท่ด้วยท่อไอเสียท่อลอดท้องสแตนเลสปลายไทเทเนียม DBS พร้อมกับเสียงที่กระตุ้นต่อมยุค 90s

 

 

2022 BENELLI TRK800

ช่วงก่อนปีใหม่ทาง Benelli ได้เปิดตัว รถแอดเวนเจอร์ ที่พวกเขาระบุว่าเป็น the brand new adventure bike จากฐานการผลิตที่โรงงานใน Pisaro ของอิตาลี ที่ออกแบบมาภายใต้แนวคิดเพื่อรองรับการเดินทางที่หลากหลายรูปแบบ ด้วยการตอบสนองการขับขี่ที่สนุกสนานสะดวกสบาย ทั้งในแบบออฟโรดและออนโรด

ด้วยการออกแบบและพัฒนาจากแผนกวิจัยและพัฒนาที่สำนักงานใหญ่ ของ Benelli ที่อิตาลี ดังนั้นรถรุ่นนี้จึงคงเอกลักษณ์ความเป็นตัวตนของรถอีกหนึ่งรุ่นในสไตล์แอดเวนเจอร์ที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง TRK502X ที่ได้รับการตอบสนองที่ค่อนข้างดีจากผู้ใช้หน้าใหม่ที่ต้องการเปิดโลกใหม่ๆกับการขับขี่ในแนวแอดเวนเจอร์ และเนื่องด้วยกำลังจะเข้าสู่ช่วงเวลาครบรอบ 110 ปีของการถือกำเนินแบรนด์ Benelli จึงถือโอกาสนี้เริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Benelli ด้วยการอัพเกรด เสริมสมรรถนะของรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง TRK502X ให้มีสมรรถนะที่สูงขึ้น ดุดันขึ้น ด้วยความสดใหม่ของเครื่องยนต์ขนาด 754 ซีซี ที่จะใช่วยยกระดับรถแอดเวนเจอร์ของ Benelli ให้มีสามารถยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

ดังนั้นการออกแบบ TRK800 จึงมีการผสมผสานในด้านต่างๆให้มีความลงตัวยิ่งขึ้น ทั้งด้านอารมณ์ ภาพลักษณ์ ความรู้สึก ที่ผู้ขับขี่จะสัมผัสถึงคำว่าแอดเวนเจอร์ได้ดียิ่งขึ้นนอกจากการแต่งเสริมชิ้นส่วนอย่าง การ์ด ชิ้นส่วนป้องกัน รวมทั้งบังโคลนและชิ้นส่วนอื่นๆที่จะเข้ามาช่วยปรับภาพลักษณ์ที่ดุดันโฉบเฉี่ยวให้กับ TRK800 แล้ว ยังติดตั้งชุดไฟหน้า ที่เป็นแบบ full LED ที่เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมรูปโฉมที่ดุดันยิ่งขึ้น

ขณะที่เครื่องยนตืนั้นเป็นขนาดความขจุ 754 ซีซี twin cylinder 4จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งก็มีพื้นฐานเดียวกับเครื่องยนต์ Leoncino800 ที่มีกำลังสูงสุด 76.2แรงม้า ที่ 8500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 67 นิวตัน-เมตร ที่ 6500 รอบต่อนาที นับได้ว่ามีสมรรถนะที่เพียงพอสำหรับสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ที่เพียงพอกับทุกสภาพแวดล้อม ที่ได้ขุมพลังมาจาก
ฟอร์แมทเครื่องยนต์แบบ double overhead camshaft timing with 4valves per cylinder ที่มาพร้อมกับเรือนลิ้นเร่งแบบ dual throttle body ขนาด 43 มม. ที่มีชุดเกียร์ 6 speed gearbox ซึ่งเครื่องยนต์นี้ติดตั้งอยู่บนโครงสร้างแชสซีส์ที่เป็นเฟรมแบบ tubular trellis frame rith a high-strength steel plate ที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความคล่องแคล่วในการขับขี่ทุกสถานการณ์ อีกทั้งยังต้องให้ความรู้สึกที่สบายในทุกจังหวะการขี่ ไม่ก่อให้เกิดความเมื่อยล้าขณะขับขี่ โดยเน้นการออกแบบให้ได้ตำแหน่งท่าทางการควบคุมที่ลงตัวที่สุดสำหรับผู้ขี่

เช่นเดียวกับในส่วนของระบบกันสะเทือนที่ Benelli คำนึงถึงความสบายสูงสุดของการขับขี่ทั้งแบบออนและออฟโรด ดังนั้นระบบกันสะเทือนหน้า จึงเลือกที่จะใช้ Marzoccho upside-down fork ที่สามารถปรับ rebound,compression และ spring preload ซึ่งฟอร์คหน้านี้มาพร้อมกับช่วงยุบตัว 170 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนหลังนั้นเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง aluminium swing arm กับ central monoshock ที่ปรับได้ทั้ง spring preload และ hydraulic rebound damping ที่มาพร้อมช่วงยุบตัว 53 มม. โดยรวมแล้วนี่คือรถแอดเวนเจอร์จากโรงงานใน Pesaro ที่พัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้งานในสไตล์แอดเวนเจอร์ ที่อัพเกรดเพิ่มเติมจากสมรรถนะที่มีของ TRK502X มาเป็น TRK800 ที่มีพละกำลังเพิ่มขึ้นพร้อมกับรูปโฉมที่ดุดัน

2022 Yamaha Tenere700 Raid Prototype

นับตั้งแต่ Tenere700 ถูกผลิตขึ้นมา ก็ได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในตลาดยุโรป นี่คือรถที่มีความต้องการในตลาดสูงรุ่นหนึ่งเท่าที่ Yamaha เคยส่งออกมาจำหน่าย ด้วยการเป็นที่ยอมรับของสมรรถนะในเครื่องยนต์ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีระดับตำนานของ Yamaha อย่าง CP2 engine ที่โดดเด่นในเรื่องของแรงบิดอันเป็นเอกลักษณ์ high-torque คือซิกเนเจอร์ของเครื่องยนต์ตัวนี้ ขณะที่โครงสร้างแชสซีส์นั้นออกแบบมาให้มีความกะทัดรัด ตามเป้าหมายในการออกแบบ คือ compact chassis แลมาพร้อมด้วยระบบกันสะเทือนที่มีช่วงยุบตัวที่ยาว ในแต่ละโมเดลแต่ละปีผู้ขับขี่จำนวนมากต่างเฝ้ารอการพัฒนาการอัพเกรดของรถรุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นความยอดเยี่ยมของการต่ยอดพัฒนาสายพานการผลิตมาอย่างยาวนานนับจากการที่ Yamaha ริเริ่มเปิดสายพานการผลิตรถในกลุ่มแอดเวนเจอร์ครั้งแรกของตนเองในช่วงปี 1980

ous off-road คือเป็นรถในระดับจริงจังสำหรับการใช้งานในรูปแบบแอดเวนเจอร์ ไม่ว่า การเดินทางไกล การบุกตลุยเส้นทางที่ท้าทาย การใช้งานครอบคลุมทั้งแบบแรลลี่และแอดเวนเจอร์
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ Yamaha มีกิจกรรมพิเศษต่อเนื่องสำหรับ Tenere700 มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการจัดทำก่อนที่จะวางตลาดโมเดลล่าสุดของ Tenere700 ในแต่ละปี ซึ่งในแต่ละโมเดลนั้น Tenere700 จะได้รับการอัพเกรดพัฒนาในส่วนต่างๆเพิ่มเติมเสมอ

และล่าสุดได้เคลื่อนไหวเพื่อเรียนรู้และศึกษาแนวทางการพัฒนาของ Tenere700 ให้เข้าสู่นิยามที่ว่า the next level โดยการเปิดตัวรถต้นแบบของ Tenere700 ที่คาดว่าน่าจะเป็นสเปคอัพเดทล่าสุดที่จะผลิดออกมาเป้นไลน์อัพล่าสุด ซึ่ง Tenere700 Raid Prototype ได้เปิดเผยว่าทำการอัพเกรดด้วยการนำชิ้นส่วนและชุดคิด GYTR หรือ Genuine Yamaha Technology Racing มาติดตั้งให้กับตัวรถ พร้อมทั้งวางเส้นทางที่จะย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่ซึ่งโปรเจ็คพัฒนารถในตระกูล Tenere ได้กำเนิดขึ้นมา บนสังเวียนทะเลทรายของแอฟริกาดังนั้น Yamaha Europe จังได้พัฒนา High specification Raid bike เพื่อให้ Tenere700 มีสมรรถนะสูงสุดในแบบฉบับของรถ full Raid potential พร้อมกันนี้ได้มอบหมายให้ Alessandro Botturi กับ Pol Tarres

นำรถต้นแบบโมเดลนี้ ฝ่าไปบนเส้นทางของทะเลทราย moroccan desert และนี่น่าจะเป็นเพียงโปรเจ็คแรกของกิจกกรม ที่เรียกว่า The next horizon ที่Yamaha มักจะวางเส้นทางสองสามแห่งสำหรับอดีตนักแข่งและแบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่จะขี่ Tenere ต้นแบบ เพื่อเรียนรู้และศึกษา การยกระดับ Tenere700 ก่อนที่จะวางจำหน่ายจริงนั่นเอง สำหรับข้อมูลของเจ้าต้นแบบหรือโปรโตไทพ์นี้ ตามที่กล่าวไปแล้วว่า ปรับเสริมด้วยชิ้นส่วนจาก GYTR เป็นหลัก เพราะฉะนั้นรายละเอียดของตัวรถจึงมิใช่ข้อมูลของเวอรืชั่นที่วางขายแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้ไม่นาน โมเดลล่าสุดของ Tenere700 ก็จะค่อยๆทยอยเปิดตัวออกมาในโอกาสถัดไป

ข้อมูลสเปคตัวรถ 2022 Yamaha
Ténéré 700 Raid Prototype
Full titanium Akrapovic race exhaust
GYTR ECU
High performance airbox and fi lter
48 teeth fi nal drive sprocket
Oversize radiator
Dual cooling fans
New water pump cover
New oil cooler
Rekluse heavy duty clutch
Two-piece clutch cover
New clutch lever
Suspension
48 mm long travel front forks – 270 mm
CNC triple clamps
New long travel rear shock – 260 mm
New rear suspension linkage
Brakes
High specifi cation single front disc – 300 mm
Racing brake pads
Upgraded front brake master cylinder
New front brake lever
Oversize 267 mm diameter rear disc
New caliper mounting bracket
Steel braided front and rear brake hoses

ยามาฮ่า แอร็อกซ์ ใหม่… ท้าชีวิต…บิดให้สุด Spice up your challenge

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ออโตเมติกของเมืองไทยครั้งใหม่! พร้อมกระตุ้นตลาดรถจักรยานยนต์ให้คึกคักยิ่งขึ้น ด้วยการส่งรถจักรยานยนต์ “New YAMAHA AEROX” ท้าชีวิต…บิดให้สุด Spice up your challenge! ดีไซน์สปอร์ตรอบคัน ดุดันตามแบบฉบับรถ Super Sport ตระกูล R-Series สมรรถนะทรงพลังด้วยความแรงจากเครื่องยนต์บลูคอร์ 155 ซีซี ผสานวาล์วแปรผันอัจฉิรยะ VVA พร้อมเทคโนโลยีใหม่ Y-Connect เชื่อมต่อข้อมูลรถเพื่อตอบสนองในการใช้งานและมั่นใจในการรับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

สำหรับ New YAMAHA AEROX…SPORT AUTOMATIC LEADER สปอร์ต…อัจฉริยะ ที่สุดแห่งสปอร์ตออโตเมติก ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างเร้าใจด้วย “SPORT PERFORMAMCE” สมรรถนะแรงเหนือใคร ด้วยเครื่องยนต์บลูคอร์ 155 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVA ตอบสนองดีเยี่ยมทุกอัตราเร่ง สไตล์รถสปอร์ต ระบายความร้อนด้วยน้ำเต็มระบบ พร้อมลูกสูบแบบ Forged แข็งแกร่ง ทนทานและให้ความมั่นใจในการหยุดรถด้วยระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน ช่วยไม่ให้เสียการควบคุม ปลอดภัยอีกขั้นแบบรถสปอร์ตชั้นนำ เสริมด้วยยางหลังใหญ่ 140 มม. ล้อแม็ก 14 นิ้ว ใหญ่สุดในคลาสสปอร์ตออโตเมติก เฉียบคมทุกการเข้าโค้ง มั่นใจทุกการคอนโทรลแบบรถสปอร์ต และระบบกันสะเทือนหลังแบบซับแทงค์ ดูดซับแรงกระแทกดีเยี่ยม ลดแรงสะท้านในการขับขี่ ให้อารมณ์รถสปอร์ตตัวจริง

New YAMAHA AEROX ยังโดดเด่นด้วย SPORT DESIGN ดีไซน์สปอร์ตเหนือระดับ ด้วยไฟหน้าแบบ Full LED พร้อม Daytime running light สปอร์ตโฉบเฉี่ยว ดีไซน์ใหม่ สว่างชัดเจนกว่าเดิมเพื่อทัศนวิสัยที่ดีขึ้น…ใหม่! ไฟท้าย LED สว่างจัด ชัดเจน ช่วงท้ายดีไซน์ใหม่หมด ท้ายสั้นให้อารมณ์ซูเปอร์สปอร์ตพร้อมที่จับกันตกแบบ Build in อีกทั้งยังล้ำสมัยด้วยเรือนไมล์ดิจิทัลแบบ LCD สปอร์ตจัดเร้าใจด้วยกราฟิกแสดงผลวัดรอบ บอกครบทุกฟังก์ชั่น แสดงผลการเชื่อมต่อกับ Y-CONNECT พร้อมสวิตซ์เปลี่ยนโหมดง่ายขึ้นที่แฮนด์ซ้าย นอกจากนี้ New YAMAHA AEROX ยังเพียบพร้อมด้วย SMART FEATURES ฟังก์ชันใช้งานเหนือขั้น ไม่ว่าจะเป็น SMART KEY SYSTEM ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ สะดวกสบายในการเปิดหรือปิด สตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ / ปลดล็อกแฮนด์ / ปลดล็อกเบาะ / ปลดล็อกฝาถังน้ำมัน พร้อมสัญญาณ ANSWER BACK, ช่องเสียบต่อชาร์จแบตเตอรี่มือถือ A/C CHARGING SOCKET ป้องกันแบตฯ มือถือหมด ช่วยให้ไม่พลาดทุกการติดต่อ และช่องเก็บของด้านหน้าพร้อมฝาปิด และยังมี MEGA BOX ที่เก็บของใหญ่ ขนาด 25 ลิตร เก็บของได้จุใจ ใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบได้
New YAMAHA AEROX มาพร้อมกับความล้ำสมัย SMART TECHNOLOGY ไฮเทคเหนือชั้น ด้วยระบบ Y-Connect Application เชื่อมต่อชีวิตสมาร์ทสุดล้ำ แอปพลิเคชันที่เชื่อมต่อข้อมูลรถผ่าน CCU ช่วยให้สามารถรับรู้ข้อมูลต่างๆ ของรถ และการขับขี่ได้บนมือถืออย่างง่ายดาย ด้วยโหมดฟังก์ชันต่างๆ ในการใช้งานอย่างครบครัน มากถึง 8 ฟังก์ชัน เพื่อความสะดวกสบาย อันได้แก่…
1. METER INDICATOR – แจ้งเตือนการติดต่อเข้ามือถือบนจอหน้าปัดรถ เมื่อมีสายเรียกเข้า อีเมลหรือข้อความเข้ามือถือ จะมีสัญญาณกระพริบแจ้งเตือน และแสดงระดับแบตเตอรี่มือถือบนจอหน้าปัดเรือนไมล์รถ พร้อมอัพเดทเวลาอัตโนมัติตามมือถือเมื่อเชื่อมต่อ
2. MAINTENANCE RECOMMEND – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา สามารถแจ้งสถานะของน้ำมันเครื่อง และแบตเตอรี่ พร้อมทั้งแจ้งเตือนการบำรุงรักษา โดยระบบจะแสดงผลเป็นสีเขียว เหลือง และแดง ตามระยะการใช้งาน
3. MALFUNCTION NOTIFICATION – แจ้งเตือนเครื่องยนต์เกิดปัญหา
เมื่อเครื่องยนต์มีความผิดปกติจะมีการแจ้งเตือนให้ทราบ โดยสามารถตั้งค่าให้ส่งข้อมูล สถานที่ เวลา และอื่นๆ แจ้งไปยังศูนย์บริการตัวแทนจำหน่ายยามาฮ่าที่กำหนดได้โดยอัตโนมัติ
4. FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
สามารถแสดงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยกับระยะทางในการขับขี่ ซึ่งเลือกดูได้ทั้งแบบรายวัน หรือรายเดือน
5. REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
สามารถแสดงข้อมูลการทำงานต่างๆ ของเครื่องยนต์ในการขับขี่แบบ Real Time ได้แก่ ระดับการเปิดของลิ้นเร่ง – จำนวนการหมุนของเครื่องยนต์ต่อนาที – อัตราเร่งวัดการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน – อุณหภูมิหม้อน้ำ – อุณหภูมิอากาศในห้องเครื่อง ด้วยกราฟิกเคลื่อนไหว 2 สไตล์
6. PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
สามารถแสดงตำแหน่งที่จอดรถล่าสุดด้วย GPS ของมือถือ ช่วยในการหารถเมื่ออยู่ในลานจอดรถขนาดใหญ่
7. RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
สามารถแสดงการจัดอันดับในการขับขี่เปรียบเทียบกับผู้ขับขี่ยามาฮ่าทั่วโลกในรุ่นที่มี Y-Connect เช่นกัน โดยเลือกดูได้ทั้งโหมดระยะทาง และการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน
8. CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า
สามารถติดต่อส่งข้อมูลแจ้งเรื่อง หรือปัญหาให้ทางยามาฮ่า หรือผู้จำหน่ายทราบเบื้องต้นได้จากแอปพลิเคชั่น เพิ่มช่องทางในการติดต่อให้สะดวกขึ้น
สำหรับ “New YAMAHA AEROX” ท้าชีวิต…บิดให้สุด Spice up your challenge! มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกันถึง 2 เวอร์ชัน คือ STANDARD Version มีด้วยกัน 2 สี คือ สีน้ำเงิน (Dark Blue) กับ สีแดง (Redline) ราคา 68,900 บาท และ ABS Version ที่มีให้เลือก 3 สี คือ สีเทา (Silver Star), สีดำ (Yamaha Black) และสีน้ำเงิน (Icon Blue) ราคา 79,900 บาท
สามารถพบกับรถจักรยานยนต์ “New YAMAHA AEROX” ท้าชีวิต…บิดให้สุด Spice up your challenge! ได้แล้วตั้งแต่วันนี้! ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่
Facebook : Yamaha Society Thailand
Instagram : @Yamaha Society Thailand
Youtube : Yamaha Society Thailand

All NEW Honda Click 160i เปิดตัวแล้วที่ อินโดนีเซีย ราคาสุดปัง เริ่ม 59000 บาท

รูปทรงดีไซน์ใหม่ สปอร์ตยิ่งขึ้นภายนอกของ Honda Click 160 โดดเด่นด้วยความเป็นรถออโตเมติกดีไซน์สปอร์ต ที่ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูมีความโฉบเฉี่ยวมากกว่ารุ่นเดิม แฟริ่งด้านหน้ามีการออกแบบใหม่ ดูแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน ตัวไฟหน้าใช้เป็นไฟหน้า LED เต็มระบบทั้งไฟสูงและไฟต่ำ มาพร้อมไฟ DRL ที่เสริมเป็นคิ้วให้กับหน้ารถ จอแสดงผลแบบฟูลดิจิตอล LCD ยังไม่ลืมที่จะเสริมความสะดวกสบายที่ด้านซ้าย มีช่องเก็บของมาให้ พร้อมช่องจ่ายไฟฟ้าผ่านพอร์ท USB-A 1 จุด เบาะนั่งของ Honda Click 160 มีความสูงจากพื้นอยู่ที่ 778 มม. สูงกว่ารุ่นเดิม 9 มม.

สำหรับเรื่องของสเปคตัวรถ ประสิทธิภาพข้อมูลชิ้นส่วนอุปกรณ์ แม้จังยังไม่ได้มีรายละเอียดที่แน่ชัดมากนัก แต่โดยคร่าวๆ ตัวรถจะมาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ขนาดความจุพิกัด 157 ซีซี. แบบ 1 สูบ eSP+ ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ SOHC แบบ 4 จังหวะ 4 วาล์ว แรงม้าสูงสุด 15.4 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 13.8 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบ/นาที อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 12.0 : 1 จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ระบบสตาร์ทมือไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ

วงล้อรถจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว ทั้งล้อหน้า และ ล้อหลังหลัง ขนาดยางด้านหน้า 100/80 ขนาดยางด้านหลัง 120/70 ระบบเบรก หรือ ระบบห้ามล้อแบบ ABS นั้น แบบดิสก์เบรกทั้ง ด้านหน้า และ ด้านหลัง ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบเทเลสโคปิก ระบบกันสะเทือนด้านหลังจะเป็นแบบเดี่ยว ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม

ราคาวางจำหน่ายที่ประเทศอินโดนีเซีย มี 2 รุ่นย่อยด้วยกัน ได้แก่รุ่น Combine brake อยู่ที่ 59,000 บาท และรุ่น ABS อยู่ที่ 65,000 บาท น้ำหนักตัวของรุ่น ABS จะอยู่ที่ 117 กก. น้ำหนักตัวของรุ่น CBS จะอยู่ที่ 115 กก.

BMW Motorrad Concept CE0

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างปิดต้นฉบับนี้ ทาง BMW Motorrad ได้แจกข่าวสาร เกี่ยวกับรถ”ต้นแบบ” หรือ Concept โมเดลล่าสุดให้กับสื่อทั่วโลก ซึ่งเป็น รถไฟฟ้า สำหรับ การใช้งานในเมือง ที่ระบุชัดเจนว่าคือ urban electric mobility แน่นอนว่ามันน่าจะถูกผลิตออกมาจำหน่ายในเวลาไม่นานนัก เนื่องจากว่าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ทาง BMW Motorrad มักจะทำการแนะนำรถ concept ออกมานำร่องให้คนติดตาม จากนั้นไม่นานนักก็จะทำการเปิดตัวเวอร์ชั่นโปรดักชั่นตามมาในทันที

ขณะที่หลายฝ่ายต่างคาดเดาว่า BMW Motorrad จะจัดวางเซ็คชั่นไหนในตลาดรถ จะอยู่ในกลุ่มรถจักรยานยนต์มาตรฐาน หรืออยู่ในกลุ่มสกู๊ตเตอร์ เนื่องจากว่าเนื้อหาในเอกสารนั้นใช้คำว่า vehicle มากกว่า motorcycle หรือ scooter ซึ่งที่สุดแล้วหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ BMW Motorrad อย่าง Edgar Heinrich ก็พูดทำนองว่า นี่คือการออกแบบใหม่ทั้งหมด จนหล่อหลอมออกมาเป็น CE02 นี่เป็นการผสมผสานของจินตนาการออกแบบกับความเชี่ยวชาญความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ซึ่งเขาก็พยายามจะสื่อถึงองค์ความรู้มากมายจากการคิดค้นวิวัฒนาการต่างๆจากโปรเจ็คมากมาย หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆในอดีต ที่ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดีนั้นได้ถูกนำมาใช้กับการพัฒนา CE02 ที่บอกว่า มันคือสไตล์ใหม่ รูปแบบใหม่กับ single-track mobility ที่พร้อมตอบสนองสภาพการใช้งานในเมืองที่สำคัญคือมันให้ความสนุกจากการขับขี่อีกด้วย

นอกจากนี้ชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายกำหนดไว้ที่กลุ่มผู้ใช้ อายุ 16 ปี ขึ้นไป ที่ไม่เคยขี่รถจักรยานยนต์ แต่จะสามารถสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ในการขับขี่กับเทคโนโลยีของโลกยานยนต์เท่ๆกับ lightweight e-vehicle ยานยนต์ไฟฟ้าน้ำหนักเบา ที่มีน้ำหนัก 120 กก.โดยประมาณ ซึ่งเจ้า BMW Motorrad Concept CE02 นี้ เน้นสมรรถนะและประสิทธิภาพหลักเพื่อการใช้งานในเมือง เน้นความสนุกสนานในการขับขี่ ความมีสไตล์เฉพาะตัว ด้วยพลังขับเคลื่อนขนาด 11kW ที่ให้แรงบิดและอัตราเร่งที่เพียงพอด้วยความเร็วสูงสุดในระดับ 90 กม./ชม. กับระยะทำการไกลถึง 90 กม. ซึ่งเพียงพอสำหรับการเดินทางไปกลับในเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นในเมืองด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายดูมีสไตล์ ดึงดูดความสนใจ ช่วยเพิ่มความรู้สึกที่ต้องการขับขี่ บวกกับการออกแบบองค์ประกอบด้วยวงล้อขนาดใหญ่ที่มีสไตล์ไปทาง fun bike นับว่าสื่อให้เห็นถึงเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ ขณะที่ภาพรวมของตัวรถนั้นก็เสริมด้วยสุนทรียภาพชวนให้ติดตาม ด้วยการจัดวางตำแหน่งองค์ประกอบของตัวรถให้น่าสนใจ มีสเน่ห์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการออกแบบที่นำเรื่องของแสงเงามาเสริม ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ส่วนบริเวณของแบตเตอรี่และมอเตอร์นั้นจะใช้โทนสีที่ทำให้เกิดความโดดเด่นของตัวรถ ที่มีความกะทัดรัด รวมกับการออกแบบโครงสร้างตัวรถที่ทำให้แคบ และการกำหนดจุดศูนย์ถ่วงรถที่ต่ำ ทำให้ได้รับถึงความรู้สึกของพลังการขับเคลื่อนของรถที่มีนั้น ขณะที่แนวทางการจัดวางองค์ประกอบอื่นๆของตัวรถนั้น ต้องบอกว่าฉีกแนวความคิดของความเป็นรถจักรยานยนต์แบบมาตรฐานไปพอสมควร ตามที่ทางผู้ผลิตพยายามสื่อออกมาว่า นี่คือสไตล์ใหม่รูปแบบใหม่ของ e-vehicle สำหรับคนอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ไม่มีประสบการณ์การขี่จักรยานยนต์ จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่นี้

การออกแบบที่เน้นรายละเอียดชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูง มีการปรับใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมกับแต่ละองค์ประกอบ ซึ่งทุกๆจุดล้วนได้รับการเอาใจใส่ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดทุกรายละเอียด อย่างไฟหน้าที่เป็นกรอบเหลี่ยมนั้นก็จัดวางหลอดไฟแบบ LED เข้าไปในชุดไฟหน้า ที่ดูมีเอกลัษณ์ เช่นเดียวกับไฟท้ายชนาดเล็กที่ติดตั้งด้านข้างของเบาะนั่ง มีจอสีขนาดเล็กที่จัดวางตำแหน่งไว้บนแฮนเดิ้ลบาร์ซึ่งเป็นจอแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ความลงตัวของการจัดวางตำแหน่งของวงล้อกับสวิงอาร์มเดี่ยว และชุดสายพานขับเคลื่อนทำได้อย่างดี หรือแม้แต่แฮนเดิ้ลบาร์กับชุดฟอร์คหน้าก็ออกแบบมาได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ สำหรับยานพาหนะรูปแบบใหม่ ที่พัฒนามาเพื่อตอบสนองการใช้งานในเมืองโดยเฉพาะ กับรูปแบบล่าสุดของยานยนต์พลังไฟฟ้าของ BMW motorrad ภาพรวมของโทนสีคุมเฉดหลักของ BMW Motorrad Concept CE02 นี้ไว้ด้วยโทน ดำ/เงิน black/silver เป็นหลักนี่น่าจะเป็นการผสมผสานระหว่างการออกแบบกับเทคโนโลยีอย่างมีสไตล์เฉพาะตัว ก็น่าสนใจว่าหลังจากนี้หากมีการเปิดไลน์เป็นรถโปรดักชั่นขึ้นมา จะมีความแตกต่างมากน้อยไปจากเวอร์ชั่น concept มากน้อยเพียงใด สำหรับ CE02 ที่เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานกับแฟชั่น สำหรับการตอบสนองในการใช้งานประจำวันได้อย่างมีสไตล์

สำหรับข้อมูลของตัวรถยังไม่มีรายละเอียดที่แน่ชัดออกมา โดยเฉพาะแบตเตอรี่นั้นยังไม่ได้บอกว่าใช้แบบใด ขนาดเท่าไร เชื่อว่าเมื่อผลิตจำหน่ายน่าจะมีการระบุสเปคที่ชัดเจนออกมา ขณะที่กำลังขับเคลื่อนของเจ้าต้นแบบที่ทำออกมาโยนหินถามทางตัวนี้ ระบุว่า มีกำลังขนาด 11kW ตามที่กล่าวไปแล้ว โดยกำลังขับเคลื่อนขนาดนี้ เพียงพอสำหรับผู้ที่มีใบอนุญาติในระดับ A1 ขึ้นไป ส่วนความเร็วกับระยะทางการใช้งานนั้นก็ตามที่กล่าวไปแล้ว คือ ท็อปสปีดอยู่ 90 กม./ชม. ใช้งานได้ระยะทาง 90 กม. โดยวงล้อหน้าและหลังมีขนาด 15 นิ้ว ความสูงเบาะนั่งอยู่ที่ 730 มม. และมีน้ำหนักโดยประมาณ 120 กก. เอาเป็นว่าไรดิ้งเราเชื่อว่าน่าจะอีกไม่นานเจ้า urban e-vehicle ตัวนี้ น่าจะถูกนำขึ้นไลน์การผลิตแบบรถโปรดักชั่นอย่างแน่นอน

HONDA CB500F & CBR500R คู่แฝดสองสูบเรียง ปฐมบทแห่งการเริ่มต้นของบิ๊กไบค์

เอาเป็นว่าหลังจากที่ได้ไปสัมผัสกับการขับขี่ในสนามแข่งระดับโลกมาแล้วกับ CBR500R ซึ่งเค้นสมรรถนะความเป็นสปอร์ตออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว แต่สำหรับ CB500F เน็กเก็ดสปอร์ตที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ตัวเดียวกัน ตอบสนองการขับขี่ในเมืองที่คล่องตัว ยังไม่ได้ลองขี่จริงๆ สักที คราวนี้มีโอกาสได้ลองขี่ก็เลยเอาคู่แฝด CBR500R มาร่วมด้วยเพื่อจะได้ให้รู้ว่ามันใช้งานในเมืองจะเป็นอย่างไร

เอาตัวพระเอกของคอนเท้นท์นี้ก่อนเลยสำหรับ CB500R เน็กเก็ดสปอร์ต รูปทรงที่ปรับโฉมใหม่เสริมออพชั่นมาให้ใช้งานได้ดีกว่าเดิม และที่สำคัญมีความสวยมากยิ่งขึ้นด้วย ไฟหน้า LED ส่องสว่าง เชฟใหม่คมเข้าสวยสปอร์ต แรงด้วยเครื่องยนต์ที่ทรงพลัง และออพชั่นที่ดีที่สุดในคลาส ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ ส่งมอบประสบการณ์ขับขี่เต็มรูปแบบ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 2 สูบ แบบ Parallel Twin DOHC ขนาด 500 ซีซี 47 แรงม้า ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด เสริมด้วยระบบ Assist Slipper Clutch เพิ่มความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์

วงล้อแม็กหน้า-หลัง ลายใหม่ และ วงล้อแม็กลาย Y-Spoke 5 ก้านคู่ ขนาด 17 นิ้ว ติดตั้งโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ 41 มม. แบรนด์ SHOWA รองรับแรงกระแทกได้มากกว่า ให้การควบคุมที่เหนือชั้น พร้อมยกระดับความปลอดภัยด้วยดิสก์เบรกหน้าคู่พร้อมด้วยคาลิเปอร์แบบ Radial Mount 4 Pots ทำงานร่วมกับระบบเบรก ABS ให้ประสิทธิภาพการเบรกเหมือนบิ๊กไบค์ระดับท็อป และสวิงอาร์มที่ใหญ่ขึ้นแต่น้ำหนักเบาลงเสริมความแข็งแรงสำหรับช่วงล่าง

ได้เวลาของการขับขี่บนถนนในเมืองหลวงยานค่ำคืนในช่วงอากาศเย็นๆ สภาพการจราจรช่วงเย็นของวันธรรมดาที่เต็มไปด้วยรถที่สัญจรไปมา กับ CB500R เน็กเก็ดไบค์ ที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย ก็ไม่ได้มีอุปสรรคในการซอกแซก เป็นรถที่ออกแบบท่านั่งสบายเบาะไม่สูงสำหรับตัวผมเองด้วย วางได้เต็มเท้าเลยทำให้มั่นใจในการพยุงตัว และการเว้าเบาะให้หน้าขาแนบกับตัวรถเพิ่มความมั่นคง และน้ำหนักของรถที่ลดลงด้วย

เครื่องยนต์มีการอัพเกรดใหม่ ของระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการจ่ายน้ำมันเพื่อให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ทำให้การออกตัวที่เร็วขึ้น และการเร่งบิดแซงเรียกแรงม้าได้ฉับไวมากขึ้น ออพชั่นเสริมระบบ แอสซิสสลิปเปอร์คลัชท์ ขี่ในเมืองสภาพของรถติดๆ แถบไม่ได้ใช้ แต่มันไว้เพื่อสำหรับช่วงเวลาเร่งด่วนและการใช้ความเร็วที่สูงๆ น่าจะช่วยให้ความปลอดภัยและขี่สนุกมากขึ้นแฮนด์บาร์ระดับกลางกว้างพอประมาณ จับกระชับมือระยะไม่ไกลจากตำแหน่งท่านั่งเลี้ยวแล้วเบา แต่มันเป็นระดับที่พออดีกับกระจกมองข้างของรถยนต์ ทำให้เมื่อเจอช่องแคบๆ อาจไปไม่ได้ หรือต้องใช้การบิดแฮนด์และโยกรถช่วย ไม่งั้นได้รูดกระจกกระจายแน่นอน

ระบบเบรกหน้าที่ให้มาเป็นดิสก์คู่ อันนี้ทำงานได้ดีกว่าของเดิมแน่นอน แต่ขี่ในเมืองด้วยความเร็วไม่มากมันอาจจะได้ไม่รู้สึกอะไรมาก แต่มันกดแล้วชะงักดีเลยล่ะ ส่วนดิสก์เบรกก็ทำงานได้ดี โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับอัพเกรดมาให้ทั้งสวยและทำงานได้ดี ระยะยุบถูกเซ็ทใหม่ โช้คอัพหลังทำงานรับสวิงอาร์มใหม่ลดการสั่นและอาการย้วยเมื่อพลิกรถแบบกระทันหัน วงล้อที่เปลี่ยนใหม่น้ำหนักเบาลงแต่มันก็ไม่รู้สึกกับการขับขี่เท่าไหร่ แต่มันดูสวยเพิ่มขึ้นนั่นเอง

มาที่ CBR 500R ในตระกูล 500 Series กันบ้าง ได้ทำการยกระดับให้เทียบเท่าซูเปอร์ไบค์ระดับท็อปคลาส เพื่อสร้างความตื่นเต้นและตอบโจทย์นักบิดตัวจริง ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีชั้นสูงเข้าไป เพื่อให้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเข้าสู่โลกของบิ๊กไบค์ มีความแตกต่างกันที่ภายนอกเท่านั้น แต่มันก็ให้ความแตกต่างของการขับขี่ด้วย กับท่านั่งต่างๆ

อารมณ์ในสนามแข่งกับการขับขี่บนท้องถนนมันต่างกัน ด้วยความที่เป็นรถสปอร์ตทำให้ท่านั่งมันถูกบังคับให้ก้มลง แต่สำหรับ CBR500R นั้นท่านั่งจะกึ่งๆ ทัวร์ริ่ง ถึงจะก้มแต่ก็ไม่มาก ทำให้รู้สึกไม่เมื่อยมากเมื่อขี่นานๆ องศาในการเลี้ยวแคบทำให้การซิกแซกทำได้ง่าย แฟริ่งที่ครอบด้านข้างไม่มีปัญหาสำหรับการช่องการจราจรแคบๆ ระดับแฮนด์ที่ถูกวางตำแหน่งอยู่ใต้แผงคอ อันนี้ทำให้ง่ายต่อการวิ่งผ่านช่องระหว่างรถที่ติดๆ แฮนด์กดลงต่ำกว่ากระจกมองข้างรูดไปได้แบบสบายๆ หายห่วง สำหรับเครื่องยนต์ ออพชั่นการอัพเกรดช่วงล่าง และระบบเบรกต่างๆ ทั้งสองตัวเป็นเทคโนโลยีเดียว จึงไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเท่าไหร่

2022 Suzuki Burgman400

มาตรฐานค่าไอเสีย Euro5 5 ถูกบังคับใช้กับรถจักรยานยนต์ที่จะจำหน่ายในยุโรปทุกคัน และ Suzuki Burgman400 ที่แม้จะจัดอยู่ในประเภทสกู๊ตเตอร์ก็ไม่พลาดที่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขนี้เช่นกัน ดังนั้นโมเดลล่าสุดของสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางอย่าง Burgman400 จึงต้องรับการปรับเสริมเติมแต่งเพื่อให้อยู่ในมาตรฐานไอเสียดังกล่าว เพื่อที่จะวางจำหน่าย ดังนั้น 2022 Suzuki Burgman จึงได้รับการจัดการ”ใหม่” ในส่วนของเครื่องยนต์ และ ระบบอิเล็คทรอนิคส์ แน่นอนว่า ไม่ใช่เพียงเหตุผลเรื่องของมลภาวะ ที่ต้องได้มาตรฐานไอเสียเท่านั้น แต่โลกแห่งวงการยนตรกรรมในปัจจุบันนั้น “ไม่สามารถหยุดนิ่งได้” เช่นเดียวกับที่ เจ้าสกู๊ตเตอร์ขนาดกลาง จากค่ายSuzuki ที่มีความเป็นมาต่อเนื่องนานนับทศวรรษ ก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนาสายพันธ์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิยามการพัฒนานั้น ถูกวางไว้ที่ การใช้งานอันหลากหลาย กล่าว คือ จะต้องตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ได้ครบถ้วน ไม่ว่า ใช้ในเมือง-ใช้ในการเดินทาง-ใช้ท่องเที่ยวเบาๆสบายๆ ด้วยแพล็ตฟอร์มของ สกู๊ตเตอร์

นี่คือขีดสุดของซีรีส์ ที่ Burgman400 ได้รับการพัฒนา จนออกมาเป็นโมเดลพร้อมจำหน่ายสำหรับปี 2022 จุดหลักที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ 16-hole fuel injectors ที่มาแทนที่ 10-hole injector แบบเดิม ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้ได้ละอองเชื้อเพลิงที่ฉีดเข้าไปในห้องเผาไหม้นั้นมีขนาดเล็กลง หรือกล่าวคือฉีดเชื้อเพลิงเป็นฝอยละเอียดมากกว่าเดิม อันจะมีส่วนช่วยให้มีประสิทธิภาพในการผสมผสานกับอากาศที่ถูกส่งเข้าไปได้ง่ายขึ้นมากขึ้น และนั่นจะมีส่วนช่วยให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยเครื่องยนต์ DOHC ขนาด 399 ซี.ซี. ที่ได้มีการปรับองศาแคม new cam profiles และปรับจังหวะการจุดระเบิดใหม่ revised ignition timing ช่วยให้อัตราบริโภคเชื้อเพลิงนั้นลดลงจากเดิม

นอกจากนี้ 2022 Burgman400 ยังได้ใช้ฝาสุบใหม่แบบขั้วหัวเทียนคู่ new twin-plug cylinder head ที่หัวเทียนทั้งคู่จะทำการจุดระเบิดร่วมกัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิดภายในห้องเผาไหม้ ดังนั้นในส่วนของลูกสูบจึงต้องมีการปรับใหม่ตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ภาพรวมของการพัฒนาเครื่องยนต์ในโมเดลใหม่นี้จึงได้มีการอัพเดทภายในเครื่องยนต์ด้วยเช่นกัน โดยได้กำหนดทิศทางเป้าหมายการพัฒนานี้ไปตรงที่ ความสมดุลในเรื่องของกำลังหรือแรงบิดของเครื่องยนต์ ที่เน้นไปในช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์ในช่วงต่ำถึงกลาง

อีกทั้งยังได้มีการปรับหรือพัฒนาประสิทธิภาพในเรื่องของการควบคุมจังหวะปิดเปิดของเรือนลิ้นเร่ง หรือการควบคุมคันเร่งให้มีการทำงานที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วสมรรถนะการส่งพลังขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ใหม่นี้จึงทำได้เรียบเนียนและเปี่ยมกำลังที่ทำได้อย่างสมดุล ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพที่ดีในด้านของ traction cotrol สำหรับในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์นั้น Burgman400 มาพร้อมกับโครงสร้างเฟรมแบบอันเดอร์โบน underbone frame ที่ใช้โครงสร้างขนาดใหญ่แข็งแรง แต่น้ำหนักเบา แม้จะเป็นท่อที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ทว่าผนังชิ้นส่วนของท่อนั้นมีความบาง แต่ด้วยโครงสร้างการออกแบบก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับสมรรถนะที่มี

สำหรับรายละเอียดของแต่ละส่วนของ Suzuki Burgman400 ข้อมูลสเปคพื้นฐานของรถมีดังนี้
Engine ; 400cc (24.4 cu. in.), 4-stroke, liquid-cooled, single cylinder, DOHC
Bore x Stroke ; 81.0 mm x 77.6 mm
(3.189 in. x 3.055 in.)
Compression Ratio ; 10.6:1
Fuel System ; Fuel injection
Starter ; Electric
Lubrication ; Wet sump
Transmission ; CVT (automatic, centrifugal clutch)
Final Drive ; V-belt drive
Suspension Front ; Telescopic, coil spring,
oil damped
Suspension Rear ; Link type, single shock,
coil spring, oil damped
Brakes Front ; Disc brake, twin 260 mm, ABS-equipped
Brakes Rear ; Disc brake, single 210 mm, ABS-equipped
Tires Front ; 120/70-15M/C (56S), tubeless
Tires Rear ; 150/70-13M/C (64S), tubeless
Fuel Tank Capacity ; 13.5 L (3.6 US gal.)
Ignition ; Electronic ignition (transistorized)
Spark Plug ; NGK CR7EIA-9 or DENSO IU22D x 2
Headlight ; Dual LED (high- and low-beam, plus position lights)
Tail Light ; LED
Overall Length ; 2235 mm (88.0 in.)
Overall Width ; 765 mm (30.1 in.)
Overall Height ; 1350 mm (53.1 in.)
Wheelbase ; 1580 mm (62.2 in.)
Ground Clearance ; 125 mm (4.9 in.)
Seat Height ; 755 mm (29.7 in.)
Curb Weight ; 218 kg (481 lb.)

2022 Yamaha R-Series : Models celebrate Yamaha GP racing history

จากปี 1961-2021 นับว่าเป็นช่วงเวลาครบรอบ 60 ปี ของ Yamaha ที่ก้าวเข้าสู่การแข่งขัน ในระดับ World Grand Prix racing ซึ่ง Yamaha มักจะกล่าวเสมอว่าการแข่งขันนั้นฝังอยู่ใน DNA ของบริษัท นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทพวกเขาก็เริ่มพัฒนารถจักรยานยนต์ผ่านการแข่งขันในสนามแข่ง จนกระทั่งสามารถคว้าชัยชนะได้ครั้งแรกด้วยรถ YA-1 ที่ชนะในการแข่งขัน Mount Fuji ซึ่งพวกเขาเริ่มลงมือทำรถแข่งกันในวันที่ 1 ก.ค.1955 ก่อนจะลงแข่งและชนะในวันที่ 10 ก.ค. และนี่คือจุดกำเนิดที่ปลูกฝังแนวความคิดที่เป็นรากฐานในการให้ความสำคัญกับการแข่งขัน หลังจากเริ่มประสบความสำเร็จต่อเนื่องในญี่ปุ่น พวกเขาก็มองไปที่การแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งการแข่งขันครั้งแรกนั้นพวกเขาเลือกที่จะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา กับการชิงชัยที่ Catalina ในปี 1958 กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่สามารถสั่งสมประสบการณ์ได้อย่างมากมาย กับความมุ่งมั่นพัฒนารถแข่งในขนาด 250 ซีซี จนในที่สุดก็ตัดสินใจจะนำรถแข่ง RD48 เข้าร่วมการแข่งขันในระดับ World Grand Prix ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามแข่งเก็บคะแนนสะสมของปี 1961 ซึ่งก็คือ การแข่งขันที่ฝรั่งเศส และนี่คือก้าวแรกของพวกเขาในเกมระดับโลก ที่ Yamaha ยังคงเดินหน้ามีส่วนร่วมมาจนถึงปัจจุบัน

จากการได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งแรกพวกเขาก็เกิดความมุ่งมั่นทันทีว่าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชั้นนำของโลก และจะต้องมีศักยภาพพอที่จะพัฒนาเทคโนโลยีชั้นยอดให้กับผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ของตนเอง นับจากการเข้าร่วมครั้งแรกเพียงแค่สองปีถัดมา Yamaha ก็สามารถประสบความสำเร็จในการคว้าชัยชนะครั้งแรกในระดับ World Grand Prix ได้ในที่สุด เมื่อ Fumio Ito นำ RD56 ชนะใน Belgian Grand Prix

ในช่วงระยะเวลา 60 ปี พวกเขาร่วมการแข่งขันจนสามารถคว้าชัยได้มากกว่า 500 สนามที่ลงชิงชัยในระดับ GP สามารถครองแชมป์โลกประเภทนักแข่งได้ 38 ครั้ง ครองแชมป์โลกประเภทผู้ผลิตได้ 7 ครั้ง รวมทั้งประเภททีมได้อีก 7 ครั้ง สำหรับโทนสีขาวแดงพร้อมกราฟฟิคที่เรียกว่า Yamaha speed block นี้ มีที่มาจากรถแข่ง 250 ซีซี ที่นักแข่งโรงงานอย่าง Phil Read ใช้ในปี 1964 ที่เปลี่ยนแฟริ่งเป็นสีขาว พร้อมมีแถบคาดสีแดง และใช้บังโคลนหน้าสีแดง โดยในปีนี้เอง พวกเขาสามารถประเดิมคว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก “มันคือความพิเศษ” ของโทนสีขาวแดง และนับเป็นโทนสีที่มีพลังพิเศษในความรู้สึกของผู้คนในช่วงเวลานั้น จนกล่าวได้ว่ารถแข่ง Yamaha ในยุโรป นิยมใช้โทนสีนี้มาอย่างต่อเนื่องกว่าสองทศวรรษ แม้กระทั่งมาถึงช่วงเวลาของนักแข่งในตำนานอย่าง Rainey และ Lawson ก็ยังคงเฉิดฉายด้วยสีขาวแดงเช่นกัน ดังนั้นในวาระครบรอบ 60 ปี ของ Yamaha ในการแข่งขัน Grand Prix racing พวกเขาจึงเลือกใช้โทนสีพิเศษนี้ กับรถในตระกูล R-Series เวอร์ชั่น 60th Anniversary

สำหรับ New R-Series World GP 60th Anniversary models ที่จะออกมาสำหรับจำหน่ายในปี 2022 นั้น จะประกอบด้วย R1 ; R7 ; R3 และ R125 โดยทั้งสี่รุ่น ของ World GP 60th Anniversary Models จากตระกูล R-Series นี้ จะมีไฮไลท์พื้นฐานเดียวกันคือ บอดี้หรือชิ้นแฟริ่งนั้นจะเป็นสีขาว พร้อมกราฟฟิค red speed block มีสัญลักษณ์ 60th Anniversary มีแถบสีแดงคาดบนถังน้ำมันและส่วนตูดมดหรือแฟริ่งท้าย บังโคลนหน้าสีแดง ทำแถบพื้นป้ายเบอร์หน้าสีเหลือง และวงล้อสีทอง ขณะที่แต่ละรุ่นก็จะมีดีเทลแยกย่อยกันไปตามสเปคของแต่ละรุ่น

R1 World GP 60th Anniversary : highlights
998cc, 200PS, crossplane, 4-cylinder engine
Highly advanced electronic control systems
6-axis IMU with Gyro/G sensors for 3D motion data
Power Delivery Modes (PWR)
Banking sensitive Traction Control (TCS) / Slide Control (SCS)
Quick Shift System (QSS)
Two-mode brake control (BC) cornering ABS
Three-mode Engine Brake Management (EBM) system
Ride-by-wire APSG throttle
Short wheelbase aluminium Deltabox frame
Upward truss type swingarm/magnesium rear frame
Magnesium wheels and 17-litre aluminium fuel tank
Thin Film Transistor (TFT) LCD instruments
M1-style bodywork

R7 World GP 60th Anniversary : highlights
Compact, high-torque, 689cc, CP2 crossplane technology engine
Ultra-compact design with pure R-Series DNA
Highly aerodynamic full fairing with aluminium lower cover
High specifi cation inverted 41 mm front forks
Link-type Monocross rear suspension with newly designed shock
A&S clutch
Lightweight tubular frame with aluminium centre brace for tuned chassis rigidity
Clip-on handlebars and lightweight rearsets with stylish heel guards
Sporty and adaptable tucked-in riding position
Aggressive R-Series twin-eye face with LED position lights
Powerful central LED headlight
Lightweight 10-spoke cast alloy wheels
Radial mount front brake calipers with Brembo radial master cylinder
Supersport cockpit design with full LCD instruments
Central M-shaped front air duct
Powerful 298 mm front and 245 mm rear brakes
Slimline 13-litre fuel tank with deeply sculpted knee indents
R-series style tail
120/70 front tyre, 190/55 rear tyre