Honda EVO-6

ค่ายปีกนกเตรียมประกาศศักดิ์ดา Honda EVO-6 หลังจากที่รอกันมานานหลายปี ที่เผยโฉมเป็นรถต้นแบบคอนเซ็ปต์ไบค์แห่งอนาคต ในงาน Tokyo Motor Show เมื่อปี 2005 จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำตามยุคสมัยทำให้มีกระแสออกมาว่าจะได้เห็นเจ้า EVO-6 ออกมาสร้างความเร้าใจในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ขนาด 1,800 ซีซี 6 สูบ เป็นเครื่องยนต์แบบ Boxer 6 หรือ 6 สูบนอนลักษณะคล้ายที่ใช้ในรถยนต์อย่าง Subaru WRX STI และ Porsches 911 Carera ทำให้เจ้า EVO-6 คันนี้สามารถทำเวลาในการใช้ความเร็วตั้งแต่ 0-100 ได้เร็วกว่ารถยนต์ซูเปอร์คาร์ โดยเครื่องยนต์แบบ Boxer นี้จะมีประสิทธิภาพใช่ช่วงความเร็วช่วงต้นและกลางที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่มีหน้าตาคล้ายๆ กับ The king of road ในค่ายเดียวกันอย่าง Honda Gold Wing หรือว่า Valkyrie ที่มีลักษณะของขุมกำลังและคาแรกเตอร์ของรถที่ใกล้เคียงกัน แต่ในแง่ของการดีไซน์นั้นจะแตกต่างกันอย่างมาก โดยเจ้า EVO-6 คันนี้จะมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย โฉบเฉี่ยว โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด สำหรับรูปทรงเรือนร่างของ Honda EVO-6 คันนี้ เครื่องยนต์ที่มีช่องรับลมขนาดใหญ่ โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับ Upside Down ล้อแม็กแปดก้านสีโครเมี่ยม ยางแบบสปอร์ต สวิงอาร์มแขนเดี่ยว ฟิคเจอร์อื่นๆ หน้าจอแสดงผลที่แยกเป็น 2 จอ แสดงมาตรวัดความเร็วบริเวณแฮนด์บาร์ และวัดรอบเครื่องยนต์รวมไปถึงปริมาณน้ำมันในถังเชื้อเพลิง ไฟส่องสว่างด้านหน้าที่ให้ความเป็นเน็กเก็ดและสปอร์ตในเวลาเดียวกัน

โดยรวมแล้วจัดว่าเจ้า Honda EVO-6 คันนี้เป็นรถมอเตอร์ไซค์เน็กเก็ดอีกคันหนึ่งที่มีทั้งรูปลักษณะที่สวยงามและขุมกำลังเครื่องยนต์ที่มหาศาล โดยคาดการณ์กันว่าเราจะได้เห็นเจ้า Honda EVO-6 คันนี้กันในอนาคตที่ไม่ไกลเกินรอ

Moto Morini เปิดตัว 2017 Corsaro 1200 ZZ

Moto Morini ค่ายรถมอเตอร์ไซค์จากเมืองโบโลญญ่า ประเทศอิตาลี ปล่อยข้อมูลเบื้องต้นของเจ้า 2017 Moto Morini Corsaro 1200 ZZ รถมอเตอร์ไซค์เน็กเก็ดไบค์ที่มีการแสดงตัวต้นแบบไปในงาน EICMA Show ช่วงปลายปีที่แล้ว Moto Morini Corsaro 1200 ZZ มีรูปร่างที่ดุดันดวงไฟหน้ากลมโตคู่ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นอิตาเลี่ยน การออกแบบที่ล้ำสมัยนี้ถูกออกแบบโดย Rodolfo Frascoli โดยใช้โทนสี 3 สี แดง ขาว และดำ มาเป็นแกนหลักในการออกแบบ และได้เลือกใช้ชิ้นส่วน 99% จากผู้ผลิตในอิตาลี ซึ่งแต่ละชิ้นส่วนจากค่ายผู้ผลิตเองก็เป็นชิ้นส่วนที่มีคุณภาพและได้การยอมรับในระดับสากล

 

Moto Morini ได้เลือกใช้ระบบ ABS จาก Bosch ที่มีการอัพเกรดเวอร์ชั่นให้กับเจ้า new Corsaro 1200 ZZ โดยเฉพาะ และที่สำคัญ Bosch ยังใส่สวิตซ์เปิดปิดการทำงานของ ABS มาให้บนแฮนด์บาร์อีกด้วย ระบบเกียร์เป็นแบบไฟฟ้า เครื่องยนต์ขนาด 1187 ซีซี แบบ V-Twin 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 11.9:1 ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยไฟฟ้า เครื่องยนต์ผ่านการตรวจสอบและได้รับมาตรฐาน EURO4 และยังมีระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่าง slipper clutch โครงสร้างตัวถังแบบ trellis frame ระบบกันสะเทือนหน้า Mupo แบบหัวกลับที่สามารถปรับระดับได้ทั้ง rebound และ preload มีระยะยุบตัวและยืดตัวที่ 135 มม. ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ที่สามารถปรับได้จากรีโมท ระบบเบรกหน้า floating disc ขนาด 320 มม. ทำงานร่วมกับปั้มเบรกแบบ 4 ลูกสูบ และระบบ semi-radial pump 16/19 ของ Brembo แบบ 2 ลูกสูบในระบบเบรกด้านหลัง วงล้อขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง Pirelli Diablo Rosso III อุปกรณ์พื้นฐานของเจ้า new Corsaro 1200ZZ จะประกอบไปด้วย ระบบนำทาง GPS navigator ที่ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ หน้าจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว ไฟส่องสว่างด้านหน้าแบบ LED ที่แยกไฟสูงต่ำคนละดวง รวมไปถึงไฟท้าย ไฟเลี้ยวและไฟส่องสว่างสำหรับป้ายทะเบียนแบบ LED

New Corsaro 1200 ZZ จะใช้ฐานการผลิตที่เมือง Trivolzio ในประเทศอิตาลี ซึ่งจะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี 2017 โดยทางค่ายผู้ผลิตเองก็จะมีส่วนของ customized ที่จะถูกผลิตออกมาเพื่อรองรับกับเจ้าโมเดลนี้อีกหลายส่วน เรียกได้ว่าสาย Custom ตั้งตารอเจ้าโมเดลใหม่ล่าสุดของทางค่ายนี้อย่างใจจดใจจ่อ

All New Benelli Leoncino

เป็นอีกหนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ที่หลายต่อหลายคนกำลังรอคอย ด้วยการออกแบบที่ลงตัว กับเจ้า All New Benelli Leoncino เราจะได้เห็นมันวิ่งกันบนท้องถนนจริงๆ ซะที หลังจากที่ได้เห็นกันทางโซเชียลกันอย่างมากมาย Benelli Leoncino (อ่านว่า ลีออนชิโน่ เป็นภาษาอิตาลี แปลว่า ลูกสิงโต) สำหรับโมเดลปัจจุบันจะมาในรูปแบบของรถแนวสแครมเบิ้ลอย่างเต็มตัว ที่เรียกได้ว่าพร้อมจะลุยในทุกสภาพถนน โดยสเปคและรายละเอียดอย่างเป็นทางการทั้งหมดของโมเดลในปัจจุบันนั้นก็คือ เครื่องยนต์ของ Benelli Leoncino นั้นจะอยู่ที่ 499.6 ซีซี 4 จังหวะ มีจำนวนกระบอกสูบนั้นเป็นแบบ 2 สูบเรียง ให้แรงม้ามาที่ 47 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที และทอร์คนั้นให้มาสูงสุดที่ 45 Nm ที่ 4,500 รอบ/นาที จะเห็นได้ว่าทอร์คของรถนั้นหนักมากในย่านความเร็วแค่ในช่วงกลางๆ นิสัยของรถน่าจะเป็นแบบบิดติดมือ มีหงายเงิบกันบ้างแบบไม่ต้องกังวลในเรื่องรอบเลย แต่ความเร็วปลายนั้นอาจจะไม่ได้ไหลลื่นมากนัก ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ส่งกำลังสุดท้ายด้วยโซ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ผ่านมาตรฐาน Euro 4 เรียบร้อยแล้ว

ตัวเฟรมรถจะเป็นแบบเฟรมเหล็กถัก ซึ่งจะให้บาล้านซ์ในการขับขี่ที่ดี และมีน้ำหนักตัวเบา สร้างความมั่นใจในการคอนโทรลรถอย่างเต็มที่ ไฟด้านหน้ารถเป็นแบบ LED แต่ดีไซน์ออกแบบมาด้วยทรงกลมผสมผสานกับตัวรถที่มีกลิ่นอายของความเป็นยุคคลาสสิคอย่างเต็มตัว ในส่วนของระบบช่วงล่างนั้น เบรกหน้าเป็นแบบดิสก์คู่ขนาด 320 มม. และเบรกหลังเท่ากับ 260 มม. แบบดิสก์เดี่ยว ทำงานร่วมกับระบบ ABS โช้คอัพนั้นด้านหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิคหัวกลับ หรือ Upside Down ที่ซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าปกติ และด้านหลังเป็นโมโนโช้ค ยางหน้ามีขนาดเท่ากับ 110/80 R19 และยางหลังเท่ากับ 150/70 R17 เป็นยางแบบหนามซึ่งเหมาะสมกับการนำไปลุยในสภาพถนนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะทางฝุ่น ทางดิน ส่วนล้อหน้าใช้ขนาด 19 นิ้ว หลัง 17 นิ้ว เป็นล้อแบบซี่ลวดที่มีความยืดหยุ่นรองรับการกระแทกหนักๆ ได้ดีกว่าล้อแม็ก มิติของตัวรถนั้นยาว 2,100 มม. กว้าง 800 มม. และสูง 1,160 มม. ความสูงเบาะเท่ากับ 815 มม. ในขณะที่น้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 170 กก. และถังน้ำมันจุอยู่ที่ 15 ลิตร เรียกได้ว่าเดินทางออกทริปกันได้สบายๆ

ไบค์เกอร์สายลุยเตรียมตัวนับถอยหลังรอได้เลย จากนี้ไปอีกไม่นานนักทางค่ายจะเปิดตัวกันอย่างเป็นทางการ และก็มีโอกาสสูงมากๆ ที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ตามรอย TRK 502 ที่เพิ่งจะเปิดตัวกันไปก่อนหน้านี้ไม่นาน

Honda Rebel300 Dios Design

มาแล้ว…หลังจากเปิดตัวสร้างกระแสของรถคัสตอมบ๊อบเบอร์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งกับการใช้ชื่อรุ่นว่า Rebel แต่การรีบอนด์ครั้งนี้มีความโฉบเฉี่ยวตามยุคสมัยมากขึ้นและมาพร้อมกับเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย จากรถสแตนดาร์ดเดิมๆ ที่มีความลงตัวดูสวยงามในระดับหนึ่งแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ามันยังไม่พอสำหรับสายแต่งที่มีไอเดียในการสรรหาอุปกรณ์มาตกแต่ง เพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาบนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นลวดลายสีสันใหม่หรือการเสริมสมรรถนะของเครื่องยนต์

สำหรับ Rebel300 คันนี้ มีการปรับเปลี่ยนสีสันใหม่เสริมชิ้นงานไฟเบอร์หล่อขึ้นรูปรวมไปถึงการใช้ ชิ้นงานเคฟล่าร์เข้ามาปกปิดตัวรถ อย่างเช่น ชุดครอบเครื่องยนต์ด้านข้างที่คลุมยาวลงมาจนถึงด้านล่างทำให้ตัวรถดูแน่นใหญ่ขึ้น เบาะนั่งถูกจำกัดเพียงผู้ขับขี่เท่านั้น ช่วงท้ายตัดแต่งสั้นเปลือยเห็นหน้ายาง แฮนด์บาร์ทรงเดฟยกระดับจากเดิมให้การควบคุมที่ง่ายขึ้น ก้านเบรกและคลัทช์ปรับระดับที่ปลายแฮนด์มีกระจกมองข้างทรงกลม เรือนไมล์แสดงผลแบบดิจิตอลจึงอ่านง่ายเห็นชัดเจน ไฟหน้าทรงกลมเปลี่ยนไส้ในเป็นวงแหวน LED โช้คอัพหน้าเทเลสโคปิค วงล้อแม็กอลูมินัมเสริมความล้ำสมัยด้วยแผ่นครอบด้านข้างทั้งยางและแม็ก ดิสก์เบรกหน้าจานเดี่ยวคาลิเปอร์ลูกสูบคู่ NISSIN ดิสก์เบรกหลังคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว จานดิสก์ทั้งหน้าและหลังมีแผ่นอะคลีลิคสีแดงปิดทับ โช้คอัพหลังคู่สามารถปรับพรีโหลดและรีบาวด์ได้ ทำงานยืดกับสวิงอาร์มทรงกลมส่วนทางด้านของเครื่องยนต์ขนาด 300 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 จังหวะ มีการเสริมเพิ่มสมรรถนะความเร้าใจบิดติดมือด้วยท่อไอเสียปลายทรงกรวยคอท่อพันด้วยผ้ากันความร้อน ปรับอัตราทดสเตอร์ใหม่ด้วยวัสดุอลูมินัม

จะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ของแต่งจะหาได้ตามท้องตลาดทั่วไปและราคาก็ไม่ได้แพงจนเกินความสามารถแต่งแล้วใช้งานได้จริง เพราะฉะนั้นใครที่อยากแต่งแบบนี้ก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่ก็ให้คำนึงถึงความปลอดภัยด้วยนะครับ…

2017 Suzuki Workbike RM-Z450WS

ตัวแข่งโรงงาน Suzuki RM-Z450WS โมเดลล่าสุดของทีม Suzuki MXGP ที่พัฒนาออกมาสำหรับ Kavin Strijbos กับ Arminas Jasikonis ในการแข่งขัน 2017 MXGP ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับตัวรถมากนัก แต่จากข้อมูลของนิตยสาร RacerX ได้ระบุว่านี่คือว่าที่ตัวแข่งโปรดักชั่น 2018 RM-Z450 ดังนั้นสเปคทุกอย่างที่เห็นจากรถคันนี้จึงแตกต่างกับรถแข่งของ Broc Tickle หรือ Justin Bogle ใน AMA Motocross/Supercross ที่จะต้องรอให้รถสเปคนี้ได้รับการโฮโมโลเกทก่อนจึงจะสามารถนำไปใช้ในการแข่งขันได้ นั่นก็หมายความว่าต้องรอ”เวอร์ชั่นโปรดักชั่นที่จะออกในปีหน้านั่นเอง”

จากภาพของตัวรถจะพบว่าในส่วนของบอดี้พาร์ทนั้นจะมีความแตกต่างออกไป รวมทั้งเฟรม และสวิงอาร์มที่ดูเหมือนว่าทั้งสามส่วนนี้ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด แม้ว่าภาพรวมโดยหลักๆแล้วจะมีความใกล้เคียงกับพื้นฐานเดิมของรถตระกูล RM-Z ที่ใช้พิมพ์เดียวกันตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา แม้ว่าข้อมูลของตัวแข่งจะมีให้มาแต่ก็ถือว่าไม่เปิดเผยรายละเอียดมากนัก เพราะว่านี่คือ workbike ตัวแข่งโรงงานที่ว่ากันว่า จะเป็นสเปคต้นแบบของรถโปรดักชั่นในปีต่อไปนั่นเอง

เครื่องยนต์ :  4 จังหวะ สูบเดียว
ระบายความร้อนด้วยน้ำ water-cooled single
ความจุเครื่องยนต์ : 449 ซีซี
กำลังเครื่องยนต์สุงสุด:  –
วาล์ว :  4 วาล์ว DOHC
ระบบจัดการเครื่องยนต์ :  Suzuki Fuel Injection System
หัวเทียน : NGK
ระบบหล่อลื่น :  Semi Dry Sump
คลัทซ์ :  Wet Multi Plate Hinson/ Suzuki
ระบบส่งกำลัง : –
ระบบท่อไอเสีย : Akrapovic
กรองอากาศ : Twin Air
การส่งกำลังขั้นสุดท้าย :  โซ่ DID
เฟรม : Twin Spar Aluminium Alloy
กันสะเทือนหน้า :  KYB – PSF
กันสะเทือนหลัง :  ชุดกระเดื่อง ร่วมกับ ช๊อค KYB
ยาง : Pirelli
ล้อหน้าขนาด :  21 นิ้ว
ล้อหลังขนาด :  19 นิ้ว
วงล้อ : Excel
เบรกหน้า : จานดิสก์เดี่ยวแบบSteel Disc
ชุดเบรกจาก NISSIN/ BRAKING
เบรกหลัง : จานดิสก์เดี่ยวแบบ Steel Disc
ชุดเบรกจาก NISSIN/ BRAKING
สเตอร์, แฮนเดิลบาร์ และ ปลอกแฮนด์ : RENTHAL
ความจุถังเชื้อเพลิง : –
การจ่ายเชื้อเพลิง :  ETS
น้ำมันหล่อลื่น : MOTUL
ชุดสี และหุ้มเบาะ :  Blackbird Racing
อุปกรณ์เสริม :  Zeta Holeshot Device
ความยาว : –
ความสูง : –
วีลเบส : –
น้ำหนักรถ : –

YAMAHA YZF-R1 คว้าชัยการแข่งขัน Le Mans 24 Hr

เปิดฤดูกาล 2017 ยามาฮ่าคว้าชัยการแข่งขันแบบมาราธอน หรือเกมเอ็นดูร้านซ์ รายการใหญ่สุดในโลก กับรายการ 2017 FIM Endurance World Championship เลอมังส์ 24 ชั่วโมง ด้วยการคว้าแชมป์ และรองแชมป์มาครองด้วย YAMAHA YZF-R1 เข้าสู่การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบแบบมาราธอนพิชิตความทรหดของรถ และนักแข่งในรายการเอ็นดูร้านซ์ที่ประเทศฝรั่งเศษ ซึ่งนักแข่งจะต้องลงขับขี่รถจักรยานยนต์แบบมาราธอนถึง 24 ชม. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกกับรายการ Endurance France – Le Mans 24 Hours ซึ่งในปีนี้ยามาฮ่าวสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันกับตำแหน่งแชมป์ และรองแชมป์ในการแข่งขันนัดเปิดฤดูกาล โดยทีม GMT94 Yamaha Official EWC Team โดยทั้งสองทีมใช้รถยามาฮ่า YZF-R1

สองทีมแข่ง Yamaha ในเกมเอ็นดูร้านซ์ชิงแชมป์โลก ทำผลงานยอดเยี่ยมคว้าชัยชนะในการแข่งขัน 24 ช.ม.ที่ Bugatti Circuit ใน Le Mans ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งสังเวียนแข่งขันเก็บคะแนนสะสม 2017 FIM Endurance World Championship โดยทีม GMT94 Yamaha Official EWC Team ที่มี 3 นักแข่งอย่าง David Checa ,Mike Di Meglio และ Niccolo Canepa ร่วมกันทำรอบการแข่งขันได้รวม 860 รอบ ด้วยเวลารวม 24 ชั่วโมง 04.27 นาที ในขณะที่ทีม YART Yamaha Official EWC Team ที่มีนักแข่งอย่าง Broc Parkes, Marvin Fritz และ Kohta Nozane ทำจำนวนรอบได้ 860 รอบเท่ากัน แต่ใช้เวลารวมมากกว่า 19.819 นาที ส่งผลให้ทั้งสองทีมทางการของ Yamaha คว้าชัยชนะอันดับ 1 และ2 ในการชิงชัยเอ็นดูร้านซ์ 24 ชั่วโมงนี้ไปได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งผลการแข่งขันในกลุ่มสิบอันดับแรกมีดังนี้

1.GMT94 Yamaha Official EWC Team (No.94)  Yamaha YZF-R1 – 860 laps  24:04:27

2.YART Yamaha Official EWC Team (7) Yamaha YZF-R1 – 860 laps  +19.819

3.Team SRC Kawasaki – 848 laps  +12 lps

4.Suzuki Endurance Racing Team – 848 laps  +12 lps

5.F.C.C. TSR Honda – 843 laps  +17 lps

6.Tati Team Beaujolais Racing – 837 laps  +23 lps

7.Moto AIN CRT – Yamaha YZF-R1 – 834 laps +26 lps

8.Maco Racing Team – Yamaha YZF-R1 – 831 laps  +29 lps

9.Yamaha Viltaïs Experience – Yamaha YZF-R1 – 829 laps  +31 lps

10.AM Moto Racing Competition – 824 laps  +36 lps

MSX125 SUPERTRACKER

จัดมาให้สำหรับนักบิดที่ชอบความสปอร์ตในรูปแบบของรถจักรยานยนต์มินิโมตาร์ด ดีไซน์ออกแนวล้ำอนาคตและมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 125 ซีซี บิดได้เร้าใจแบบสั่งได้ด้วยคลัทช์มือ และเทคโนโลยีระบบหัวฉีด อัจฉริยะ PGM-Fi ที่ให้ทั้งความสนุกและความมันกับเจ้าโมเดิร์น สตรีทไบค์ MSX 125 จากค่ายปีกนกที่คัดสรรรถจักรยานยนต์หลากหลายสไตล์มาเพื่อตอบสนองความต้องการของวัยรุ่น เรียกได้ว่าจัดมาเต็มๆ กับการตกแต่งในแบบสปอร์ตไอเดียสุดเดิร์นด้วยออฟชั่นในมุมต่างๆ สีสันลวดลายมาในแนวของรถสปอร์ต

ช่วงล่างมาพร้อมกับวงล้อแม็กขนาด 10 นิ้ว และยางหน้ากว้างแบบเรเดียลจุ๊บเลสโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับเพิ่มลุคระดับพรีเมี่ยม ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์ brembo แบบลูกสูบเดี่ยวเข้ากับรถแบบมินิ จานดิสก์สร้างพร้อมโฟลท์ติ้งอลูมินัมแบบให้ตัว ไฟหน้ายกของเดิมเก็บไว้เป็นอะไหล่ จัดใหม่แบบสองดวงถูกติดตั้งไว้ที่การ์ดออกแบบดีไซน์ใหม่แนวเอเลี่ยนแฮนด์บาร์ระดับต่ำ ประกับคันเร่งแบบทดรอบ ปั๊มแรงดันดิสก์เบรก brembo แท้งค์เล็กก้านสั้น ตัวเรือนไมล์ดิจิตอลอ่านง่ายครบทุกฟังก์ชั่นของดีที่จัดมาพร้อมกับตัวรถ ครอบถังด้านบนลายเคฟล่าร์ เบาะนั่งเย็บเล่นลาย พักเท้าแบบยาวชิ้นเดียวกับคนซ้อน โช้คอัพหลังเดี่ยวแบบโมโน ของแต่งระดับท๊อปจากค่าย
Gazi ที่มีตัวปรับรีบาวด์ความหนืดได้ตามความต้องการ พรีโหลดความแข็งอ่อน ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัมทรงเหลี่ยม ดิสก์เบรกหลัง คาลิเปอร์ brembo ลูกสูบเดี่ยวห้อยล่าง ช่วงท้ายเปลือยโล่งในแบบเรซซิ่งสปอร์ตส่วนเครื่องยนต์บิดสนุกทุกอารมณ์ เพิ่มสมรรถนะการระบายความร้อนด้วยชุดออยคูลเลอร์อลูมินัมถูกวางตำแหน่งอยู่ด้านในอย่างลงตัวต่อเข้ากับฝาสูบด้วยสายถักสเตนเลส ตัวกรองเปลือยหันออกข้างรับอากาศ เสริมชุดการ์ดกันแคร้งอลูมินัมในแบบสปอร์ต และท่อไปเสียปลายแบบซูเปอร์แท๊ป

ของใหม่ก็มาแรงต้องเจอกับการตกแต่งใหม่ๆ ออพชั่นเพียบจัดมาเพื่อการขับขี่ที่ดีและความสวย เท่ห์ ในแบบฉบับของ โมเดิร์นสตรีทไบค์

2017 TC125 ขาวปลอดยอดอัศวิน 2 จังหวะ

หายไปนานกับโมโตครอส 2 จังหวะเมื่อกระแสโลกสวยด้วยมือเรามาพรากเอาไปแล้วให้บิด 4 จังหวะกันจนชิน ทว่ายังมีความนิยมที่แฝงเร้นทำให้ยังมีการผลิตสนองความต้องการของตลาด แม้แทบจะลาขาดจากสนามแข่งแต่ความแรงของ 2 จังหวะยังเป็นที่โหยหาของนักบิดที่เคยได้ลิ้มลอง TC125 ปี 2017 คือตัวเลือกที่ครอบครองได้อย่างสะดวกใจในราชอาณาจักรไทยขณะนี้

เทคโนโลยีเบสิค
ด้วยการผลักดันจากส่วนใดก็แล้วแต่ เทคโนโลยีรถโมโตครอส 4 จังหวะก้าวไกลถึงขนาดใส่แทร็คชั่นคอนโทรลกันไปแล้ว แต่กับ TC125 ยังคงเป็นรถแข่งแบบดิบๆ ที่พร้อมหยิบยื่นความแรงแบบจริงใจไม่ซับซ้อนจากกลไกที่ใช้มาตั้งแต่ยุคอนาลอค เครื่องยนต์ 2 จังหวะ สูบเดียวระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบเพาเวอร์วาล์ว ยังคงได้รับการป้อนเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์มิคูนิ 38 มม.แฟลตสไลด์ที่ไร้แจ็คเสียบและสายไฟ สิ่งที่ฮัสควาน่าทำคือย่อและรีดน้ำหนักของเครื่องยนต์ให้เล็กและเบาที่สุดด้วยวัสดุที่เลือกสรร ขนาดฝาครอบจานไฟยังใช้พลาสติก เห็นดิบๆ อย่างนี้ 40 แรงม้าก็มาเต็มๆ นะ

เฟรมลูกผสม
เช่นเดียวกับไลน์ของโมโตครอส 4 จังหวะ TC125 ปี 2017 ได้มาไม่น้อยหน้าด้วยเฟรมเหล็กโครโมลิบ ดินั่ม ส่วนซับเฟรมด้านท้ายใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งนอกจากจะเบาแล้วยังขึ้นรูปง่ายทำให้ดีไซน์เป็นที่จัดวางอุปกรณ์พร้อมหม้อกรองอากาศได้ในตัวเดียวกัน เป็นการผสมผสานทั้งเทคโนโลยีและการใช้งานที่ฉลาดลงตัวมาก

กันสะเทือนอัพเกรด
เป็นส่วนที่ได้ประโยชน์ตามยุคสมัยมากที่สุด เพราะสามารถนำเอาเทคโนโลยีกันสะเทือนของยุคใหม่เข้ามาใส่ในรถอนุรักษ์นิยมได้อย่างไม่ติดขัด แน่นอนว่าเป็นสัมปทานงานเหมาของเจ้าเดิม WP คราวนี้ให้มาเป็นรุ่นล่าสุด AER48 ที่ไม่ต้องใช้สปริงแล้ว ส่วนโช้คหลังเดี่ยวก็พัฒนาควบคู่กันไปด้วยรหัส DCC ที่ทำงานคู่กับกระเดื่องทดแรงซึ่งระบบการทำงานคุ้นเคยกันดี

แม้แต่ปลอกแฮนด์ก็ยังเลือกของแบรนด์เนม

ปั๊มมือสำหรับสูบลมโช้คหน้า

ปั๊มคลัทช์ของ MAGURA

เครื่องยนต์เล็กห้องเครื่องโล่งเพื่อเซอร์วิส

ชิ้นไหนแจมอะไหล่ได้ดูง่ายเลย

พักเท้าตัว Y เหยียบสบายกว้างมาก

AER48 ให้สามผ่าน!!!

งานเบรกของเบรมโบ้ทั้งเซ็ต

มีดีต้องโชว์ ปลายซับเฟรมคาร์บอน

ของดีรอบคัน
แม้ว่าค่ายต่างๆ จากแดนอาทิตย์อุทัยจะปรับปรุงตัวด้วยการเริ่มเลือกใช้อุปกรณ์จากผู้ผลิตเฉพาะทางที่มีชื่อเสียงมาใช้ในรถตัวเองบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เท่าที่ฮัสควาน่าจัดหามาประดับ แฮนด์โปรเทเปอร์พร้อมปลอกแฮนด์ ODI แถมยังให้การ์ดแฮนด์มาอีก ก้านบีบทั้ง 2 ด้านเป็นการสั่งงานผ่านระบบน้ำมันด้วยปั๊มเบรกเบรมโบ้และปั๊มคลัทช์มากูระ พักเท้าขนาดกว้างใหญ่ ขาเกียร์ทรงไม่คุ้นตากับการวางตำแหน่งที่ห่างจากพักเท้ามากกว่าที่คุ้นเคย การ์ดเฟรมกันสีถลอกถึงไม่บอกยี่ห้อก็รู้สึกดีที่มีมาให้ แถมยังได้ตัวนับชั่วโมงการทำงานของเครื่องยนต์ติดมาให้บนแผงคอ เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถโมโตครอสที่ต้องการการดูแลบ่อยครั้งกว่ารถใช้งานทั่วๆ ไป

ขอขอบคุณ คุณวิรัช ธนะแพสย์ แห่งโรงกลึงเจริญยนต์ร้อยเอ็ด ที่ยังคงจัดเต็มกันเหมือนเดิม พร้อมการสนับสนุนจากน้ำมันเครื่อง GPR และวงล้อ YOKO SUPER 7 ขาดไม่ได้คือชุดนักทดสอบจาก DirtShop และเครื่องดื่ม GSD สดชื่นตลอดการเดินทาง รวมถึงผู้อ่านทุกๆ ท่าน อย่าลืมคลิกไปชมคลิปวิดีโอการทดสอบกันด้วยนะ

ความเห็นนักทดสอบ “เขมรัฐ สุธรรมวาท”
“เล็ก บาง เบา สั้น สูง แรงมั้ยตอบว่าแรง รอบเครื่องมันยังมีช่วงเวลาให้เราพอจะเตรียมตัวรับมือกับมันได้บ้าง อันนี้คือปรับนมหนูลงมาแล้วนะครับ เดิมๆ ต้องคุยกันที่รอบสูงๆ อย่างเดียวเลย ยังไม่มีเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น การควบคุมทุกอย่างจะต้องมาจากคนขี่ทั้งหมด มิติรถที่โดดเด่นคือความสูง สูงมากจนจะสตาร์ททีต้องหาที่สูงๆ เหยียบจะง่ายกว่า ดีที่ว่าแรงต้านจากคันสตาร์ทมันไม่มากมาย สตาร์ทติดง่ายครับ มิติที่เล็กและน้ำหนักที่เบามันทำให้เลี้ยวโค้งได้ง่ายด้วยครับ เป็นรถที่เลี้ยวง่ายมาก จับไลน์เลี้ยวได้แบบไม่น่ากลัว ก่อนวาล์วเปิดก็มีแรงบิดบางๆ ดันส่งเหมือนกัน แต่ถ้าวาล์วเปิดล่ะก็ความมันส์มาเยือนแน่นอนครับ ส่วนการควบคุมนี่ผมชอบมาก เพราะตัวรถเขาเล็กแล้วก็เบา ผนวกกับการใช้กันสะเทือนที่ถือว่าแนวหน้าของโลก โช้คหน้าที่เป็นการใช้แรงดันอากาศแทนสปริงนี่ขี่แรกๆ เหมือนจะแข็ง ก็ลองลดแรงดันลง แต่พอเริ่มคุ้นจนมีความเร็วแล้วก็ปรับอีกจนแรงดันมาพอดีตามที่คู่มือแนะนำคือ 8.2 บาร์ ส่วนโช้คหลังรู้สึกรีบาวด์ไวไปนิดปรับ 3 คลิกพอดี ความมั่นใจคล้ายๆ ตอนขี่ FC250 เลย คือวิ่งชนหน้าเนินไปเลย มันตกตรงไหนก็ช่างมันซับได้ไม่เด้ง การเลี้ยวบนพื้นกว้างก็คล้ายกันผมว่ามิติของรถนี่มันได้ คือเรานั่งในตำแหน่งที่คุมรถแล้วเปิดคันเร่งได้ง่าย ยิ่งผ้าหุ้มเบาะที่เป็นลายหยาบหนามใหญ่ๆ นี่เกาะก้นดีเหลือเกินชอบมาก นั่งแล้วไม่ค่อยไหลไปตรงอื่น เบรกก็สมราคาครับงานของเบรมโบ้ ตรงนี้มันทำให้ผมรู้สึกมั่นใจแล้วล่ะว่าโช้คหน้าตัวนี้ WP AER48 เนี่ย เป็นโช้คใช้แรงดันอากาศแทนสปริงที่ให้ความรู้สึกคล้ายการใช้ขดลวดสปริงมากที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ครับ
ขาเกียร์หน้าตาดูแตกต่างนะครับ ลายกันลื่นจะไม่ถี่หยาบ อีกอย่างที่ผมสังเกตคือระยะจากพักเท้าถึงขาเกียร์นี่มันดูจะไกลกว่ารถจากญี่ปุ่นอยู่พอสมควร ผมว่าสะดวกดีไม่ต้องระวังมากว่าจะไปโดนโดยไม่ตั้งใจ แต่การชิพเกียร์ก็ง่ายนะไม่ได้ติดขัดอะไรเลย คงไม่มีอะไรมากมายนอกจากถ้าใจรักแล้วก็ทำความคุ้นเคยกับมันเยอะๆ นะครับ ความสนุกมันจะเกิดก็ตอนที่คุณอยู่ในช่วงที่วาล์วมันเปิด ส่วนมิติตัวรถนั้นมันควบคุมง่ายอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะมีเวลาให้กับมันขนาดไหนเท่านั้น”

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 1 สูบ 2 จังหวะ
ปริมาตร 124.8 ซีซี
กระบอกสูบ 54 มม.
ระยะชัก 54.5 มม.
ระบบสตาร์ท เท้า
เกียร์ 6 สปีด
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น, ปั๊มไฮดรอลิกมากูระ
เฟรม เหล็กโครโมลิบดินัม
โช้คหน้า หัวกลับ WP AER48 ระยะยุบ 310 มม.
โช้คหลัง โช้คเดี่ยว WP พร้อมกระเดื่อง ระยะยุบ 300 มม.
เบรกหน้า เบรมโบ้ลูกสูบคู่ 260 มม.
เบรกหลัง เบรมโบ้ลูกสูบเดี่ยว 220 มม.
ระยะฐานล้อ 1,485 มม.
สูงถึงเบาะ 960 มม.
ถังน้ำมันจุ 7 ลิตร
น้ำหนักตัวไม่รวมเชื้อเพลิง 87.4 กก.

Kawasaki Z900 New Neked Bike

สายพันธุ์เน็กเก็ดไบค์จากตระกูล Z Series ได้รับการออกแบบที่ดูดุดันผสมผสานความเป็นสปอร์ตเพิ่มความโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น เน้นถึงสรีระการควบคุมขับขี่ที่คล่องแคล่ว กะทัดรัด และแน่นอนว่ามันมีน้ำหนักที่เบาจนไม่น่าเชื่อนี่คือเน็กเก็ดไบค์ขนาด 900 ซีซี ซึ่งนั่นคือจุดเด่นที่คาวาซากิได้ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่

สัดส่วนมิติใหม่ เร้าใจทุกมุมมอง…
Z900 ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาจาก Z800 แต่เป็นสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่แชสซีที่เป็นเทคโนโลยีเดียวกับ Ninja H2 เป็นแบบโครงเหล็กถักที่กระจายแรงบิดได้ดี และยังเด่นด้วยสีสัน ซึ่งแชสซีนั้นจะมีน้ำหนักค่อนข้างเบาอยู่ที่ 13.5 กก. เท่านั้น ไฟหน้าเพิ่มความโคงมนโฉบเฉี่ยวมากขึ้น แม้จะไม่ได้โหดดิบไปกว่า Z800 แต่ก็มีความทันสมัยและแปลกตาไปจากเดิม ปีกข้างหม้อน้ำโฉบเฉี่ยว ไฟหน้ามีความโค้งมนมากขึ้น มาตรวัดแบบ LED มีบอกตำแหน่งเกียร์ และมีไฟ Shift light เตือนให้เปลี่ยนเกียร์เมื่อถึงรอบที่เหมาะสม โหมดการขับขี่ 3 โหมด เบาะนั่งมีความสูงจากพื้น 794 มิลลิเมตร (เตี้ยกว่า Z800) และเว้ารับกับถังน้ำมันทำให้หนีบเข่าได้กระชับมากยิ่งขึ้น ด้านท้ายเพรียวแบบสปอร์ต ระบบการทำงานของดิสก์เบรกหน้าแบบทวินดิสก์เบรก จานขนาดใหญ่คาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ดิสก์เบรกหลังเดี่ยว วางเยื้องศูนย์เล็กน้อย ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัม

สมรรถนะเครื่องยนต์ บิดสนุก เร้าใจ
Z900 คันนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 948 ซีซี ซึ่งถือว่าเซอร์ไพร์สเลยทีเดียว เพราะขนาดเครื่องยนต์นั้นใหญ่กว่าชื่อรุ่น 900 ไปถึง 948 ซีซี แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว 4 จังหวะ DOHC จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ส่งผ่านกำลังราวๆ 125 แรงม้า มีระบบ Assist and Slipper Clutch ลดแรงกระชักของเครื่องยนต์เมื่อลดเกียร์ลงต่ำ ให้กำลังในการบิดที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่ในย่านความเร็วกลางถึงปลาย แต่การส่งกำลังนั้นจะเน้นความนุ่มนวลมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะสร้างความมั่นใจในการคอนโทรลรถกับผู้ขี่ ตัวท่อรถนั้นเป็นแบบ 4 สูบออก 1 ท่อ ที่มีหัวขนาด 35 มม.ในส่วนของออพชั่นต่างๆ นั้นก็จะมีระบบ Assist & Slipper Clutch ที่จะช่วยให้ล้อหลังไม่สะบัดหรือล็อคเวลาเชนเกียร์ แล้วเอนจิ้นเบรกส่งผลการทำงานในย่านความเร็วสูง ส่วนโช้คอัพด้านหน้านั้นเป็นแบบหัวกลับขนาด 41 มม. โดยสามารถปรับระยะยุบตัวและคืนตัว (พรีโหลดแอนด์รีบาวด์)ได้อย่างละเอียด ในขณะที่ด้านหลังเป็นโช้คแบบยูนิตลิงค์ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ซึ่งแน่นอนว่าสามารถปรับระยะพรีโหลดได้เช่นกัน สำหรับดิสก์เบรกหน้านั้นเป็นดิสก์คู่ขนาดใหญ่ 300 มม. ทำงานร่วมกับระบบเบรก ABS ของ Nissin ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับการเบรกทุก ล้อแม็กนั้นเป็นแบบ 5 ก้านดีไซน์ใหม่ที่น่าสนใจทีเดียว และที่สำคัญในส่วนของไฟท้ายนั้นจะเป็นแบบ LED รูปทรง “Z” ที่บ่งบอกความเป็นตัวตนอย่างชัดเจน

ความคิดเห็นนักทดสอบ จตุรงค์ หมื่นทิพย์
“ตัวนี้เป็นตัวพิเศษพร้อมออพชั่นเสริม แรกเห็นก็ต้องบอกมันโดนมากๆ กับรูปทรงเน็กเก็ดไบค์พันธุ์แท้ โดดเด่นด้วยการดีไซน์และดูเพรียวกระชับ ซึ่งทางคาวาซากิเองก็การันตีได้ถึงความเบาที่เน้นถึงความคล่องตัว สัมผัสแรกเมื่อขึ้นคร่อมความสูงจากเบาะถึงพื้นที่ไม่สูงมากขนาด ผู้ทดสอบสูงเพียง 168 ซม. วางเท้าได้เกือบเต็ม ทำให้มั่นใจมากขึ้น แฮนด์เดิ้ลบาร์ขนาดพอเหมาะไม่กว้างจนเกินไป เรือนไมล์อ่านง่ายชัดเจนแบบฟูลดิจิตอล ช่วงแรกอาจจะต้องปรับตัวสักพักเพราะการบอกรอบเครื่องยนต์เป็นดิจิตอลขึ้นเป็นขีดๆสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมกับการใส่เกียร์เปิดคันเร่งเดินหน้า การคาดหวังถึงรอบเครื่องยนต์ที่จะจี๊ดจ๊าด…ถูกความนุ่มนวลสยบลงโดยสิ้นเชิง รอบที่มาแบบเรียบๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก รู้สึกว่ารถในคอนโทรลง่ายในรอบต่ำ เสียงทุ้มๆ ตามสไตล์ 4 สูบเรียง ทำความรู้จักกันสักพักก่อนค่อยเติมคันเร่งด้วยความเร็วที่สูงขึ้น การทำงานของรอบเครื่องยนต์ที่นิ่มนวลค่อยๆ ลั่น และทะยานอย่างรวดเร็วเมื่อรอบกวาดเลย 7,000 รอบ/นาที ขึ้นไป ช่วงเกียร์ 1 -2 -3 ค่อนข้างจะลากรอบได้สั้น แต่ปลายๆ เกียร์ 3 ต่อ 4-5-6 จะมาเป็นพายุ สมความแรงของคาวาซากิในแบบสปอร์ตยัดมาให้เต็มๆ จนทำให้การต่อเกียร์ในความเร็วสูงนั้นหน้าจะสะบัดเล็กน้อยด้วยความเบา สำหรับการทรงตัวควบคุมที่อออกแบบช่วงเว้าถังกับเบาะให้หนีบได้กระชับ ทำให้ง่ายต่อการพลิกเลี้ยวทั้งซิกแซกเมื่อรถติดหรือโค้งแคบและกว้าง ระบบซับเพนชั่นหลังเดิมๆ ที่มีอาการย้วยนิดๆ เมื่อเติมคันเร่งออกจากโค้ง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะว่าโช้คอัพหลังสามารถปรับพรีโหลดได้ ตามน้ำหนักของผู้ขับขี่ เบรกหน้าทวินดิสก์สั่งการทันใจพร้อม ABS ที่ตอบสนองได้ดี โดยรวมๆ ถือว่า อารมณ์จะเป็นเหมือนกับรถ 1000 ซีซี ที่ตอบสนองความเร้าใจในรอบกลางและปลาย แต่โดดเด่นด้วยสรีระที่เพรียว กะทัดรัด และน้ำหนักเบา จะว่าไปแล้วกับตัวธรรมดา เปิดราคา 399,000 บาท ส่วนตัวพิเศษ 429,000 กับเครื่องยนต์ 948 ซีซี คุ้มค่ามาก..

All New Yamaha MT-09

เน็กเก็ดสายพันธุ์ดิบจากค่ายส้อมเสียง ได้เวลาแห่งการปรับเปลี่ยนโฉม ด้วยรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ ที่มีฉายาว่า “Eyes of Darkness” คราวนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น

สิ่งแรกที่เห็นก็คือไฟหน้า 2 ดวงแยกฝั่งซ้ายขวา และใช้หลอด LED 2 หลอดเล็กอยู่ภายใน ส่วนด้านใต้ LED ยังเสริมไฟรันนิ่งไลท์อยู่ด้านใต้ด้วย ในตำแหน่งของไฟเลี้ยววางที่ให้อยู่ใหม่ที่ด้านข้างหม้อน้ำและไฟท้าย LED 3 มิติเป็นรูปทรงตัว “M” มีการออกแบบใช้เส้นสายที่เฉียบคมและมีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม ช่วงท้ายสั้นลงกว่าเดิม 30 มม. เบาะนั่งออกแบบใหม่มีความหนามากกว่าเดิม5 มม. และปรับรูปทรงให้เหมาะสมสำหรับผู้ขี่ทำให้การเบรก, เข้าโค้ง หรือ การเร่ง ก็ทำได้ถนัดมากยิ่งขึ้น และในส่วนของเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่องยนต์ขนาด 847 ซีซี แบบ 3 สูบ DOHC 4 จังหวะ 4 วาล์ว แบบ Crossplane ทำให้มีอัตราการเร่งที่ดีในทุกย่านความเร็ว ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 11.5:1 ให้แรงม้ามาอยู่สูงสุดที่ 115 แรงม้า ที่ 10,000 รอบ/นาที และทอร์คสูงสุดที่ 87.5 Nm ที่ 8,500 รอบต่อนาที คลัทช์เป็นแบบเปียก สตาร์ทมือไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยโซ่กับระบบเกียร์ 6 สปีด มิติของตัวรถ ยาว 2,075 มม. กว้าง 815 มม. สูง 1,120 มม. ความสูงเบาะนั่ง 820 มม. ระยะห่างฐานล้อ 1,440 มม. น้ำหนักตัวรถโดยรวมอยู่ที่ 193 กก. ความจุถังน้ำมันได้ 14 ลิตร เฟรมเป็นแบบไดมอนด์ โช้คอัพด้านหน้าเป็นแบบ Telescopic forks Upside Down ส่วนด้านท้ายเป็นแบบโมโนลิงค์ ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มขนาดใหญ่ ช่วงล่าง ระบบเบรกหน้าแบบดับเบิ้ลดิสก์เบรก 298 มม. ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มม. ยางหน้า ขนาด 120/70ZR17M/C ยางหลัง 180/55ZR17M/C

และที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือตัวรถ MT-09 2017 นั้นจะมีระบบออพชั่นต่างๆอย่างเช่น Quick Shift System (QSS) ระบบในการช่วยเปลี่ยนเกียร์ให้โดยไม่
ต้องบีบคลัทช์ และยังมีระบบ Assist & Slipper (A&S) Clutch ที่ช่วยในการป้องการล้อหมุนฟรี, Adjustable suspension for enhanced sports riding ช่วยในการปรับระดับของระบบกันสะเทือนทั้งหน้าและหลัง, D-Mode adjustable engine character ที่จะช่วยในการปรับโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่แตกต่าง, ที่ใส่ป้ายทะเบียนด้านหลังแขนเดี่ยว mounted licence plate holder ใครที่รอคอยเจ้า All New Yamaha MT-09 ก็เตรียมตัวกันได้เลย คาดว่าในช่วงอีกไม่นานนี้ก็จะเข้ามาวางขายกันในบ้านเราแล้ว

2017 YZ250F ปรับเครื่องใหม่ ใส่โช้คแข็ง

เป็นปีที่ 4 ของรูปโฉมที่มาพร้อมเครื่องยนต์หัวฉีดในรถโมโตครอส YZ250F ปี 2017 ใช่ว่าจะไม่มีอะไรที่แตกต่างเมื่อยามาฮ่าได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายจุดทั้งส่วนของเครื่องยนต์ เฟรม และกันสะเทือน ที่จะทำให้ 2017 YZ250F มีคาแรคเตอร์ในการขับขี่ที่ไม่เหมือนปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

ถือว่าเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในทุกๆ สนามแข่งขันทั่วโลก ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่ YZF สามารถกลับมาสร้างชื่อคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง ด้วยดีไซน์การออกแบบมิติตัวรถที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ของตัวเองมาตลอด ผนวกกับการนำเอาเทคโนโลยีหัวฉีดเข้ามาใช้ก็ทำให้นักแข่งในสังกัดของยามาฮ่าขึ้นมาผงาดในแถวหน้าให้เห็นกันบ่อยๆ และในปี 2017 นี้ก็นับเป็นวาระครบ 4 ปีของโฉมนี้ทำให้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมใหญ่ๆ แต่ในรายละเอียดแล้วได้มีการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนในหลายจุดจึงทำให้เป็นเหตุผลของหลายคนที่ต้องยอมควักกระเป๋าอีกรอบเพื่อโมเดลนี้

เครื่องยนต์ของคนห้าวลึก
4 จังหวะ 4 วาล์วหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ 5 เกียร์ คือพื้นฐานดั้งเดิมที่มีการเปลี่ยนแปลงสเป็คของเพลาข้อเหวี่ยงใหม่ ให้สัมพันธ์กับการทำงานที่รอบสูงมากยิ่งขึ้น เพราะสไตล์ของ 2017 จะเน้นการเค้นที่รอบกลางถึงสูงให้มีประสิทธิภาพยิ่งยวด ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนในชิ้นส่วนของฝาสูบเพื่อเน้นการส่งไอดีเข้าสู่ห้องเผาไหม้ให้ได้ทันอกทันใจและมากพอ เรือนลิ้นเร่งยังเป็นของ Keihin กลไกการเปลี่ยนเกียร์ก็ปรับปรุงใหม่ให้ง่ายต่อการเข้าเกียร์ด้วยเช่นกัน

ท่อไอเสียเปลี่ยนขนาดคอใหม่

เกียร์เข้าง่ายจนสังเกตไม่ได้ว่าดีขึ้นยังไง

บล็อคตั้งโซ่สีทองเหมือนของแต่ง

วัดเดือนปีที่ผลิตชัดเจน

พักเท้าต่ำลงพร้อมเสริมให้แข็งแรงขึ้น

เฟรมขยับปรับจุด
เฟรมอลูมินัมทรงเดิมที่เพิ่มเติมมีเรื่องความแข็งแรงของจุดยึดพักเท้า แถมยังเลื่อนต่ำลงกว่าโมเดลก่อน 5 มม. ทำให้ขาหนีบข้างรถได้ลึกขึ้น อีกส่วนคือแผ่นยึดเครื่องยนต์ที่แข็งแรงกว่าเดิมรองรับการเพิ่มของรอบรัวๆ
โช้คหน้ามหาโหด
กันสะเทือนปรับเปลี่ยนไปมากด้วยความตั้งใจ เนื่องจาก YZ250F เป็นรุ่นเดียวในคลาสที่ยังคงใช้โช้คหน้าแบบกลไกและน้ำมันดั้งเดิมทำให้ดูจะเป็นความหวังของนักบิดที่ต้องการความนุ่มนวลในที แต่กับ Kayaba SSS (Speed Sensitive System) ของปี 2017 กลับถูกปรับเซ็ทให้โช้คโดยเฉพาะด้านหน้าเพิ่มความแข็งมากยิ่งขึ้น สไตล์ความเร็วสูงและการโดดหนักๆ ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรกับการขี่ลุยบนพื้นหรือขี่ความเร็วต่ำ ส่วนโช้คหลังยังคงทำหน้าที่ได้ไร้ที่ติ

ชุดควบคุมตอนหน้ายังให้มาเดิมๆ

ดิสก์เบรกโอเวอร์ไซส์ใหญ่สุด

ท่อไอเสียอ้วนสั้นหลบใน

แอบหรูดูดีด้วยสีทอง
ยังคงมีออกมาให้เลือกกัน 2 สี คือน้ำเงินกับขาว โดยที่มีการเพิ่มความดูดีมีระดับให้กับทั้งสองแนว ด้วยการใช้บล็อกตั้งโซ่, โซ่ และตัวล็อคสายเบรกหน้าเป็นสีทอง วงล้อสีดำเข้มและแฮนด์เดิลแบบเทเปอร์ไร้บาร์ขวางเช่นเคย โดยรถทดสอบในครั้งนี้เป็นสีขาวลิมิเต็ด จากความเอื้อเฟื้อของผู้กองคิด ร้อยตำรวจเอกสมคิด ยานะพันธ์ ตำรวจมือปราบผู้มีความเร็วในหัวใจแห่งเมืองชลบุรี

ขอบคุณสนามเขาไม้แก้ว จังหวัดชลบุรี ชุดนักทดสอบจากร้านเดิร์ทช็อพ สนับสนุนการเดินทางโดยเครื่องดื่ม GSD และขาดไม่ได้กับผู้สนับสนุนคอลัมน์คือวงล้อโยโกกับน้ำมันเครื่อง GPR ฉบับหน้าพบกันใหม่กับตัวจี๊ด 2 จังหวะปี 2017 กันบ้าง

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 1 สูบ DOHC 4 วาล์วไทเทเนียม
ปริมาตร 250 ซีซี
กระบอกสูบ 77 มม.
ระยะชัก 53.6 มม.
สตาร์ท เท้า
เกียร์ 5 สปีด
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น
เรือนลิ้นเร่ง Keihin 44 มม.
เฟรม อลูมินัม
โช้คหน้า หัวกลับ KYB ช่วงยุบ 12.2 นิ้ว
โช้คหลัง โช้คเดี่ยว KYB ช่วงยุบ 12.4 นิ้ว
เบรกหน้า คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ จานดิสก์ขนาด 270 มม.
เบรกหลัง คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว จาน ดิสก์ขนาด 245 มม.
กว้าง 32.5 นิ้ว
ยาว 85.2 นิ้ว
สูง 50.4 นิ้ว
ระยะฐานล้อ 58.1 นิ้ว
สูงจากพื้น 12.8 นิ้ว
สูงถึงเบาะ 38.0 นิ้ว
ความจุถังน้ำมัน 7.4 ลิตร
น้ำหนักไม่รวมเชื้อเพลิง 104 กก.
ความเห็นนักทดสอบ “เขมรัฐ สุธรรมวาท”
“ดูด้วยสายตาแทบไม่รู้เลยว่ามีอะไรที่ได้รับการปรับปรุงจากภายในบ้าง ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นชิ้นงานที่เป็นสีทองโดยเฉพาะบล็อคตั้งโซ่ที่เหมือนของแต่งทำให้รถดูดีมากๆ สีขาวของชุดพลาสติกกับกราฟฟิคแบบเรียบง่ายก็ดูสะอาดตาไปอีกแบบครับเครื่องยนต์ยังคงสตาร์ทง่าย เสียงดูดของกรองและเสียงท่อไอเสียยังดังลั่นถึงผู้ขับขี่ไม่น้อยกว่าคนที่ยืนดู กำลังของเครื่องยนต์มาที่รอบลึกหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นรถที่ขี่ยาก หรือเรียกกำลังยาก เพียงแต่ช่วงคะนองของมันต้องเดินรอบให้สูงสักหน่อยถึงจะเจอกับแรงม้าดุๆ ของมัน การตอบสนองของแรงบิดในช่วงต้นยังคงฉับไวสไตล์ 4 จังหวะ การเปลี่ยนเกียร์ปกติก็ง่ายอยู่แล้วทำให้ไม่รู้สึกถึงการปรับปรุงสักเท่าไร ยังเป็นเครื่องยนต์ที่ตอบสนองฉับไวเพียงแต่ย้ายย่านกำลังไปที่รอบสูงกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้นกันสะเทือนรองรับการโดดได้หมดจดจริงๆ นิ่งและหนึบมากๆ ขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกกระด้างเวลาวิ่งพื้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะโช้คหน้า ทำให้กลายเป็นรถหน้าไวเลี้ยววูบวาบไปด้วยเลย เจอพื้นเป็นคลื่นต้องมีสมาธิกับการคุมหน้ารถมากๆ ครับ แทบจะแข็งกว่าโช้คอัดอากาศแทนสปริงของรุ่นอื่นเสียอีก พักเท้าที่เลื่อนต่ำลงไปเพียง 5 มม.แต่ก็รู้สึกได้ชัดมากนะครับว่าขาแนบข้างตัวรถได้ลึกกว่าเดิม ทำให้ยืนได้มั่นคงขึ้นเป็นประโยชน์มากเวลาที่ต้องหนีบรถให้มั่นคง ที่เหลือส่วนอื่นยังคงคล้ายเดิมรวมๆ แล้วมันเป็นรถที่ต้องขี่ให้เร็วจึงจะอยู่ในย่านกำลังของเครื่องยนต์ โช้คอัพก็เช่นกันกับการกระแทกหนักจากการโดดนั้นมันนิ่งมากแต่งานรูดคลื่นบนพื้นยังเป็นปัญหาสำหรับน้ำหนักตัวคนขี่ที่ไม่ถึง 70 กก.ไม่รวมชุด สองอย่างนี้ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นรถของผู้ที่มีความชำนาญในการขับขี่ระดับหนึ่งจึงจะถูกใจกับการขี่มันในสภาพเดิมๆ ครับ”