ฮือฮา!! Kawasaki Team Green ดึงตัว “ติ๊งโน๊ต” ดวลศึกออลเจแปนรุ่น JSB1000

ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร สุดยอดขุนพลนักบิด CORE” Kawasaki Thailand Racing Team ทำผลงานโดดเด่นเข้าตา Kawasaki Team Green ที่รู้จักกันดีในนามทีมโรงงานคาวาซากิประเทศญี่ปุ่น ถึงขั้นเรียกตัวเพื่อดวลศึกใหญ่ รายการ MFJ SUPERBIKE ALL JAPAN ROAD RACECHAMPIONSHIP 2018 สนาม 8 ปลายเดือนกันยายนนี้ ณ สนามโอกะยะมะ ประเทศญี่ปุ่น  

เมื่อเช้าวันพุธที่ 19 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา ติ๊งโน๊ต ได้ออกเดินทางไปล่วงหน้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการปรับตัวให้เข้ากับรถแข่งที่ทางช่างเทคนิคจากทีมโรงงานประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้เซ็ทอัพให้ทั้งหมด ทั้งนี้     ติ๊งโน๊ต จะลงแข่งขันในนาม Kawasaki Team Green ร่วมกับนักแข่งญี่ปุ่น #11 คาซึมะ วาตานาเบ้ ในรุ่น JSB 1000 ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่สุดของรายการ โดยใช้รถแข่งหมายเลข #15 ลงทำการแข่งขันร่วมส่งกำลังใจเชียร์นักแข่งไทย และติดตามผลการแข่งขันได้ที่

https://www.facebook.com/KawasakiMotorsThailand/

https://www.facebook.com/kmtracing/

2019 Husqvarna FE250 FE350

ด้วยเครื่องยนต์ DOHC ขนาด 250 ซีซี และ 350 ซีซี ที่ไม่เป็นสองรองใครในบรรดากลุ่มรถเอ็นดูโร่จาก HusQvarna ที่ซึ่ง FE250 พัฒนามาสำหรับนักแข่งทุกระดับทักษะตั้งแต่มือใหม่จนถึงโปร ส่วน FE350 นั้นก็ได้พัฒนาออกมาให้มีพละกำลังที่ใกล้เคียงกับรถในพิกัด 450 ซีซี โดยโมเดลล่าสุดเครื่องยนต์ทั้งสองเวอร์ชั่นได้รับการเสริมสมรรถนะโดยรวมที่สูงขึ้น ด้วยการปรับแคมชาฟท์ให้มีความแข็งแกร่ง ลดแรงเสียดทานด้วยการเคลือบ DLC coated รวมทั้งการลดน้ำหนักชิ้นส่วนด้วยการใช้ titanium valves โดย FE250 ใช้วาล์วไททาเนียมไอดีขนาด 32.5 มม. วาล์วไอเสีย 26.5 มม.ที่ยังคงเป็นsteel ขณะที่ FE350 นั้น วาล์วไอดีขนาด 36.3 มม. กับวาล์วไอเสีย ขนาด 29.1 มม.นั้น เป็นวาล์วไททาเนียมทั้งคู่

ในส่วนของเสื้อสูบและลูกสูบนั้น FE250 ได้ใช้ขนาดกระบอกสูบ 78 มม. และ FE350 นั้นใช้ขนาดกระบอกสูบขนาด 88 มม. ที่ได้ออกแบบลูกสูบฟอร์กน้ำหนักเบา แข็งแกร่งที่เรียกว่า forged bridged-box-type piston ที่มีแรงเสียดทานต่ำพร้อมรองรับการทำงานที่รอบการทำงานเครื่องยนต์สูงให้ย่านกำลังที่กว้าง โดย FE250 มีอัตราส่วนกำลังอัดที่ 12.8:1 และ FE350 อยู่ที่ 12.3:1 สรุปการปรับเสริมในส่วนนี้ของเครื่องยนต์คือการลดน้ำหนักให้กับลูกสูบ และออกแบบเพื่อลดแรงเสียดสีภายในกระบอกสูบเพื่อให้สามารถรองรับรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่สูง และรอบจัดได้อย่างมีความทนทานเต็มสมรรถนะนั่นเอง เช่นเดียวกับในส่วนของแคมชาฟท์ที่มีการปรับชิ้นส่วนของแบริ่งเป็นแบบ plain big end bearing ที่การันตีชั่วโมงการใช้งานที่นานถึง 135 ชม. ต่อการที่จะต้องเปิดออกมาตรวจเช็คบำรุงรักษา รวมถึงชิ้นส่วนเกี่ยวเนื่องอย่าง counter balancer shaft ที่ออกแบบให้ลดการสั่นสะเทือนและมีความกะทัดรัดยิ่งขึ้น

สำหรับในส่วนของ Gearbox นั้นทั้ง FE250 และ FE350 ต่างก็คงใช้ gearbox ที่ออกแบบมาให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานในแบบเอ็นดูโร่ที่รองรับการขี่ด้วยย่านกำลังที่กว้างหรือ wide-range endure type อีกทั้งยังได้มีการอัพเกรด gearsensor ให้ทำงานได้อย่างเหมาะสมกับค่า engine map ในแต่ละเกียร์มากยิ่งขึ้น และในส่วนของคลัทซ์นั้นได้ปรับให้มีขนาดที่กะทัดรัดและทนทานมากยิ่งขึ้นโดยทั้งสองรุ่นนั้น เป็น DDS หรือ Dampened Diaphragm Steel clutches ที่มีความแม่นยำเที่ยงตรงอยู่ แล้วนั้นก็ได้รับการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทั้งทนทานและจับตัวได้ดีโดยในส่วนของ clutch basket นั้นได้ผลิตแบบชิ้นเดียว single-piece CNC machined steel โดยการทำงานของระบบนั้นจะใช้ชุดควบคุมการทำงานโดย Magura hydraulic system ที่สำคัญคือในไลน์ของรถซีรี่ส์ FE นี้ทาง Husqvarna พัฒนาระบบ offroad traction control system มาใช้เฉพาะสำหรับการขี่ในแบบเอ็นดูโร่ รวมทั้งในโมเดลใหม่นี้ได้ทำการอัพเดทปรับระบบกันสะเทือนด้วยการเซ็ตติ้งใหม่ให้เหมาะสมกับสมรรถนะโดยรวมของตัวรถ อีกทั้งยังนำ Li-ion battery รุ่นล่าสุด แทนที่แบตเดิมอีกด้วย

ยามาฮ่าจัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Yamaha Movie Party ปิดโรงพายามาฮ่าคลับดูหนังฟ

นางวารุณี เตชะบุญประทาน ผู้จัดการส่วนบริหารลูกค้าสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับสมาชิกยามาฮ่าคลับ ในกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ Yamaha Movie Party ที่ยามาฮ่าจัดให้กับลูกค้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่า และสมาชิกยามาฮ่าคลับที่ร่วมสนุกทางเฟสบุ๊ค Yamaha Club Thailand ด้วยการเหมาโรงภาพยนตร์สุดหรูพาสมาชิกชมภาพยนตร์เรื่อง PREDATOR ฟรี!! ก่อนใคร สำหรับกิจกรรมดีๆ อย่างนี้ยามาฮ่าจัดให้กับลูกค้าและเหล่าสมาชิกได้ร่วมสนุกอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยสามารถติดตามกิจกรรมสุดพิเศษเพื่อลูกค้ายามาฮ่าได้ที่ Facebook : Yamaha Club Thailand และ Yamaha Society Thailand รวมทั้งสามารถรับสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมายได้ที่ Application Yamaha Smart Reward สำหรับกิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นที่ เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก เมื่อเร็วๆ นี้

เช็กผลงานเด่น “ก้อง-สมเกียรติ” ดาวรุ่งจาก เอ.พี.ฮอนด้า

เช็กผลงานเด่น “ก้อง-สมเกียรติ” ดาวรุ่งจาก เอ.พี.ฮอนด้าว่าที่ฮีโร่นักบิดไทย ก่อนบู๊เดือดโมโตจีพีโฮมเรซที่บุรีรัมย์ นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่อึดใจ คนไทยทั้งประเทศจะได้เป็นเจ้าบ้านเพื่อต้อนรับการ มาเยือนของเกมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “โมโตจีพี” ซึ่งมีคิวจัดขึ้นครั้งแรกในเมืองไทย ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม นี้ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
โดยนอกจากเตรียมตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีแล้ว แฟนกีฬาความเร็วชาวไทยยังต้องติดตามเชียร์และให้กำลังใจ 2 ดาวรุ่งนักบิดสายเลือดใหม่จาก เอ.พี.ฮอนด้า ผู้ได้รับโอกาสมีส่วนร่วมในศึกดวลเดือดสองล้อครั้งประวัติศาสตร์ในบ้านเรา นำโดย “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ นักบิดตัวจริงหนึ่งเดียวของไทย ที่ลงชิงชัยในการแข่งขันโมโตจีพีแบบเต็มตัวตลอดฤดูกาล รุ่นโมโตทรี ภายใต้สังกัดฮอนด้า ทีม เอเชีย หมายเลข 41
ขณะที่อีกหนึ่งดาวรุ่ง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เจ้าของแชมป์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ปี 2016 ตามที่สมาพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ หรือ เอฟไอเอ็ม ยืนยันชัดเจนแล้วว่า ดาวบิดวัย 19 ปี ได้รับสิทธิ์ไวลด์การ์ดในศึกโฮมเรซ รุ่นโมโตทรี โดยจะใช้รถแข่งฮอนด้า หมายเลข 35 ลงชิงชัยในรายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ที่สนามช้างฯ เซอร์กิต ครั้งนี้ด้วย

สำหรับนักบิดสายเลือดใหม่ค่ายปีกนก เจ้าของรถแข่งฮอนด้า NSF250RW หมายเลข 35 สร้างความภาคภูมิใจให้แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ด้วยการเป็นนักบิดไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการใหญ่ระดับเอเชียอย่าง “เอเชีย ทาเลนต์ คัพ” หรือเส้นทางการแข่งขันสู่โมโตจีพี เมื่อปี 2016

ที่สำคัญ 1 ใน 6 สนามของการแข่งขันปีนั้น มีสังเวียนดวลความเร็วที่บุรีรัมย์ถูกใช้เป็นสนามแข่งขันเพื่อสะสมแต้มชิงแชมป์ประจำปีด้วย และผู้ชนะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนักบิดดาวรุ่งจากชลบุรี “ก้อง-สมเกียรติ” นั่นเอง

“การคว้าแชมป์ที่สนามช้างฯ ครั้งนั้น ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตัวผมเอง ทำให้เรารู้ว่ามีดีพอที่จะสู้กับคู่แข่งในระดับเอเชียได้ ทั้งจีน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ซึ่งผมว่าเป็นการจุดประกายความฝัน และเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย” นักบิด ดาวรุ่งวัย 19 ปี กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากโฟกัสความสำเร็จที่เกิดขึ้นที่สนามช้างฯ จ.บุรีรัมย์ สองดาวรุ่งค่ายปีกนกนั้นเคยจารึกชื่อตัวเองบนตำแหน่งแชมป์เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ด้วยกันมาแล้วทั้งคู่ โดยสลับกันเป็นผู้ชนะเกมดวลความเร็วสนามแรก ตั้งแต่ปี 2015 และต่อเนื่องในปีถัดไป ดาวรุ่งจากชลบุรียังทำผลงานที่โดดเด่นต่อหน้าแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยอีกครั้ง ด้วยการขึ้นโพเดี้ยมอันดับที่ 3 ในศึกเอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ รุ่นเอเชีย โปรดักชั่น 250 ซีซี. ด้วย

หลังจากประกาศศักดาในฐานะนักบิดดาวรุ่งที่เร็วที่สุดในทวีปเอเชีย จนถึงปี 2017 เจ้าตัวก็เริ่มค้นหาความท้าทายครั้งใหม่กับเกมการแข่งขันระดับอินเตอร์ ในศึกชิงแชมป์นักบิดเยาวชนโลก เอฟไอเอ็ม ซีอีวี เรปโซล อินเตอร์เนชั่นแนล แชมเปี้ยนชิพ รุ่นโมโตทรี จูเนียร์ และสามารถระเบิดฟอร์มร้อนแรง สร้างเซอร์ไพรส์คว้าตำแหน่งโพลโพซิชั่นตั้งแต่สนามแรกที่อัลบาเซเต้ ประเทศสเปน มาแล้ว

ปัจจุบันปี 2018 ก้อง-สมเกียรติ ยังคงสู้ศึกซีอีวี เรปโซล รุ่นโมโตทรี จูเนียร์ ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง และกำลังทำผลงานได้ดี ต่อกรกับนักแข่งดาวรุ่งจากทั่วโลกได้อย่างสนุกสูสี มีลุ้นขึ้นโพเดี้ยมตั้งแต่เปิดฤดูกาล ล่าสุด ผ่านการชิงชัยไปแล้ว 5 สนาม อดีตแชมป์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ปี 2016 มี 47 แต้ม ติดกลุ่มท็อปเท็น รั้งอันดับที่ 8 บนตารางคะแนนแชมเปี้ยนชิพ

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมทั้งจากระดับเอเชียสู่เวทีนานาชาติ ส่งผลให้ อัลเบอร์โต พูอิก อดีตนักบิด WGP500CC ชื่อดังสังกัดทีมฮฮนด้า รุ่นเดียวกับมิค ดูฮาน ปัจจุบันกุมบังเหียนเป็นทีมบอสเรปโซล ฮอนด้าคนล่าสุด ผู้ดูแลยอดนักบิดแห่งยุค มาร์ก มาร์เกวซ แชมป์โลกคนปัจจุบัน เคยกล่าวถึงดาวบิดจากชลบุรีคนนี้ว่า มีความมุ่งมั่นและมีศักยภาพมากพอที่จะโลดแล่นในศึกมอเตอร์ไซค์ ชิงแชมป์โลกอย่างแน่นอน

“ผมรู้จักนักแข่งไทยสองคนนี้ (นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ และสมเกียรติ จันทรา) เป็นอย่างดี พวกเขามีจิตวิญญาณของนักบิดที่ดี ผมเคยร่วมงานกับพวกเขาในโปรแกรมพัฒนานักบิดเอเชียของ HRC และเชื่อว่าพวกเขาจะไปได้สวยในการแข่งขันในระดับโลก”

ทั้งนี้ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ดาวรุ่งนักบิดสายเลือดใหม่จาก เอ.พี.ฮอนด้า ผู้เริ่มต้นเส้นทางเป็นนักแข่งอาชีพโดยมีคุณพ่อ-คุณแม่ ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะด้วยใจรักในความเร็วตั้งแต่เด็ก ก่อนถูกส่งไปเรียนเทคนิคการแข่งขันรถจักรยานยนต์กับค่ายปีกนก และเข้าร่วมสังกัด เอ.พี.ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ด้วยสไตล์การขับขี่ที่โดดเด่น เร็ว แรง กล้าได้กล้าเสีย เจ้าตัวก็ยอมรับว่า เพราะมีมาร์ก มาร์เกวซ นักบิดแชมป์โลก โมโตจีพี 4 สมัย จาก เรปโซล ฮอนด้า รวมถึง “ฟิล์ม” รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดรุ่นพี่ค่ายเดียวกัน เป็นต้นแบบแรงบันดาลใจ

“ความใฝ่ฝันของนักบิดทุกคน คือ การได้เข้าสู่โมโตจีพี ผมเองก็เช่นกัน ดังนั้นจึงตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทีละก้าว และในโอกาสนี้ด้วยการได้รับสิทธิ์ไวลด์การ์ด รุ่นโมโตทรี ยิ่งเป็นโฮมเรซแข่งในบ้านเราด้วย ผมขอเชิญชวนให้แฟนๆ ชาวไทย มาร่วมติดตามเชียร์ผมด้วยนะครับ” เจ้าของแชมป์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ปี 2016 กล่าว

การแข่งขันโมโตจีพีครั้งแรกในไทย รายการพีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ เตรียมจัดขึ้นที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม นี้ แฟนมอเตอร์สอร์ตชาวไทยพร้อมส่งกำลังใจเชียร์.

2019 Aprilia RX125

น่าจะชัดเจนในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายสำหรับรถหลายรุ่นของ Aprilia ที่มุ่งเน้นไปในกลุ่มนักขี่ในระดับ Young หรือวัยรุ่น ที่มีความต้องการพัฒนาทักษะด้านกีฬาด้วยรถสมรรถนะสูง

และนี่คืออีกหนึ่งเทรนล่าสุดของผู้ผลิตจากอิตาลี ที่เปิดไลน์รถจักรยานยนต์ในแนวออฟโรดที่เริ่มส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง กับ Aprilia RX125 ที่มาพร้อมกับวงล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว กับวงล้อหลังขนาด 18 นิ้ว ที่ต่างก็ติดตั้งยาง knobby tyres โดยกำหนดสถานะรถในรุ่นนี้ว่าเป็น basic motorcycles for Enduro สำหรับนักขี่อายุน้อยหรือผู้ที่สนใจจะพัฒนาทักษะในแบบออฟโรด ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์สูบเดียว 125 ซีซี ที่เป็นเครื่องยนต์แบบสี่จังหวะรุ่นใหม่จาก Aprilia ที่คาดว่ามีสมรรถนะเพียงพอสำหรับใช้ในการแข่งขันแล้ว ยังจัดเป็นเครื่องยนต์ clean engine ที่ผ่านมาตรฐาน Euro4 คือให้กำลังสูงสุดโดยที่สมรรถนะไม่ลดลงเนื่องจากต้องควบคุมเรื่องค่ามลภาวะตามกฏหมายด้านค่าไอเสียของยุโรป

นอกจากจุดเด่นของเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่ทรงพลังตามแบบฉบับของ Aprilia แล้ว รถในรหัส RX นี้ยังได้เสริมความปลอดภัยด้วยระบบเบรก ABS ด้วยเทคโนโลยีชั้นนำของระบบเบรกจาก Bosch ABS system โดยข้อมูลของตัวรถมีสเปคพื้นฐานดังนี้

Engine type Single-cylinder, 4-stroke, 4-valve, DOHC,
liquid cooling
Bore and stroke 58 x 47 mm
Total engine capacity 124.2 cc
Compression ratio 11.8÷12.4 : 1
Max Power 11 kW at 10,700 rpm
Maximum torque at crankshaft 11.3 Nm at 8,000 rpm
Ignition E.C.U. Magneti Marelli M3G ø 32 mm
Starter Electric
Lubrication Wet sump
Transmission 6 speed, drive ratio: 1st 11/33,
2nd 15/30, 3rd 18/27,4th 20/24,5th 25/27,6th 23/22
Clutch Multi plate wet clutch
Primary drive Straight cut gears, drive ratio: 29/69
Frame Twin-tube steel frame
Front suspension Upside down fork with Ø 41 mm stanchions, 240 mm excursion
Rear suspension Steel swingarm, monoshock with progressive link system, wheel travel 220 mm
Break Front: Ø 260 mm disc with floating calliper
Rear: Ø 220 mm disc with floating calliper
Dimensions Length : 2115 mm
Max. width: 820 mm
Wheelbase: 1420 mm
Max. height: 1170 mm
Saddle height: 905 mm
Weight 134 Kg (kerb weight with full fuel tank)
Consumption (WMTC cycle) 2.73 l/100 km
CO2 Emissions (WMTC cycle) 63 g/km
Fuel tank capacity 7 litres

ขุนพลคาวาฯสุดแกร่ง!! หวดคันเร่ง ZX-10RR ผงาดยึดโพเดี้ยม R2M คว้าชัยชนะอันดับ1และ3

CORE” Kawasaki Thailand Racing Team ท็อปฟอร์มสุดในขณะนี้ ติ๊งโน๊ต ฐิติพงศ์ วโรกร #100 หวดคันเร่ง ZX-10RR ออกสตาร์ททะยานขึ้นนำทิ้งห่างคู่แข่งแบบม้วนเดียวจบคว้าชัยชนะอันดับ1 มาครองได้เป็นผลสำเร็จด้วยเวลารวม 23:00:279 นาที โดยมีคู่แข่งต่างค่ายตามหลังเข้าเส้นด้วยเวลาระยะทิ้งห่างกว่า 09:379 วินาที ด้านคู่หู CK ชัยวิชิต นิสสกุล #25 ไม่น้อยหน้า กดคันเร่งเข้าเส้นชัยคว้าธงหมากรุกมาเป็นอันดับ 3 ด้วยเวลารวม 23:13:598 นาที ในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชั้นนำของประเทศ R2M Thailand Superbike 2018 สนาม3 รุ่น Superbike1000cc (SB1) เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2561 ณ สนามแข่งไทยแลนด์เซอร์กิต นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ที่ผ่านมา

ซึ่งก่อนลงสู้ศึกครั้งนี้ ทั้งคู่เปิดเผยว่า มีการวางแผนอย่างเข้มงวดถึงการเตรียมตัวสำหรับครั้งนี้ โดยจะนำข้อมูลครั้งก่อนมาปรับปรุง ส่วนในด้านร่างกายนั้น ทั้งคู่ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง และทำกิจกรรมสนุกๆ อย่างปั่นจักรยาน ซ้อมกับมอเตอร์ไซค์จิ๋ว หรือนวดเพื่อผ่อนคลาย      ก่อนเข้าแข่งขันจะพิถีพิถันเลือกทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ และเหมาะสมกับร่างกาย เน้นการดื่มน้ำแร่เป็นสำคัญ และจะไม่ปล่อยให้ท้องว่าง สำหรับสนามนี้ทั้งคู่บอกเลยว่า ต้องทำการบ้านเรื่องการปรับเซทตัวเองกับสนามเป็นพิเศษ เพราะสนามค่อนข้างแคบ และท้าทายมาก สำหรับการแข่งขันในสนามนี้จะทำให้ดีที่สุดเพื่อคว้าชัยชนะมาฝากแฟนๆคาวาซากิทุกคน

การแข่งขัน R2M Thailand Superbike 2018 สนามถัดไปซึ่งเป็นสนามที่ 4  จะจัดขึ้นในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 ณ สนามแข่งไทยแลนด์เซอร์กิต อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ท่านสามารถรับชมการถ่ายทอดสดออนไลน์การแข่งขันทุกสนามผ่านทาง https://www.facebook.com/Wroommm/          พร้อมติดตามภาพบรรยากาศและผลการแข่งขันได้ทางแฟนเพจ Kawasaki Motor Thailand และ CORE Kawasaki Thailand Racing Team

Yamaha QBIX Automatic Intrend

จะเทรนด์ไหนก็ไม่มีเอ้าท์ Yamaha QBIX 125 รถจักรยานยนต์ออโตเมติก ดีไซน์สวยงามที่มาพร้อมกับไอเดียการตกแต่งเพิ่มความโดดเด่นกับสีสันและลวดลายสีสันใหม่ ยกระดับไม่ซ้ำใคร

การเปลี่ยนแปลง แต่งเติม เพิ่มความสวยงามให้กับรถคู่ใจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปสำหรับยุคนี้อุปกรณ์ของแต่งมีมากมายทั่วประเทศให้เลือกซื้อเลือกใช้ แต่มันอยู่ที่ว่าแต่งแล้วจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่สำคัญเพราะว่ามันเป็นความชอบส่วนตัว จะสีแปลกแหวกแนว ล้ำอนาคตก็อยู่ที่ไอเดียของแต่ละคนขอให้แต่งแล้วขับขี่ใช้งานได้และปลอดภัยก็พอแล้ว สำหรับ QBIX คันนี้ มีการปรับเปลี่ยนสีสันให้ดูสะดุดตากับน้ำเงินเข้มพร้อมกับลวดลายเส้นขาวคาดสีเขียวนีออนในบางส่วน รวมไปถึงการใช้สีน้ำตาลเพิ่มความหรูหรากับคอนโซนด้านในและหนังหุ้มเบาะ ฟุตบอร์ดเสริมด้วยยางกันลื่น แฮนด์บาร์ของเดิมควบคุมสบาย จอแสดงผลแบบ
ฟูลดิจิตอล กระจกมองหลังทรงสปอร์ตเลนส์ตัดแสงช่วงล่างวงล้อแม็กอลูมินัมขนาด 12 นิ้ว ยางจุ๊บเลสขอบแข็งไร้ยางใน ดิสก์เบรกจานเดี่ยว 200 มม. คาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่ ที่เชื่อมต่อด้วยสายถักสแตนเลสหัวไล่อากาศ 90 องศา ช่วงหลังเสริมความนิ่มนวลด้วยโช้คอัพแก๊สคอยสปริงแกนใหญ่ของแต่งสำหรับวัยรุ่นอินเทรด์ในแบรนด์ Gazi ที่มีให้เลือกมากมายหลายรุ่นหลายแบบ ดรัมเบรกหลังขาอลูมินัมเพื่อการใช้งานที่ปลอดภัย และเครื่องยนต์ออโตเมติกขนาด 125 ซีซี เพิ่มอัตราการเร่งบิดที่สนุกสนานยิ่งขึ้นด้วยท่อไอเสียสแตนเลสปลายยกคอสปริงปลายทรงสปอร์ตของ EVO HIGH PERFORMANCE

2019 Honda CRF motocross ‘lineup

Honda Motor ปล่อยภาพและข้อมูลรถวิบากตระกูล CRF ออกมาโดยเฉพาะในพิกัด 450F นั้น นอกจากเวอร์ชั่นพื้นฐานแล้วก็จะมีตัวพิเศษ คือ CRF450RWE ซึ่งรหัส WE นั้นย่อมาจาก Works Edition ที่ให้ความหมายสั้นๆ ก็คือสเปคทีมโรงงานนั่นเองโดยคาดว่าจะอิงสเปคบางอย่างมาจากรถแข่งของ Ken Roczen ซึ่งเราก็คงจะรอข้อมูลโดยละเอียดอย่างเป็นทางการอีกทีว่าจะมีขายนอกอเมริกาไหม แต่สำหรับโอกาสนี้เรามาดูที่รายละเอียดของเวอร์ชั่นพื้นฐานกันก่อนเริ่มด้วย

CRF450R ที่ในโมเดล 2019 นี้ได้ใช้ฝาสูบใหม่โดยมุ่งเน้นการออกแบบไปเพื่อผลทางด้านพอร์ทไอเสีย โดยช่วงคอท่อไอเสียนั้นจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 35 มม. และ 43 มม. เมื่อเทียบกันกับแบบเดิมที่มีขนาด 32 มม. เช่นเดียวกับที่ความยาวของท่อทางขวาจะยาวขึ้นอีก 98 มม. และท่อทางซ้ายจะยาวขึ้น 187 มม. ในส่วนของคลัทซ์ได้เพิ่มให้มีการส่งน้ำมันเข้าไปหล่อเลี้ยงแผ่นคลัทช์และชุดแผ่นเหล็กมากขึ้นเพื่อความทนทาน oil pumps ขนาด 12 มม. สองตัวได้ถูกนำมาแทนที่ของเดิมขนาด 16 มม. ย้าย kickstarters ออก พร้อมปรับแบบของเคสใหม่ อัพเดท riding mode ใหม่ fork หน้าทำการปรับเซ็ทใหม่ เพื่อลดแรงเสียดทานหรือลดการเสียดสีภายใน ปรับชุดแผงคอใหม่ให้ปรับตำแหน่งได้สี่ตำแหน่ง สวิงอาร์มหลังใหม่มีน้ำหนักเบาลงพร้อมเซทโช้คอัพหลังใหม่ ชุดเบรกหน้าเบาขึ้นอีกทั้งยังปรับคาลิเปอร์ใหม่โดยใช้ลูกสูบขนาด 30 มม. กับ 27 มม. พักเท้าเบากว่าเดิม 20% โดยราคา 2019 CRF450R เริ่มต้นที่ 9,299 เหรียญยูเอส 2019 CRF250R ในรุ่นรถสูตรพิกัด 250F ก็ได้รับการปรับเสริมเพิ่มสมรรถนะเริ่มด้วยในส่วนของแคมชาฟท์ที่มีการปรับโปรไฟล์ใหม่เพื่อเน้นประสิทธิภาพในการทะยานออกจากโค้ง พร้อมทั้งปรับมิติของค่าพอร์ไอดีและไอเสีย โดยเน้นกำลังในช่วงรอบการทำงานเครื่องยนต์ต่ำ เรือนลิ้นเร่งปรับใหม่เปลี่ยนเป็น ขนาด 44 มม. แทนที่ 46 มม. เพื่อเพิ่มอัตราเร่งที่ดีขึ้น ท่อไอเสียฝั่งซ้ายมีขนาดสั้งลง 50 มม. เพื่อเพิ่มกำลังที่รอบสูง เปลี่ยน AC generator ใหม่ ชุดแผงคอปรับใหม่เช่นเดียวกับ 450F และเบรกหน้าที่เปลี่ยนคาลิเปอร์ใหม่เบาขึ้นพร้อมทั้งใช้ลูกสูบขนาด 30 มม. และ 27 มม. โดยราคาของ 2019 CRF250R เริ่มต้นที่ 7,999 เหรียญยูเอส

ฮอนด้า เปิดตัวรถจักรยานยนต์ยอดนิยม All New Wave 125i ครั้งแรกกับดีไซน์ใหม่ทั้งคัน สง่างามในทุกจุดหมาย พร้อมประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เริ่มวางจำหน่ายทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้

เอ.พี. ฮอนด้า ตอกย้ำผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 30 เดินหน้า “WHAT STOPS YOU? มุ่งไป อย่าให้อะไรมาหยุด” จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ท็อปคลาสในกลุ่มรถครอบครัว All New Wave 125i ครั้งแรกกับการปรับโฉมเพิ่มเสน่ห์ ด้วยไฟหน้าแบบ LED ภายใต้ดีไซน์ใหม่ทั้งคัน เพิ่มความพรีเมียม สง่างาม ขับสนุกและประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยการพัฒนาระบบหัวฉีด PGM-FI เป็นระดับ 5.5 รองรับตามกฎหมาย EURO4 (Emission7) เป็นรุ่นแรกของรถครอบครัวที่รองรับกฎหมายนี้ พร้อมวางจำหน่ายให้คนไทยได้ครอบครอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า “ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2561) มีตัวเลขรวมอยู่ที่ 935,025 คัน ฮอนด้ามียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 730,116 คัน ส่วนแบ่งการตลาดที่ 78% โดยเราตั้งเป้าการขายรวมในปีนี้ อยู่ที่ 1.48 ล้านคัน สำหรับตัวเลขในช่วงครึ่งปีแรกของรถจักรยานยนต์กลุ่มรถประเภทครอบครัวมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น มีสัดส่วนอยู่ที่ 50.1% ของตลาด ฮอนด้าถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ดีมียอดขายอยู่ที่ 435,337 คัน เป็นส่วนแบ่งการตลาดที่ 91% และหากเทียบจากปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันเติบโตขึ้น 2% จะเห็นได้ว่ารถกลุ่มครอบครัวได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อสร้างความคึกคัดให้กับตลาด ตลอดจนเปิดมิติใหม่ให้กับกลุ่มรถครอบครัวที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความล้ำหน้าไปอีกระดับ ด้วยการนำเสนอรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ All New Wave 125i” ที่เรียกได้ว่าเป็นระดับท็อปคลาสในกลุ่มรถจักรยานยนต์ประเภทครอบครัว และเป็นหนึ่งในรุ่นเรือธงยอดนิยมของคนไทย การปรับโฉมใหม่ทั้งคันในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกของ Wave 125i  โดยเราได้เพิ่มเสน่ห์และคุณค่าด้วยไฟหน้าแบบ LED รวมทั้งพัฒนาระบบหัวฉีด PGM-FI ให้เป็นระดับ 5.5 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้นจาก 63.3 กม./ลิตร เป็น 64 กม./ลิตร และสมรรถนะการขับขี่เพื่อรองรับตามกฎหมาย EURO4 (Emission7) ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของรถครอบครัวที่รองรับกฎหมายนี้ ผมเชื่อว่าดีไซน์ที่พรีเมียมขึ้นจะถูกใจคนยุคใหม่ สง่างามในทุกจุดหมาย เพิ่มความปราดเปรียว ขับสนุก คล่องตัว และที่สำคัญประหยัดน้ำมันมากขึ้นอย่างแน่นอน”

สำหรับรถจักรยานยนต์ฮอนด้า All New Wave 125i มาในแนวคิด “The Superior Of All Time สูงค่าอย่างผู้นำ สง่างามในทุกจุดหมาย” คงจุดเด่นด้วย เครื่องยนต์ 125 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการขับขี่อย่างเต็มสมรรถนะตอบสนองทุกอัตราเร่ง และสามารถประหยัดน้ำมันสูงสุด 64 กม./ลิตร ที่สำคัญกับครั้งแรกในรุ่นเวฟที่ได้นำเทคโนโลยีไฟหน้าแบบ LED มาใช้เพื่อให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างที่เหนือกว่าในทุกเวลา มองเห็นได้กว้างและไกลขึ้น มั่นใจยิ่งขึ้นในทุกการขับขี่ พร้อมด้วยไฟบอกตำแหน่งและไฟเลี้ยวสไตล์ใหม่ คมชัดโดดเด่นทุกองศา อีกทั้งโดดเด่นสง่างามเหนือค่าตามแบบฉบับของเวฟ ด้วยรูปลักษณ์ดีไซน์ใหม่ทั้งคันกับ Superior Design เน้นความเพียว ปราดเปรียว หรูหราหน้าจรดท้าย โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้นในสไตล์ทูโทนของเบาะกับตัวรถ

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่ม หน้าปัดเรือนไมล์ ดีไซน์ใหม่ เรียบหรู เห็นชัดทุกรายละเอียด คงเอกลักษณ์ด้วย Helmet-in U-Box ขนาดความจุ 17 ลิตร สามารถใส่หมวกกันน็อกแบบเต็มใบได้ พร้อมถังน้ำมันขนาดใหญ่ 5.4 ลิตร รวมถึง Seat Opener และ Key Shutter ที่ใช้งานง่าย สะดวกทันใจ เพียงกดกุญแจก็เปิดกล่องเก็บของใต้เบาะได้อย่างง่ายดาย มั่นใจด้วยสวิตซ์กุญแจนิรภัยพร้อมม่านปิดช่องกุญแจ และดีสเบรคหน้าให้ความมั่นใจเต็มเปี่ยมในทุกจังหวะเบรค นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสมบูรณ์แบบด้วย 3D Emblem เน้นเส้นสายด้านข้างอย่างลงตัวที่ออกแบบมาเฉพาะในรุ่นล้อแม็ก โดยฮอนด้าได้เปิดตัว All New Wave 125i สู่ตลาดทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นสตาร์ทมือ ล้อแม็ก มี 3 สี เทา-แดง, ดำ-แดง, ขาว-แดง ราคาแนะนำ 55,000 บาท และรุ่นสตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด มี 4 สี ให้เลือก แดง-ดำ, ดำ, น้ำเงินดำ, ขาวดำ ราคาแนะนำ 52,800 บาท

 

ผู้สนใจสามารถจับจองเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ All New Wave125i  ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ Honda Wing Center ทั่วประเทศ หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง www.aphonda.co.th เฟสบุ๊ค www.facebook.com/hondamotorcyclethailand และ LINE @HondaMotorcycleTH

2019 Kawasaki KX450

การออกแบบเน้นไปที่ผู้ขับขี่ระดับกลางจนถึงระดับมืออาชีพ โดยมีเป้าหมายคือ นำนักแข่งก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดบนโพเดี้ยม

ดังนั้น 2019 KX450 จึงได้รับการปรับเปลี่ยนและพัฒนาใหม่ในแบบที่เรียกว่า all new ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ให้สมรรถนะที่สูง นำมาติดตั้งบนเฟรมที่อัพเดทล่าสุดเพื่อช่วยให้มีความว่องไว รวดเร็วในจังหวะการเลี้ยว ภายใต้คำจำกัดความในการพัฒนา คือ strongest machine on the track หรือเป็นรถแข่งที่แข็งแกร่งที่สุดในสังเวียน เริ่มด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่ว่ากันว่าดีที่สุดเท่าที่ Kawasaki เคยพัฒนาออกมา โดยเฉพาะ valve train ที่ได้รับการออกแบบส่งผ่านองค์ความรู้จากวิศวกร Kawasaki MotoGP และ Kawasaki World SBK จนสามารถเพิ่มกำลังเครื่งอยนต์ได้อีก 3.4 แรงม้า หรือ 2.5 กิโลวัตต์ นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งระบบ Electric Start ที่พัฒนาใหม่สำหรับรถสูตรโดยเฉพาะ และปรับปรุงโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ในแบบ factory –style หรือการปรับเซทตามข้อมูลของทีมแข่งโรงงานด้วย new lightweight aluminium perimeter frame ที่ออกแบบแก้ไขในบริเวณส่วนที่ยึดติดกับเครื่องยนต์ พร้อมทั้งปรับสวิงอาร์มใหม่ อันนี่ส่วนให้ได้บาล้านซ์ในการขับขี่ที่ดี รวมทั้งความหนึบของช่วงหลังหรือ rear traction ที่มีมากขึ้น จากภาพรวมของการปรับโครงสร้างแชสซีส์ใหม่นี้ทำให้ 2019 KX450 ได้รับผลการตอบแทนก็คือ light weight & light , nimble handling หรือ ตัวรถมีน้ำหนักเบา ให้ความรู้สึกที่เบาสบายและควบคุมง่ายนุ่มนวล โดยเฉพาะน้ำหนักรวมของตัวรถอยู่ที่ 110 กก. กล่าวได้ว่าองค์ประกอบแทบทุกส่วนของ 2019 KX450 นั้นระบุว่าเป็น”ของใหม่” ไม่ว่า new engine,new electric start ,new frame , new swingarm , new bodywork ,new high-performance inverted coil-spring fork ที่มีขนาด 49 มม. รวมทั้งเบรกใหม่ และอื่นๆอีกหลายจุดที่ Kawasaki พัฒนาใหม่ เพื่อบรรลุนิยามของการสร้าง KX450 โมเดลล่าสุดนี้ ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ภายในจำนวนมากได้รับการพัฒนาใหม่ อย่างน้ำหนักของชิ้นส่วน valve train นั้นส่วนของไอดีน้ำหนักเบาขึ้น 4.2% ขณะที่ไอเสียน้ำหนักเบาขึ้น 7.9% โดยที่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางวาล์วไอดีเพิ่มจาก 36 มม. เป็น 40 ม.ม. วาล์วไอเสียเพิ่มจาก 31 มม. เป็น 33 มม. หรือลูกสูบใหม่แบบเดียวกับทีมแฟคทอรี่ high performance piston ที่มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบาด้วยการลดน้ำหนักจาก 259.8 มม. เหลือ 243 มม. เป็นต้น และสิ่งที่น่าจะต้องพูดถึงก็คือเทคโนโลยีจากแฟคทอรี่ทีมที่ได้รับการติดตั้งให้กับ KX เป็นรุ่นแรกๆของรถสูตรในตลาด Lunch Control Mode ที่ได้ยกระดับเพิ่มขึ้นสู่ความเป็น The holeshot advantage ที่เพียงแค่กดปุ่มก็สามารถเลือกใช้ engine map ที่แตกต่างเฉพาะจังหวะการออกสตาร์ทในสภาพที่ลื่นมีการยึดเกาะต่ำโดย lunch control mode นี้จะทำงานในระหว่างช่วงเกียร์หนึ่งกับเกียร์สอง เมื่อชิพเข้าสู่เกียร์สามระบบก็จะยกเลิกและปรับมาสู่ engine map ปกติที่ทำการปรับเซทไว้ ซึ่งในการปรับเซทจูนนิ่งเพื่อให้มีความเหมาะสมกับทุกสภาพการขับขี่นั้นสามารถทำได้ง่ายดาย ด้วย DFI Setting Data Selection ที่เป็นอุปกรณ์ประเภท plug and play ที่ช่วยให้สามารถปรับเลือกปรับ engine setting ได้สาม engine map (ไม่รวม lunch control mode map)

และหากผู้ขับขี่ใช้งานในระดับมืออาชีพที่ต้องการความแม่นยำในการเซทติ้งหรือจูนนิ่งเครื่องยนต์ที่ละเอียดมากขึ้นก็สามารถซื้ออุปกรณ์เสริม KX FI Calibration Kit ที่ใช้ในการ rewriting data map ได้โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการต่อเชื่อม ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้ทาง Kawasaki ได้พัฒนาให้ใช้ร่วมกับรถตระกูล KX ปีเก่าถึงโมเดล 2015 ส่วนรุ่นที่เก่ากว่านี้ต้องเช็คในคู่มือการใช้งานเพิ่มเติมอีกทีว่ารองรับระบบหัวฉีดรถรุ่นเก่าโมเดลปีไหนได้บ้าง

สเปคพื้นฐาน มีดังนี้
Engine 4-stroke, 1-cylinder,
DOHC, water-cooled
Displacement 449cc
Bore x Stroke 96.0 x 62.1mm
Compression Ratio 12.5:1
Fuel System DFI® with 44mm
Keihin throttle body
Ignition Digital CDI with electric start
Transmission 5-speed, return shift
Final Drive Chain
Front Suspension / Wheel Travel 49mm inverted coil-spring telescopic fork with adjustable compression and rebound damping/12.0 in
Rear Suspension / Wheel Travel New Uni-Trak® with adjustable dual-range (high/low-speed) compression damping, adjustable rebound damping and adjustable preload/12.1 in
Front Tire 80/100-21
Rear Tire 120/80-19
Front Brakes Single semi-floating 270mm Braking® petal disc with dual-piston caliper
Rear Brakes Single 250mm Braking® petal disc with single-piston caliper
Frame Type Aluminum perimeter
Rake / Trail 27.6°/4.8 in
Overall Length 2,185m.m.
Overall Width 830m.m.
Overall Height 1,275m.m.
Ground Clearance 340m.m.
Seat Height 955m.m.
Curb Weight 110kg.
Fuel Capacity 6.2l

“ยามาฮ่า” ประกาศศักดาในรายการแข่งระดับโลก กวาดแชมป์ “ซูซูก้า เอ็นดูรานซ์”

ทัพนักบิดสังกัดทีมแข่ง “ยามาฮ่า แฟคตอรี่ เรซซิ่ง” และ “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ประกาศศักดาความสำเร็จในการแข่งขันเอ็นดูรานซ์ระดับโลก รายการ ซูซูก้า 8 ชั่วโมง และ ซูซูก้า 4 ชั่วโมง สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบแบบมาราธอนชิงแชมป์โลก เอฟไอเอ็ม เอ็นดูรานซ์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2018 ในรายการ ซูซูก้า 8 ชั่วโมง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ สนาม ซูซูก้า อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศญี่ปุ่น โดยผลการแข่งขันที่ออกมาถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของ ยามาฮ่า แฟคตอรี่ เรซซิ่ง เจ้าของแชมป์ 3 สมัยล่าสุด จากผลงานอันยอดเยี่ยมแบบไร้ที่ติจากการผนึกกำลังของ ไมเคิล ฟาน เดอร์ มาร์ค นักบิดดัตช์, อเล็กซ์ โลวส์ นักบิดอังกฤษ และ คัตซึยูกิ นากาซูกะ นักบิดาวญี่ปุ่น ที่สามารถยืนระยะรั้งอยู่ในตำแหน่งผู้นำได้ตลอดทั้งการแข่งขันสุดโหด 8 ชั่วโมง บวกกับความแข็งแกร่งของรถแข่งยามาฮ่า YZF-R1 ส่งผลให้พวกเขาผงาดคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ติดต่อกันไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยจำนวนรอบ 199 รอบสนาม และทิ้งห่างคู่แข่งถึง 30.974 วินาที

ส่วนทางด้าน ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม เจ้าของแชมป์ปีที่ผ่านมา และเดินทางมาป้องกันแชมป์อีกครั้งในปีนี้ ด้วยนักแข่งตัวหลักของทีมอย่าง “ตี” อนุภาพ ซามูล, “ต๋ง” พีรพงศ์ บุญเลิศ และ “เบิร์ด” ประวัติ ญานวุฒิ ในฐานะโค้ช และนักบิดสำรอง ซึ่งใช้รถแข่ง ยามาฮ่า YZF-R6 หมายเลข 99 ลงทำการแข่งขันด้วยการออกสตาร์ทจากตำแหน่งโพล

ก่อนที่ อนุภาพ และ พีรพงศ์ โชว์ฟอร์มการขับขี่สุดร้อนแรง ช่วยกันกดเวลาต่อรอบเหนือคู่แข่งกว่ารอบละ 2-3 วินาที น็อครอบคู่แข่งอันดับ 2 ได้ถึง 2 รอบสนาม ก่อนเข้ารับธงตราหมากรุกเป็นคันแรก คว้าแชมป์ ซูซูก้า เอ็นดูรานซ์ 4 ชั่วโมง ไปครอง 2 ปีติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่

นายธีระพงษ์ โอภาสกรกุล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส ฝ่ายกีฬายานยนต์ และสถาบันฝึกอบรมขับขี่รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด บอสใหญ่ของ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม กล่าวหลังจบการแข่งขันว่า “ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้สร้างภาระกิจครั้งยิ่งใหญ่ในการนำชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทย นี่คือการประกาศว่าคนไทยพร้อมที่จะก้าวไปสู่การแข่งขันระดับโลก เราคว้าแชมป์ปีที่ 2 ติดต่อกันในศึก ซูซูก้า 4 ชั่วโมง เราทำสำเร็จตามที่รับปากกับแฟนชาวไทย ทุกคนดีใจ เราได้ทำอย่างเต็มที่ และมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม เราขอมอบแชมป์ครั้งนี้ให้กับชาวไทยทุกคน นักบิดของเราทั้ง 3 คน ทำผลงานได้อย่างๆ ไร้ที่ติ และทีมงานเองก็พัฒนาขึ้นมาก ส่วนในสุดสัปดาห์ต่อไปเรายังมีงานหนักรออยู่ และพร้อมลุยกันต่อที่ประเทศอินเดีย ในรายการ เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ และเราจะคว้าแชมป์มาฝากแฟนๆ ทุกคน”

สำหรับ ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม ยังคงมีงานหนักรออยู่ในศึก เอเชีย โร้ด เรซซิ่ง แชมเปี้ยนชิพ 2018 สนามที่ 4 ที่ประเทศอินเดียในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญในการรักษาพื้นที่ในกลุ่มหัวตารางเพื่อลุ้นแชมป์เอเชียทั้งในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี และ เอเชีย โปรดักชั่น 250 ซีซี

SCOYCO JK63 หล่อไม่กลัวฝน

เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เห็นรายละเอียดแล้วอยากจะหยิบมาแนะนำกันมากๆ สำหรับแจ็คเก็ตเพื่อการขี่รถจักรยานยนต์รุ่นนี้ สคอยโก้ เจเค 63 กับการออกแบบภายนอกที่แทบดูไม่ออกว่ามันพร้อมลุยฝนที่ซ่อนอยู่ภายใน

ซื้อหนึ่งเหมือนได้ถึงสอง

แถบสะท้อนแสงนอกจากจะมีที่ต้นแขนแล้ว โลโก้ที่กลางหลังก็จะปรากฏเมื่อต้องแสงในที่มืด

เมื่อสวมชั้นกันฝนเข้าด้านใน กันลมหนาวก็เอาอยู่

ช่องเก็บของด้านในซ้ายและขวา

แขนเสื้อทรงกระบอกเน้นการหมุนเวียนของอากาศระบายร้อน

กระเป๋าสองใบที่ชายเสื้อด้านนอก และอีกสองใบที่ด้านใน

ปกเสื้อสั้นหุ้มขอบกันระคายจะมองเห็นขอบเสื้อกันฝนนิดๆ

สำหรับการใช้งานปกติ วัสดุที่เห็นจากภายนอกก็อาจจะคุ้นตาจากแจ๊คเก็ตสคอยโก้หลายรุ่นที่มีจำหน่าย ด้วยผ้าสังเคราะห์แบบตาข่ายที่พลิ้วไหว รุ่นใหม่ไม่หนา ไม่แข็ง น้ำหนักเบา สามารถระบายอากาศได้ดี เหมาะกับเมืองร้อนอย่างประเทศไทยเป็นอย่างดี ส่วนผ้ารองอีกชั้นที่ด้านในก็จะเป็นผ้ารูที่มีผิวนุ่มไม่ระคายผิว ทำให้ระบายอากาศได้ดีด้วยการที่อากาศสามารถผ่านได้สะดวกทั้งสองชั้น ปลายแขนทั้งสองข้างเป็นทรงกระบอกไม่จั๊มรัดข้อมือ ทำให้อากาศไหลผ่านขณะขับขี่ได้ดี คอเสื้อยกปกไม่สูง ทั้งคอเสื้อและปลายแขนหุ้มปลายเอาไว้ด้วยหนังเทียมทำให้ไม่กัดผิวเมื่อมีเหงื่อ และไม่ระคายเคืองกับผิวแห้ง ที่คอ แขน และเอว สามารถปรับกระชับให้เข้ากับรูปร่างได้ 2 ระดับด้วยกระดุมกดที่สะดวกมากว่าด้วยเรื่องความสะดวกแล้ว สคอยโก้ เจเค 63 มีกระเป๋าให้ 4 จุดที่ชายเสื้อ ด้านนอกเป็นกระเป๋าซิป 2 ข้าง และด้านในยังมีให้เก็บของเพิ่มได้อีก 2 กระเป๋า การ์ดป้องกันสามารถถอดออกเพื่อความสะดวกในการซักล้างทำความสะอาดอย่างง่ายดายสิ่งที่ สคอยโก้ เจเค 63 ให้ได้มากกว่าก็คือ ทุกตัวจะมีซับในที่สามารถกันฝนได้แถมมาให้โดยไม่ต้องซื้อเพิ่ม ไม่ต้องสวมทับแบบเสื้อกันฝนทั่วไป เป็นการสวมด้านในถอดและใส่ได้ด้วยซิปที่หลบอยู่หลังซิปอกด้านหน้าอย่างแนบเนียน ดังนั้นเวลาสวมใส่จึงไม่ทำให้ความเท่ลดลง แต่ฝนจะไม่ทำให้เราเปียกได้เลย นับเป็นความคุ้มค่าที่น่าสนใจสำหรับการขับขี่ในช่วงที่มีฝนตกบ่อย โดยไม่เสียบุคลิกความเป็นนักบิดเลยมาตรฐานความปลอดภัยนั้นก็ยังคงมาพร้อมกับการ์ด 5 จุด (ไหล่ 2 ศอก 2 หลัง 1) แถมด้วยการเพิ่มแถบสีสดใส และโลโก้สะท้อนแสงด้านหลังซึ่งจะมองไม่เห็นในตอนกลางวัน กับแถบสะท้อนแสงที่ต้นแขนอีกสองจุด มั่นใจว่าจะไม่ใช่นักบิดล่องหนที่ทำให้เกิดอันตรายแน่นอนประโยชน์ใช้สอยเพียบๆ ขนาดนี้ราคาจำหน่ายเพียง 2,850 บาท ที่ร้านตัวแทนจำหน่ายสคอยโก้ทั่วประเทศ