

ค่ายยามาฮ่า เผยไลน์อัปนักบิดที่จะลงไล่ล่าความสำเร็จบนเวทีเวิลด์ซูเปอร์ไบค์ ในฤดูกาล 2023 นำทัพโดย โทปรัค ราซกัตลิโอกลู ดาวบิดเติร์กอดีตแชมป์โลกปี 2021 ที่ตั้งเป้าพาต้นสังกัดกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดบนเวทีดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งจะลงซิ่งด้วยรถแข่ง 6 คัน ภายใต้ 4 สังกัดในฤดูกาลนี้
ทีมโรงงานยามาฮ่า สิ้นสุดการแข่งขันฤดูกาลที่ผ่านมาด้วยตำแหน่งรองแชมป์โลก หลังครองบัลลังก์ ศึกซูเปอร์ไบค์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2021 จากผลงานของ โทปรัค ราซกัตลิโอกลู ดาวบิดเติร์ก ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในซีซั่นดังกล่าว ก่อนจะต้องเจอกับงานหินในฤดูกาลที่ผ่านมา
ล่าสุด ค่ายยามาฮ่า ได้เผยไลน์อัปนักบิดที่จะลงทำการชิงชัยในฤดูกาลนี้ ซึ่งมีจำนวน 4 ทีม ภายใต้รถแข่งทั้งสิ้น 6 คัน โดย โทปรัค ราซกัตลิโอกลู #54 ยังคงจับคู่กับ อันเดรีย โลคาเทลลี่ #55 ลงซิ่งภายใต้สังกัด PATA YAMAHA WORLDSBK ขณะที่ โดมินิค เอเกอร์เตอร์ #77 แท็กทีม เรมี การ์ดเนอร์ #87 ลงชิงชัยภายใต้สังกัด GYTR GRT YAMAHA WORLDSBK TEAM
ด้าน ลอเรนโซ่ บัลดาสซาร์รี #34 นักบิดอิตาเลียน เข้าร่วมการชิงชัยภายใต้สีเสื้อ GMT94 YAMAHA รวมถึง แบรดลีย์ เรย์ #28 ดาวบิดเมืองผู้ดี ที่จะลงไล่ล่าความสำเร็จภายใต้สังกัด YAMAHA MOTOXRACING WORLDSBK TEAM โดยมีบัลลังก์แชมป์โลก ศึกซูเปอร์ไบค์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นเป้าหมาย
รถจักรยานยนต์รุ่นล่าสุดจากค่าย Moto Morini ที่ทางค่ายบอกว่านี่คือ a new way of motorcycling ซึ่งก็คงจะเป็นกลุ่มหรือประเภทรถใหม่ล่าสุดของทางค่ายที่พัฒนาออกมาสู่ตลาด ขณะที่ผู้ขับขี่ทั่วไปคงจะมองว่า นี่ก็คือรถในสายแอดเวนเจอร์อีกรุ่นหนึ่งที่ออกสู่ตลาด
อย่างไรก็ตามทางค่ายระบุชัดเจนว่านี่คือรถที่พวกเขาภูมิใจนำเสนอด้วยความเป็นรถในแบบ made in italy ที่จะคงความเป็นรถสายอิตาลี ด้วยการออกแบบที่น่าจับตามอง ด้วยการออกแบบที่สวยงาม สมรรถนะที่ลงตัว พร้อมให้ความสนุก และสะดวกสบายในขณะขับขี่ด้วยโครงสร้างแชสซีส์ ที่ออกแบบเฟรมแบบ robust steel trellis พร้อมฟอร์คหน้าแบบอลูมิเนียม ที่ติดตั้งมากับวงล้อหน้า 19 นิ้ว และ วงล้อหลัง 17 นิ้ว โดยในส่วนของฟอร์คหน้านั้น มีขนาด 50 มม. สามารถปรับเซ็ทได้ตามความเหมาะสมกับการขับขี่ทั้งขึ้นทางลาดชัน เข้าเส้นทางออฟโร ในส่วนของระบบกันสะเทือนนั้นทาง MotoMorini ได้จับมือกับผู้ผลิตระบบกันสะเทือนอย่าง Marzocchi โดยเฉพาะฟอร์คหน้านั้นเป็นแบบปรับตั้งค่าได้อย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่เบาะนั่งนั้นมีขนาดใหญ่ นุ่มนวล มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้ขับขี่และผู้ซ้อน โดยตำแหน่งนั่งของผู้ซ้อนนั้นสูงจากพื้นเพียง 845 มม. ขณะที่ตำแหน่งผู้ขับนั้นเบาะนั่งมีความสูงจากพื้นเพียง 820 มม.
คำแหน่งแฮนเดิ้ลบาร์ ออกแบบมาให้มีความพอดี ไม่กว้างเกินไปและไม่อยู่ชิดกับผู้ขับขี่มากเกินไป ขณะเดียวกันได้ออกแบบให้มีการจัดวางตำแหน่งแฮนเดิ้ลบาร์ไว้ทั้งสิ้น 6 ตำแหน่งที่แตกต่างกันไป ทั้งความสูงและระยะจากตัวผู้ขับขี่ เพื่อให้ได้รับความรู้สึกสะดวกสบายกับตำแหน่งท่าทางการขี่ที่เหมาะสมที่สุดหน้าจอแสดงผลหรือเรือนไมล์ ที่ติดตั้งมามีขนาด 7 นิ้ว เป็นจอสีแบบ TFT ซึ่งถือว่าเป็นหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถแบบเดียวกันที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาด นั่นหมายความว่า ด้วยขนาดจอที่กว้างนี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นข้อมูลต่างๆ บนจอแสดงผลได้สะดวกง่ายดายมากกว่า
สำหรับระบบเบรกของรถนั้น แม้ว่าโดยพื้นฐานจะติดตั้ง ABS มาให้ แต่ก็สามารถที่จะยกเลิกการใช้งานได้ ขณะที่จะขับขี่บนเส้นทางวิบาก เพียงแค่การกดสวิทซ์ที่ติดตั้งอยู่บนแฮนเดิ้ลบาร์ เมื่อคำสั่งบล็อกการทำงานของ ABS ทำงาน ก็จะมีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นบนจอแสดงผล สำหรับในส่วนของระบบเบรกนั้นทาง MotoMorini ได้เลือกใช้เบรกจากค่าย Brembo เข้ามาเป็นผู้ดูแลชิ้นส่วนต่างๆในเรื่องของความปลอดภัยของระบบเบรกให้กับ X-CAPE
นอกจากนี้ทางฝั่งซ้ายของแฮนเดิ้ลบาร์ก็จะมีสวิทซ์หรือปุ่ม สำหรับใช้สั่งการทำงานบนเมนูต่างๆของจอแสดงผล นอกจากการทำงานพื้นฐานทั่วไปแล้ว ทาง Motomorini ยังได้ติดตั้งระบบ wireless system มาให้ X-CAPE เพื่อช่วยในการแสดงขอมูลเกี่ยวกับแรงดันปัจจุบันของยางอีกด้วย ในส่วนของหน้าจอแสดงผลนั้นสามารถปรับเลือกแคกราวด์ได้สี่แบบ พร้อมกันนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมารทโฟนผ่านบลูทูธ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่สามารถจัดการสื่อสารต่างๆได้โดยสะดวกอีกด้ว
เปิดตัวมาตั้งแต่ไตรมาสแรกในงาน มอเตอร์โชว์ฯ กระแสตอบรับดีมาก สำหรับรถบิ๊กไบค์สายทัวร์ริ่ง ที่มาแบบไม่ธรรมดา ด้วยรูปทรงที่ปราดเปรียว กระชับ ตอบรับทุกการขับขี่ที่ดุดัน และเร้าใจ
TRACER9GT อยู่ในเซ็กเม้นท์ของทัวร์ริ่ง แต่แฝงไปด้วยพาวเวอร์ทอร์คพละกำลังมหาศาล และสรีระที่ไม่เทอะทะสามารถขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ ว่าจะใช้งานในเมืองที่มีการจราจรติดขัด ด้วยความเพรียวของตัวรถ ทำให้ง่ายในการพลิกเลี้ยวและซิกแซกในของแคบๆ ได้สะดวก หรือการเดินทางออกทริปไปท่องเที่ยว
ความสปอร์ตเห็นได้ชัดตั้งแต่ด้านหน้า กับโคมไฟคู่ที่ดูมีความเฉี่ยบคมดุจตาเหยี่ยว และมาพร้อมกับระบบ คอนเนอริ่งไลท์ ที่เมื่อเลี้ยวเข้าโค้งรถเอียงมากกว่า 7 องศา จะมีแสงไฟส่องออกทางด้านข้างเพื่อให้มองเส้นทางได้เคลียมากยิ่งขึ้นในเวลากลางคืน ไฟสูงแบบทรงกลม แฟริ่งไม่เยอะและไม่ใหญ่ ถังน้ำมันขนาดใหญ่ เบาะสองตอน เครื่องยนต์ เพลตฟอร์มระดับมาสเตอร์ทอร์ค 3 สูบ เรียง คอสเพลน ที่สามารถสร้างแรงบิดได้สูง เมื่อต้องการที่จะเร่งแซง หรือทำควาเร็ว พร้อมทะยานทุกย่านของรอบเครื่องยนต์ เพียงกระแทกคันเร่งที่เป็นระบบไฟฟ้าเบามือไม่ต้องแรงเยอะ ถึงแม้จะมีน้ำหนักเยอะแต่เมื่อมันถูก กำคลัทช์ ใส่เกียร์ และบิดคันเร่งออกตัว ไร้ซึ่งแรงกดอยู่กับที่ทำให้มันรู้สึกเบาขึ้นมาทันที และเพิ่มความสนุกเร้าใจด้วยฟังก์ชั่นการขับขี่ที่แสดงขึ้นบนจอแสงผลแบบดิจิตอลแยก 2 จอ โหมดการขับขี่ 4 โหมด การปรับระบบช่วงล่างไฟฟ้า 2 ระดับ และ แทร็คชั่นคอนโทรล 2 ระดับ + ปรับตั้งเองอีก 1 โหมดการขับขี่สุดเร้าใจ รองรับสไตล์การขับขี่ที่แตกต่างกัน ขี่ไปปรับไปได้ง่ายแบบเรียลไทม์ โหมด 3 น่าจะที่เหมาะสำหรับสายทัวร์ริ่งมากที่สุด
พราะด้วยการสั่งงานของกล่องควบคุมจะกำหนดให้เครื่องยนต์มีความราบเรียบ รอบไม่ตึง แต่ยังให้อัราตาเร่งที่ดี ส่วน 1-2 จะเหมาะสำหรับการใช้งานแบบใช้งานทั่วไป เพราะทั้งรอบ และแรงม้าถูกปล่อยออกม้าเต็มระบบ และมีเอนจิ้นเบรกหนัก เมื่อยกคันเร่ง มันจะสนุกเมื่อขับขี่ในรถติดๆ การซิกแซก เข้าซอกเข้าซอย โหมด 2 มีความใกล้เคียง แต่รอบจะถูกลดลงนิดหน่อย ทั้ง 3 ฟังก์ชั่น ควบคุมด้วยสวิตช์ที่ด้านซ้ายใช้งานง่าย ความดุดันของเครื่องยนต์ 3 สูบ คอสเพลน เพิ่มออพชั่นเพื่อให้การขับขี่มีความต่อเนื่อง ด้วย ระบบควิกชิพเตอร์ ที่สามารถใช้งานทั้ง ชิพอัพ และชิพดาวน์
ในส่วนของชิพอัพก็เข้าได้ปกติกถึงจะต้องออกแรงนิดนึ่ง แต่สำหรับชิพดาวน์ ยังสามารถรวบเกียร์ได้เร็ว ใช้คลัทช์ช่วยซับก็ยังสนุกกว่า เพราะว่าเครื่องยนต์ตัวนี้ก็มีระบบ สลิปเปอร์คลัทช์มาให้ด้วย ระบบกันล้อหลังหมุนสไลด์ แทร็คชั่นคอนโทรล มีให้เล่น 2 ระดับมาตรฐาน และ โหมด M แมนนวน ที่สามารถตั้งค่าเองได้ สำหรับคนที่มีสกิลสูงๆ ท่านั่งสไตล์ทัวร์ริ่ง ให้ความสบายไม่ต้องก้มให้เมื่อย ระยะความห่างของเบาะนั่งกันแฮนด์ที่ถูดปรับเยื่องเข้าหาผู้ขับขี่มันค่อนข้างผ่อนคลาย แขนไม่ตึง การบังคับแฮนด์ก็เลยง่าย และเบาแรง ตัวเบาะเองก็มีขนาดกว้าง แต่ความสูงจากพื้นถึงเบาะผู้ขับขี่ค่อนข้างจะสูงไปนิด
แต่นั่นก็เพราะสไตล์ของตัวรถที่เน้นการขับขี่ที่ต้องมองไกลเพื่อวิสัยทัศน์ที่ดี วินชิลด์ ปรับได้สองระดับด้วยมือ การ์ดแฮนด์มีมาให้ครบ และเพื่อสะดวกในการเดินทางที่ต้องใช้ จีพีเอส หรือ เส้นทางผ่านสมาร์ทโฟน ข้างเอนไมล์ทางซ้ายก็มีช่องเสียบชาร์จไว้ด้วยช่วงล่างหนึบ โช้คอับหน้า Upside Down และ โช้คหลังเดี่ยว ที่สามารถปรับได้ด้วยแมนนวน ดีเหมือนกัน หลังจากขับขี่บนถนนหลักจนรู้สึกชินกับน้ำหนัก และสรีระของตัวรถแล้ว
พอได้ขึ้นเขาใหญ่ที่มีโค้งให้ได้ลองพลิกเลี้ยวดูก็รู้ว่ามันใช้ได้เลย และที่สำคัญ ระบบโช้คอัพที่เป็นไฟฟ้านั้นสามารถปรับได้ถึง 2 ระดับ เพื่อรองรับน้ำหนักผู้และขับขี่ผู้ซ้อนท้าย หรือสไตล์การขับขี่ของไบค์เกอร์แต่ละคน เรื่องของเบรกก็จัดเต็มมาให้อยู่แล้ว ดิสก์เบรกหน้าจานคู่ ข้างหลังดิสก์เบรกจานเดี่ยว พร้อม ABS เอาอยู่ทุกความเร็ว แต่ก็ต้องระมัดระวังกันด้วยนะ
สรุปรวมๆ TRACER9GT เป็นรถทัวร์ริ่ง ที่มีความกระชับ และคล่องตัว อัตราเร่งดี ท่านั่งสบายตอบโจทย์การขับขี่ทางไกล แต่น้ำหนักจะเยอะไปนิด และเบาะสูงไปหน่อย ขนาดความสูง 170 ซม. ยังเขย่ง แก้ไขได้ด้วยการปาดเบาะลงอีกสัก 2 นิ้ว น่าจะให้ความมั่นใจเวลาจอด ส่วนราคาค่าตัว ก็พอสมน้ำสมเนื้อ 569,000 บาท
สำหรับรถในเครื่องยนต์พิกัด 900 ซีซี จากค่ายผู้ดีอังกฤษ ที่ส่งออกมาสำหรับทำตลาดเป็นโมเดลปี 2023 แม้จะระบุมาว่าเป็นโมเดลใหม่ก็ตาม ทว่าเมื่อดูรายละเอียดในเอกสารพีอาร์แล้ว กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนชื่อจากเดิม street twin เป็น Speed Twin 900 ไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนด้วยรูปโฉมของรถโมเดลนี้ รวมกับองค์ประกอบต่างๆที่รังสรรค์แต่งแต้มลงไป ส่งผลให้นี่คือรถในแบบ modern classic ที่ว่ากันว่าขายดีที่สุดซีรี่ส์หนึ่งของ Triumph ด้วยความสวยงาม ความคลาสสิค และเทคโนโลยีที่พัฒนาเสริมแต่งเข้าไปล้วนส่งให้รถรุ่นนี้มีความเป็นพรีเมี่ยม มีความหลากหลายที่เอื้อให้ผู้ขับขี่ตกแต่งเพิ่มเติมได้หลากหลาย
ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่านี่คือรถรุ่นหนึ่งที่ทางค่ายรถอังกฤษมีความตั้งใจออกแบบมาให้พร้อมสำหรับการขับขี่ใ้ชงาน มีความรู้สึกสนุกสนานของผู้ครอบครองในการที่จะนำไปตกแต่งในแบบคัสตอมสไตล์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว และที่สำคัญ ยังคงสมรรถนะในด้านต่างๆรวมทั้งประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมในการขับขี่ นี่คือหนึ่งในรุ่นรถขนาด 900 ซีซี ที่ใช้เครื่องยนต์สองสูบ parallel twin ที่กำหนดองศาการจุดระเบิดอยู่ที่ 270 องศา
ซึ่งมาพร้อมกับแรงบิดที่ค่อนข้างสูง แม้จะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับ scrambler 900 พร้อมกับใช้คลัทซ์แบบ torque assist clutch อีกทั้งยังมี ride-by-wire with switchable traction control เหมือนกัน ทว่าในรุ่นนี้กลับมีการติดตั้งโหมดการขี่ หรือ riding mode เพียงสองแบบ คือ road กับ rain ขณะที่ในส่วนของระบบกันสะเทือนนั้น ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นฟอร์คอัพขนาด 41 มม. แบบ cartridge forks และระบบกันสะเทือนหลังเป็นโช้คอัพคู่ twin rear suspension โดยได้ติดตั้งระบบเบรกมาตรฐานจากโรงงานมาเป็น brembo 4 piston front caliper และ nissin rear caliper with ABS
แม้ว่าจะพัฒนาปรับปรุงเสริมแต่งสิ่งใหม่ๆเข้าไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ค่ายรถจากอังกฤษเจ้านี้พยายามคงไว้ก็คือ ความพยายามรักษาเอกลักษณ์ความคลาสสิคของรถรุ่นนี้หลายๆอย่างที่พยายามถอดแบบมาจาก 1959 bonneville ให้คงอยู่ในร่างของ speed Twin 900 นี้ต่อไป
ก่อนอื่นต้องบอกว่านี่คือค่ายรถอีกค่ายจากฝั่งอิตาลีและสเปน ที่ใจร้ายพอสมควร นอกจากไฟล์ภาพแล้ว เอกสารประกอบล้วนเป็นภาษาท้องถิ่นทั้งหมด ราวกับว่าจะขายเฉพาะในประเทศหรือเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นรถ TM Pink Limited Edition คันนี้จึงมีข้อมูลน้อยมาก โดยได้มาจากการเสิร์จสุ่มหาตามเว็บไซต์ต่างๆที่พอจะมีเป็นภาษาอังกฤษให้เห็นบ้าง
Limited Edition บ้าง Special Edition บ้าง ตามแต่ละเว็บไซต์จะลง เอาเป็นว่ามันก็คือรถรุ่นพิเศษ จากค่ายรถ TM หรือบางเจ้าอาจจะเรียกว่า TM Racing ก็ว่ากันตามสะดวกก็แล้วกัน
สำหรับรถคันนี้เพิ่งเปิดตัวกันไปหมาดๆระหว่างสัปดาห์ของการแข่งขัน Italian EnduroGP หรือการแข่งขันเอ็นดูโร่ชิงแชมป์โลก สนามที่จัดในอิตาลีนั่นเอง โดยทาง TM Racing ได้บอกว่านี่น่าจะเป็นรถที่โมดิฟายขึ้นมา เพื่อจำหน่ายจำนวนจำกัด 200 คัน
นี่คือโทนสีกราฟฟิคที่โย่งไปถึงความสำเร็จในอดีตของรถแข่ง TM ซึ่งเริ่มก้าวเข้าสู่การแข่งขันในระดับชิงแชมป์โลก และก็สามารถสร้างความสำเร็จได้ในระดับที่น่าพอใจ ดังนั้นรถคันนี้ไม่ใช่แค่สีชมพู หรือ Pink ตามที่คนทั่วไปคิดหรือเห็น แต่นี่คือ ความพิเศษของ TM Racing ที่เรียกสิ่งนี้ว่า Fuchsia ซึ่งก็ระบุชัดเจนเป็นข้อความว่า It ‘s fuchsia,not pink เอาเป็นว่า มันพิเศษสำหรับ TM Racing ก็แล้วกัน เท่าที่หาดูความสำเร็จดังกล่าวนั้นก็ย้อนไปในช่วงยุค ‘90 ที่พวกเขาก้าวสู่วงการแข่งขันอย่างเต็มตัว ซึ่งความสำเร็จดังกล่าวนั้น ก็ได้แก่การคว้าชัยใน 1993 Enduro World Championship รุ่น 80 ซีซี หรือการคว้าชัยชนะสนามแรกของการแข่งขันโมโตครอส 125 ซีซี ระดับชิงแชมป์โลก รวมทั้งการครองแชมป์อิตาลีประเภทโมโตครอส รุ่น 250 ซีซี สรุปก็คือ พวกเขาเปิดตัวรถรุ่นพิเศษ ด้วยโทนสี retro pinkie special edition ซึ่งเป็นหนึ่งไลน์อัพรถกลุ่มเอ็นดูโร่ของตัวเอง
สำหรับรายละเอียดอื่นๆของตัวรถไม่มีอะไรนอกจากไฟล์ภาพที่แจกมาให้ ก็เอาเป็นว่ารับชมภาพสวยๆกับของแต่งของเจ้าลิมิเต็ดคันนี้ไปเป็นแนวทางเผื่อจะสร้างสรรค์รถวิบากคู่ใจของคุณในอนาคต ปิดท้ายก็เป็นดีเทลที่พอหาได้ถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์แต่ที่ทาง TM Racing ได้ทำการแต่งให้กับ รถเฮ็นดูโร่คันนี้
Pair of gold coloured CNC brake and clutch master cylinder covers
Pair of gold coloured Ergal CNc footrests
Gold CNC rear caliper support bracket
Gold CNC wheel pin extraction expansion plugs
New design grip saddles
Retro ‘93 graphics
Pink plastic kit
Circuit black grips
Excell grey rims
New mappings (2T)
Circuit Carbon Pink handguards
นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับนายรณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้อำนวยการสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด พร้อมด้วยกลุ่มสื่อมวลชนชั้นนำสายยานยนต์ นิตยสารรถจักรยานยนต์ และอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของประเทศ ในการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร YAMAHA Revs Soccer Super League 2023 ครั้งที่ 1 ณ สนามฟุตบอลหญ้าเทียม ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความสัมพันธ์อันดีระหว่างยามาฮ่า รวมถึงสื่อมวลชน และอินฟลูเอนเซอร์สายกีฬา พร้อมกันนี้ ยามาฮ่ายังได้เชิญชวนร่วมชมการแข่งขันฟุตบอล Revo Cup 2023 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ณ ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม
เปิดประสบการณ์ใหม่กับโลกใบใหม่ที่มีอะไรให้ค้นหา นั่นคือสิ่งที่ Ducati บอกกับผู้ขับขี่ทุกคนที่กำลังต้องการเริ่มต้นการเดินทางด้วยการขับขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งพวกเขาได้นำเสนอรถรุ่นล่าสุดที่ได้ทำการอัพเกรดขึ้นมาใหม่อย่าง Multistrada V4 Rally ด้วยเติมคำว่า Rally ต่อท้าย นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ตั้งใจที่จะยกระดับของ Multistrada เพิ่มขึ้นจากเดิม High level เป็นนิยามง่ายๆที่เขาจะพูดถึงการยกระดับครั้งนี้ ไม่ว่าการเพิ่มความรู้สึกสบายในขณะขับขี่ทั้งผู้ขี่และผู้ซ้อน ขยายประสิทธิภาพให้สามารถตอบสนองการใช้งานที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะคุณสมบัติการขับขี่ในแบบออฟโรด ดังนั้นรถเวอร์ชั่นนี้จะเป็นรถที่มีความพร้อมเต็มที่สำหรับรองรับเส้นทางวิบาก ขณะเดียวกันก็ยังคงยอดเยี่ยมกับการใช้งานในเมืองหรือโลดแล่นบนท้องถนนแบบที่เคยเป็นมา
นี่คือสมาชิกล่าสุดของรถในตระกูล Multistrada V4 ซึ่งทุกเวอร์ชั่นจะมีพื้นฐานเดียวกัน คือมาพร้อมกับพละกำลังในระดับ 170 แรงม้า ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามีความทนทานสมบุกสมบันมากยิ่งขึ้นโดยกำหนดการบำรุงรักษาชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ไว้ที่ทุกระยะ 60,000 กม. และมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่นต่างๆทุกๆ 24 เดือน
คำว่า Rally ที่ทาง Ducati นำมาใช้นี้ จุดประสงค์ต้องการสื่อให้รู้ว่า นี่คือเวอร์ชั่นที่พัฒนาทุกๆองค์ประกอบเพื่อให้สามารถพิชิตได้ทุกเส้นทางการขับขี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทุรกันดานสมบุกสมบันก็ไม่เป็นอุปสรรคใดใด ระบบกันสะเทือน semi-active suspensions ได้รับการปรับเพิ่มระยะยุบตัวเป็น 200 มม. ส่งผลให้ค่า ground clearance มีระยะห่างจากพื้นที่มากพอเวลาที่ต้องผ่านเส้นทางวิบาก ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มระบบ power mode ที่เน้นไปถึงคุณสมบัติการใช้งานขณะขับขี่บนทางวิบากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆก็ล้วนได้รับการปรับเซ็ท
เพื่อเสริมแต่งประสิทธิภาพที่เอื้อต่อคุณสมบัติการใช้งานในแบบออฟโรดเพิ่มเติมมากกว่าเวอร์ชั่นปกติทั่วไปที่เคยมี นี่คือ Multistrada V4 ที่มีความดุดัน พร้อมออกผจญภัยในแบบที่เรียกว่าไปทุกที่ที่ใจปราถนาจะออกไปเปิดโลกใบใหม่กันเลย จะกล่าวได้ว่านี่คือรถแอดเวนเจอร์ในแบบไฮโซก็ไม่ผิดเพราะประกอบด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการขับขี่แบบเต็มพิกัด เวอร์ชั่น Rally นี้ก็ได้รับการติดตั้งเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นอื่นๆของ Multistrada V4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นรถโมเดลแรกของโลกที่จะมีระบบเรดาร์ front and rear radar system ติดตั้งมาให้ เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานของ Adaptive Cruise Control-ACC ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ทางไกลเป็นเวลานานได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสนับสนุนการทำงานของ Blid Spot Detection-BSD ที่คอยตรวจจับและแจ้งถึงวัตถุหรือรถที่อยู่ใน
มุมอับหรือรถที่มองไม่เห็นในกระจกส่องหลัง เช่นเดียวกับระบบอิเล็คทรอนิคส์อื่นๆ ระบบช่วยจัดการเบรค ABS Cornering , Ducati Cornering Lights-DCL ก็คือระบบไฟที่ช่วยให้มองเห็นขณะขับขี่ในโค้งยามค่ำคืน Ducati Wheelie Control-DWC และ Ducati Traction Control-DTC การแสดงผลผ่านจอ 6.5 นิ้ว TFT colour dashboard รวมถึงการเชื่อมต่อการทำงานกับแอพ Ducati Connect application ที่ช่วยในการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟน การรับสายโทรศัพท์ การฟังเพลง ขณะที่เครื่องยนต์นั้น เป็นเครื่องขนาด 1,158 ซีซี Granturismo engine ให้กำลังระดับ 170 แรงม้า ซึ่งที่น่าสนใจก็คือ มันเป็นเครื่องยนต์ที่มีน้ำหนักเพียง 55.7 กก.
ที่ติดตั้งไว้บนโครงสร้างเฟรมแบบ mocoque aluminium frame ที่มีน้ำหนักเบาและกะทัดรัด
นี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง ความสมบูรณ์ของเครื่องยนต์ Triple engine หรือเครื่องยนต์แบบสามสูบที่เป็นพื้นฐานของ Triumph Tiger ในแต่ละรุ่น และได้นำมาผสานกับอุปกรณ์สเปคสูงคุณสมบัติชั้นยอด อีกทั้งยังเสริมด้วยเทคโนโลยีชั้นนำ จนนำมาสู่ความสมบูรณ์แบบของรถจักรยานยนตืที่เปี่ยมสมรรถนะ พร้อมตอบสนองการใช้งานในทุกวัน อันหลากหลยรูปแบบ
มันคือพัฒนาการสู่เจเนอเรชั่นล่าสุด ของ รถในแพล็ตฟอร์มของ Tiger ที่พัฒนาจนมีความลงตัวทั้งในด้านขอมสมดุลของการขับเคลื่อน ที่พร้อมตอบสนองทุกสภาพการขับขี่ และให้การควบคุมที่คล่องแคล่วสะดวกสบาย กล่าวได้ว่า ในกระบวนการพัฒนาจนมาถึง Tiger รุ่นนี้ ได้รับการปรับเซ็ท ปรับจูน พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมเติมแต่งรายละเอียดด้านต่างๆได้อย่างลงตัว จนเพียงพอที่จะตอบสนองการใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมตอบโจทย์การนำไปขับขี่ได้ในทุกวันทุกสภาพเส้นทาง
แม้ว่าจุดเด่นจะมีความเยี่ยมยอดติอการขับขี่บนท้องถนน แต่ก็มีประสิทธิภาพมากพอสำหรับการมุ่งสู่เส้นทางในแบบออฟโรดด้วยเช่นกัน นี่คือรถที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจด้วยขีดความสามารถอันยอดเยี่ยมของสมรรถนะในด้านต่างๆ จนสามารถสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถใช้งานได้อย่างครบเครื่อง ไม่ว่าขีดความสามารถในการขับขี่แบบแอ๊ดเว็นเจอร์ การใช้งานในเมือง การเดินทางบนถนนเปิด นี่คือหนึ่งในรุ่นรถจาก Triumph ที่มีความสมบูรณ์แบบ พร้อมตอบความต้องการอันหลากหลาย ที่จะช่วยแต่งแต้มสีสันให้ทุกๆการใช้ชีวิตแต่ละวัน เปี่ยมไปด้วยความท้าย กับการขับขี่ที่สนุกสนาน สะดวกสบาย ด้วยเครื่องยนต์แบบสามสูบสุดเร้าใจ ที่มีแคแรกเตอร์ที่ควบคุมง่าย สัมผัสได้ถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ด้วยเทคโนโลยี T-plane crank หรือข้อเหวี่ยงที่ปรับแต่งมาเพื่อเครื่องยนต์สามสูบ ขนาด 850 ซีซี โดยเฉพาะ ซึ่งเครื่องยนต์เวอร์ชั่นนี้ ให้กำลังสูงสุดถึง 85 แรงม้า ที่ 8500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 82 นิวตันเมตร ที่ 6500 รอบ ต่อ นาที ขณะเดียวกัน สำหรับตลดในยุโรปบางประเทศจะมีข้อจำกัดด้านกฏหมาย ที่กำหนดสเปคเครื่องยนต์เป็นระดับต่างๆ ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้ที่ถือใบอนุญาติขับขี่ ในระดับ A2 ได้มีโอกาสสัมผัสรถในรุ่นนี้ จึงได้มี ชุดคิท หรืออุปกรณ์ สำหรับติดตั้งเพื่อลดสมรรถนะเครื่องยนต์ให้ต่ำลง เพียงพอสำหรับผ่านเกณฑ์ที่กฏหมายกำหนด สำหรับผู้ขี่หน้าใหม่หรือผู้ที่เพิ่งได้ใบขับขี่ในระดับดังกล่าว
สำหรับ Tiger 850 Sportเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ ได้รับการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องติดตั้งด้วยอุปกรณ์ระดับสูง High Specification Equipment เพื่อช่วยให้ขีดความสามารถของรถเพิ่มประสิทธิภาพได้สูงสุด ดังนั้นไม่ว่าระบบเบรก ระบบกันสะเทือน และส่วนประกอบต่างๆล้วนเป็นชิ้นสส่วนชั้นยอด อาทิ Brembo Stylema brake ที่กล่าวได้ว่า เบรกรุ่นนี้ได้รับการจัดลำดับให้อยู่ในระดับท็อปของแคตตาช็อกเบรกของ Brembo อันเนื่องมาจาก เป้นรุ่นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Superior stopping power หรือเป็นรุ่นที่มีกำลังในการหยุดที่สูงมากรุ่นหนึ่งนั่นเอง อีกทั้งโครงสร้างชิ้นส่วนได้รับการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ขณะที่ระบบภายในของเบรกรุ่นนี้ได้รับการออกแบบเพื่อเน้นถึงเพอร์ฟอร์ม๊านซ์ของระบบการทำงาน
ที่สำคัญสามารถระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าระบบเบรกจะทำงานหนักเกินไปจนเกิดความร้อนขณะใช้งานเพื่อหยุดความเร็วสูงของรถ ถัดมาที่ต้องกล่าวถึงก็คือระบบกันสะเทือน High specification Marzocchi suspension ที่นับว่าเป้นอีกผู้ผลิตระบบกันสะเทือนในระดับพรีเมี่ยม ซึ่งชุดที่นำมาติดตั้งใน Tiger850 นี้ ได้รับการปรับเซ็ทมาอย่างดี สามารถเรียกได้ว่าเป็นระบบกันสะเทือนในระดับ high performance suspension set-up ซึ่งฟอร์คหน้าได้กำหนดสเปคมาเป็น Marzocchi upside down cartridge forks ขนาด 45 มม. ที่มีระยะยุบตัว 180 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนหลังนั้น เป็นช๊อคอัพแบบ Gas pressurised monoshock suspension unit ที่มีระยะยุบตัว 170 มม.
CUB House by Honda พาความสนุกจากยุค 60’s มาสู่คนไทยอีกครั้งด้วย New Monkey รถระดับตำนานที่มาพร้อมคอนเซปต์ Naughty Go Round ดีไซน์ใหม่สุดโดดเด่น พร้อมด้วย New C125 ที่ถ่ายทอดความเป็น Originality ของรถ CUB ผู้อยู่เหนือกาลเวลาให้คนที่ชอบความคราฟท์ได้สัมผัสกับคอนเซปต์ Ride The Masterpiece พร้อมให้เป็นเจ้าของความซน และความคราฟท์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
New Monkey ถ่ายทอด DNA ของ Z50M ที่มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 ด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นรถมินิไบค์ที่ สะท้อนความซุกซน และมีดีไซน์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะเบาะ Tartan Seat ลายตารางหมากรุก ลงตัวกับเฟรมสีสดใส และ Tank Color ดีไซน์ใหม่ ยกระดับความซนแบบเต็มสตรีมในคอนเซปต์ Naughty Go Round
New C125 รถคลาสสิกที่มาพร้อมคอนเซปต์ Ride The Masterpiece ถ่ายทอดเอกลักษณ์ S Shape อันเป็น Signature ของรถ Honda ตระกูล CUB ที่มีมาตั้งแต่ปี 1958 ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันด้วยวัสดุระดับพรีเมียม สะท้อนจิตวิญญาณแห่งความคราฟต์แบบดั้งเดิมด้วยสีใหม่ Color of Origin Red-White และการใช้วัสดุโครเมียมที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และการประกอบอย่างพิถีพิถัน เพิ่มความประณีตในการขับขี่ด้วย Double Seat เบาะสองตอนที่ออกแบบให้มีองศาที่เหมาะสมเพื่อสร้างท่าขับขี่ที่สง่างาม สะดวกสบาย เพิ่มความเหนือระดับด้วยกุญแจรีโมตอัจฉริยะ และชุดควบคุมการทำงาน ที่ผสานที่สุดแห่งศาสตร์และศิลป์ได้อย่างลงตัว