ยามาฮ่าเปิดตัวเทคโนโลยี EV สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเต็มระบบ เชิญสื่อมวลชนทั่วโลกเข้าร่วมการแถลงข่าวใน Global Press Conference YAMAHA E01

21 เมษายน 2565 เมืองอิวาตะ ประเทศญี่ปุ่น บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้จัดการแถลงข่าวรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า “E01” พร้อมกันทั่วโลกผ่านระบบ Zoom Application ถึงการเตรียมความพร้อม ในการส่งสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้าเต็มระบบ ลงสู่ตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลก โดยมีใจความในการแถลงข่าวในครั้งนี้ว่า ยามาฮ่าไม่หยุดในการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองให้กับผู้บริโภค โดยทางบริษัท ได้มีการพัฒนารถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้ามานับตั้งแต่ปี 1991 เพื่อเป็นทางเลือกของพลังงานที่สะอาด ปลอดภัยแก่สิ่งแวดล้อม และประหยัดการใช้จ่ายในการใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลือง

ยามาฮ่า “E01” ได้ทำการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 ภายในงาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ ประเทศญี่ปุ่นในฐานะยานยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Plugged Yamaha to new era” พร้อมจุดเด่นของระบบชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ที่รวดเร็ว และเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ ยามาฮ่าจึงได้พัฒนาทุกองค์ประกอบของยามาฮ่า E01 ด้วยความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและวิศวกรรม ทั้งในด้านสมรรถนะ แบตเตอรี่ ระบบการชาร์จไฟ ดีไซน์ภายนอก และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ เพื่อให้เป็นสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ยามาฮ่า “E01” ให้กำลังไฟฟ้าที่ 8.1 กิโลวัตต์ หรือเทียบเท่ากับรถจักรยนต์สันดาปขนาด 125 ซีซี ส่งผลให้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับการใช้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ โดยสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 104 กิโลเมตร* ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง (ความเร็วคงที่ 60 กม./ชม.) และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 100 กม./ชม.

แบตเตอรี่และระบบการชาร์จไฟ ยามาฮ่า “E01” ถูกพัฒนาและเลือกใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ความจุสูง 4.9 กิโลวัตต์/ชม. ที่ยามาฮ่าพัฒนาขึ้น สำหรับรถจักรยานยนต์โดยเฉพาะ ทำให้สามารถชาร์จไฟได้ผ่านเครื่องชาร์จแบบเร็ว ที่ระดับแบตเตอรี่ 0% ถึง 90% ได้ภายใน 1 ชั่วโมง โดยการออกแบบตัวเชื่อมต่อสายชาร์จไฟไว้ที่ตำแหน่งด้านหน้าของตัวรถ ทำให้สามารถชาร์จได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่จอดรถ อีกทั้งยังมีระบบชาร์จไฟถึง 3 แบบให้เลือกใช้ เพื่อความสะดวกสบาย

ของผู้ใช้งาน  และรองรับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ ได้แก่

  1. เครื่องชาร์จแบบเร็ว – เหมาะสำหรับการติดตั้งโดยผู้ให้บริการแบ่งเช่ารถ หรือ ตัวแทนจำหน่ายฯ สามารถชาร์จ จาก 0% ถึง 90% ได้ภายใน 1 ชั่วโมง
  2. เครื่องชาร์จแบบปกติ – เหมาะสำหรับการติดตั้งภายในบ้านสามารถชาร์จ จาก 0% ถึง 100% ภายในเวลา 5 ชั่วโมง ที่แรงดันไฟฟ้า 200V (เข้ากันได้กับเต้ารับ 200 – 240V ในประเทศต่างๆ)
  3. เครื่องชาร์จแบบพกพา – พกพาสะดวกด้วยขนาดที่พอดีกับช่องเก็บของใต้เบาะนั่งสามารถชาร์จจาก 0% ถึง 100% ได้ภายใน 14 ชั่วโมง ที่แรงดันไฟฟ้า 100V (200 –240V ในประเทศต่างๆ)

ยามาฮ่า “E01” สมรรถนะการขับขี่ด้วยมาตรฐานของยามาฮ่า เพื่อให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่สมบูรณ์ตามแบบฉบับของยามาฮ่า จึงได้พัฒนาทุกองค์ประกอบขึ้นเองทั้งหมด ผสานกับความเชี่ยวชาญพิเศษทางด้านเทคโนโลยีการออกแบบและวิศวกรรมไร้ขีดจำกัดลิขสิทธิ์เฉพาะของยามาฮ่า ตั้งแต่มอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาจากยามาฮ่าเอง มีน้ำหนักเบา กะทัดรัด รวมถึงการตั้งค่าแรงบิดเพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด แรงบิดสูงสุดถูกตั้งไว้ที่รอบต่ำตั้งแต่ 0 – 2,000 รอบ/นาที ที่ 30.2 นิวตันเมตร และกำลังสูงสุด 8.1 กิโลวัตต์ที่ 5,000 รอบ/นาที ทำให้มีกำลังในรอบที่กว้าง ทำให้ง่ายต่อการใช้งานในสภาพการจราจรที่ติดขัดในเมืองโดยเฉพาะที่ความเร็วต่ำฃ

ยามาฮ่า “E01” สามารถสตาร์ทและออกตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อทำการเปิดคันเร่ง และมาพร้อมกับโหมดถอยหลัง ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าออกจากที่จอดรถและบังคับทิศทางของรถได้ง่ายยิ่งขึ้น อีกทั้งระบบการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าของยามาฮ่า “E01” นั้นเงียบ ลื่นไหล ไร้เสียงรบกวน และการสั่นสะเทือนต่ำ จากกลไกของมอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างแรงหมุนได้โดยตรง ประกอบกับการใช้ยางที่มีเสียงรบกวนต่ำ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุด

ยามาฮ่า “E01” มาพร้อมโหมดการขับขี่ 3 ระดับ เพื่อความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมขณะใช้งาน และไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่แตกต่างกัน ได้แก่

 

PWR (โหมดเพาเวอร์): สำหรับการขับขี่ที่ดึงกำลังสูงสุดของมอเตอร์ออกมา เหมาะสำหรับการขี่ขึ้นเนิน และการเร่งแซง ฯลฯ

 

STD (โหมดมาตรฐาน): สำหรับการขับขี่ทั่วไปในช่วงความเร็ว 30 –  80 กม./ชม.

 

ECO (โหมดอีโค): สำหรับการขับขี่ระยะไกล เพื่อจำกัดการใช้พลังงานแบตเตอรี่และจำกัดความเร็วสูงสุด อยู่ที่ประมาณ 60 กม./ชม.

การออกแบบและดีไซน์ยังคงความล้ำสมัย สะท้อนภาพลักษณ์จักรยานยนต์ไฟฟ้าแห่งโลกอนาคต

 ยามาฮ่า “E01” ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่คำนึงถึงผู้ขับขี่เป็นศูนย์กลาง ทั้งรถและคนต้องมีการเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน งานออกแบบจึงเรียบง่าย ผสานกับความล้ำสมัยและทรงพลัง แตกต่างจากสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป รูปลักษณ์ดีไซน์โดยรวมในการพัฒนา EV มาจากแนวคิด Jin-Ki Kanno ของยามาฮ่า ที่นำเอาแนวคิดจาก MOTOROiD*2 มาใส่ไว้ในรถคันนี้ โดยโครงสร้างเฟรมจะสะท้อนถึงเทคโนโลยีในการออกแบบรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต พื้นที่ด้านหน้าถูกออกแบบมาให้สะท้อนความเป็นยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่การจัดวางตำแหน่งไฟ จนถึงที่เสียบสายชาร์จ ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้ดีไซน์มีความล้ำ โดยไฟทุกตำแหน่ง ทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย และไฟเบรก เป็นไฟ Full LED ทั้งหมด ผสานกับสีดำและสีขาวมุกพิเศษของตัวถัง ยิ่งเสริมให้ ยามาฮ่า “E01” ดูมีสไตล์ หรูหรา และทันสมัย

ในส่วนของมาตรวัดหน้าจอ ได้รับการออกแบบให้แสดงผลแบบดิจิตอล แบบมัลติฟังก์ชั่นที่แสดงทั้งอัตราความเร็ว ความจุแบตเตอรี่ สถานะการชาร์จไฟ นาฬิกา อุณหภูมิของอากาศ และอื่นๆ

ฟังก์ชันการใช้งานมาพร้อมความสะดวกสบาย เพื่อการใช้งานทุกรูปแบบ

นอกจากดีไซน์อันล้ำสมัย อีกหนึ่งสิ่งที่ผู้พัฒนา ยามาฮ่า E01 ให้ความสำคัญคือ ฟังก์ชันการใช้งานที่มอบความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ โดยยามาฮ่า E01 จะถูกควบคุมด้วยระบบสมาร์ทคีย์ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดสวิตซ์ในการใช้งานได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่หมุนปุ่มโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ

นอกจากนี้รถรุ่นนี้ยังติดตั้งหน่วยควบคุมการสื่อสาร ด้วยระบบ 3G/LTE eSIM และ GPS โดยหน่วยควบคุมจะอัปโหลดข้อมูลรถ (ตำแหน่ง สภาพการทำงาน) ไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ ข้อมูลที่สามารถตรวจสอบได้ ได้แก่ บันทึกการใช้งานรถ ประจุแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ และตำแหน่งที่รถจอด และอื่นๆ ยามาฮ่า จะใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้จากทดสอบความเป็นไปได้และดูทิศทางของตลาดของ ยามาฮ่า “E01” ไว้เป็นจุดอ้างอิงในการตั้งสมมติฐานความต้องการในอนาคตของผู้ขับขี่ เพื่อสนับสนุนการพัฒนารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อไป

 

 

 

SYM : 4MICA

ค่ายรถจากไต้หวัน ที่ก้าวไปสร้างชื่อในกลุ่มประเทศยุโรป โดยเฉพาะความโดดเด่นในเรื่องของรถประเภมสกู๊ตเตอร์ ซึ่งในไลน์อัพปี 2022 นี้ก็มีเปิดตัวสู่ตลาดยุโรปด้วยกันหลากหลายรุ่น และที่จะนำมาแนะนำกันก็คือรุ่น 4MICA ซึ่งชื่อรุ่นแปลง พ้องมาจากคำว่า Formica ในภาษาอิตาลีที่หมายถึง มด

ในการออกแบบของ 4MICA นั้น ทางSYM มีความต้องการที่จะผลิตรถที่ตอบสนองความต้องการใช้งานในชีวิตประจำวัน ในการใช้เดินทาง ใช้ไปจ่ายตลาด ท่องเที่ยว รวมทั้งไปทำธุระ กล่าวง่ายๆก็คงต้องเปรียบเทียบกับรถยนต์แล้วก็จะเข้าใจว่า 4MICA นี้ก็จะเป็นรถยนต์ในประเภท SUV นั่นเอง

สำหรับการออกแบบตัวรถนั้นไฮไลท์หนึ่งนั่นก็คือส่วนของพื้นที่คนซ้อน ที่ออกแบบให้เบาะคนซ้อนสามารถปรับเป็นพื้นที่บรรทุกของได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ โดยพื้นที่ดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ไม่ต่ำกว่า 40 ก.ก. ขณะที่ส่วนประกอบอื่นๆนั้นก็เป็นไปตามาตรฐานของรถสกู๊ตเตอร์หรือรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กควรจะมี ไม่ว่าเรือนไมล์แบบจอแอลซีดี ไฟหน้าหน้าแบบ LED

หรือแม้แต่ชาร์จโทรศัพท์แบบ Quick Charge3.0 เป็นต้น โดยรถรุ่นนี้จะมี ให่เลือกขนาดความจุเครื่องยนต์ 125 และ 150 ซี.ซี. โดยทั้งสองขนาดก็จะมีแบ่งสองเวอร์ชั่น คือแบบมาตรฐานกับแบบที่ติดตั้งระบบ ABS

VESPA ELECTRICA

สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความยอดเยี่ยมจากค่ายรถอิตาลีอย่างแบรนด์  VESPA ที่เปิดไลน์การผลิตล่าสุด ที่บ่งถึงความเป็น Italian technology ที่ดีรวบรวมความโดดเด่น ทั้งคุณสมบัติด้าน การเชื่อต่อที่ก้าวหน้า กลไกการทำงานที่เงียบมีประสิทธิภาพ การตกแต่งที่หลากหลาย และ อุปกรณ์เสริมที่พร้อมตอบสนองความต้องการ ที่สำคัญคือ คำนึงถึงสภาพแวดล้อม

โดยที่ยังคงความโดดเด่นเป็นตัวเองในรูปแบบของ Vespa ที่กล่าวมานั้น คือสิ่งที่ผสมผสานกันจนสมบูรณ์แบบ และพัฒนาออกมาเป็น Veapa Electrica ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากกลุ่มธุรกิจยานยนต์ยักษ์ใหญ่จากยุโรปอย่าง Piaggio ที่เน้นให้ Electrica เป็นรถที่ใช้งานง่าย ขับขี่สบายเป็นไปตามธรรมชาติของสกูตเตอร์ แม้ว่านี่จะเป็นรถไฟฟ้าก็ตาม ว่ากันว่าทาง Piaggio มีเป้าหมายในการพัฒนาให้ Vespa Electrica ให้เป็นที่สุดของผลิตภัณฑ์ที่จะรุกเข้าสู่ตลาด electric mobility หรือตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้านั่นเอง

สำหรับ Vespa Electrica นั้น เปิดตัวกันไปตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วในระหว่างงาน 2021EICMA ที่อิตาลี เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ที่หันมาใส่ใจสภาพแวดล้อมกันมากขึ้น รวมทั้งกระแสเติบโตอย่างต่อเนื่องของยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดยุโรปที่เพิ่มจำนวนผู้ใช้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการใช้งานในพื้นที่เขตเมือง

แต่ในไรดิ้งฉบับนี้เราได้นำอีกหนึ่งเวอร์ชั่น ก็คือ Vespa Electrica “RED” มาฝากกัน เพราะนี่คือความร่วมมืออีกครั้งระหว่าง Piaggio Group กับ RED ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ ที่ดำเนินกิจกรรมด้านสาธารณะกุศลมากมาย โดยองค์กรหรือมูลนิธิ ที่ใช้ชื่อว่า RED นี้ ก่อตั้งโดย นักร้องชื่อดังจากวง U2 อย่าง Bono และอีกคนก็คือ Boby Shriver ที่เป็นนักกฏหมาย นักเคลื่อนไหว รวมทั้งยังเป็นผู้มีบทบาทด้านสื่อสารมวลชนของอเมริกา ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์กร RED นี้ขึ้นมา

ชื่อของ RED นี้ก็หมายถึง สีแดง ที่สื่อถึง เหตุการณ์ฉุกเฉิน เหตุด่วนอะไรทำนองนั้น ด้วยเหตุนี้จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อองค์กรดังกล่าว ที่เริ่มก่อตั้งครั้งแรกในปี 2006 ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะระดมทุนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในเวลานั้น ปัจจุบันเป้าหมายหลักของ RED นั้นก็อยู่ที่การช่วยเหลือแก้ไขสถานการการระบาดของไวรัส COVID นับตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน RED นั้นสามารถระดมทุนได้เกือบ 700ล้านเหรียญ เพื่อสนับสนุนกองทุนต่างๆทั่วโลก ว่ากันว่า พวกเขาสามารถช่วยผู้คนได้มากกว่า 220ล้านคน ให้ที่เผชิญกับสถานการณ์ที่ลำบากจากโรคภัยต่างๆ

เอาเป็นว่า RED ก็คือ องค์กรเพื่อการกศล และรถแบรนด์ Vespa ก็มีส่วนร่วมสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ ทาง Piaggio Group ได้ออกรถรุ่นพิเศษ ที่ใช้สีแดง อย่าง Vepa946 RED.ในปี 2017และ Vespa Primavera RED  ในปี 2020 ล่าสุดก็คือ Vespa ELECTRICA RED ที่จัดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในแบบ Exclusive product  หากผู้อ่านคนใดที่ใช้ผลิตภัณฑ์มือถือไอโฟน ก็น่าจะเคยได้ยินว่า มีรุ่นสีพิเศษที่ใช้ชื่อว่า RED ด้วยเช่นกัน และนั่นหมายความว่า ผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ในเวอรืชั่น RED นี้ ก็จะมีส่วนกับการทำบุญหรือบริจาคเพื่อสมทบทุนช่วยเหลือด้านสุขภาพอนามัยต่อมนุษยชาติผ่านองค์กรดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับ ผู้ขับขี่ที่เลือกครอบครอง Vespa Electrica RED ในทุกๆคันที่ขายได้นั้นก็จะ บริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนดังกล่าวเป็นจำนวน 100 เหรียญสหรัฐ เพื่อนำไปใช้ต่อต้านการแพร่ระบาดของเชื่อCOVID

MotoMorini : X-CAPE

รถจักรยานยนต์รุ่นล่าสุดจากค่าย Moto Morini ที่ทางค่ายบอกว่า นี่คือ a new way of motorcycling ซึ่งก็คงจะเป็นกลุ่มหรือประเภทรถใหม่ล่าสุดของทางค่ายที่พัฒนาออกมาสู่ตลาด ขณะที่ผู้ขับขี่ทั่วไปคงจะมองว่า นี่ก็คือรถในสายแอดเวนเจอร์อีกรุ่นหนึ่งที่ออกสู่ตลาด

อย่างไรก็ตามทางค่ายระบุชัดเจนว่า นี่คือรถที่พวกเขาภูมิใจนำเสนอ ด้วยความเป็นรถในแบบ made in italy ที่จะคงความเป็นรถสายอิตาลี ด้วยการออกแบบที่น่าจับตามอง ด้วยความการออกแบบที่สวยงาม สมรรถนะที่ลงตัว พร้อมให้ความสนุกและสะดวกสบายในขณะขับขี่ ด้วยโครงสร้างแชสซีส์ ที่ออกแบบเฟรมแบบ robust steel trellis พร้อมฟอร์คหน้าแบบอลูมิเนียม ที่ติดตั้งมาพร้อมกับวงล้อหน้า 19 นิ้ว และ วงล้อหลัง 17 นิ้ว โดยในส่วนของฟอร์คหน้านั้น มีขนาด 50 ม.ม. สามารถปรับเซทได้ตามความเหมาะสมกับการขับขี่ทั้งขึ้นทางลาดชัน เข้าเส้นทางออฟโรด ซึ่งในส่วนของระบบกันสะเทือนนั้นทาง MotoMorini ได้จับมือกับผู้ผลิตระบบกันสะเทือนอย่าง Marzocchi โดยเฉพาะฟอร์คหน้านั้นเป็นแบบปรับตั้งค่าได้อย่างเต็มรูปแบบ

ขณะที่เบาะนั่งนั้นมีขนาดใหญ่ นุ่มนวล มีพื้นที่เพียงพอสำหรับผู้ขับขี่และผู้ซ้อน โดยตำแหน่งนั่งของผู้ซ้อนนั้นสูงจากพื้นเพียง 845 ม.ม. ขณะที่ตำแหน่งผู้ขับนั้นเบาะนั่งมีความสูงจากพื้นเพียง 820 ม.ม.คำแหน่งแฮนเดิลบาร์ ออกแบบมาให้มีความพอดี ไม่กว้างเกินไปและไม่อยู่ชิดกับผู้ขับขี่มากเกินไป ขณะเดียวกันได้ออกแบบให้มีการจัดวางตำแหน่งแฮนเดิลบาร์ไว้ทั้งสิ้น 6 ตำแหน่งที่แตกต่างกันไป ทั้งความสูงและระยะจากตัวผู้ขับขี่ เพื่อให้ได้รับความรู้สึกสะดวกสบายกับตำแหน่งท่าทางการขี่ที่เหมาะสมที่สุดหน้าจอแสดงผลหรือเรือนไมล์ ที่ติดตั้งมามีขนาด 7นิ้ว เป็นจอสีแบบ TFT ซึ่งถือว่าเป็นหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่มรถแบบเดียวกันที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาด นั่นหมายความว่า ด้วยขนาดจอที่กว้างนี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นข้อมูลต่างๆบนจอแสดงผลได้สะดวกง่ายดายมากกว่า

สำหรับระบบเบรกของรถนั้น แม้ว่าโดยพื้นฐานจะติดตั้ง ABS มาให้ แต่ก็สามารถที่จะยกเลิกการใช้งานได้ ขณะที่จะขับขี่บนเส้นทางวิบาก เพียงแค่การกดสวิทซ์ที่ติดตั้งอยู่บนแฮนเดิลบาร์ เมื่อคำสั่งบล็อกการทำงานของ ABS ทำงาน ก็จะมีสัญลักษณ์แสดงให้เห็นบนจอแสดงผล สำหรับในส่วนของระบบเบรกนั้นทาง MotoMorini ได้เลือกใช้เบรกจากค่าย Brembo เข้ามาเป็นผู้ดูแลชิ้นส่วนต่างๆในเรื่องของความปลอดภัยของระบบเบรกให้กับ X-CAPE

นอกจากนี้ทางฝั่งซ้ายของแฮนเดิลบาร์ก็จะมีสวิทซ์หรือปุ่ม สำหรับใช้สั่งการทำงานบนเมนูต่างๆของจอแสดงผล นอกจากการทำงานพื้นฐานทั่วไปแล้ว ทาง Motomorini ยังได้ติดตั้งระบบ wireless system มาให้ X-CAPE เพื่อช่วยในการแสดงขอมูลเกี่ยวกับแรงดันปัจจุบันของยางอีกด้วย ในส่วนของหน้าจอแสดงผลนั้นสามารถปรับเลือกแคกราวด์ได้สี่แบบ พร้อมกันนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมารทโฟนผ่านบลูทูธ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับขี่สามารถจัดการสื่อสารต่างๆได้โดยสะดวกอีกด้วย

ข้อมูลรายละเอียดของสเปคเบื้องต้นมีดังนี้

TECHNICAL SPECIFICATIONS

GENERAL MEASURES

Length x width x height: : 2190x905x1390

Wheelbase: 1470 mm

Dry weight: 213 kg

Seat height: 820mm/845mm

Fuel tank: 18L

Ground clearance: 175mm

CHASSIS:

Steel: trellis

Swingarm: alluminium

BRAKING SYSTEM:

Front brake: 298mm double discs,flfloating caliper, 2 pistons

Rear brake: 255mm single disc, 2 pistons

ABS: BOSCH ABS 9.1 Mb (switchable ABS)

RIMS: Tubeless Spoked rims

TYRES:

Front tyre: 110/80-19M/C

Rear tyre: 150/70-17M/C

ENGINE:

Engine type: L 2, 4 Strokes

Engine capacity: 649 cc

Bore x stroke: 83mm x 60mm

Compression: 11.3:1

Max torque: 56Nm/7000rpm

Max power: 44kW/60CV/8250rpm

Injection system: BOSCH EFI injection system

Max speed: 175 Km/h

Cooling system: liquid

Fuel distribution: DOHC twin cylinders 8 valves

Emission: euro 5

COLOURS:

Red, Red Passion

Grey, Smoky Anthracite

White, Carrara White

“บูธยามาฮ่า” คว้ารางวัลออกแบบและจัดแสดงดีเด่น “มอเตอร์โชว์” ต่อเนื่องปีที่ 16 ควบรางวัลสุดยอดรถต้นแบบ ตอกย้ำความล้ำสมัย

นายจิรภัทร สายเพชร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติกและสนับสนุนการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด รับรางวัลและถ่ายภาพร่วมกับ ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร / ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมอเตอร์โชว์ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43

หลังจากที่ยามาฮ่าได้รับรางวัล Exhibit Design Award 2022 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 ด้วยการออกแบบและดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ YAMAHA MOTOVERSE – อาณาจักรยานยนต์แห่งความเร้าใจ สู่สังคมแห่งอนาคต ตอกย้ำความล้ำสมัยด้วยรางวัล The Best Concept Bike Award 2022 จากการจัดแสดงรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า ยามาฮ่า E01 ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้ง และทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลาชาร์จไฟฟ้าจาก 0%-90% ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง

สำหรับการรับรางวัล Exhibit Design Award 2022 และรางวัล The Best Concept Bike Award 2022 มีขึ้น ณ บูธ YAMAHA MOTOVERSE – อาณาจักรยานยนต์แห่งความเร้าใจ สู่สังคมแห่งอนาคต ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ อิมแพค ชาเลนเจอร์ 1 เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

“ก้อง-สมเกียรติ” สร้างประวัติศาสตร์! บิดเข้าที่ 2 ขึ้นโพเดี้ยม โมโตทู อาร์เจนตินา

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา หมายเลข 35 ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างผลงานระดับมาสเตอร์ ทะยานคว้าอันดับ 2 ในศึก โมโตจีพี รุ่น โมโตทู ชิงแชมป์โลก สนาม 3 ที่อาร์เจนตินา จารึกประวัติศาสตร์ขึ้นโพเดี้ยม 2 สนามติดต่อกัน เป็นนักบิดไทยคนแรกที่ทำได้ใน “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์”

ศึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2022 สนาม 3 รายการ กรังด์ปรีซ์ ออฟ อาร์เจนตินา ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่เทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ เซอร์กิต ประเทศอาร์เจนตินา ชิงชัยทั้งสิ้น 23 รอบสนาม “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ยังคงอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงหลังคว้าชัยชนะครั้งแรกที่ อินโดนีเซีย ในสนามที่ผ่านมา โดยในเรซนี้นักบิดไทยได้ออกตัวจากกริดที่ 7 และออกสตาร์ทเรซได้อย่างยอดเยี่ยม ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 4 ได้ตั้งแต่รอบแรก จากนั้นนักบิดไทยแซงผ่าน โทนี อาร์โบลิโน นักบิดอิตาเลียนจาก มาร์ค วีดีเอส ขึ้นมารั้งอันดับ 3 ได้ในรอบที่ 3 ในรอบที่ 7 จุดเปลี่ยนของเรซ สมเกียรติ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 2 ได้สำเร็จ หลัง เฟร์มิน อัลเดเกร์ เจ้าของโพลพลาดล้มจากการชนกับ เชเลสติโน วิเอ็ตติ โดยนักบิดไทยหลบมาได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมทะยานขึ้นเป็นผู้นำได้ในรอบที่ 10 แต่ก็โดนเอาคืนในรอบถัดมา
เกมการแข่งขันบีบหัวใจแฟนชาวไทยอย่างมาก โดย สมเกียรติ รักษามาตรฐานการบิดระดับโลก พารถแข่งหมายเลข 35 เข้าป้ายในอันดับ 2 ตามหลัง วิเอ็ตติ ผู้ชนะเพียง 1.538 วินาที ส่วนอันดับ 3 เป็นของ ไอ โอกุระ ทีมเมทชาวญี่ปุ่นของ สมเกียรติ ที่พลิกแซง แอรอน คาเน็ต ในโค้งสุดท้าย
จบการแข่งขัน 3 สนาม สมเกียรติ ทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 3 บนตารางคะแนนสะสม มีทั้งสิ้น 45 คะแนน ตามหลังจ่าฝูงอย่าง วิเอ็ตติ 25 คะแนน โดยสนามต่อไปของศึก โมโตทู ชิงแชมป์โลก 2022 จะมีขึ้นที่ เซอร์กิต ออฟ ดิ อเมริกาส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 8-10 เมษายนนี้ แฟนชาวไทยสามารถติดตามข่าวสารของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา พร้อมส่งกำลังใจเชียร์ยอดนักบิดไทยตลอดทั้งฤดูกาล 2022 ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

เส้นทางสู่แชมป์ของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา คนไทยคนแรกที่คว้าชัยในเวิลด์จีพี

เผยสู้สุดหัวใจแม้มีอาการบาดเจ็บนิ้วก้อยมือขวาแตกจนต้องดามเหล็กขณะลงแข่งขันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้จารึกชื่อคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก จากผลงานของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดวัย 23 ปี จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่ควบรถแข่งคู่ใจหมายเลข 35 เข้าป้ายเป็นคันแรก และทำเวลาต่อรอบได้เร็วสุด ในการแข่งขันรุ่น โมโตทู ที่ประเทศอินโดนีเซีย รายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนาม เปอร์ตามินา มันดาลิกา เซอร์กิต ในขณะที่นักบิดชาวไทยยังมีอาการบาดเจ็บที่นิ้วก้อยมือขวาแตกจนต้องดามเหล็ก และต้องใช้ถุงมือที่ปรับแต่งพิเศษแบบเฉพาะกิจ หลังได้รับการผ่าตัดด่วน ที่ประเทศสเปน โดยเจ้าตัวทำเวลาเร็วสุดผ่านจากรอบควอลิฟาย 1 เป็นคันแรก ก่อนจะคว้ากริดสตาร์ทอันดับที่ 4 ในรอบควอลิฟาย 2 มาครอง
จากนั้น สมเกียรติ ใช้ทักษะที่ยอดเยี่ยมควบคุมรถแข่งได้ดีตั้งแต่ออกตัว ขึ้นนำได้ตั้งแต่โค้งแรก และรักษามาตรฐานการขี่ของตัวเองได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้บรรดาคู่แข่งระดับพระกาฬที่ถูกยกเป็นเต็งแชมป์อย่าง แซม โลว์ส อดีตแชมป์โลกชาวอังกฤษ, เจค ดิ๊กสัน มือบิดไวด์การ์ดโมโตจีพีจากสหราชอาณาจักร รวมถึงดาวรุ่งฝีมือดี เชเลสติโน วิเอ็ตติ ชาวอิตาเลียน แชมป์สนามแรก และ ออกุสโต้ เฟร์นันเดซ นักบิดจากทีมแชมป์โลกปีที่ผ่านมา ไล่กดดันอย่างหนักก็ตามสมเกียรติ มีความเร็วที่ดีเหนือใคร ด้วยการกดเวลาต่อรอบเร็วที่สุดได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ทิ้งห่างคู่แข่งออกไป ขณะที่แฟนชาวไทยลุ้นอย่างหนัก เจ้าของฉายา “คิงคองก้อง” ก็บิดคันเร่งพารถแข่งคู่ใจเข้าป้ายเป็นคันแรกได้แบบม้วนเดียวจบ ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง วิเอ็ตติ ถึง 3.230 วินาที คว้าชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ นำธงชาติไทยไปโบกสะบัดอวดสายตาชาวโลกอย่างภาคภูมิใจ
สมเกียรติ กลายเป็น “นักกีฬาชาวไทย” คนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” รุ่นโมโตทู และจารึกว่าเขาเป็น “นักกีฬาจากเซาท์อิสต์เอเชีย” คนแรกที่ทำได้ด้วยเช่นกัน ชัยชนะครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อวงการกีฬาของไทยและเอเชียเพลงชาติไทยที่ดังกระหึ่มสนาม เปอร์ตามิน่า มันดาลิกา เซอร์กิต บ่งบอกว่า “นักกีฬาชาวไทย” มีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ที่มีเป้าหมายพาเด็กไทยไปสู่การแข่งขันระดับสูงสุดของโลกอย่าง “โมโตจีพี” ภายในปี 2025 ก็เริ่มมีความชัดเจนขึ้นอย่างมาก
เจ้าของชัยชนะในศึกเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ คนแรกของไทย ซึ่งปัจจุบันอายุ 23 ปี เข้าสู่เส้นทางสายนักบิดตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ในโครงการ ฮอนด้า เรซซิ่ง สคูล และที่นี่เขาถูกบ่มเพาะความสามารถจนได้รับคัดเลือกเข้าสู่โปรเจกต์ “โร้ด ทู โมโตจีพี” ในรายการ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ในปี 2013 ด้วยวัยเพียง 15 ปี จากนั้นเส้นทางสู่ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ของนักบิดจากชลบุรีเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังผงาดคว้าแชมป์ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ ในปี 2016 และได้รับโอกาสก้าวสู่การแข่งขันในรายการ “เอฟไอเอ็ม ซีอีวี โมโตทรี จูเนียร์” ในปี 2017-2018 ขณะที่มีอายุ 18 ปี เกมระดับ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ครั้งแรกของ สมเกียรติ คือการลงบิดด้วยสิทธิ์ไวด์การ์ดในการแข่งขันรุ่น โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2018 รายการ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งนักบิดไทยก็ตอบแทนโอกาสทองนี้ ด้วยการคว้าอันดับ 9 ในโฮมเรซต่อหน้าแฟนความเร็วชาวไทย และนี่คือ “ตั๋วใบสำคัญ” ให้เขาได้รับการโปรโมตขึ้นสู่การแข่งขันชิงแชมป์โลกอย่างแท้จริงในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ภายใต้สังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ในปีถัดมาสมเกียรติ ออกสตาร์ทการแข่งขัน โมโตทู ชิงแชมป์โลก ในปี 2019 และยกระดับความสามารถของตัวเองขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกฤดูกาล จนได้รับสัญญาต่อในปี 2020 และ 2021 ผลงานดีที่สุดคือการคว้าอันดับ 5 ที่สนาม เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย ในรายการ ออสเตรียน กรังด์ปรีซ์ จนกระทั่งสร้างผลงานระดับมาสเตอร์คว้าชัยชนะครั้งแรกในชีวิตของตนเองได้สำเร็จ ในรายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้วย “ความเป็นไทย” ในตัวเองที่เข้มข้น สมเกียรติ ให้สัมภาษณ์หลังจบเรซด้วยความภาคภูมิใจว่า “แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับชัยชนะครั้งแรก และขอมอบความสำเร็จนี้ให้แฟนๆ ชาวไทยทุกคน” พร้อมยกเครดิตให้กับ บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ที่ยังคงเชื่อมั่นใจตัวเขาจนพิสูจน์ตัวเองได้จากความสำเร็จนี้ สะท้อนให้เห็นว่าโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” มีโครงสร้างการพัฒนานักแข่งที่แข็งแกร่ง และเป็นระบบ และช่วยยกระดับวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยอย่างชัดเจน ส่งผลให้นักแข่งไทยเข้าใกล้เป้าหมายระดับโลกไปอีกขั้น
ความหวังของคนไทยที่จะได้เห็น “นักแข่งไทย” คว้าชัยชนะใน “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” เกิดขึ้นจริงแล้วจากผลงานของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ผลผลิตจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และเป้าหมายต่อไปของเขาคือรักษามาตรฐานที่แข็งแกร่งนี้ไว้ เพื่อเป้าหมายสูงสุดคือการแข่งขัน “โมโตจีพี”

บูธ “YAMAHA MOTOVERSE” – อาณาจักรยานยนต์แห่งความเร้าใจ สู่สังคมแห่งอนาคต

นอกจากจะมีดีไซน์ที่โดดเด่น ภายใต้โทนสีแดง ขาว เทา ที่เป็นสีเอกลักษณ์ของยามาฮ่า พร้อมจอ 3 มิติขนาดใหญ่ที่สร้างความแตกต่าง ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ที่พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่สุดล้ำให้กับลูกค้าแล้ว ในปีนี้ยังมีความพิเศษจาก Yamaha Motoverse Idols ที่ได้ น้องวันนี้ – Wunni อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง (Virtual Human Influencer) มาร่วมเป็น 1 ใน Yamaha Motoverse Idols เป็นครั้งแรกในวงการยานยนต์ นับได้ว่าเป็นการสะท้อนความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของยามาฮ่าได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้บูธ “YAMAHA MOTOVERSE” ยังมี Leisure Zone ยานยนต์ทางน้ำและรถกอล์ฟ รวมถึง Yamaha Apparel & Accessories รวมทั้งเคมีภัณฑ์ Yamalube ให้ทุกท่านได้เลือกชม และรับลดสูงสุดถึง 40% พร้อมรับโปรโมชันพิเศษมากมายภายในงาน

โปรโมชันพิเศษสำหรับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าภายในงานเท่านั้น!
รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าขนาด 115-155 ซีซี
ALL NEW YAMAHA R15 รับฟรี ของแถมสุด Exclusive มูลค่ากว่า 22,000 บาท*
พิเศษ! เลือก ฟรีดาวน์ หรือ ขี่ฟรี 90 วัน
ฟรี ประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 3 ปี** / บัตรเข้าชมการแข่งขัน PTT Thailand Grand Prix 2022 (MotoGP) 2 ที่นั่ง (Grand Stand) / คอร์สขับขี่รถจักรยานยนต์แบบสปอร์ต โดย Yamaha Riding Academy พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับป้ายทะเบียนสวย “Number 1” จำนวน 1 รางวัล*** สำหรับลูกค้าที่จองออนไลน์ 100 ท่านแรกท่านเท่านั้น
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด / **ติดต่อและขายประกันโดยตัวแทนของวิริยะประกันภัย / ***ผู้โชคดีต้องเป็นลูกค้าที่ผ่านเงื่อนไขข้อกำหนดของบริษัทเช่าซื้อแล้วเท่านั้น
YAMAHA YZF-R15 รุ่นปี 2021 รับส่วนลด 3,000 บาท
YAMAHA XSR155 รับส่วนลด 2,000 บาท
YAMAHA MT-15 รับส่วนลด 7,000 บาท
YAMAHA FINN รับโปรโมชัน “ฟรีทุกคัน ฟินน์ทุกคน” รับของแถม 3 รายการมูลค่า 1,300 บาท (หมวกกันน๊อกฟินน์ 1 ใบ / ตะกร้าหน้า 1 ชิ้น / กันลาย 1 ชิ้น) พร้อมเพิ่มความมั่นใจในคุณภาพสินค้ากับการรับประกันทั้งคัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าขนาด 400 ซีซี ขึ้นไป
YAMAHA YZF-R1M ฟรี ประกันภัยชั้น 1 มูลค่า 53,000 บาท
YAMAHA YZF-R1 ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 40,000 บาท รวมมูลค่า 74,000 บาท
YAMAHA YZF-R7 ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 26,000 บาท รวมมูลค่า 44,000 บาท
YAMAHA YZF-R7 สีขาว ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 20,000 บาท รวมมูลค่า 38,000 บาท
YAMAHA MT-09 และ MT-09SP ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 20,000 บาท รวมมูลค่า 40,000 บาท
YAMAHA MT-07 ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 38,000 บาท รวมมูลค่า 58,000 บาท
YAMAHA TRACER9 GT ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 30,000 บาท รวมมูลค่า 58,000 บาท
YAMAHA XSR900 ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 20,000 บาท รวมมูลค่า 40,000 บาท
YAMAHA XSR700 ฟรี ประกันภัยชั้น 1 และคูปองเงินสด 20,000 บาท รวมมูลค่า 38,000 บาท
YAMAHA TMAX560 Tech Max ฟรี ประกันภัยชั้น 1 มูลค่า 28,000 บาท
พบกับบูธ “YAMAHA MOTOVERSE” – อาณาจักรยานยนต์แห่งความเร้าใจ สู่สังคมแห่งอนาคต พร้อมรับประสบการณ์สุดล้ำ เหนือจินตนาการจากยามาฮ่า ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม ถึง 3 เมษายน 2565 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 12.00 – 22.00 น. และสามารถติดตามความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษจาก Yamaha Motoverse Idols ได้ทาง www.yamaha-motor.co.th / FB: Yamaha Society Thailand / IG: @YamahaSocietyThailand และทาง YouTube: Yamaha Society Thailand

 

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเปิดตัวอีก 4 รุ่นใหม่ล่าสุดในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากแบรนด์สู่ไลฟ์สไตล์ผ่านบูธ The Power of Dreame

รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เปิดตัวโมเดลใหม่พร้อมกันทีเดียวถึง 4 รุ่น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง นำโดย All New Click160 รถสปอร์ต เอ.ที. สปอร์ตเต็มขั้น ดีไซน์ใหม่ทั้งคัน มาพร้อมสมรรถนะขั้นสุด, New Dax125 รถ Iconic จาก CUB House โดดเด่นด้วยเฟรมแบบ T-Bone, New NT1100 บิ๊กไบค์สปอร์ตทัวริ่งดีไซน์ใหม่ล่าสุด และ New GOLDWING Black Edition รถท็อปคลาสทัวริ่งที่มาพร้อมสีใหม่สุดดุดัน พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์กลุ่ม Life Creation ที่จะทำให้การใช้ชีวิตของคนไทยมีความสะดวกสบาย รวมถึงการจัดแสดงนวัตกรรม EV Ecosystem ผ่านบูธ The Power of Dreamer

มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า “ภายใต้แบรนด์คอนเซปต์ “What Stops You?” ฮอนด้ามองว่าการใช้ชีวิตคือเรื่องที่ไม่มีข้อจำกัด ความฝันจะเป็นจริงถ้าเราลงมือทำ แต่ความฝันที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จได้ถ้ามีพลังขับเคลื่อน เราจึงมุ่งมั่นไม่หยุดพัฒนาเพื่อสร้าง Mobility World ที่สามารถเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงเทรนด์แห่งอนาคตที่เราไม่ได้มองเพียงแค่การพัฒนารถ EV เท่านั้น แต่มองไปถึงการพัฒนาในเชิงระบบนิเวศหรือ EV Ecosystem ทั้งหมดจะถูกถ่ายทอดผ่านบูธ The Power of Dreamer ของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า”

“ในงานครั้งนี้ เรามาพร้อมกับการเปิดรถรุ่นใหม่ครบทุกเซกเมนท์รวมถึง 4 รุ่น นำโดย All New Click160 รถสปอร์ต เอ.ที. ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งคัน ผสานความแรงและความโฉบเฉี่ยวขั้นสุดไว้ด้วยกัน โดยมี เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวไทยในเจลีกเป็นพรีเซนเตอร์ผู้ถ่ายทอด DNA ของความเป็นผู้นำจ่าฝูง ตามมาด้วย New Dax125 ที่มีคาแรกเตอร์พิเศษไม่เหมือนใครด้วยเฟรมแบบ T-Bone และรถบิ๊กไบค์ 2 รุ่นประกอบด้วย New NT1100 โมเดลสปอร์ตทัวริ่งรุ่นใหม่ล่าสุด และ New GOLDWING รุ่นพิเศษ Black Edition รถทัวริ่งระดับท็อปคลาส นอกเหนือจาก 4 รุ่นนี้แล้ว ในงานนี้ยังจะเป็นครั้งแรกที่คนไทยจะได้สัมผัสกับตัวจริงของ New ADV350 รถ Premium SUV Bike ที่กำลังมาแรงที่สุดในขณะนี้”
All New Click160 รถสปอร์ต เอ.ที. รุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมคอนเซปต์ “นำหน้า…อย่างจ่าฝูง” โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่รอบคัน เส้นสายตัวรถให้อารมณ์ความสปอร์ตแบบเต็มขั้น ระบบไฟ LED ดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ส่งกำลังความแรงต่อเนื่องด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ใหม่ eSP+ 4 วาล์ว ขนาด 157 ซีซี เทคโนโลยีที่ดีที่สุดในรถสปอร์ต เอ.ที. ให้ความคล่องตัวด้วยเฟรมใหม่ eSAF น้ำหนักเบา มั่นใจด้วยระบบเบรก ABS ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรก หน้า-หลัง เพิ่มความสะดวกสบายด้วยกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Honda SMART Key สตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ช่องเก็บของด้านหน้ามาพร้อมที่เสียบชาร์จไฟสำรองผ่าน USB Type A และช่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ขึ้น จุได้ถึง 18 ลิตร มีให้เลือก 2 รุ่น เริ่มจากรุ่น Standard มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำ Magnetic Black, สีขาว-ดำ Crystal White และสีแดง-ดำ Furious Red เปิดตัวด้วยราคาแนะนำที่ 63,500 บาท และรุ่น ABS มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ Magnetic Black และสีขาว-ดำ Crystal white เปิดตัวด้วยราคาแนะนำที่ 69,900 บาท
New Dax125 รถ Iconic คันล่าสุดจาก CUB House สำหรับคนที่ชอบความแตกต่าง และชอบใช้ชีวิตเต็มที่กับกลุ่มเพื่อน มาพร้อมคอนเซปต์ “Dax Me Out! วันไหนก็สุดดี…ถ้ามี Dax” ดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยเอกลักษณ์ของเฟรม T-Bone ที่เป็นตำนานมาตั้งแต่ปี 1969 สู่ยุคปัจจุบัน สะท้อนคาแรคเตอร์ความสนุกที่มาพร้อมความคล่องตัว บิดสนุกตอบรับทุกความซ่าด้วยเครื่องยนต์ขนาด 125 ซีซี เกียร์วน 4 สปีด โช้กหน้าแบบหัวกลับ ระบบเบรก ABS ที่ล้อหน้า พร้อมดิสก์เบรก หน้า-หลัง มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีแดง Pearl Nebula Red และสีเทา Pearl Cadet Gray เปิดตัววางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 84,900 บาท
New NT1100 สปอร์ตทัวริ่งรุ่นใหม่ล่าสุด มาพร้อมคอนเซปต์ “The New Touring Era” โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร บึกบึน แต่คล่องตัว รองรับทุกการเดินทางของสายทัวริ่งยุคใหม่ ให้พลังการขับเคลื่อนขั้นสุดด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1,100 ซีซี แบบ Parallel Twin สมรรถนะสูง ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัจฉริยะ DCT 6 สปีด มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ให้เลือก 5 โหมด มั่นใจทุกครั้งที่เปิดคันเร่งด้วยระบบ HSTC ป้องกันรถลื่นไถลขณะขับขี่ พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control หน้าจอสัมผัสล้ำสมัยแบบ TFT Touchscreen ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วยระบบ Apple CarPlay, Android Auto และ Bluetooth มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเทา Mat Iridium Gray และสีขาว Pearl Glare White เปิดตัวด้วยราคาแนะนำที่ 515,000 บาท
New GOLDWING รุ่นพิเศษ Black Edition รถทัวริ่งระดับท็อปคลาส มาพร้อมคอนเซปต์ “Beyond Your Masterpiece ให้ปลายทาง…เหนือทุกจินตนาการ” สีดำใหม่ สปอร์ตขั้นสุด สง่างาม โดดเด่นในทุกมิติ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1,833 ซีซี 6 สูบ ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัจฉริยะ DCT 7 สปีด เอกสิทธิ์เฉพาะของฮอนด้า ประสานการทำงานร่วมกับระบบควบคุมแรงบิด HSTC ให้การควบคุมที่แม่นยำและนุ่มนวล มาพร้อมโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ให้ความสบายตลอดการเดินทาง ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone ที่ดูดซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม เปิดตัววางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 1,340,000 บาท
พบกับรถจักรยานยนต์ฮอนด้ารุ่นใหม่ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายนนี้ ที่อิมแพค ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ติดตามรายละเอียดและโปรโมชั่นสุดพิเศษของรถรุ่นต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ : fb.com/HondaBigBikeTH
เฟซบุ๊กคับเฮ้าส์ : fb.com/cubhousebyhonda

 

บิ๊กเซอร์ไพรส์ภายในบูธ ซูซูกิ เปิดตัว โมเดลใหม่พร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ!!! มาพร้อมดีลเดือดทุกรุ่น ทุกสไตล์ สุดเร้าใจ ในงาน Motor Show 2022

บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซูซูกิ อย่างเป็นทางการ มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพ และสร้างสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 หรือ Bangkok International Motor Show 2022 ที่นับได้ว่าเป็นงานจัดแสดงยานยนต์ระดับประเทศกับแนวคิด “ก้าวด้วยกัน ไปด้วยใจ ไปได้ไกล” – Keep Moving Forward Together! ที่รวบรวมยานยนต์ทุกประเภทมาจัดแสดง เพื่อให้ชม สัมผัส ลองขับ และเลือกซื้อ จึงเป็นงานที่เหล่าคนรักยานยนต์รอคอย ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 3 เมษายน 2565

ในปีนี้ ซูซูกิ จะพาคุณท่องไปสัมผัสในโลกแห่งนวัตกรรมยานยนต์ เร้าใจไปกับเทคโนโลยียานยนต์อันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค เติมเต็มความสุขทุกการขับขี่ในทุก ๆ การเดินทาง พร้อมการเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ 2 รุ่น เพื่อสร้างความตื่นตา ตื่นใจภายในงาน แนวคิดในการออกแบบบูธ “ซูซูกิ” ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Suzuki Japanese Festival โดยมีคำนิยามว่า “สนุกสนานไปกับการขับขี่ในสไตล์ ซูซูกิ” – Enjoy With Suzuki Ridestyle โดยภายในบูธถูกคุมโทนด้วยสีดำเป็น Base ตัดด้วยสีน้ำเงิน Highlight แสดงออกถึงการผสมผสานสมัยใหม่แต่ยังคงแฝงไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในปีนี้ ซูซูกิ จึงเน้นในเรื่องของความสนุกสนานสไตล์ญี่ปุ่น และ ความทันสมัย ตามแบบฉบับของ ซูซูกิ ซึ่งจะทำให้ทุกท่านที่เข้าเยี่ยมชมบูธ ซูซูกิ มีความสนุกสนาน เพลิดเพลินกับการชมบูธ เหมือนดังอยู่ในงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง ซึ่งนอกจากนี้ทาง ซูซูกิ ยังยกขบวนรถจักรยานยนต์มาอวดโฉม แบบเต็มพื้นที่จัดแสดงให้ทุกท่านได้เลือกชมและสัมผัสกันอย่างจุใจ ตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์ในทุกการใช้งาน
ทั้งนี้ภายในบูธของ ซูซูกิ ได้แบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น 5 แอเรีย ได้แก่ Suzuki Sport Area, Suzuki Street Area, Suzuki Adventure Area และ Suzuki Convenience Area ที่จะทำให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับความสนุกสนานของรถจักรยานยนต์ระดับเวิลด์คลาสอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น All New Suzuki Hayabusa รถจักรยานยนต์ที่ทำความเร็วถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครั้งแรกของโลก อีกทั้งยังมี Suzuki GSX-R1000R สปอร์ตไบค์ที่ถูกถ่ายทอดเทคโนโลยีโดยตรงมาจาก MotoGP ในส่วนของรถจักรยานยนต์สกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยม New Suzuki Burgman 400 สำหรับรถจักรยานยนต์ที่ใช้สำหรับเดินทางสู่การผจญภัยรูปแบบใหม่ในทุกเส้นทาง New Suzuki V-Strom 650XT และรถจักรยานยนต์ครอบครัวสุดประหยัดน้ำมัน New Suzuki Smash Fi เจ้าของรางวัล Bike of The Year 2022 ในรุ่น Best Family Fashion และที่พลาดไม่ได้กับ Highlight สำหรับบูธ ซูซูกิ ในงานนี้คือ Suzuki Special Area ที่ทาง ซูซูกิ ยังคงสร้างความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ถึง 2 รุ่น
เริ่มที่รุ่นแรกอย่าง All New Suzuki Raider J Crossover รถจักรยานยนต์สไตล์ครอสโอเวอร์ รุ่นใหม่ล่าสุดกับคอนเซ็ปต์ “ท้าทาย…ทุกทาง” ขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย สนุกทุกความท้าทาย ที่เปิดตัวครั้งแรกภายในงาน และอีกหนึ่งโมเดลใหม่ล่าสุดกับเจ้าของนิยาม เหนือทุกจุดสุดในรุ่น New Suzuki Raider R150 ปี 2022รถจักรยานยนต์สไตล์ไฮเปอร์ อันเดอร์โบน โฉมใหม่ล่าสุดออกแบบมาให้มีความสปอร์ต ปราดเปรียว น้ำหนักเบา คล่องตัวสูงในทุกการขับขี่ที่จะเผยโฉมครั้งแรกภายในงานเช่นกันนอกจากนี้ยังมีรถจักรยานยนต์รุ่นอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อตอบสนองการใช้งาน และเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคุณอย่างแท้จริง พร้อมทั้งเงื่อนไขสุดพิเศษทุกรุ่น ที่จะทำให้คุณสามารถเลือกรถจักรยานยนต์ ซูซูกิ ที่ใช่ได้อย่างง่ายดายพิเศษสุดสำหรับบูธ ซูซูกิ กับ ดีลเดือดครั้งแรก และครั้งเดียวเท่านั้นเฉพาะช่วงงาน Motor Show 2022 บอกได้เลยว่าพลาดแล้วพลาดเลย กับโปรโมชันพร้อมของแถมอีกมากมาย มูลค่ารวมสูงสุดกว่า 200,000 บาท* ไม่ว่าจะเป็นกล่องเก็บของอเนกประสงค์ หมวกกันน็อค นอกจากนี้ยังมีของแถมอีกมากมายให้ครบทุกรุ่นทุกสไตล์ ตอบโจทย์ความต้องการ และสามารถเลือกสรรให้ตรงกับความต้องการให้ตัวคุณ แล้วพบกันที่บูธ ซูซูกิ รหัส M4 อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี

คาวาซากิ งัดโปรฯ เด็ด “จัดหนัก อัดเต็ม” นำรถจักรยานยนต์รุ่นเรือธงจัดแสดงในงานมอเตอร์โชว์ 2565

บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดแสดงรถจักรยานยนต์หลากหลายรุ่น รุ่นไฮไลท์ของงานในครั้งนี้ คือ Ninja ZX-10R รถจักรยานยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นเรือธงของตระกูล Ninja ที่โด่งดังทั่วโลก ยลโฉมความสวยงามและสัมผัสคันจริง ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 รวมทั้งรถจักรยานยนต์ Z650RS มนต์สเหน่ห์ความคลาสสิคผสมผสานกับเครื่องยนต์ขนาดกลางสุดเร้าใจในการขับขี่ และ KLR650 รถจักรยานยนต์สไตล์แอดแวนเจอร์ที่ทำให้การผจญภัยของคุณสนุกกว่าที่เคย โดยทุกรุ่นมาพร้อมกับข้อเสนอที่พลาดไม่ได้

คุณกฤษณะ ภาคีแพทย์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขาย กล่าวว่า “แม้ว่าสภาวะตลาดรถจักรยานยนต์ยังประสบปัญหาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ได้เห็นความพยายามในการแก้ไขปัญหา การควบคุมการระบาดจากทั้งภาครัฐบาลและเอกชนที่ร่วมมือกัน ทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้เห็นตลาดกลับมาคึกคักมากขึ้น”

“เราได้พัฒนาและประสบความสำเร็จด้านเทคโนโลยีและความสามารถเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาด รวมไปถึงเรื่องของการระบาดของโรคโควิด 19 ด้วย เป้าหมายและความพยายามของเรามุ่งเน้นให้ผู้บริโภคเป็นจุดศูนย์กลาง เราไม่เพียงแต่ผลิตรถจักรยานยนต์ที่ดีเยี่ยม แต่เรายังมุ่งหวังที่จะสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยเช่นกัน” กล่าวเพิ่ม

โดยทางคาวาซากิ ได้สร้างสีสันด้วยการนำรถจักรยานยนต์รุ่นเรือธง Ninja ZX-10R มาแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบของวิศวกรรมและเทคโนโลยีได้รับการกล่าวขานมาทั่วโลก รวมถึง Z650RS ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดประเทศไทยไม่นานมานี้ และ KLR650 ที่ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้งานเป็นอย่างดียิ่งนอกเหนือจากนี้คาวาซากิได้ร่วมมือกับโมตุลประเทศไทย เปิดวางจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นสำหรับรถจักรยานยนต์คุณภาพเยี่ยม เพื่อประสิทธิภาพเต็มพิกัดของบิ๊กไบค์คันโปรดของคุณ กับ Kawasaki Genuine Oil Ultimate 10W50 น้ำมันเครื่อง 100% Synthetic ester รับส่วนลดพิเศษ 10% ภายในงานนี้เท่านั้น คาวาซากิยังมีรถจักรยานยนต์อีกหลากหลายรุ่นมาจัดแสดง โดยผู้สนใจสามารถสอบถามข้อเสนอที่คุ้มค่าที่บูธรถจักรยานยนต์คาวาซากิ หรือที่ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศรายละเอียดข้อเสนอรถจักรยานยนต์ รุ่นต่าง ๆ :

KTM 250SXF DIGA Procross team

บังเอิญว่าได้ไฟล์ภาพลูกชายของแชมป์โมโตครอสโลก 10 สมัย อย่าง Stefan Everts ที่เปิดตัวเป็นนักแข่งของ KTM อย่างเป็นทางการ โดยจะลงแข่งครั้งแรกในสังเวียนระดับโลกอย่าง FIM Motocross World Championship รุ่น MX2 ด้วยวัย 17 ปี(เกิด06/08/2004) ที่ค่อยๆตามรอยพ่อด้วยการเริ่มแข่งขันในประเทศเบลเยี่ยมครั้งแรกช่วงปี 2011 จากนั้นค่อยๆไต่เต้าขึ้นมาในระดับยุโรปและเริ่มได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน เมื่อเข้าสู่การแข่งขันในระดับ จูเนียร์เวิลด์โมโตครอส ที่เป็นการแข่งขันปีละครั้งสำหรับนักแข่งเยาวชนจากทั่วโลกที่จะมาชิงชัยกัน จากนั้นก็ขยับเข้าสู่การแข่งขันแบบเต็มฤดูกาลในเกมระดับชิงแชมป์ยุโรป ที่ค่อยๆไต่เต้าในระดับ 68-85-125 ซีซี จนกระทั่งในปี 2018 ขณะอายุ 14 ปี ก็ได้รับการติดต่อให้เซ็นสัญญากับ KTM ในการสนับให้ลงชิงชัยระดับชิงแชมป์ยุโรป

โดย Liam Everts ลงแข่งในรุ่น EMX125 ก่อนที่ในปีที่แล้วจะขยับขึ้นไปแข่งในรุ่น EMX250 และในปีนี้เขาได้ก้าวเข้ามาแข่งในเวทีระดับเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ รุ่น MX2 กับทีมระดับฟูลแฟคทอรี่ซัพพอร์ทอย่าง KTM DIGA Procross team กับรถแข่ง SX-F 250 โมเดลล่าสุด ที่นำมาปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยชิ้นส่วนอะไหล่จากแคตตาล็อก power parts ที่เป็นชุดคิทเพิ่มสมรรถนะต่างๆอย่างเป็นทางการของ KTM แน่นอนว่ารถแข่งนั้นเป็นโมเดลล่าสุด 2022 KTM SX-F250 ที่ในปีนี้มาพร้อมกับนิยามในการพัฒนาโมเดลใหม่นี้ว่า The Battle for Glory ที่พื้นฐานเดิมนั้นยังคงสเปคและยืนยันที่จะใช้ตามแนวทางเดิมในโมเดลก่อนหน้านี้ โดยเครื่องยนต์ที่ใช้อยู่นี้ผ่านการอัพเดทครั้งสำคัญในปี 2020 ที่ว่ากันว่า เครื่องยนต์รถโมดตครอส 250Fนี้ ได้รับการอัพเดทครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเครื่องยนต์จากเดิมให้มีความกระทัดรัดและมีสมดุลมากยิ่งขึ้น จนสามารถสร้างศูนย์รวมน้ำหนักที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิม อีกทั้งยังลดน้ำหนักชิ้นส่วนของเครื่องยนต์จากเดิม

นับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังเครื่องยนต์ได้ดีมากที่สุดรุ่นหนึ่งในกลุ่มรถ 250F ด้วยกัน สรุปคือ การอัพเดทเครื่องยนต์ในปี 2020 นั้นยังสามารถใช้กับรถแข่งในโมเดลล่าสุดนี้ได้อย่างมั่นใจ ดังนั้นในส่วนของเครื่องยนต์ของ 2022 SX-F จึงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก แต่สำหรับทีมแข่งนั้นสามารถปรับเปลี่ยนและมีทางเลือกตามกล่าวไปนั่นก็คือ racin kits ที่มีจำหน่ายในลิสต์ชิ้นส่วนของ power parts ของ KTM นั่นเอง อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีการปรับเปลี่ยนมากนักสำหรับในส่วนของเครื่องยนต์รวมทั้งส่วนอื่นๆของตัวรถ แต่ SX-F250 ได้รับการพัฒนาในส่วนของระบบกันสะเทือน โดยติดตั้ง WP XACT suspension ที่ได้รับการอัพเดทมาล่าสุด ขณะที่ระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้น ได้พัฒนาเพิ่มความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แม่นยำมากกว่าเดิม ด้วยระบบ traction control launch control variable engine mapping และ reliable starters ซึ่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับระบบอิเล็คทรอนิคส์นี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับการทำงานในส่วนของ engine management system นี้ ควบคุมโดย KEIHIN Engine Management system นอกจากนี้ยยังครอบคลุมถึงการสั่งงาน electronic fuel injection อีกด้วย ซึ่งในการทำงานเกี่ยวกับการจ่ายเชื้อเพลิงนี้ จะจัดการร่วมกับเรือนลิ้นเร่งขนาด 44 มม.ซึ่งระบบควบคุมนี้พัฒนาให้มีการตอบสนองต่อการเปิดปิดคันเร่งได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ

นอกจากนี้ในส่วนของ ECU นั้น ได้รับการออกแบบซอพแวร์ที่มีประสิทธิภาพประกอบค่า map ที่เที่ยงตรงแม่นยำเหมาะสมกับระบบไอเสียและการออกแบบฝาสูบอีกด้วย อย่างไรก็ตามในการแข่งขันในระดับ MX2 บนสังเวียนกรังด์ปรีซ์แล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สมรรถนะต่างๆของรถแข่งอย่างเต็มประสิทธิภาพเหนือกว่ารถแข่งมาตรฐาน ดังนั้น ตัวแข่งของ Liam Everts ย่อมแตกต่างไปจากรถ SX-F250 เวอร์ชั่นสแตนดาร์ต โดยเฉพาะการใช้ชิ้นส่วนพิเศษ power parts อย่างไรก็ตามพื้นฐานของรถแข่งโดยรวมนั้นถือว่ามาจาก 2022 SX-F250

สเปคเบื้องต้นดังนี้
ENGINE
TRANSMISSION 5-speed
STARTER Electric starter
STROKE 52.3 mm
BORE 78 mm
CLUTCH Wet multi-disc DS clutch, Brembo hydraulics
DISPLACEMENT 249.9 cm³
EMS Keihin EMS
DESIGN 1-cylinder, 4-stroke engine
CHASSIS
WEIGHT (WITHOUT FUEL) 99 kg
TANK CAPACITY (APPROX.) 7.5 l
FRONT BRAKE DISC DIAMETER 260 mm
REAR BRAKE DISC DIAMETER 220 mm
FRONT BRAKE Disc brake
REAR BRAKE Disc brake
CHAIN 5/8 x 1/4”
FRAME DESIGN Central double-cradle-type 25CrMo4 steel
FRONT SUSPENSION WP XACT-USD, Ø 48 mm
GROUND CLEARANCE 375 mm
REAR SUSPENSION WP XACT Monoshock with linkage
SEAT HEIGHT 950 mm
STEERING HEAD ANGLE 63.9 °
SUSPENSION TRAVEL (FRONT) 310 mm
SUSPENSION TRAVEL (REAR) 300 mm