ไทยฮอนด้า รุกตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสสุดท้าย เปิดตัว 3 โมเดลเรือธงโฉมใหม่ล่าสุด

ไทยฮอนด้า รุกตลาดรถจักรยานยนต์ไตรมาสสุดท้าย เปิดตัว 3 โมเดลเรือธงโฉมใหม่ล่าสุด นำทัพโดย All New Forza350 บิ๊กสกูตเตอร์ระดับท็อปคลาสพร้อมด้วย All New Wave125i รถครอบครัวยอดนิยม และ All New ADV160 รถ SUV Bike ไทยฮอนด้า ผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทย เปิดเกมรุกไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ด้วยการเปิดตัว “All New Forza350” บิ๊กสกูตเตอร์ระดับท็อปคลาส ดีไซน์ใหม่รอบคันสไตล์สปอร์ตหรูดุดัน จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีที่มีมาให้แบบเต็มพิกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัลขั้นสุด เปิดตัวและจำหน่ายในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลก พร้อมทั้งส่งมอบความสุขแห่งการขับขี่ ด้วยรถจักรยานยนต์ครอบครัวยอดนิยมตลอดกาลโฉมใหม่ล่าสุด All New Wave125i และ SUV Bike ที่คนไทยให้ความสนใจที่สุด All New ADV160 ที่มาพร้อมขุมพลังใหม่จากเครื่องยนต์ eSP+ และดีไซน์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมือง พร้อมวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “ฮอนด้าติดตามสภาพตลาด และสถานการณ์ความต้องการของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ล่าสุด เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการของตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ฮอนด้าพร้อมส่งมอบความสุขเพื่อตอบสนองความต้องการของคนไทย ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่พร้อมกันทีเดียวถึง 3 รุ่น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นโมเดลระดับเรือธง หนึ่งในนั้นคือการเปิดตัว All New Forza350 ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยหรือที่เรียกว่า World Premiere โดยในครั้งนี้ได้รับการปรับโฉมให้มีความสปอร์ตหรู เป็นบิ๊กสกู๊ตเตอร์ระดับท็อปคลาส อีกสองรุ่นประกอบด้วย All New Wave125i รถครอบครัวโฉมใหม่ที่จะมาตอกย้ำความเป็นรถยอดนิยมของไทย และ All New ADV160 รถ SUV Bike ที่มาพร้อมกับการยกระดับขุมพลังใหม่ด้วยเครี่องยนต์ eSP+ และดีไซน์ใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองมากยิ่งขึ้น”
All New Forza350 มาพร้อมแนวคิด Ride The Exceptional มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ สปอร์ตเรียบหรู เกินคาด ดุดันเกินคลาส ผสานด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ เข้ากับสมรรถนะแรงสุดขีด พร้อมเชื่อมไลฟ์สไตล์ดิจิทัล โดดเด่นเกินใครในทุกเส้นทาง กับไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ Dual LED Headlight สะดุดทุกสายตา และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ สปอร์ตพรีเมียมลงตัวกับเส้นสายรอบคัน และชัดเจนเหนือชั้นกับ New Multi-Function Meter Design ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความรู้สึกของความ Luxury Sport ให้ทุกเส้นทางที่ไป คือทางที่ใครก็ต้องยอม
All New Forza350 ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง eSP+ 330 ซีซี แรงดั่งใจ เพิ่มกำลังขับเคลื่อน ลดแรงเสียดทาน แรงต่อเนื่องเต็มสมรรถนะ พร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าที่ยกระดับประสบการณ์ขับขี่ให้มั่นใจอยู่ในคอนโทรล ด้วยระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-หลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว Emergency Stop Signal (ESS) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีการเบรกกะทันหัน มาตรฐานความปลอดภัยระดับรถ Super Bike และ 2-Channel ABS (Anti-Brake System) ระบบเบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลังช่วยป้องกันไม่ให้ล้อล็อกระหว่างเบรกกะทันหัน
เพิ่มประสบการณ์ขับขี่ไปอีกขั้นกับเทคโนโลยีที่ยกระดับความปลอดภัย และความสะดวกสบายให้กับ All New Forza350 กับ Honda Smartphone Voice Control System (HSVCs) ความปลอดภัย…สั่งได้! ด้วยระบบสั่งการด้วยเสียงบนสมาร์ตโฟน เทคโนโลยีอัจฉริยะจากฮอนด้า เชื่อมต่อใช้งานสะดวก ผ่านแอปพลิเคชัน Honda RoadSync ควบคุมการทำงานฟังก์ชันต่าง ๆ ด้วยเสียงและกดสั่งการที่สวิตช์แฮนด์ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และเปิดสู่เอกลักษณ์ที่เหนือกว่าในทุกเส้นทาง กับกระจกบังลมหน้าระบบไฟฟ้า Electrically Adjustable Windscreen ที่ปรับระดับความสูงได้ถึง 150 มม. ช่วยลดแรงลมปะทะหน้าขณะขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น เพิ่มความสะดวกอีกขั้นกับ Honda Smart Key รีโมตอัจฉริยะ และ In-Console USB Charger & Bottle Holder ที่เก็บของคอนโซลหน้าที่รองรับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลด้วยที่ชาร์จไฟสำรองอเนกประสงค์
All New Forza 350 มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่
รุ่น Roadsync Type (ติดตั้งระบบ HSVCs) มี มาพร้อมล้อสีทอง ด้วยราคาแนะนำที่ 181,000 บาท
และรุ่น Standard Type มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีดำ (Mat Black), สีเทา-ดำ (Smoky Grey), สีแดง (Red) และสีน้ำเงิน (Blue) ราคาแนะนำที่ 179,000 บาท
พร้อมออพชั่นเสริมเพิ่มความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยชุดแต่งที่มีให้เลือก 2 รุ่น ประกอบด้วย
Forza Nitron Neon TH1 ราคาแนะนำที่ 221,800 บาท
Forza Yoshimura Gcraft Rising Spirit TH2 ราคาแนะนำที่ 206,900 บาท
* ชุดแต่ง Nitron Neon Edition ชุดแต่งพรีเมียมจากอังกฤษ ทุกเส้นสายบอกสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร เอาใจสายสปอร์ตด้วยระบบกันสะเทือนแบรนด์ Hi-end ระดับโลก รองรับการใช้งานทุกย่านความแรง
* ชุดแต่ง The Yoshimura X G’craft Rising Spirit Edition ตำนานจากญี่ปุ่น ที่ร่วมมือกับ H2C สำนักแต่งฮอนด้าที่ทั่วโลกยอมรับ สู่การปลดปล่อยสไตล์ใหม่ไม่ซ้ำทางใคร ด้วยท่อไอเสียจากสำนักแต่งสัญชาติญี่ปุ่น พร้อมทะยานสู่ความเร้าใจใหม่ที่เหนือกว่า
All New Wave125i มาพร้อมคอนเซปต์ “ผู้นำที่ทุกคนเชื่อมั่น” โดยมี “เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารส” เป็น พรีเซนเตอร์ เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ความเป็น “ผู้นำที่ทุกคนเชื่อมั่น” ทั้งตัวผลิตภัณฑ์และผู้ครอบครอง ให้สมกับเป็นรถจักรยานยนต์ครอบครัวระดับท็อปคลาสแห่งยุค
ดีไซน์สปอร์ตด้วยเฟรมใหม่ ออกแบบวัสดุและเทคนิคการเชื่อมต่อตัวถังให้แข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบาลง ควบคุมรถได้ง่ายและคล่องตัวกว่าเดิม เรือนไมล์ใหม่ LCD Multi Meter ผสานเทคโนโลยีจอแสดงผล เรียบหรูมีมิติ ออกแบบแยกส่วน ไฟท้ายดีไซน์ใหม่ โฉบเฉี่ยว New X-clusive LED Tailight ครบครันทั้งไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED พร้อมดีไซน์คอนโซลหน้าใหม่ New Front Pocket เพิ่มช่องใส่ของอเนกประสงค์ สะดวกใช้งานทันใจ ระบบกันสะเทือนใหม่ด้วยการเพิ่มระยะยุบของโช้คอัพด้านหน้าและด้านหลัง สามารถซับแรงกระแทก ช่วยให้ทรงตัวดียิ่งขึ้น พื้นที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ XL Size U-Box จุได้ 17 ลิตร ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบได้ ถังน้ำมันใหญ่ 5.4 ลิตร วิ่งได้ไกลขับขี่ได้ต่อเนื่อง สวิตช์กุญแจนิรภัยเพียงกดกุญแจเพื่อสั่งการ เปิด-ปิดล็อค-สตาร์ตเครื่องและเปิดเบาะนั่ง ได้ง่ายดาย
New Honda Smart Engine เทคโนโลยีเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดของคลาส 125 cc. ระบบหัวฉีด PGM-FI ยกระดับมาตรฐานใหม่แห่งรถครอบครัว สะท้อนความเชื่อมั่นด้วยสมรรถนะดีขึ้นกว่าที่เคย แรงล้ำหน้าด้วยการปรับระยะชักลูกสูบใหม่ และมอบอัตราประหยัดน้ำมันสูงสุด 71.4กม./ลิตร เสริมด้วยระบบ Piston Oil Jet ช่วยระบายความร้อนดียิ่งขึ้น ลดการสึกหรอ ทนทานยืดอายุการใช้งาน ติดตั้งระบบปรับตั้งความตึงโซ่อัตโนมัติแบบ Hydraulic ใหม่ ส่งกำลังต่อเนื่องทุกรอบความเร็ว ลดการสะบัดและเสียงของเครื่องยนต์
All New Wave125i รุ่นสตาร์ทมือ ล้อแม๊ก 4 สีได้แก่ สีแดง-เทา, สีเทา-น้ำเงิน, สีขาว-แดง และสีดำ-เทา ราคาแนะนำที่ 56,500 บาท ส่วนรุ่นสตาร์ทมือ ล้อซี่ลวด โดยมี 3 สี ได้แก่ สีแดง, สีน้ำเงิน และสีดำ ราคาแนะนำที่ 54,300 บาท
All New ADV160 มาพร้อมคอนเซปต์ “Explore the Wild Urban มีทางใหม่ ให้ท้าทายทุกวัน” อัปเลเวลการขับขี่สไตล์ Honda SUV Bike หนึ่งเดียวในเมืองไทย ที่จะเปิดประสบการณ์ทางเมืองเดิม ๆ ให้ไม่เหมือนเดิม พร้อมกับโฉมใหม่ ที่อัปเลเวลดีไซน์ เท่แกร่งทุกมิติ ให้ความรู้สึกดุดัน แข็งแกร่ง โดดเด่นบนถนน เสริมด้วยแทคโนโลยีล้ำหน้ารอบคัน ที่พร้อมให้ผู้ขับกำหนดเส้นทางท้าทายใหม่ ๆ ได้ทุกวัน
All New ADV160 ยกระดับขุมพลังใหม่ด้วยเครื่องยนต์ eSP+ 157 ซีซี 4 วาล์ว ระบบหัวฉีด PGM-FI ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัปความแรงให้เร่งทันใจทุกช่วงความเร็ว ครั้งแรงของการเสริมทัพด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและควบคุมล้อหน้า-หลังให้สัมพันธ์กันป้องกันรถเสียการทรงตัว ผสานการออกแบบที่ตอบโจทย์รถสไตล์ SUV Bike กับความสูงเบาะใหม่ 780 มม. ขึ้น-ลง สะดวก นั่งสบายยิ่งกว่า เพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ได้มั่นใจ พร้อม Twin Subtank อันเป็นเอกลักษณ์ ซับแรงกระแทกได้นุ่มนวล ลุยได้ไม่หวั่นทุกทาง เปิดประสบการณ์ใหม่ในเมืองที่คุ้นเคย ได้อย่างมั่นใจเหนือใคร
All New ADV160 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ประกอบด้วย รุ่น Standard สี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีดำ (Mat Black), สีเทา (Grey) และสีแดง (Red) ราคาแนะนำที่ 99,900 บาท โดดเด่นกว่าใคร ด้วยอุปกรณ์ตกแต่งรอบคันในรุ่นพิเศษ H2C x KITACO Racing Soul Edition รถสีดำ(Mat Black) ตัวท่อไอเสีย จาก Kitaco ยกระดับความท้าทาย ออกไปค้นพบเส้นทางใหม่ๆ ให้โดดเด่นเหนือใคร สไตล์ SUV BIKE ที่ H2C ร่วมมือกับแบรนด์ KITACO ราคาแนะนำที่ 108,200 บาท
“ฮอนด้า มุ่งมั่นที่จะพัฒนารถจักรยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ และพร้อมที่จะส่งมอบสิ่งดี ๆ ให้กับคนไทย ทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพระดับโลก เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่คนไทยมีต่อฮอนด้ามาโดยตลอดจนทำให้เราครองความเป็นหนึ่งในตลาด และเราเชื่อมั่นว่า 3 โมเดลใหม่ล่าสุดนี้จะครองใจผู้ใช้ชาวไทยทุกคนอีกเช่นกัน” มร.ชิเกโตะ กล่าวสรุป
ทั้งหมดนี้ พร้อมวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า fb.com/hondamotorcyclethailand

“มาร์เกซ” โชว์ฟอร์มเก๋า คว้าท็อปไฟว์ “โมโตจีพี ไทยแลนด์”

มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โลก 8 สมัยจาก เรปโซล ฮอนด้า โชว์ประสบการณ์ระดับมาสเตอร์ คว้าท็อปไฟว์ในศึก โมโตจีพี 2022 สนาม 17 รายการ โออาร์ ไทยแลน กรังด์ปรีซ์ หลังบิดฝ่าฝนเกาะกลุ่มไล่บี้หน้าอย่างสุดมันส์ เรียกเสียงเฮจากแฟนๆ ชาวไทยจน สนามช้างฯ จ.บุรีรัมย์ แทบแตก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ศึก โมโตจีพี 2022 สนาม 17 รายการ โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยเกมต้องล่าช้าออกไปเนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ก่อนจะกลับมาแข่งขันกันได้อีกครั้ง เกมเรซนี้ มาร์ค มาร์เกซ นักบิดสแปนิชเจ้าของหมายเลข 93 จาก เรปโซล ฮอนด้า ได้ออกสตาร์ตจากกริดที่ 8 และสามารถขยับขึ้นมาเกาะในกลุ่มหน้าได้อย่างรวดเร็ว โดยช่วงท้ายเจ้าของแชมป์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2 สมัย ไต่ขึ้นมาได้ถึงอันดับ 4
โดยจบการแข่งขัน 25 รอบสนามท่ามกลางสายฝน มาร์เกซ บิดเข้าป้ายในอันดับ 5 ด้วยเวลา 41 นาที 47.461 วินาที ตามหลัง มิเกล โอลิเวียร่า ผู้ชนะเพียง 2.958 วินาทีเท่านั้น ส่วนน้องชายอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ เจ้าของหมายเลข 73 จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า ผลงานร้อนแรงไล่แซงคู่แข่งจากกริดที่ 20 ทะยานขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 ตามหลัง 18.461 วินาที
ตามด้วย โปล เอสปาร์กาโร นักบิดสแปนิชหมายเลข 44 จาก เรปโซล ฮอนด้า ในอันดับ 14 ตามหลัง 23.646 วินาที ด้าน เท็ตซูตะ นากาชิม่า นักบิดญี่ปุ่นหมายเลข 45 จาก แอลซีอาร์ ฮอนด้า นำรถแข่งเข้าป้ายในอันดับ 22 ตามหลัง 51.346 วินาที ผ่านการแข่งขัน 17 สนาม มาร์ค มาร์เกซ ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 13 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 84 คะแนน ตามด้วย อเล็กซ์ มาร์เกซ ในอันดับ 16 มี 50 คะแนน ส่วน เอสปาร์กาโร รั้งอันดับ 17 มี 49 คะแนน ขณะที่ ทาคาอากิ นาคากามิ นักบิดญี่ปุ่นไม่ได้ลงแข่งสนามนี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บ รั้งอันดับ 18 มีทั้งสิ้น 46 คะแนน
สำหรับการแข่งขัน โมโตจีพี สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคมนี้ ที่ สนาม ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ในรายการ ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์
แฟนๆ ความเร็วชาวไทยสามารถติดตามข่าวสาร “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ที่สร้างประวัติศาสตร์นักแข่งไทยคนแรกที่คว้าโพล โมโตทู ร่วมส่งกำลังใจเชียร์ยอดนักบิดไทย ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

สู้ใหม่! แฟนชาวไทยส่งกำลังใจ “ก้อง-สมเกียรติ” หลังฝนถล่มทำพลาดล้ม โมโตทู โฮมเรซ

“แฟนชาวไทย” ทั้งประเทศส่งแรงใจถึง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู​เดอะ ดรีม” หลังลงบิดโฮมเรซด้วยฟอร์มระดับโลก ขึ้นนำเดี่ยวก่อนโดนฝนถล่มหนักจนพลาดล้มอย่างน่าเสียดาย จากการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก รุ่น โมโตทู รายการ “โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ศึก โมโตจีพี 2022 ระเบิดความมันส์สนาม 17 รายการ “โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์” ในประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีแฟนชาวไทยเรือนแสนคนเข้าสู่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้กำลังใจ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดฮีโร่ชาวไทยจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย
เกมเรซนี้นักบิดชาวไทยเจ้าของหมายเลข 35 มีลุ้นคว้าชัยชนะอย่างเต็มตัว หลังผงาดคว้าโพลมาครองได้เป็นครั้งแรก และสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบิดไทยคนแรกที่คว้าโพลในระดับ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ เรียกเสียงเชียร์จากแฟนชาวไทยได้อย่างล้นหลาม
อย่างไรก็ดี จุดเปลี่ยนสำคัญของการแข่งขันเกิดขึ้นเมื่อฝนตกลงมาก่อนเริ่มเกม ส่งผลให้กรรมการประกาศให้เป็น “เว็ตเรซ” และลดจำนวนรอบลงเหลือ 16 รอบสนาม
สมเกียรติ ออกสตาร์ตได้อย่างยอดเยี่ยม ขยับขึ้นเป็นผู้นำได้ตั้งแต่โค้งแรก และค่อยๆ ยืดระยะห่างจากอันดับ 2 ออกไปเรื่อยๆ ขณะที่ฝนก็ทวีความหนักอย่างต่อเนื่อง จากนั้นในรอบที่ 2 นักบิดไทยพลาดล้มอย่างน่าเสียดาย หลังเหยียบเข้ากับไลน์ที่มีน้ำอยู่จำนวนมากในโค้ง 4
โดย สมเกียรติ พยายามอย่างหนักที่จะเอารถมาแข่งขันต่อให้ได้ แต่รถแข่งสตาร์ตไม่ติด ส่งผลให้ต้องออกจากการแข่งขันอย่างน่าเสียดาย ขณะที่แฟนชาวไทยต่างส่งกำลังใจให้อย่างไม่ขาดสาย เพราะรู้ว่าหากไม่มีจุดเปลี่ยนดังกล่าวชัยชนะจะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น
สำหรับการแข่งขัน โมโตทู สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 ตุลาคมนี้ ที่ สนาม ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ในรายการ ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์
แฟนๆ ความเร็วชาวไทยสามารถติดตามข่าวสาร “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ที่สร้างประวัติศาสตร์นักแข่งไทยคนแรกที่คว้าโพล โมโตทู ร่วมส่งกำลังใจเชียร์ยอดนักบิดไทย ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

“เขมินท์” ตอกเรคคอร์ดดาวบิดไทยคว้าแต้มโฮมเรซ “กวาร์ตาราโร” ยังรั้งจ่าฝูง หลังผ่าน 17 สนาม โมโตจีพี

ศึกโมโตจีพี 2022 สนามที่ 17 รายการโออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กันยายน-2 ตุลาคม ณ ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
“เคเค” เขมินท์ คูโบะ #81 นักบิดไทยสังกัด ยามาฮ่า วีอาร์โฟร์ตี้ซิกซ์ มาสเตอร์ แคมป์ ทีม ตอกเรคคอร์ดนักบิดไทยคนแรกที่คว้าแต้มได้ในเกมโฮมเรซ หลังไล่บดนักแข่งกลุ่มหัวแถวท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ ก่อนจะบิดคว้าอันดับ 9 เป็นนักบิดหนึ่งเดียวของนักแข่งไทยที่จบการแข่งขันในสนามโฮมเรซ
ส่วนเกมในรุ่นใหญ่อย่าง โมโตจีพี ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร #20 แชมป์โลกคนปัจจุบันสังกัด มอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี แม้จะไม่สามารถคว้าแต้มติดมือหลังบิดจบการแข่งขันในอันดับ 17 ทว่ายังคงมีคะแนนสะสมรั้งอยู่ในอันดับที่ 1 ขณะเหลือการแข่งขันอีก 3 สนามในฤดูกาลนี้ สร้างโอกาสลุ้นคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ส่วนเพื่อนร่วมสังกัดอย่าง ฟรังโก มอร์บิเดลลี #21 สามารถทำผลงานท่ามกลางสายฝนได้อย่างยอดเยี่ยม บิดจบการแข่งขันในอันดับ 13 คว้าแต้มให้กับตนเองได้สำเร็จ
สำหรับ ศึกโมโตจีพี 2022 จะเว้นวรรค 1 สัปดาห์ ก่อนจะยกพลไปดวลความเร็วสนามถัดไปที่ ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย

“ราซกัตลิโอกลู” ร้อนแรงต่อเนื่อง บิดเบิ้ลแชมป์ แม็กนี-คูร์ส

โทปรัค ราซกัตลิโอกลู #1 แชมป์โลกชาวเติร์ก สังกัดพาต้า ยามาฮ่า วิธ บริกซ์ เวิลด์เอสบีเค บิดคว้าดับเบิ้ลแชมป์จากการชิงชัยในสนามที่ 7 ศึกเวิลด์ซูเปอร์ไบค์ 2022 ที่ แม็กนี-คูร์ส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เก็บแต้มรั้งรองจ่าฝูงบนตารางแชมเปี้ยนชิพ

ศึกซูเปอร์ไบค์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2022 ยกพลดวลความเร็วสนามที่ 7 ของฤดูกาล ระหว่างวันที่ 9-11 กันยายน ที่ผ่านมา ณ แม็กนี-คูร์ส ประเทศฝรั่งเศส ระยะทางต่อรอบ 4.411 กิโลเมตร กำหนดชิงชัยทั้งสิ้น 3 เรซ ในรายการพิเรลลี่ เฟรนช์ ราวนด์
โดย โทปรัค ราซกัตลิโอกลู #1 แชมป์โลกคนปัจจุบัน สังกัดพาต้า ยามาฮ่า วิธ บริกซ์ เวิลด์เอสบีเค สามารถเดินหน้าคว้าแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง บิดคว้าชัยจากการชิงชัยในเรซที่ 2 และ ซูเปอร์โพลเรซ หลังทำได้ดีที่สุดด้วยการซิ่งเข้าเส้นชัยด้วยอันดับ 11 ในเรซแรก เก็บแต้มรั้งอันดับ 2 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ มีทั้งสิ้น 302 คะแนน
ด้าน อันเดรีย โลคาเทลลี่ #55 ดาวบิดอิตาเลียนเพื่อนร่วมสังกัด เดินหน้าคว้าแต้มได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน หลังบิดจบการแข่งขันด้วยอันดับ 7 ในเรซแรก ต่อด้วยอันดับ 10 ในซูเปอร์โพลเรซ และส่งท้ายเกมที่ แม็กนี-คูร์ส ด้วยอันดับ 7 ในเรซที่ 2 เก็บไปได้ 166 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับ 5
สำหรับการแข่งขันสนามที่ 8 ศึกซูเปอร์ไบค์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2022 มีคิวดวลความเร็วในวันที่ 23-25 กันยายน ณ เซอร์กิต เดอ บาร์เซโลน่า-คาตาลุนญ่า ประเทศสเปน ในรายการคาตาลุนญ่า ราวนด์

“อินทรีแซงค์” กฤษฎา ฟอร์มโหด! เก็บชัยสนามส่งท้าย ก่อนสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ซูเปอร์ครอสชิงแชมป์ประเทศไทย 4 สมัยซ้อน

“อินทรีแซงค์” ขุนพลฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ หมายเลข 17 ฝ่าโคลนปิดฤดูกาลสนามที่ 10 ส่งท้ายรายการ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแข่งทางฝุ่นคนแรกทำสถิติครองแชมป์ประเทศไทย 4 ปีติดต่อกัน

“อินทรีแซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต ควบเดิร์ทไบค์คู่ใจ Honda CRF250R หมายเลข17 ภายใต้สังกัดทีมแข่ง Honda Racing Thailand Idemitsu Bridgestone D.I.D Supersprox Promedic Smotor ลุยปักโคลนสนามไร่พีบี วัลเล่ย์ จังหวัดเชียงราย ในการแข่งขันซูเปอร์ครอสชิงแชมป์ประเทศไทยรายการ FMSCT Thailand Supercross Championship 2022 สนามที่ 10 รุ่น MX250-A เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ 11 กันยายน ที่ผ่านมา

ก่อนการแข่งขันฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ทำให้สภาพสนามซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่สวนไร่พีบี วัลเล่ย์ มีสภาพกลายเป็นสนามโคลน เมื่อเริ่มการแข่งขัน “อินทรีแซงค์” กับเดิร์ตไบค์คู่ใจหมายเลข17 ก็สามารถลุยฝ่าแอ่งโคลนผ่านโค้งแรกด้วยตำแหน่งที่ 2 ก่อนจะไล่บดผู้นำและแซงขึ้นรั้งอันดับหนึ่งได้ในเวลาเพียง 1 รอบเศษ และควบเดิร์ตไบค์คู่ใจทะยานหนีห่างจากตำแหน่งที่ 2 ก่อนที่ธงตราหมากรุกจะสะบัดประทับชัยให้กับ“อินทรีแซงค์” พร้อมคว้าแต้มสะสม 20 คะแนนเต็ม รวมคะแนนสะสมจบฤดูกาลที่ 160 คะแนน เหนือคู่แข่งอันดับ 2 ถึง 9 คะแนน ป้องกันแชมป์ประเทศไทยให้อยู่กับฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ด้วยการสร้างสถิติใหม่เป็นนักแข่งซูเปอร์ครอสคนแรกที่ครองแชมป์ประเทศไทย 4 ปีติดต่อกัน
ขณะที่อีกหนึ่งนักแข่งจากฮอนด้า สุภัทรชัย ผักเครือ หมายเลข132 ทีมเมทของ“อินทรีแซงค์” ก็ปิดฤดูกาลด้วยตำแหน่งที่ 4 ในสนามนี้

“ยามาฮ่า” ปลุกกระแส THAI GP 2022 อัดกิจกรรมแน่นตลอดงานเอาใจแฟน MotoGP

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด นางสาวบัวทิพย์ จันทร์ดำรงกุล  รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.ก้องศักด ยอดมณี  ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย นายธัชกร หัตถาธยากูล  ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และนายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้างฯ ในการแถลงข่าวเตรียมความพร้อมนับถอยหลังการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบรายการ OR Thailand Grand Prix 2022 ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 30 กันยายน-2 ตุลาคม 2565 ภายใต้บรรยากาศการต้อนรับและสีสันกองเชียร์ที่มีเอกลักษณ์จนได้รับความประทับใจจากแฟนความเร็วทั่วโลก

โดย ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ เชิญชวนลูกค้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่ารวมถึงแฟนความเร็วชาวไทยร่วมส่งแรงเชียร์ทัพนักบิดค่ายยามาฮ่า นำโดยเจ้าของแชมป์โลกคนล่าสุด ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร #20 พร้อมคู่หู ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี #21 รวมถึง เขมินท์ คูโบะ #81 ดาวบิดไทยที่ลงทำการแข่งขันในรุ่น Moto2 ภายใต้สังกัด VR46 Master Camp Team พร้อมกันนี้ยามาฮ่าได้ร่วมสร้างสีสันให้กับงานที่บูธ YAMAHA REV CIRCUIT จัดเต็มด้วยสินค้าราคาพิเศษ พร้อมเปิดโอกาสให้ทดสอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า YAMAHA E01 และชมรถแข่งระดับแชมป์โลก YZR-M1 อย่างใกล้ชิด
สำหรับการแถลงข่าวนับถอยหลังการแข่งขัน THAI GP 2022 ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ สโมสรราชพฤกษ์ ถ.วิภาดีรังสิต เมื่อเร็วๆ นี้

เปิดตัว New Honda CT125 ด้วยคอนเซปต์ The Trail Explorer ยกระดับไลฟ์สไตล์ความสนุกด้วยสีสัน และเครื่องยนต์ใหม่

CUB House by Honda เปิดตัว New Honda CT125 รถจักรยานยนต์สไตล์เทรล ที่มาพร้อมสีใหม่และเครื่องยนต์ใหม่ที่ได้รับการพัฒนาให้มีสมรรถนะดียิ่งขึ้น รวมถึงระบบกันสะเทือนหลังแบบใหม่ที่สามารถปรับระดับได้ ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างสนุกยิ่งกว่าเดิม

New Honda CT125 มาพร้อมคอนเซปต์ The Trail Explorer ได้เวลาท้าทาย…ครั้งใหม่ นำเสนออีกมุมมองของไลฟ์สไตล์ด้วยสีเทาใหม่ ที่ให้ทั้งความเท่ มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร และยังถ่ายทอดความเป็นตำนานของ CT Series ที่มีมาตั้งแต่ปี 1960 ได้อย่างชัดเจน
New Honda CT125 ยังมาพร้อมการยกระดับในด้านสมรรถนะ ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 125 ซีซี ที่ได้รับการพัฒนาให้มีแรงบิดมากขึ้น อัตราเร่งดียิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบกันสะเทือนหลัง Adjustable Rear Suspension ที่สามารถปรับค่า Preload ได้ถึง 5 ระดับ รองรับทุกรูปแบบการใช้งาน ไม่ว่าจะอยู่บนเส้นทางปกติ หรือเส้นทางที่ท้าทาย
พร้อมกันนี้ CUB House by Honda ยังพร้อมส่งมอบอีกหนึ่งความพิเศษด้วย New Honda CT125 Stanley Special Edition 150 คัน ที่มาพร้อมชุดแต่ง 14 รายการ จากแบรนด์ Stanley และ H2C ที่ถ่ายทอดความเท่ขั้นสุดอย่างแตกต่าง และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของสายเเคมป์ปิ้ง พร้อมลุยได้ทุกที่
New Honda CT125 มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทาใหม่ สีแดง (แร็กท้ายสีดำ) และ สีเขียว (แร็กท้ายสีเขียว) วางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 88,900 บาท และรุ่นพิเศษ CT125 Stanley Special Edition วางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 108,700 บาท ที่ CUB House Flagship ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่ CUB House Corner ในศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
เฟซบุ๊ก fb.com/cubhousebyhonda

ฮอนด้า มุ่งสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าหวังสร้างสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน

สรุปแถลงการณ์ธุรกิจรถจักรยานยนต์ฮอนด้า
– มุ่งสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าหวังสร้างสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน –
– ฮอนด้ามุ่งมั่นสร้างสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านการผลิตรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและกิจกรรมต่างๆ ในช่วงปีทศวรรษ 2040s และยังคงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน (Internal Combustion Engine หรือ ICE) อย่างต่อเนื่อง
– ฮอนด้าวางแผนเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 10 รุ่นทั่วโลกภายในปี 2025 ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันต่อปีในอีก 5 ปีข้างหน้า และ 3.5 ล้านคัน (หรือ 15% ของยอดขายรวม) ภายในปี 2030
– ในฐานะผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลก ฮอนด้าครองความเป็นผู้นำแห่งยุคของความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยส่งมอบความสุขจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถเชื่อมต่อกับรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
ฮอนด้ามุ่งมั่นสร้างสังคมความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านทุกผลิตภัณฑ์และกิจกรรมของบริษัทภายในปี 2050 โดยวันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ฮอนด้าจัดงานแถลงข่าวความคืบหน้าในธุรกิจรถจักรยานยนต์ โดยคุณโคเฮ ทาเคอุจิ Director, Executive Vice President and Representative Executive Officer of Honda Motor และ คุณโยชิชิเกะ โนมูระ (Managing Officer)
โดยมีสาระสำคัญดังนี้ :
1. ก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
เพื่อรองรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลก ฮอนด้านำเสนอผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์หลายรุ่น ตั้งแต่คอมมิวเตอร์รุ่นเล็กสำหรับการเดินทางในเมือง ไปจนถึงรุ่นใหญ่ที่ขับขี่ได้อย่างสนุก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกทั้งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้นมีความต้องการรถจักรยานยนต์อย่างมาก ส่วนใหญ่เป็นรุ่นคอมมิวเตอร์ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ดี รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากน้ำหนักที่มาก ราคาที่สูง และความต้องการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ายังขึ้นกับมาตรการส่งเสริมและกฎระเบียบของรัฐ รวมถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานบริการชาร์จไฟฟ้าในแต่ละประเทศ
จากการพิจารณาสถานการณ์ดังกล่าว ฮอนด้ายังคงผลิตเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน (ICE) ในขณะเดียวกันพร้อมเร่งผลิตรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้า เน้นกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์ทุกคันในช่วงปีทศวรรษ 2040s นอกจากนี้ฮอนด้ายังคงความเป็นผู้นำด้านโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์อีกด้วย
<เดินหน้าโครงการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน (ICE) อย่างต่อเนื่อง>
เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน พร้อมกับรองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้ขับขี่และการใช้งานที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ ฮอนด้ายังมีโครงการพัฒนารถจักรยานยนต์รุ่นที่ใช้น้ำมัน (ICE models) แบบช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมๆ กับผลิตรถจักรยานยนต์รุ่นที่สามารถใช้พลังงานที่สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน เช่น รุ่นที่ใช้แก๊สโซลีนผสมเอทานอล เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น ในประเทศบราซิล ที่มีรถจักรยานยนต์ใช้พลังงาน flex-fuel หรือ E100*1 ฮอนด้ายังได้วางแผนเปิดตัวรถจักรยานยนต์ใช้พลังงาน flex-fuel ในอินเดียซึ่งเป็นตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ โดยจะเปิดตัวรุ่น flex-fuel (E20) *1 ประมาณต้นปี 2023 และ รุ่น flex-fuel (E100) ในปี 2025
*1 แก๊สโซลีนผสมเอทานอล มีอัตราการผสมหลายระดับ ตั้งแต่แก๊สโซลีน 100% ไปจนถึงเอทานอล 100% ส่วน E100 หมายถึง เอทานอล 100% และ E20 หมายถึง เอทานอล 20%
2. สร้างสรรค์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
<เปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการของผู้ขับขี่หลากหลายรูปแบบ>
จากการคาดการณ์การขยายตัวของตลาด ฮอนด้าเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่รองรับความต้องการที่แตกต่างของผู้ขับขี่ ตั้งแต่รุ่นคอมมิวเตอร์ขับขี่ในเมือง ไปจนถึงรุ่นใหญ่ขับขี่เพื่อความสนุก ฮอนด้าเตรียมนำเสนอรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ไม่น้อยกว่า 10 รุ่น ภายในปี 2025 ตั้งเป้ายอดขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันต่อปี ภายใน 5 ปีข้างหน้า และ 3.5 ล้านคัน (ประมาณ 15% ของยอดขายรวม) ภายในปี 2030
โดยมีรายละเอียดของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าดังต่อไปนี้ :
1. รถจักรยานยนต์คอมมิวเตอร์ขับขี่ในเมือง Commuter EVs
ในยุคที่ทุกกิจกรรมหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ความต้องการใช้รถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเริ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการผู้ขับขี่ประเภทนี้ ฮอนด้านำเสนอ Honda e: Business Bike Series พร้อมเร่งเปิดตัวรถจักรยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับธุรกิจในตลาดโลก นอกเหนือจากการส่งมอบ Honda e: Business Bike Series ให้กับบริษัทไปรษณีย์ของญี่ปุ่นและเวียดนาม* 2 เพื่อการทำงานบริการส่งสินค้าไปรษณีย์แล้ว ปัจจุบันฮอนด้ายังทดลองจับมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด*3 ทั้งยังวางแผนผลิตและจำหน่ายรุ่น BENLY e: ในประเทศไทยก่อนสิ้นเดือนนี้ สำหรับรถจักรยานยนต์ Honda e: Business Bike Series มาพร้อมกับ Honda Mobile Power Pack (MPP) แบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้ เหมาะกับการใช้งานธุรกิจประเภทส่งสินค้าชิ้นเล็ก และช่วยแก้ปัญหาเรื่องประเภทไฟฟ้าและระยะเวลาชาร์จไฟฟ้า ซึ่งนับเป็นข้อท้าทายหลักในการทำให้การใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นที่แพร่หลาย
สำหรับการใช้งานส่วนบุคคล ฮอนด้าเตรียมแผนเปิดตัว Commuter EV สองรุ่นในปี 2024 และ 2025 ในเอเชีย ยุโรป และญี่ปุ่น ในอนาคต ฮอนด้ายังคงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทนอื่นๆ นอกเหนือจากแบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้
2. รถจักรยานยนต์รุ่นคอมมิวเตอร์ขับขี่ในเมือง Commuter EMs*4 / EBs*5
ปัจจุบัน รุ่น EMs และ EBs ครอง 90 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก หรือประมาณ 50 ล้านคัน ในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก รุ่น EMs / EBs เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้ขับขี่เพื่อความสะดวกในชีวิตประจำวัน และฮอนด้านำเสนอผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วยการยกระดับโครงสร้างบริการพื้นฐานให้กับผู้แทนจำหน่ายในพื้นที่และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและพัฒนา โดยคาดว่าความต้องการรุ่น EMs / EBs จะขยายในวงกว้างขึ้นและครอบคลุมไปทั่วโลก พร้อมมีแผนเปิดตัว EMs / EBs รุ่นกะทัดรัดในราคาที่จับต้องได้ 5 รุ่น ตั้งแต่ช่วงนี้จนถึงปี 2024 ในตลาดเอเชีย ยุโรป และญี่ปุ่น
3. FUN EVs รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหญ่ที่ขับขี่ได้อย่างสนุก
นอกจาก commuter EVs แล้ว ฮอนด้ายังได้พัฒนาและนำเสนอรถจักรยานยนต์รุ่นใหญ่ที่ขับขี่ได้อย่างสนุก “Fun” EV models โดยจะเปิดตัว “Fun” EV models ทั้งหมดสามรุ่นในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ในช่วงปี 2024 และ 2025 พร้อมกับเปิดตัว “Kid Fun EV model” สำหรับเด็กที่ออกแบบเพื่อส่งต่อความสุขในการขับขี่ให้กับคนรุ่นใหม่อีกด้วย
*2 บริการไปรษณีย์ของเวียดนาม
*3 บริการไปรษณีย์ไทย
*4 ประเภทไฟฟ้า: ความเร็วสูงสุด: 25 กม./ชม.~50 กม./ชม.
*5 ประเภทรถจักรยานไฟฟ้า ไม่รวมรถจักรยานที่ใช้ไฟฟ้าช่วย ความเร็วสูงสุด 25 กม/ชม หรือต่ำกว่า
<กระบวนการผลิตแบบประสิทธิภาพสูง “Monozukuri” ที่ช่วยขยายการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเพิ่มยอดการจำหน่าย>
ด้วยความก้าวหน้าของการผลิตแบบ “Monozukuri” ที่สั่งสมจากการพัฒนาและการใช้แพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์รุ่นที่ใช้น้ำมัน ฮอนด้าพัฒนาและนำมาประยุกต์ใช้กับแพลตฟอร์มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ประสานองค์ประกอบหลัก 3 ประการของยานพาหนะไฟฟ้า ได้แก่ แบตเตอรี่ PCU และเครื่องยนต์ เข้าด้วยกัน โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยกระบวนการผลิต Monozukuri ประสิทธิภาพสูง เพื่อมอบความสุขในการขับเคลื่อนด้วยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในราคาที่จับต้องได้
ในส่วนของแบตเตอรี่ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของพาหนะไฟฟ้า ฮอนด้ามุ่งเป้าติดตั้ง แบตเตอรี่แบบแข็ง (All-solid-state battery) ที่มีเสถียรภาพสูงในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่น ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่ฮอนด้ากำลังพัฒนาโดยการใช้แหล่งพลังงานของตนเอง
3. เพิ่มความสะดวกและความชาญฉลาดในการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
<โครงการริเริ่มเพื่อเสริมโครงสร้างพื้นฐานการให้บริการชาร์จแบตเตอรี่และการกำหนดมาตรฐานให้กับแบตเตอรี่>
การส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการชาร์จแบตเตอรี่และการกำหนดคุณสมบัติที่เป็นมาตรฐานให้กับแบตเตอรี่นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำให้การใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นที่แพร่หลาย ฮอนด้า ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้บริการชาร์จแบตเตอรี่นั้น ได้เน้นการดำเนินงานเพื่อให้มีการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
1. ส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันให้เป็นที่แพร่หลาย
– ฮอนด้ามีธุรกิจร่วมในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ดำเนินการให้บริการใช้แบตเตอรี่ร่วมกัน จากการใช้ประโยชน์จากแบตเตอรี่ MPPs และรถจักรยานยนต์พลังงานจากแบตเตอรี่ MPP โดย JV เริ่มให้บริการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันแล้วในเมืองบาหลี
– ในอินเดีย ฮอนด้าเตรียมวางแผนเริ่มให้บริการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันสำหรับใช้ในรถแท็กซี่สามล้อ (หรือที่เรียกกันว่า ริกชอว์) ภายในปลายปีนี้ ฮอนด้ายังวางแผนขยายโครงการริเริ่มใช้แบตเตอรี่ร่วมกันให้เป็นที่แพร่หลายในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
– ในญี่ปุ่น เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัท ENEOS Holdings, Inc. และผู้ผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ 4 แห่ง*6 ร่วมมือกับ Gachaco, Inc. ผู้ให้บริการแบ่งปันการใช้แบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้ที่ได้มาตรฐาน สำหรับรถจักรยานยนต์และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการให้บริการ โดยบริษัทเตรียมให้บริการเพื่อการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันในฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้
2. กำหนดมาตรฐานแบตเตอรี่
– ในญี่ปุ่น ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์มีการตกลงกันเรื่องคุณสมบัติทั่วไปของแบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้โดยยึดแนวปฏิบัติเรื่องแบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อ (JASO TP21003*7 Guideline)
– ฮอนด้ามุ่งมั่นทำงานเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับแบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้ พร้อมกับเข้าร่วมประชุมสมาคมแบตเตอรี่ในยุโรป*8 ทั้งยังร่วมมือกับบริษัทร่วมทุนในอินเดีย
*6 บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ จำกัด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด
*7 สมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น รายงานวิชาการ TP21003 ขององค์กร JASO แนวปฏิบัติเรื่องแบตเตอรี่ที่สลับเปลี่ยนได้ สำหรับยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อ “Guideline For Swappable Batteries Of Electric Two Wheel Vehicles”
*8 สมาคมแบตเตอรี่ที่สลับเปลี่ยนได้สำหรับรถจักรยานยนต์ (Swappable Batteries Motorcycle Consortium หรือ SBMC) ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่การใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าขนาดเล็กเพื่อการขับเคลื่อน
<เสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์>
เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ฮอนด้ามุ่งปรับเปลี่ยนธุรกิจจากการเน้นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ที่ทำรายได้เพียงครั้งเดียว สู่รูปแบบธุรกิจที่ผสมผสานทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
ด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ ฮอนด้าร่วมงานกับ Drivemode*9 บริษัทซอฟต์แวร์ในเครือ ยกระดับมูลค่าการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในโลกยุคที่ทุกสิ่งเชื่อมต่อกัน โดยเริ่มจากรุ่น Commuter EV ที่จะออกสู่ตลาดในปี 2024 ฮอนด้ามอบประสบการณ์การขับขี่สุดแสนเพลิดเพลินให้กับผู้ใช้งาน (UX) ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อ อาทิ อุปกรณ์ที่ช่วยเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด โดยคำนึงถึงวิถีถนน จุดชาร์จไฟฟ้า แนะแนวการขับขี่อย่างปลอดภัย พร้อมการบริการหลังการขายที่ช่วยให้ผู้ขับขี่อุ่นใจตลอดเส้นทาง
ในอนาคต ฮอนด้าจะมุ่งสร้างแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงทุกสิ่ง เพิ่มคุณค่าการใช้งานที่ไม่เพียงเชื่อมต่อกับรถจักรยานยนต์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์ของฮอนด้าทุกประเภท เพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายแบบไร้ขีดจำกัด
*9 ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่ปรับเปลี่ยนประสบการณ์ผู้ใช้เพื่อการขับขี่อย่างสะดวกสบาย Drivemod

SYM Jet X

กล่าวได้ว่า Jet series คือหนึ่งในไลน์อัพรถสกู๊ตเตอร์ที่สร้างชื่อให้กับ SYM มาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่าสิบปีในตลาดยุโรป ที่ริเริ่มส่ง Jet14 ออกไปทำตลาดและยังคงขายได้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่ล่าสุดทาง SYM ได้อัพเกรดเวอร์ชั่นล่าสุดของ Jet Series ออกมา ก็คือ Jet X TCS ที่ถือว่าเป็นตัวท็อปของซีรีส์ ที่เคลมว่า นี่คือ high-end specs ที่จัดเต็มไม่เพียงแค่ภาพลักษณ์ดุดันในสไตล์รถแข่ง แต่ยังเพียบพร้อมด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ทั้งเพื่อตอบสนองความสะดวกสบาย ความหรูหราดูดี และความปลอดภัย ที่มาพร้อมกับสมรรถนะที่ครบเครื่องของสกู๊ตเตอร์ระดับสุดยอดของค่าย

หัวข้อสำคัญของการอัพเกรดตัวท็อปของ Jet Series อย่าง Jet X TCS นั่นก็ชัดเจนจากรหัสย่อท้ายรุ่น ก็คือ TCS ที่มาจาก Traction Control System ที่จะช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดกับพื้นถนน ลดความเสี่ยงในการสูญเสียการควบคุมขณะขับขี่ด้วยความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะกำลังเร่งความเร็ว โดย TCS จะป้องกันล้อหลังไม่ให้มีอาการสไลด์ขณะเริ่มเร่งความเร็ว หรือขณะกำลังออกตัว รวมทั้งขณะขับขี่ในโค้ง

แม้รูปโฉมจะออกแบบให้มีความดุดันโฉบเฉี่ยวในแบบฉบับของสกู๊ตเตอร์พันธ์แรง ทว่ามิติการขับขี่ ท่าทางการนั่งนั้นล้วนออกแบบเพื่อตอบสนองความรู้สึกที่สะดวกสบาย ให้การควบคุมที่ผู้ขับขับขี่ได้อย่างสบายๆสนุกสนานกับการขับขี่ นอกจากนี้ก็ยังคงมีองค์ประกอบที่ดูเหมือนว่าจะเป็นพิมพ์นิยมของรถในโมเดลปีล่าสุดนี้ของ SYM ก็คือ LED Lighting และ LCD Instrument รวมทั้ง Keyless System 2.0 และ Quick Charge 2.0

สำหรับพื้นฐานเครื่องยนต์นั้น จะเป็นแบบ 4valve Liquid Cooled Engine ซึ่งจะมีสองขนาดความจุเครื่องยนต์ให้เลือก คือ 125 และ 150 ซีซี โดยรายละเอียดตัวรถมีข้อมูลดังนี้

Keeway E-Zi Mini

Keeway ส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ในรูปแบบสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็กสำหรับใช้งานในเมืองออกมาสู่ตลาดที่พวกเขาบอกว่า นี่คือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ทันสมัย และเป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่มีความฉลาดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการช่วยจัดการด้านต่างๆ

ช่วยให้มีระยะการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น ควบคุมง่ายขับขี่สะดวก ชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว โดยในซีรีส์รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของ Keeway ในกลุ่มที่ใช้ชื่อ E-Zi นั้นจะมีสามโมเดล แต่ที่เรานำมาแนะนำกันนี้ คือ E-Zi Mini ที่มีน้ำหนักเบาควบคุมง่ายคล่องตัว มาพร้อมกับมอเตอร์ขนาด 1,000 วัตต์ ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธี่ยม ขนาด 48 โวลท์ 20 แอมป์ โดยมีระยะทำการมากถึง 60 กม. ซึ่งตัวรถ E-Zi Mini จะมีโหมดการขับขี่มาให้เลือกใช้สองโหมด คือ Power กับ Eco

MALAGUTI MADISON 150

MALAGUTI MADISON 150 โมเดลใหม่ล่าสุดรถสกู๊ตเตอร์สปอร์ตพรีเมี่ยม ในคลาส 150 ซีซี ที่ถ่ายทอดDNA อิตาเลียนดีไซน์ ในรูปโฉมสุดโฉบเฉี่ยว สปอร์ต เร้าอารมณ์ โดย MALAGUTI (มาลากูติ) คือ แบรนด์รถมอเตอร์ไซค์สัญชาติอิตาเลี่ยนในประวัติศาสตร์ ถือกำเนิดขึ้น ณ เมืองโบโลญญ่า ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีความเก่าแก่ และมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองต้นกำเนิดของแบรนด์ดังในแวดวงยนตกรรมระดับโลกมากมาย

 

 

โดยผู้ก่อตั้งแบรนด์ MALAGUTI คือ ANTONIO MALAGUTI (อันโตนิโอ มาลากูติ) ที่ย้อนกลับจากจุดเริ่มต้นของแบรนด์ในปี 1930 ได้เริ่มทดลองติดตั้งเครื่องยนต์เข้ากับรถจักรยาน จนภายหลังได้พัฒนามาสู่รถมอเตอร์ไซค์และสกู๊ตเตอร์แบรนด์ MALAGUTI ในเวลาต่อมา ซึ่งหากนับระยะเวลาจากจุดเริ่มต้นเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์จนถึงปัจจุบัน ก็เรียกได้ว่า เป็นแบรนด์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานเกือบ 100 ปี

และแม้ในช่วงที่ผ่านมาแบรนด์ MALAGUTI จะเน้นทำตลาดในประเทศทางฝั่งยุโรปเป็นส่วนใหญ่ อาทิ ในประเทศ อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน เนเธอร์แลนด์ และ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น จึงทำให้การมาบุกตลาดในบ้านเราในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแบรนด์ MALAGUTI พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าลุยตลาดทางฝั่งเอเชีย โดยผนึกกำลังจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่าง MALAGUTI อิตาลี กับ บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายในภูมิภาคนี้ และยุโรป สำหรับการเปิดตัวครั้งแรกในไทย! ประเดิมด้วยโมเดลใหม่ล่าสุด MALAGUTI MADISON 150 รถสกู๊ตเตอร์สปอร์ตพรีเมียม ที่ถ่ายทอด DNA อิตาเลียนดีไซน์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยว สปอร์ต เร้าใจ มาพร้อมเครื่องยนต์ พิกัด 150 ซีซี 4 จังหวะ สูบเดี่ยว 4 วาล์ว เทคโนโลยีหัวฉีด (Bosch EFI) พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (Liquid cool)

โดดเด่นด้วยดีไซน์ไฟหน้าและไฟท้าย ในมิติล้ำสมัย เทคโนโลยี FULL LED หน้าจอเรือนไมล์แบบ LCD DISPLAY DYNAMIC MOTION ที่มาเติมสีสันให้ชีวิตตั้งแต่เริ่มบิดสตาร์ท พร้อมความพรีเมียมที่มาในดีไซน์ของรีโมทกุญแจ กับประโยชน์ด้านความปลอดภัย ที่เสริมการปลดล็อคอีกขั้นก่อนบิดสตาร์ทออกตัว เสริมความมั่นใจในทุกการเบรก ด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อมระบบเบรกแบบ CBS ถังน้ำมันขนาดใหญ่ จุได้ถึง 10 ลิตร ตอบโจทย์ด้านการใช้งาน และให้ความสะดวกสบายกับวิถีชีวิตยุคใหม่ ด้วยฟังก์ชั่น USB CHARGING SOCKET สำหรับชาร์จอุปกรณ์สื่อสาร

\

MALAGUTI MADISON 150 มีให้เลือกถึง 4 สีด้วยกัน ได้แก่ VIBRAN MATT RED SATIN (สีแดง), VENGEANCE NIGHT BLACK (สีดำ), EMPTINESS FORCE WHITE (สีขาว), และ MAMBAS MATT GREEN SATIN (สีเขียว) ที่มาพร้อมราคาค่าตัวสุดเซอร์ไพรส์ในราคาแนะนำ ที่ 79,800 บาท