













ถึงคราวขยับบ้างแล้วสำหรับค่าย Suzuki ที่เริ่มรุกตลาดรถในกลุ่มบังโคลนลอยในแบบออลเทอเรนหรือดูอัลเพอร์โพส ด้วยรถในรหัสรุ่นอย่าง V-Strom ซึ่งบอกได้ว่าแทบครบทุกขนาดความต้องการของผู้ขับขี่ ทั้งขนาดมิดเดิ้ลเวท และเฮฟวี่เวท สำหรับฉบับนี้ไรดิ้งหยิบเจ้ามิดเดิ้ลเวทเครื่องยนต์ระดับ 650 ซีซี ที่มาสองเวอร์ชั่น คือ V-Strom 650XT กับ V-Strom 650 XT Adventure อาจจะกล่าวได้ว่า V-Strom 650 XT ก็คือโมเดลพื้นฐาน ซึ่งมีตัวเลือกโทนสีใหม่เพิ่มขึ้นมาเป็นโทนสีขาว หรือที่เรียกว่า Pearl Brilliant White
สำหรับมิติตัวรถนั้นได้มีการอิงสไตล์การออกแบบให้มีมิติที่ใกล้เคียงกับรถในซีรี่ส์ DR ที่กล่าวได้ว่าเป็นรถในแบบแอดเวนเจอร์ขนานแท้ของ Suzuki ที่สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ขับขี่สายแอดเวนเจอร์ ซึ่งพวกเขาก็ระบุว่า V-Strom ใหม่นี่มีรูปแบบของ DR-Big styling ที่พร้อมลุยทุกเส้นทางนั่นเอง ด้วยเครื่องยนต์ V-twin สูบเอียง 90 องศา ระบายความร้อนด้วยน้ำออกแบบมาให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวล ให้แรงบิดที่แข็งแกร่งทุก รอบความเร็ว ซึ่งปรับจูนให้แมทซ์กับระบบหัวฉีด electronic fuel injection ที่ป้อนเชื้อเพลิงได้แม่นยำมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เครื่องยนต์มีค่ามลภาวะที่ต่ำเพราะประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ขณะเดียวกันช่วยให้มีค่าประหยัดเชื้อเพลิงสูงขึ้นอีกด้วย และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในระดับ Advanced electronics ที่ทางโรงงานได้ปรับเซ็ทคุณสมบัติที่ดีในรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ต่ำ หรือ Low RPM Assist ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ในรอบต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไฮไลท์อีกอย่างก็คือวงล้อแบบ tubeless ที่เป็นวงล้อซี่ลวด gold-anodized spoke-style wheels พร้อมทั้งติดตั้ง การ์ดแฮนด์ และที่ครอบเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มการป้องกันการกระแทกหรือการปะทะที่ไม่คาดคิดขณะขับขี่ในเส้นทางทุรกันดารเนื่องจากฐานผู้ใช้ V-Strom 650 โดยมากจะเป็นการขับขี่ในแนวทัวริ่ง ดังนั้นการออกแบบจึงพยายามรักษาสมดุลให้รถอยู่ในจุดที่เหมาะสมพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกๆวันทุกๆช่วงเวลาเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกสบายผ่อนคลายขณะขับขี่ ไม่ตึงเครียดกับการขับที่ทางไกล ขณะเดียวกันก็ขับขี่ได้บนเส้นทางที่สมบุกสมบัน ดังนั้นรถรุ่นนี้ จึงได้รับการออกแบบมาให้ไร้ความตึงเครียดในการใช้งานประจำวัน ขณะเดียวกันก็สบายๆกับการเดินทางไกลกับทุกสภาพเส้นทาง นี่คือรถเพื่อตอบสนองความสนุกสนานในการขับขี่อย่างแท้จริง
องค์ประกอบอีกอย่างที่ต้องพูดถึงก็คือระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ติดตั้งมาที่เสริมให้รถรุ่นนี้เป็นเป็นรถพิกัดมิดเดิลเวทที่น่ามหัศจรรย์ อย่าง Suzuki Advanced Traction Control System Easy Start System , Low RPM Assist รวมทั้ง ABS ซึ่งข้อมูลการใช้ การปรับเซ็ทระบบต่างๆเหล่านี้ จึงสามารถดูได้จากจอแสดงผลหรือเรือนไมล์ Multifunction illumination-adjustable instrument panel
ขณะที่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ใช้แหล่งขุมพลังมาจากพื้นฐานเครื่องยนต์ของ SV650 ซึ่งมีการนำมาพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในการขับขี่แบบทัวริ่งเป็นระยาทางไกล โดยการปรับชิ้นส่วน อย่าง Low-friction resin coated pistons และ SCEM coated cylinders
ซึ่งเครื่องยนต์มาพร้อมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของSuzuki นั่นคือ fuel injection system ที่เป็นแบบ SDTV – Suzuki Dual Throttle Valve ที่มีเรือนลิ้นเร่งขนาด 39 มม. โดยที่ the secondary throttle valve หรือวาล์วตัวที่สองนั้นควบคุมการเปิดปิดด้วย servo motorซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์มีการ
ส่งผ่านกำลังออกมาได้อย่างนุ่มนวล ขณะที่หัวใจสำคัญในการจัดการการทำงานระบบการจัดการเครื่องยนต์ ECM-Engine Control Moduke ได้รับการปรับเซ็ทใหม่ให้มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ของ V-Strom 650 ที่ได้รับการอัพเดทในส่วนของระบบไอดีไอเสียมา intake และ exhaust system ใหม่ ที่น่าสนใจก็คือ ยังมีอีกเวอร์ชั่นที่แยกย่อยออกไปด้วยวัตถุประสงค์คือ dressed for real adventure หรือแต่งหน้าเสริมตาเล็กน้อย เพื่อให้ได้ฟิลของความเป็นรถในแบบแอดเวนเจอร์ที่แท้จริง ดังนั้นสีของเวอร์ชั่นนี้ จึงมาพร้อมกับโทนดำ ที่เรียกว่า Grass Sparkle Black paint with blue graphics ขณะที่วงล้อซี่ลวดจะเป็น spoke-style wheels with blue anodized aluminium rims แปลง่ายๆก็คือล้อมิเนียมอะโนไดซ์สีน้ำเงิน มีการ์ดมือ และกันแคร๊งค์ติดตั้งมาให้จากโรงงาน อีกทั้งยังติดตั้งบังลม หรือ windshield แบบปรับระดับได้มาให้ และยังติดตั้งกล่องอลูมิเนียม ขนาด 37 ลิตร มาให้อีกด้วย
เดิมทีตั้งใจจะนำเสนอ MXer โมเดลใหม่ล่าสุด ที่เป็นไลน์อัพสำหรับทำตลาดในปี 2023 ทว่าเราพบว่า ในโมเดลปีดังกล่าวที่ส่งออกมาสู่ตลาดนั้น เป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของรถโมโตครอส หรือ MXer ของ Honda ที่มีวิวัฒนาการ จากรหัส CR มาสู่รหัส CRF ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นระยะเวลาต่อเนื่องถึงห้าทศวรรษ ของการพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเรือธงรุ่นล่าสุดจากกลุ่มรถวิบากอย่าง 2023 CRF450R ที่เป็นโมเดลแรกที่ทางค่ายหยิบมาพัฒนาอัพเดทชิ้นส่วนต่างๆในวาระพิเศษนี้
ซึ่งแน่นอนว่าเราจะมาว่ากันที่เรื่องของตัวรถกันทีหลัง ทว่าในวาระพิเศษนี้ทางไรดิ้งเราก็เลยจะขอนำเสนอเรื่องราวของเรือธงในแต่ละช่วงเวลาตลอดระยะเวลาห้าสิบปีของรถ MXer รุ่นหลักๆที่กล่าวได้ว่าเป็นหลักไมล์หรือเป็นเรือธงในแต่ละช่วงเวลา ที่ทาง Honda เป็นฝ่ายหยิบยกออกมาเอง หาใช่ไรดิ้งเราเป็นฝ่ายจัดทำแต่อย่างใด ซึ่งในเอกสารพีอาร์วาระครบรอบดังกล่าวของ Honda ได้แนะนำโมเดลเด่นๆโดยเริ่มต้นจาก 1973 CR250M Elsinore นี่คือรถที่ถือกำเนิดมาจากการแข่งขันจริง ซึ่งมีคำกล่าวเล่นๆกันว่า “ชนะวันอาทิตย์ วางขายวันจันทร์” อย่างไรก็ตาม CR250M Elsinore โมเดลนี้แม้จะเป็นรถแข่งแบบโปรดักชั่น ทว่าก็ผลิตขายตามยอดการสั่งซื้อเท่านั้น ด้วยการที่เป็น MXer แบบสองจังหวะรุ่นแรกของ Honda ดังนั้นความพิถีพิถันและคุณภาพต่างๆจึงถูกใส่ใจมากเป็นพิเศษ ดังนั้นการทำประชาสัมพันธ์ในช่วงเวลานั้นกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะหนังโฆษณาที่นำแสดงโดย steve McQueen ขณะที่ชื่อรุ่นนั้น ถูกนำมาจากการแข่งขัน Elsinore Grand Prix ซึ่งจัดว่าเป็นการแข่งขันในตำนานที่ lake elsinore California กล่าวคือมันเป็นรถแข่งของ Honda ที่ใช้เครื่องยนต์สองจังหวะ ขนาด 247.8 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ ตัวรถมีน้ำหนัก 104 ก.ก. โดยโครงสร้างตัวรถเป็นแบบ semi-double tubular steel frame พร้อม telescopic forks steel swingarm twin rear shocks และดรัมเบรกหน้า-หลัง ….นี่คือ เริ้มต้นของตำนาน 50 ปี ของ รถแข่งโมโตครอสของ Honda
1981 CR250R ย่างก้าวสำคัญของการพัฒนา MXer จากความสำเร็จของ CR250M ก็เปลี่ยนมาเป็น รหัส R ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า มันคือรถแข่งที่รับถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากทีมโรงงานแทบจะทุกอย่าง นี่คือรถแข่งที่ผลิตมาขายต่อคนทั่วไปอย่างเป็นทางการรุ่นแรกในฐานะรถแข่งโปรดักชั่น ที่มีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบที่เรียกว่า long-stroke design cooled ที่มีหม้อน้ำขนาดเล็กสองชิ้นติดตั้งมาอย่างเท่หรือสุดล้ำในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์นั้นได้รับการยกระดับโครงสร้างชิ้นส่วนบางอย่างเป็นวัสดุอลูมิเนียม คือ aluminium swingarm ที่มาพร้อมกับ single remote-reservoir Pro-link rear shock เรียกง่ายๆก็คือชุดกระเดื่องที่ทำหน้าที่ยึดกับช๊อคอัพหลังนั่นเอง ซึ่งเจ้าระบบที่ชื่อ Pro link นี่แหละ คือจุดกำเนิดของความสำเร็จอันลือชื่อมากมายของวิวัฒนาการระบบกันสะเทือนของรถแข่งจากค่ายญี่ปุ่นนี้ ขณะที่ในส่วนของชุดเฟรมนั้นยังคงเป็น steel frame และที่น่าสนใจในช่วงเวลาเพียงปีเดียวหลังจากส่ง MXer โมเดลนี้ออกมาสู่ตลาด ก็ได้มีความเคลื่อนไหวเล็กที่มีผลต่ออนาคตมากมายจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ การประกาศเปิดแผนก Racing Service Center ขึ้นมาในปี 1982 ก่อนที่แผนกนี้จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น HRC –Honda Racing Corporation ในภายหลัง
1985 CR500R นี่คือรุ่นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับการพัฒนา 2023CRF450R 50th Anniversary ว่ากันว่า CR500R คันนี้ คือการก้าวผ่านอีกครั้งสำคัญของMXerค่ายปีกนก จาก เครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยอากาศ ที่เปี่ยมด้วยแรงบิดมหาศาลของ CR500R ที่เปิดตัวในปี1984 ก็ได้ถูกนำมาปรับเปลี่ยนเสริมแต่งกันเป็นโมเดลใหม่ล่าสุด จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานนั่นก็คือ การเปลี่ยนระบบระบายความร้อน จาก air cooled มาเป็น water cooled ถือว่าเป็นวิวัฒนาการสำคัญของรถMXerจากยุค80s
1997CR250R คำจำกัดความในช่วงเวลานี้นตอนที่เปิดตัวรถรุ่นนี้ออกสู่ตลาด ก็คือ The Revolution begins หรือ การเริ่มต้นของการปฏิวัตินวัตรกรรมอะไรแบบนั้น โดยเจ้าMXerขนาดสองแรงครึ่งคันนี้ ได้รับการพัฒนาให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยค่อนข้างมาก ดังจะเห็นได้ชัดเจนที่ทั้งแรงบิดและกำลังเครื่องยนต์นั้นมีสมรรถนะสูงเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้พอสมควร ที่สำคัญ มันเป็นMXerตัวแรก ที่ใช้เฟรมอลูมิเนียม”first aluminium” จาก tubular steel ถูกแทนที่ด้วย twin spar ที่มีคุณสมบัติในการให้ตัวหรือยืดหยุ่นได้ดีกว่าเฟรมแบบเหล็กนั่นเอง นอกจากนั้นองค์ประกอบต่างๆล้วนถูกเสริมไปนั้นอยู่ในระดับ high tech แทบทั้งสิ้น ไม่ว่า fully adjustable Showa suspension และ disc brake ทั้งหน้าและหลัง จนมันได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดรถMXerแห่งยุค 90s อีกรุ่นหนึ่งที่Hondaผลิตออกมาสู่ตลาด
2022 CRF450R นี่คือเจนแรกของตระกูล “ first generation of 450” อีกทั้งมันยังเป็นต้นกำหนดของทิศทางการพัฒนา MXer ยุคใหม่ของค่ายปีกนก ที่ชัดเจนที่สุดว่า นับจากนี้รถวิบากและรถโมโตครอสของพวกเขาจะถูกกำหนดเส้นทางการพัฒนาไว้แล้วนั่นเอง มัน คือเครื่องยนต์สี่จังหวะตัวแรก สำหรับสายการผลิต MXer ที่มันจะเข้ามาแทนที่ CR250R ด้วยเครื่องยนต์สี่จังหวะขนาดกะทัดรัดและทรงพลังขนาด 449 ซีซี มีย่านการส่งกำลังที่กว้าง ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลควบคุมง่าย แต่เปี่ยมด้วยพละกำลัง ทุกๆองค์ประกอบของการพัฒนาใน CRF450R ทำให้มันเป็นรถที่เร็วและควบคุมง่าย เมื่อเทียบกับ CR250R ที่ถูกแทนที่ไปนับจากนี้
2009 CRF450R หลังจากที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจน”เข้าที่เข้าทาง” ก็ถึงเวลาสำคัญต้องทำการปฏิวัตินวัตรกรรมใหม่อีกครั้ง นั่นก็คือ การเริ่มต้นเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีระบบหัวฉีด An injection of technology คือนิยามหรือทิศทางของการพัฒนา CRF450R ครั้งใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดที่จะแทนที่ระบบคาบูเรเตอร์แบบเดิมๆ ดังนั้น CRF450R โมเดลนี้จึงมาพร้อมกับ fuel-injected engine ที่ติดตั้งชุดเรือนลิ้นเร่ง 50m.m. throttle body ที่มาพร้อมหัวฉีดแบบสิบสองรู หรือ 12 hole injector โดยสามารถทำการปรับ
จูนการจุดระเบิด หรือปรับตั้งค่าต่างๆเช่นที่เคยทำในการเซทคาร์บูเรเตอร์แบบเดิมๆด้วยการเซ็ทตั้งผ่านอุปกรณ์หรือเครื่องมือ HRC PGM-Fi setting tool นอกจากเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่แล้ว ยังได้เปลี่ยนโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ซึ่งการออกแบบ new chassis นี้ได้พัฒนาร่วมกับการพัฒนาเครื่องยนต์ โดยมีแนวคิดที่สำคัญนั่นก็คือ mass centralization หรือการคำนุงถึงเรื่องศูนย์ถ่วงน้ำหนักของรถที่ให้ความสำคัญกับคำว่า สมดุลหรือบาล้านซ์ของรถนั่นเอง นอกจากนี้ในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์ยังรวมถึงระบบกันสะเทือนใหม่ ที่เลือกใช้ Kayaba 48 m.m. Air-Oil-Separated{AOS} USD forks รวมทั้ง compact rear shock ที่พัฒนามาควบคู่กันเพื่อให้รถสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายๆจังหวะของการเคลื่อนที่นั่นเอง
2017 CRF450R นี่คือรถที่ได้รับการอัพเดทใหม่ ทุกๆชิ้นส่วนถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อทำการ re-design ภายใต้คอนเซ็ปท์ ของรุ่นนี้คือ ABSOLUTE HOLESHOT จนกลายเป็น MXer ในระดับพรีเมียร์คลาสที่ประสบความสำเร็จมากในยุโรป ด้วย new chassis, full Showa suspension และที่สำคัญเครื่องยนต์ใหม่ new engine ที่ทำการปรับเน้นในเรื่องพละกำลังในรอบการทำงานสูงสุด อีกทั้งยังติดตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้ามาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการพัฒนาของรถรุ่นนี้ เพราะในปีถัดๆไป CRF450R ได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง อย่างในปี 2019รถรุ่นนี้ได้รับการอัพเดทในเรื่องของแรงบิด ดังนั้นHRC จังอัพเดทในส่วนของ cylinder head ควบคู่กับการติดตั้ง HRC launch control และยังมีการอัพเดทต่อเนื่องอย่างไม่หยุดนิ่งอย่างในปี 2020 ที่โฟกัสมาที่ระบบอิเล็คทรอนิคส์เพื่อจัดการการหมุนฟรีของล้อหลังหรือการจัดการการส่งผ่านกำลังที่ล้อหลังด้วย 3-level Honda Selectable Torque Control – HSCT ออกมาใช้กับ MXer ระดับเรือธงโมเดลนี้
นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งหรือไฮไลท์คร่าวๆของวิวัฒนาการตลอดระยะเวลาห้าทศวรรษจาก CR สู่ CRF นับจากปี 1973-2023 และแน่นอนว่า ในวาระครบรอบห้าทศวรรษดังกล่าว พวกเขาจึงส่ง CRF450R ในวาระพิเศษดังกล่าวออกมาด้วย
รอยัล เอ็นฟีลด์ ผู้นำระดับโลกด้านรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (250cc – 750cc) ประกาศเริ่มจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Hunter 350 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากเปิดตัวระดับโลกอย่างการไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Hunter 350 ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าของแบรนด์ในประเทศไทยมาตลอด Hunter 350 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของรอยัล เอ็นฟีลด์ ด้วยยอดจองมากกว่า 75,000 คัน ในประเทศอินเดีย จนกลายเป็นรถรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดของแบรนด์ในประเทศ ปัจจุบันมีผู้เป็นเจ้าของรถจักรยายนต์แล้วมากกว่า 40,000 ราย
คุณอนุจ ดัว, หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก, รอยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวถึง Hunter 350 ในด้านความสำเร็จหลังจากงานเปิดตัวระดับโลกอย่างการเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การเป็นที่ยอมรับในระดับโลก และการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกว่า “เป้าหมายที่รอยัล เอ็นฟีลด์ยึดถือมาอย่างต่อเนื่องคือการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางระดับโลก และเป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ Hunter 350 คือรถจักรยานยนต์ที่ถูกออกแบบจากความคิดเห็นของกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ทั้งในด้านดีไซน์ และประสิทธิภาพในการขี่ที่ให้ความสนุก ปราดเปรียว และคล่องตัวตามแบบฉบับ 350 โรด์สเตอร์ ผสานกับจิตวิญญาณของการขี่ที่แท้จริง อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ การออกแบบตัวถัง และโครงรถมาในรูปทรงที่กะทัดรัด และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ J-series ที่ออกแบบอย่างประณีตขั้นสุดให้แรงบิดที่เต็มมือ ทำให้การขับขี่มีความสนุก เร้าใจ ให้ประสบการณ์การขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ ในประเทศไทยเราพบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับรถจักรยายนต์ที่สามารถเป็นพาหนะคู่ใจได้ในทุก ๆ วัน และมีราคาเข้าถึงได้ ซึ่ง Hunter 350 ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ให้แก่ลูกค้าชาวไทย เรามั่นใจว่าการจำหน่าย Hunter 350 ในประเทศไทยจะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ ๆ เข้าสู่กลุ่มผู้มีใจรักในการขี่รถจักรยานยนต์แบบรอยัล เอ็นฟีลด์มากยิ่งขึ้น”
Hunter 350 มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนใคร และกลุ่มผู้ใช้รถจักรยายนต์ที่กำลังมองหารถคันใหม่ โดยHunter 350 รุ่นเริ่มต้นราคา 129,900 บาท นั้นเปิดให้จองแล้วที่ Royal Enfield Store ทุกสาขาทั่วประเทศไทย ซึ่งมีคอลเลกชันเครื่องแต่งกายไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์เสริมสำหรับแต่งรถจักรยานยนต์ของแท้วางจำหน่ายอีกด้วย ทั้งนี้ Hunter 350 จะเริ่มมีวางจำหน่ายในประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
เกี่ยวกับรอยัล เอ็นฟีลด์
รอยัล เอ็นฟีลด์ เป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งยังดำเนินการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตมอเตอร์ไซค์คันแรกในปีพ.ศ. 2444 รอยัล เอ็นฟีลด์เป็นบริษัทลูกของบริษัท ไอเซอร์ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด บุกเบิกตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางในประเทศอินเดียด้วยความเป็นรถมอเตอร์ไซค์แบบโมเดิร์คลาสสิกที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และด้วยฐานการผลิตแห่งใหม่ในเมืองเชนไน ประเทศอินเดีย รอยัล เอ็นฟีลด์สามารถขยายการผลิตได้อย่างรวดเร็วตอบสนองต่อความต้องการในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตมากกว่า 50% ทุกปี ตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้รอยัล เอ็นฟีลด์ กลายเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รายสำคัญในตลารถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางระดับโลกและกำลังดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นในการทำตลาดกลุ่มนี้ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานน่าประทับใจ
รอยัล เอนฟิลด์ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 และประกาศเริ่มดำเนินการผลิตที่โรงงานประกอบในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2564 โดยโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ นอกเหนือจากการผลิตรถให้กับผู้บริโภคในประเทศไทยแล้ว โรงงานดังกลว่าวยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายรถไปที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งทำให้รอยัล เอ็นฟิลด์ได้เปรียบในหลายด้าน รวมถึงด้านการเติบโต ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 เป็นต้นมา รอยัล เอ็นฟีลด์เติบโตอย่างมากจากส่วนแบ่งการตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางในประเทศน้อยกว่า 3% มาเป็นมากกว่า 7% ณ วันนี้ นอกจากนี้รอยัล เอ็นฟีลด์ก็มีรถจักรยายนต์คัสตอมมากกว่า 50 แบบ ในประเทศไทย และได้ทำงานร่วมกับสำนักแจ่งชื่อดังมากมาย อย่าง K-SPEED และ ZEUS ปัจจุบันรอยัล เอ็นฟีลด์อยู่อันดับ 4 ในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางในประเทศไทย (เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565)รอยัล เอ็นฟีลด์เป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไอเชอร์ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด ดำเนินธุรกิจโดยมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 921 ราย และ 638 สตูดิโอสโตร์ทั้งในประเทศอินเดียและเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึงมีการส่งออกรถมอเตอร์ไซค์ไปยังกว่า 60 ประเทศ ทั่วโลก ด้วยการเติบโตมากกว่า 17% ทุกปี ตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา และยอดขายในตลาดต่างชาติที่สูงถึง 96% ในปีพ.ศ.2562–2563 ทำให้รอยัล เอ็นฟีลด์กลายเป็นผู้นำในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง
“อินทรีย์แซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต นักบิดทางฝุ่นจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” เจ้าของแชมป์ประเทศไทย 4 สมัยติดต่อกัน สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการแข่งรถโมโตครอสของไทย โดยการสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแข่งโมโตครอสไทยคนแรกที่ทำอับดับและคะแนนสูงที่สุดในการแข่งขันในรายการโมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการควงเดิร์ตไบค์คู่ใจ Honda CRF250R หมายเลข 62 โชว์ฟอร์มเยี่ยม ดวลศึกในรายการ โมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น D.I.D. All Japan Motocross 2022 สนามที่ 7 ในรุ่น IA2 (250 ซีซี) ซึ่งเป็นสนามปิดฤดูกาล ณ สนามสปอร์ตแลนด์ซูโก้ เมืองมิยางิ
บริษัท ไทยยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กระตุ้นตลาดพร้อมปลุกกระแส เอ็นดูโร่ ไบค์ ครั้งใหม่! พร้อมส่ง NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” ออกสู่ตลาดเมืองไทยด้วยสีใหม่ พร้อม Accessories แต่งพร้อมลุยสุดเท่! และการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.
สำหรับ NEW YAMAHA WR155R รถสายพันธุ์ Enduro ระดับโลกอย่าง WR Series ยังคงตอบสนองความเร้าใจในการขับขี่ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ 155 ซีซี จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VVA (Variable Value Actuation) และพร้อมลุยทุกเส้นทางทั้งออนโรดและออฟโรดด้วยระบบกันสะเทือนหน้า KYB ขนาด 41 มม. และระบบกันสะเทือนหลัง Linked-Type Monocross ที่สามารถปรับค่าความแข็งได้ 5 ระดับตามน้ำหนักผู้ขับขี่ ช่วยซับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมทำให้สนุกในทุกเส้นทางการขับขี่ พร้อมถังน้ำมันความจุขนาด 8.1 ลิตร ให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม
ไทยฮอนด้าเปิดตัว New Honda GROM ตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นสายสปอร์ต ด้วย 2 สีสันใหม่ รุ่น ABS สีเทา-ดำใหม่ โดดเด่นด้วยลวดลายพิเศษบนตัวรถ เพิ่มความเท่ สปอร์ต ดุดัน ให้ผู้ใช้งาน และรุ่น STD สีน้ำเงิน-ดำใหม่ เพิ่มสีสันให้การขับขี่ สนุกเร้าใจมากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์ “Hype up your ride รออะไร…ถ้าใจมันเร้า” พร้อมวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ
New Honda GROM โดดเด่นด้วยสีสันที่โดนใจ ลงตัวกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบมินิไบค์สายสปอร์ต ไฟหน้า Full LED Headlight ดีไซน์โฉบเฉี่ยว แผงหน้าปัดเรือนไมล์ดิจิทัลแบบ Full LCD Panel แสดงผลครบถ้วนรวมถึงตำแหน่งเกียร์ ล้อแม็กพร้อมยางหน้ากว้างแบบ Tubeless ขนาด 12 นิ้ว สไตล์บิ๊กไบค์ พร้อมเสริมความมั่นใจด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง และระบบเบรก ABS with G-Sensor เทคโนโลยีจากสนามแข่งรถซูเปอร์สปอร์ตระดับท็อป
ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง CRF250R โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหาก
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเอง และเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450R
อย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ
Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.
Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.
Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.
เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive) ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ
BRAKE ; Rear 240mm hydraulic wave disc โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเองและเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450Rอย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ
Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.
Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.
Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.
เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive) ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ