“ยามาฮ่า” ลุยเต็มแม็กซ์ ส่งท้ายปี จัดเต็ม โปรโมชั่นสุดแม็กซ์

เขย่าเวทีมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39 “Motor Expo 2022”NEW YAMAHA XMAX CONNECTED นำทัพ ตอกย้ำความนิยมเจ้าตลาดพรีเมียมสปอร์ตออโตเมติกคลาส 300 ขายดีที่สุดในโลก
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด สานต่อความนิยมเขย่าตลาดรถจักรยานยนต์ส่งท้ายปีจัดทัพใหญ่เข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 39 Thailand International MOTOR EXPO 2022 เปิดตัว NEW YAMAHA XMAX CONNECTED … Follow the MAX นิยามใหม่ของพรีเมียมสปอร์ตสกู๊ตเตอร์ที่ครองใจทั่วโลก ตอกย้ำความแรงด้วยยอดจำหน่ายสูงสุดตลาดพรีเมียมสปอร์ตออโตเมติกคลาส 300 ในประเทศไทย พร้อมจัดเต็มโปรโมชั่นแบบสุดแม็กซ์ภายในบูธ Express The Unlimited Ride (เอ็กซ์เพลส ดิ อันลิมิเต็ด ไรด์) G03 ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี”
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 39 ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสอันดีที่ยามาฮ่าได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์จากตระกูล MAX Series ที่ครองใจชาวไทยมาอย่างยาวนาน และสร้างยอดขายได้เป็นอันดับ 1 ของโลกมาแล้ว และครั้งนี้ยามาฮ่ามีความภูมิใจในที่จะแนะนำ NEW YAMAHA XMAX Connected … Follow the MAX นิยามใหม่ของพรีเมียมสปอร์ตสกู๊ตเตอร์ ด้วยดีไซน์สปอร์ตใหม่หมดตั้งแต่หัวจรดท้าย พร้อมด้วยเทคโนโลยี Y-Connect และ Dual Displays เชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับรถได้ทุกเส้นทาง พร้อมกันนี้ ยามาฮ่ายังได้นำทัพรถจักรยานยนต์ทุกรุ่น ทุกซีรีส์ มาร่วมเติมเต็มบรรยากาศ พร้อมด้วยโปรโมชั่นแบบสุดแม็กซ์ภายในบูธ Express The Unlimited Ride (เอ็กซ์เพลส ดิ อันลิมิเต็ด ไรด์) G03 ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี”
ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จัดเต็มโปรโมชั่นสุดแม็กซ์สร้างโอกาสให้ทุกท่านได้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียงแค่สแกน QR CODE ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของรถจักรยานยนต์รุ่นต่าง ๆ เหมือนมาสัมผัสด้วยตัวเอง รวมถึง Highlight ที่ไม่ควรพลาด!!
โปรโมชั่นจัดเต็มสุดแม็กซ์ ฉลองเปิดตัว NEW YAMAHA XMAX Connected
• จองสิทธิ์ทางออนไลน์ซื้อชุดแต่ง XMAX Sport High Tech Set ในราคาสุดพิเศษเพียง 18,156 บาท พร้อมจัดไฟแนนซ์รวมไปกับรถจักรยานยนต์ NEW YAMAHA XMAX Connected จำนวนจำกัดเพียง 120 ชุดเท่านั้น ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2565
* เปิดให้จองทางออนไลน์ FB Yamaha Society Thailand เวลา 09.59 น. ของทุกวัน จำกัดวันละ 10 ชุด เท่านั้น เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
• ซื้อ YAMAHA MT-15 รับ Gift Voucher มูลค่า 15,000 บาท
• ซื้อ YAMAHA WR155R รับ Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท
• ซื้อ All New YAMAHA R15 Connected หรือ All New YAMAHA R15M Connected-ABS รับ Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท
• ซื้อ YAMAHA XSR155 รับ Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท
• ซื้อ YAMAHA FINO แถมฟรี!!! 7-11 Card มูลค่า 500 บาท สำหรับ 200 ท่านแรกเท่านั้น
• ซื้อ YAMAHA FINN แถมฟรี!!! ตะกร้าหน้ารถ + หมวกกันน็อคฟินน์ มูลค่า 939 บาท
โปรโมชั่นจ้ดเต็มสุดแม็กซ์ Big Bike ฟรี!! ประกันภัยชั้น 1
• ซื้อ YAMAHA YZF-R1 รับ Gift Voucher มูลค่า 40,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA MT-09 รับ Gift Voucher มูลค่า 40,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA MT-07 รับ Gift Voucher มูลค่า 41,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA XSR700 รับ Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA XSR900 รับ Gift Voucher มูลค่า 20,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA FJR1300AS รับ Gift Voucher มูลค่า 200,000 บาท พร้อม side case และประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA TMAX Tech Max และ YAMAHA TMAX รับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA Tracer9GT รับ Gift Voucher มูลค่า 30,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
• ซื้อ YAMAHA Tenere700 รับ Gift Voucher มูลค่า 28,000 บาท พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี!!
โปรโมชั่น Accessories & Apparel
• ผลิตภัณฑ์ยามาลู้ป ลดสูงสุด 10%
• อะไหล่ตกแต่งหมวกกันน็อก*ลดสูงสุด 26%
• เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยามาฮ่า *ลดสูงสุด 30%
โปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักช็อปออนไลน์
• ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ครบ 300 บาท รับฟรี พวงกุญแจยามาฮ่า
• ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ครบ 1,000 บาท รับฟรี ขวดน้ำยามาฮ่า มูลค่า 150 บาท
• ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ครบ 2,000 บาท รับฟรี กระเป๋ากันน้ำยามาฮ่า มูลค่า 500 บาท
บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของยามาฮ่าในช่วง 1-12 ธันวาคม 2565 เท่านั้น
พบกับ NEW YAMAHA XMAX Connected พร้อมทัพรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าแบบจัดเต็มแม็กซ์ในงานใหญ่ส่งท้ายปี ระหว่างวันที่ 1 – 12 ธันวาคม 2565 ที่บูธ YAMAHA Express The Unlimited Ride G03 ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี”
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่

ไทยฮอนด้ารุกตลาดปลายปี เปิดตัวรถใหม่พร้อมกัน 4 รุ่นในงานมอเตอร์เอกซ์โป 2022

ไทยฮอนด้ารุกตลาดปลายปี เปิดตัวรถใหม่พร้อมกัน 4 รุ่นในงานมอเตอร์เอกซ์โป 2022 นำโดย New 650Series สปอร์ต 4 สูบเรียงปรับโฉมใหม่สุดดุดัน New Rebel500 สีใหม่ และ Dax125 Nippon Vibes Special Edition by Kitaco
ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย สร้างความคึกคักให้กับงานมอเตอร์เอกซ์โป 2022 ด้วยการเปิดตัวรถใหม่รวม 4 รุ่น เริ่มจาก New CBR650R รถสปอร์ตฟูลแฟริ่งที่ได้รับการปรับสีสันใหม่ให้ดุดันขึ้น New CB650R Black Edition รถสปอร์ตเน็กเก็ตมาดเข้มด้วยสีดำทั้งคัน New Rebel 500 สีสันใหม่ลงตัวกับล้อแม๊กสีทอง และ Dax125 Nippon Vibes Special Edition by Kitaco แต่งพิเศษผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน พร้อมข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดเร้าใจที่บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า (G01) ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2565
มร.ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าบิ๊กไบค์คือแบรนด์ที่มุ่งนำเสนอประสบการณ์ในการขับขี่ที่เปี่ยมไปด้วยความ Excitement ครั้งนี้เราจึงมาพร้อมบูธคอนเซปต์ Thrilling Tech Excite Your Ride ถ่ายทอดความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีไปสู่ความเร้าใจอย่างไม่สิ้นสุด พร้อมกับเปิดตัวรถรุ่นใหม่ 4 รุ่น เริ่มจาก New CBR650 ที่ได้รับการปรับให้มีความดุดันยิ่งกว่าเดิม ตามด้วย New CB650R Black Edition รถสปอร์ตเน็กเก็ตในสไตล์นีโอสปอร์ตคาเฟ่ที่มาในมาดเข้มด้วยสีดำทั้งคัน และ New Rebel500 ที่ได้รับการปรับให้มีมิติมากยิ่งขึ้นด้วยสีสันใหม่และล้อแม๊กสีทอง นอกจากรถบิ๊กไบค์แล้ว ฮอนด้ายังได้เปิดตัว Dax125 Nippon Vibes Special Edition ซึ่งเป็นรุ่นแต่งพิเศษสำหรับคนที่ชื่นชอบรถคัสตอมในสไตล์ญี่ปุ่น ทั้ง 4 รุ่นพร้อมแล้วที่จะให้คนไทยได้มาสัมผัสด้วยตัวเองที่บูธฮอนด้าในปีนี้”
สำหรับรถรุ่นใหม่จากฮอนด้าที่เปิดตัวในงานมอเตอร์เอกซ์โปในปีนี้ประกอบด้วย New CBR650R สปอร์ตไบค์ฟูลแฟริ่ง 4 สูบเรียง สะท้อนจิตวิญญาณรถสปอร์ตจากสนามแข่ง เน้นความดุดันยิ่งขึ้นด้วยเส้นสายของสีดำที่ตัดเข้ากับตัวรถอย่างลงตัว มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีแดง GRAND PRIX RED และสีดำ MAT GUNPOWDER BLACK METALLIC ราคาแนะนำ 324,300 บาท
รุ่นที่สอง New CB650R รถสปอร์ตเน็กเก็ต 4 สูบเรียง สไตล์ Neo Sports Café ผสานความคลาสสิคกับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างลงตัว มีให้เลือก 3 สี นำโดยสีดำพิเศษ Black Edition (MAT GUNPOWDER BLACK METALLIC) และอีก 2 สี ได้แก่ สีแดง CANDY CHROMOSPHERE RED และสีเทา MAT DIM GRAY METALLIC ราคาแนะนำที่ 309,100 บาท
650Series ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมกับรุ่นแต่งพิเศษ Sport Shifter Edition ที่ติดตั้งคันเกียร์ควิกชิฟ (Quick Shifter) และครอบเบาะหลัง (Seat Cowl) เพิ่มทั้งสมรรถนะการขับขี่และเสริมลุคให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น โดยมีราคาแนะนำสำหรับ New CBR650R Sport Shifter Edition อยู่ที่ 333,500 บาท และ New CB650R Sport Shifter Edition อยู่ที่ 318,300 บาท
รุ่นที่สาม New Rebel500 ถ่ายทอดความเท่ตามแบบฉบับคัสตอมบ็อบเบอร์ตัวจริง ด้วยสีดำดุดัน MAT GUNPOWDER BLACK METALLIC ที่ลงตัวกับล้อแม๊กสีทอง โชว์ความขบถอย่างมีสไตล์ ราคาแนะนำที่ 223,800 บาท อีกทั้งยังมีรุ่นแต่งพิเศษ Bobber Supreme สีเทาใหม่ที่มาพร้อมของแต่งแบบจัดเต็ม ราคาแนะนำ 236,500 บาท และรุ่น 80’s The Revolution ที่โดดเด่นด้วยถังน้ำมันดีไซน์ย้อนยุคพร้อมด้วยชุดแต่งรอบคัน ราคาแนะนำ 249,900 บาท รุ่นที่สี่ รถมินิไบค์ Dax125 Nippon Vibes Special Edition by Kitaco ดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใครในแบบ Street Touring สไตล์ญี่ปุ่น ตกแต่งด้วยชุดแต่งถึง 16 รายการโดยสำนักแต่ง Kitaco ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 คันเท่านั้น มีราคาแนะนำอยู่ที่ 113,400 บาท
นอกจากนี้ ฮอนด้ายังได้ยกทัพบิ๊กไบค์ทุกรุ่นมาให้ทุกคนได้ลองสัมผัส พร้อมข้อเสนอพิเศษสุดกับแคมเปญ “Honda BigBike BUY NOW… XCITE NOW” ผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 2,948 บาท ดอกเบี้ยต่ำสุดเริ่มต้น 3.29% ต่อปี และ Gift Voucher มูลค่าสูงสุดถึง 200,000 บาท ฟรีทะเบียน และ พรบ. ทุกคัน
พบกับฮอนด้าบิ๊กไบค์ในงาน Motor Expo 2022 ได้ที่บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า (G01) อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคมนี้
ติดตามรายละเอียดและโปรโมชั่นสุดพิเศษของรถรุ่นต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
Honda BigBike : fb.com/HondaBigBikeTH

New Yamaha XMAX Connected

นสุดการรอคอยสักที ปล่อยให้ลุ้นกันอยู่นานเลย อาจไม่ใช่โมเดลใหม่ทั้งคัน แต่มาพร้อมกับของใหม่ๆ และฟิลลิ่งการขับขี่ที่เปลี่ยนไป รูปทรง และหน้าตาที่เปลี่ยนใหม่ดูสปอร์ตมากขึ้น ชูภาพลักษณ์ความเป็นออโตเมติกพรีเมี่ยมที่ได้รับความนิยมของใหม่มาแรง ก็ต้องลองกันหน่อย และลองขับขี่แบบธรรมดาก็ไม่ได้ ระดับสปอร์ตพรีเมี่ยมก็ต้องคู่กับความสปอร์ตระดับโลก บริษัท ไทยยามาฮ่าฯ จัดให้สื่อมวลชนได้ลงทดสอบขับขี่กันในสนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ เพื่อเค้นสมรรถนะของ New Yamaha XMAX Connected ออกมาได้อย่างเต็มที่
รูปแบบการขับขี่ก็มีจุด ให้ได้สัมผัสกับการควบคุมพลิกเลี้ยวซิกแซก สลาลอม และออพเซ็ท อ้อมกรวยกว้างๆ สัมผัสแรกกับการขึ้นไปนั่งคร่อม ยังไม่รู้สึกถึงความแตกต่างจากตัวเก่า เบาะกว้าง แฮนด์ปีกนก ฯลฯ แต่ได้ออกตัวไปและเข้าสู่จุดทดสอบแรก ไม่น่าชื่อว่าการจากข้อมูลตัวรถ การปรับเพียงเศษเสี้ยวของมุมเคสเตอร์จะทำให้ฟิลลิ่งการขับขี่สนุกมากขึ้น การพลิกเลี้ยวได้ง่าย และรู้สึกเบา ไม่ไต้องโหนตัวช่วยในการเอียงรถ ซึ่งนั่นก็ดูขัดแย้งกับข้อมูลอีกเช่นกัน เพราะ ตัวรถทั้งหมดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 2 กิโลกรัม แต่มันเบาแรงอย่างน่าตกใจ เลี้ยวเข้าโค้งในสนามช้างฯ รู้หวิวๆ เลย ท่านั่งละระยะจากเบาะถึงแฮนด์ยังให้ความสบาย ไม่เมื่อยสำหรับคนตัวเล็กหรือตัวสูง
มาถึงช่วงล่าง ถึงจะเป็นหน้าตาเดิมๆ แต่มันถูกอัพเกรดใหม่ทั้งหมด ให้มีสมรรถนะที่ทำงานได้มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งนั่นก็ทำให้รู้สึกได้กับทำงานของระบบรองรับน้ำหนัก โช้คอัพหน้าที่ต้องเจอกับแรงกดจากการใช้เบรกหนัก เมื่อต้องเข้าโค้งจากความเร็วที่ส่งมาเกิน 130 กม./ชม. การยุบของโช้คอัพหน้าถือว่าช่วยซับแรกกดได้ดี ทำให้ควบคุมรถในโค้งมั่นคง และปลอดภัย แต่สำหรับโช้คอัพหลัง ต้องบอกเลยว่ามันยังมีอาการแกว่งๆ เล็กน้อย เวลาเข้าโค้ง ทำเอาตกใจยกคันเร่ง แต่พอขี่ไปรอบที่สองก็จับอาการ และแก้ด้วยการเติมคันเร่งให้หนักขึ้น พร้อมกับใช้เบรกหลังช่วยอีกนิด จะทำให้รถนั้นนิ่ง และคุมได้ง่ายๆ เลย
เบรก ABS หน้า/หลัง ใช้งานได้ปกติแต่ที่เพิ่มเติมก็คือ ยามาฮ่า ได้ปรับเซ็ทความการทำงานใหม่ให้ใช้งานได้เร็วขึ้น ดิสก์เบรกระบบ ABS ค่อนข้างจะเซ็นทีฟมากกว่าข้างหน้า กำเบรกหนักๆ ระบบ ABS หลังจะทำงานข้างก่อน ส่วนระบบแทรกชั่นไม่ทำงานเพราะว่าสนามแข่งพื้นแทร็คมันไม่จุดลื่นนั่นเอง
มาถึงตัวเครื่องยนต์ที่เอาไว้ทิ้งท้ายก็เพราะว่า มันยังคงเป็นแพลตฟอร์มเดิม เทคโนโลยีบูลคอร์ สูบเดี่ยว 4 วาล์ว กระบอกสูบไดอะซิล ที่ระบายความร้อนได้ดี ทำให้สมรรถนะแรงม้ายังคงทำงานเต็มประสิทธิภาพ ถึงจะเป็นเครื่องเดิมแต่เมื่อตัวรถมีการเปลี่ยนหลายจุดให้เหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์ที่มีอัตราเร่งดีอยู่แล้ว ทำให้ขับขี่ได้เร้าใจสนุก น้ำหนักของตัวรถเพิ่ม 2 กิโลกรัม นั่นทำให้จุดศูนย์ถ่วงของรถดีขึ้น เพราะฉะนั้น มันทำให้ รถควบคุมง่ายด้วยเช่นกัน

2023 Suzuki V-STROM

ถึงคราวขยับบ้างแล้วสำหรับค่าย Suzuki ที่เริ่มรุกตลาดรถในกลุ่มบังโคลนลอยในแบบออลเทอเรนหรือดูอัลเพอร์โพส ด้วยรถในรหัสรุ่นอย่าง V-Strom ซึ่งบอกได้ว่าแทบครบทุกขนาดความต้องการของผู้ขับขี่ ทั้งขนาดมิดเดิ้ลเวท และเฮฟวี่เวท สำหรับฉบับนี้ไรดิ้งหยิบเจ้ามิดเดิ้ลเวทเครื่องยนต์ระดับ 650 ซีซี ที่มาสองเวอร์ชั่น คือ V-Strom 650XT กับ V-Strom 650 XT Adventure อาจจะกล่าวได้ว่า V-Strom 650 XT ก็คือโมเดลพื้นฐาน ซึ่งมีตัวเลือกโทนสีใหม่เพิ่มขึ้นมาเป็นโทนสีขาว หรือที่เรียกว่า Pearl Brilliant White

สำหรับมิติตัวรถนั้นได้มีการอิงสไตล์การออกแบบให้มีมิติที่ใกล้เคียงกับรถในซีรี่ส์ DR ที่กล่าวได้ว่าเป็นรถในแบบแอดเวนเจอร์ขนานแท้ของ Suzuki ที่สร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ขับขี่สายแอดเวนเจอร์ ซึ่งพวกเขาก็ระบุว่า V-Strom ใหม่นี่มีรูปแบบของ DR-Big styling ที่พร้อมลุยทุกเส้นทางนั่นเอง ด้วยเครื่องยนต์ V-twin สูบเอียง 90 องศา ระบายความร้อนด้วยน้ำออกแบบมาให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวล ให้แรงบิดที่แข็งแกร่งทุก รอบความเร็ว ซึ่งปรับจูนให้แมทซ์กับระบบหัวฉีด electronic fuel injection ที่ป้อนเชื้อเพลิงได้แม่นยำมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เครื่องยนต์มีค่ามลภาวะที่ต่ำเพราะประสิทธิภาพการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ขณะเดียวกันช่วยให้มีค่าประหยัดเชื้อเพลิงสูงขึ้นอีกด้วย และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในระดับ Advanced electronics ที่ทางโรงงานได้ปรับเซ็ทคุณสมบัติที่ดีในรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ต่ำ หรือ Low RPM Assist ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ในรอบต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไฮไลท์อีกอย่างก็คือวงล้อแบบ tubeless ที่เป็นวงล้อซี่ลวด gold-anodized spoke-style wheels พร้อมทั้งติดตั้ง การ์ดแฮนด์ และที่ครอบเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มการป้องกันการกระแทกหรือการปะทะที่ไม่คาดคิดขณะขับขี่ในเส้นทางทุรกันดารเนื่องจากฐานผู้ใช้ V-Strom 650 โดยมากจะเป็นการขับขี่ในแนวทัวริ่ง ดังนั้นการออกแบบจึงพยายามรักษาสมดุลให้รถอยู่ในจุดที่เหมาะสมพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกๆวันทุกๆช่วงเวลาเพื่อให้ผู้ขับขี่รู้สึกสบายผ่อนคลายขณะขับขี่ ไม่ตึงเครียดกับการขับที่ทางไกล ขณะเดียวกันก็ขับขี่ได้บนเส้นทางที่สมบุกสมบัน ดังนั้นรถรุ่นนี้ จึงได้รับการออกแบบมาให้ไร้ความตึงเครียดในการใช้งานประจำวัน ขณะเดียวกันก็สบายๆกับการเดินทางไกลกับทุกสภาพเส้นทาง นี่คือรถเพื่อตอบสนองความสนุกสนานในการขับขี่อย่างแท้จริง

องค์ประกอบอีกอย่างที่ต้องพูดถึงก็คือระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ติดตั้งมาที่เสริมให้รถรุ่นนี้เป็นเป็นรถพิกัดมิดเดิลเวทที่น่ามหัศจรรย์ อย่าง Suzuki Advanced Traction Control System  Easy Start System , Low RPM Assist รวมทั้ง ABS ซึ่งข้อมูลการใช้ การปรับเซ็ทระบบต่างๆเหล่านี้ จึงสามารถดูได้จากจอแสดงผลหรือเรือนไมล์ Multifunction illumination-adjustable instrument panel

ขณะที่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้น ใช้แหล่งขุมพลังมาจากพื้นฐานเครื่องยนต์ของ SV650 ซึ่งมีการนำมาพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานในการขับขี่แบบทัวริ่งเป็นระยาทางไกล โดยการปรับชิ้นส่วน อย่าง Low-friction resin coated pistons และ SCEM coated cylinders

ซึ่งเครื่องยนต์มาพร้อมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของSuzuki นั่นคือ fuel injection system ที่เป็นแบบ SDTV – Suzuki Dual Throttle Valve ที่มีเรือนลิ้นเร่งขนาด 39 มม. โดยที่ the secondary throttle valve หรือวาล์วตัวที่สองนั้นควบคุมการเปิดปิดด้วย servo motorซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์มีการ
ส่งผ่านกำลังออกมาได้อย่างนุ่มนวล ขณะที่หัวใจสำคัญในการจัดการการทำงานระบบการจัดการเครื่องยนต์ ECM-Engine Control Moduke ได้รับการปรับเซ็ทใหม่ให้มีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ของ V-Strom 650 ที่ได้รับการอัพเดทในส่วนของระบบไอดีไอเสียมา intake และ exhaust system ใหม่  ที่น่าสนใจก็คือ ยังมีอีกเวอร์ชั่นที่แยกย่อยออกไปด้วยวัตถุประสงค์คือ dressed for real adventure หรือแต่งหน้าเสริมตาเล็กน้อย เพื่อให้ได้ฟิลของความเป็นรถในแบบแอดเวนเจอร์ที่แท้จริง ดังนั้นสีของเวอร์ชั่นนี้ จึงมาพร้อมกับโทนดำ ที่เรียกว่า Grass Sparkle Black paint with blue graphics ขณะที่วงล้อซี่ลวดจะเป็น spoke-style wheels with blue anodized aluminium rims แปลง่ายๆก็คือล้อมิเนียมอะโนไดซ์สีน้ำเงิน  มีการ์ดมือ และกันแคร๊งค์ติดตั้งมาให้จากโรงงาน อีกทั้งยังติดตั้งบังลม หรือ windshield แบบปรับระดับได้มาให้ และยังติดตั้งกล่องอลูมิเนียม ขนาด 37 ลิตร มาให้อีกด้วย

เชื่อมั่น All New Wave125i ทำได้ พิชิต 10 ดอยใน 3 วัน เส้นทางเชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน

เชื่อมั่น All New Wave125i ทำได้ พิชิต 10 ดอยใน 3 วัน เส้นทางเชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอนกองทัพสื่อมวลชนตะลุยดอยปุย ดอยสุเทพ ดอยม่อนแจ่มในวันแรก พิสูจน์ขุมพลังเครื่องยนต์ Honda Smart Engine
ไทยฮอนด้า ยกทัพสื่อมวลชน ร่วมพิสูจน์ All New Wave125i กับขุมพลังเครื่องยนต์ใหม่ Honda Smart Engine แรง ทนทาน ประหยัด พิชิต 10 ดอยสูง ระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ข้าม 2 จังหวัด เชียงใหม่ – แม่ฮ่องสอน
เริ่มต้นวันแรก จากศูนย์ขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า จ.เชียงใหม่ ออกเดินทางตะลุยยอดเขา สู่ดอยปุย ด้วยระยะทาง 36 กม. ก่อนเดินทางย้อนกลับลงมาที่ดอยสุเทพ ระยะทาง 8 กม. และออกเดินทางสู่ดอยม่อนแจ่ม อ.แม่ริม ระยะทาง 34 กม. ผ่านทางลาดชันและเส้นทางคดเคี้ยวมากมายเพื่อทดสอบแรงบิดทรงพลังของเครื่องยนต์ Honda Smart Engine และสิ้นสุดวันแรกรวมระยะทาง 87 กิโลเมตร บนยอดดอยม่อนวิวงาม พร้อมเตรียมพิชิตเส้นทางโหดในวันที่สอง ที่ดอยกิ่วลม(ห้วยน้ำดัง) ดอยหยุนไหล ดอยกิ่วลม(ปางมะผ้า) และดอยกองมู
ติดตามความเคลื่อนไหวทัพสื่อมวลชนร่วมภารกิจพิชิต 10 ดอยวันที่ 2 ได้ในวันพรุ่งนี้
All New wave125i พร้อมให้ความเชื่อมั่นแล้วที่ Honda Wing Center ทั่วประเทศ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

HONDA MX ครบรอบ 50 ปี 1973-2023 จาก CR สู่ CRF

เดิมทีตั้งใจจะนำเสนอ MXer โมเดลใหม่ล่าสุด ที่เป็นไลน์อัพสำหรับทำตลาดในปี 2023 ทว่าเราพบว่า ในโมเดลปีดังกล่าวที่ส่งออกมาสู่ตลาดนั้น เป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของรถโมโตครอส  หรือ MXer ของ Honda ที่มีวิวัฒนาการ จากรหัส CR มาสู่รหัส CRF  ในปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นระยะเวลาต่อเนื่องถึงห้าทศวรรษ ของการพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเรือธงรุ่นล่าสุดจากกลุ่มรถวิบากอย่าง 2023 CRF450R ที่เป็นโมเดลแรกที่ทางค่ายหยิบมาพัฒนาอัพเดทชิ้นส่วนต่างๆในวาระพิเศษนี้

ซึ่งแน่นอนว่าเราจะมาว่ากันที่เรื่องของตัวรถกันทีหลัง ทว่าในวาระพิเศษนี้ทางไรดิ้งเราก็เลยจะขอนำเสนอเรื่องราวของเรือธงในแต่ละช่วงเวลาตลอดระยะเวลาห้าสิบปีของรถ MXer รุ่นหลักๆที่กล่าวได้ว่าเป็นหลักไมล์หรือเป็นเรือธงในแต่ละช่วงเวลา ที่ทาง Honda เป็นฝ่ายหยิบยกออกมาเอง หาใช่ไรดิ้งเราเป็นฝ่ายจัดทำแต่อย่างใด ซึ่งในเอกสารพีอาร์วาระครบรอบดังกล่าวของ Honda ได้แนะนำโมเดลเด่นๆโดยเริ่มต้นจาก 1973 CR250M Elsinore นี่คือรถที่ถือกำเนิดมาจากการแข่งขันจริง ซึ่งมีคำกล่าวเล่นๆกันว่า “ชนะวันอาทิตย์ วางขายวันจันทร์” อย่างไรก็ตาม CR250M Elsinore โมเดลนี้แม้จะเป็นรถแข่งแบบโปรดักชั่น ทว่าก็ผลิตขายตามยอดการสั่งซื้อเท่านั้น ด้วยการที่เป็น MXer แบบสองจังหวะรุ่นแรกของ Honda ดังนั้นความพิถีพิถันและคุณภาพต่างๆจึงถูกใส่ใจมากเป็นพิเศษ ดังนั้นการทำประชาสัมพันธ์ในช่วงเวลานั้นกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา โดยเฉพาะหนังโฆษณาที่นำแสดงโดย steve McQueen ขณะที่ชื่อรุ่นนั้น ถูกนำมาจากการแข่งขัน Elsinore Grand Prix ซึ่งจัดว่าเป็นการแข่งขันในตำนานที่ lake elsinore  California กล่าวคือมันเป็นรถแข่งของ Honda ที่ใช้เครื่องยนต์สองจังหวะ ขนาด 247.8 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ  ตัวรถมีน้ำหนัก 104 ก.ก. โดยโครงสร้างตัวรถเป็นแบบ semi-double tubular steel frame พร้อม telescopic forks  steel swingarm  twin rear shocks และดรัมเบรกหน้า-หลัง ….นี่คือ เริ้มต้นของตำนาน 50 ปี ของ รถแข่งโมโตครอสของ Honda

1981 CR250R ย่างก้าวสำคัญของการพัฒนา MXer จากความสำเร็จของ CR250M ก็เปลี่ยนมาเป็น รหัส R ที่สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า มันคือรถแข่งที่รับถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากทีมโรงงานแทบจะทุกอย่าง นี่คือรถแข่งที่ผลิตมาขายต่อคนทั่วไปอย่างเป็นทางการรุ่นแรกในฐานะรถแข่งโปรดักชั่น ที่มีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เครื่องยนต์ได้รับการออกแบบที่เรียกว่า long-stroke design cooled ที่มีหม้อน้ำขนาดเล็กสองชิ้นติดตั้งมาอย่างเท่หรือสุดล้ำในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์นั้นได้รับการยกระดับโครงสร้างชิ้นส่วนบางอย่างเป็นวัสดุอลูมิเนียม คือ aluminium swingarm ที่มาพร้อมกับ single remote-reservoir Pro-link rear shock เรียกง่ายๆก็คือชุดกระเดื่องที่ทำหน้าที่ยึดกับช๊อคอัพหลังนั่นเอง ซึ่งเจ้าระบบที่ชื่อ Pro link นี่แหละ คือจุดกำเนิดของความสำเร็จอันลือชื่อมากมายของวิวัฒนาการระบบกันสะเทือนของรถแข่งจากค่ายญี่ปุ่นนี้ ขณะที่ในส่วนของชุดเฟรมนั้นยังคงเป็น steel frame และที่น่าสนใจในช่วงเวลาเพียงปีเดียวหลังจากส่ง MXer โมเดลนี้ออกมาสู่ตลาด ก็ได้มีความเคลื่อนไหวเล็กที่มีผลต่ออนาคตมากมายจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ การประกาศเปิดแผนก Racing Service Center ขึ้นมาในปี 1982 ก่อนที่แผนกนี้จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น HRC –Honda Racing Corporation ในภายหลัง

1985 CR500R นี่คือรุ่นที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับการพัฒนา 2023CRF450R 50th Anniversary ว่ากันว่า CR500R  คันนี้ คือการก้าวผ่านอีกครั้งสำคัญของMXerค่ายปีกนก จาก เครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยอากาศ ที่เปี่ยมด้วยแรงบิดมหาศาลของ CR500R ที่เปิดตัวในปี1984 ก็ได้ถูกนำมาปรับเปลี่ยนเสริมแต่งกันเป็นโมเดลใหม่ล่าสุด จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานนั่นก็คือ การเปลี่ยนระบบระบายความร้อน จาก air cooled มาเป็น water cooled ถือว่าเป็นวิวัฒนาการสำคัญของรถMXerจากยุค80s

1997CR250R คำจำกัดความในช่วงเวลานี้นตอนที่เปิดตัวรถรุ่นนี้ออกสู่ตลาด ก็คือ The Revolution begins  หรือ การเริ่มต้นของการปฏิวัตินวัตรกรรมอะไรแบบนั้น โดยเจ้าMXerขนาดสองแรงครึ่งคันนี้ ได้รับการพัฒนาให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยค่อนข้างมาก ดังจะเห็นได้ชัดเจนที่ทั้งแรงบิดและกำลังเครื่องยนต์นั้นมีสมรรถนะสูงเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้พอสมควร ที่สำคัญ มันเป็นMXerตัวแรก ที่ใช้เฟรมอลูมิเนียม”first aluminium” จาก  tubular steel ถูกแทนที่ด้วย twin spar ที่มีคุณสมบัติในการให้ตัวหรือยืดหยุ่นได้ดีกว่าเฟรมแบบเหล็กนั่นเอง นอกจากนั้นองค์ประกอบต่างๆล้วนถูกเสริมไปนั้นอยู่ในระดับ high tech แทบทั้งสิ้น ไม่ว่า fully adjustable Showa suspension และ disc brake ทั้งหน้าและหลัง จนมันได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดรถMXerแห่งยุค 90s อีกรุ่นหนึ่งที่Hondaผลิตออกมาสู่ตลาด

2022 CRF450R นี่คือเจนแรกของตระกูล “ first generation of 450” อีกทั้งมันยังเป็นต้นกำหนดของทิศทางการพัฒนา MXer ยุคใหม่ของค่ายปีกนก ที่ชัดเจนที่สุดว่า นับจากนี้รถวิบากและรถโมโตครอสของพวกเขาจะถูกกำหนดเส้นทางการพัฒนาไว้แล้วนั่นเอง มัน คือเครื่องยนต์สี่จังหวะตัวแรก สำหรับสายการผลิต MXer ที่มันจะเข้ามาแทนที่ CR250R ด้วยเครื่องยนต์สี่จังหวะขนาดกะทัดรัดและทรงพลังขนาด 449 ซีซี มีย่านการส่งกำลังที่กว้าง ให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลควบคุมง่าย แต่เปี่ยมด้วยพละกำลัง ทุกๆองค์ประกอบของการพัฒนาใน CRF450R ทำให้มันเป็นรถที่เร็วและควบคุมง่าย เมื่อเทียบกับ CR250R ที่ถูกแทนที่ไปนับจากนี้

2009 CRF450R หลังจากที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจน”เข้าที่เข้าทาง” ก็ถึงเวลาสำคัญต้องทำการปฏิวัตินวัตรกรรมใหม่อีกครั้ง นั่นก็คือ การเริ่มต้นเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีระบบหัวฉีด An injection of technology คือนิยามหรือทิศทางของการพัฒนา CRF450R ครั้งใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดที่จะแทนที่ระบบคาบูเรเตอร์แบบเดิมๆ ดังนั้น CRF450R โมเดลนี้จึงมาพร้อมกับ fuel-injected engine ที่ติดตั้งชุดเรือนลิ้นเร่ง 50m.m. throttle body ที่มาพร้อมหัวฉีดแบบสิบสองรู หรือ 12 hole injector โดยสามารถทำการปรับ
จูนการจุดระเบิด หรือปรับตั้งค่าต่างๆเช่นที่เคยทำในการเซทคาร์บูเรเตอร์แบบเดิมๆด้วยการเซ็ทตั้งผ่านอุปกรณ์หรือเครื่องมือ HRC PGM-Fi setting tool นอกจากเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่แล้ว ยังได้เปลี่ยนโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ซึ่งการออกแบบ new chassis นี้ได้พัฒนาร่วมกับการพัฒนาเครื่องยนต์ โดยมีแนวคิดที่สำคัญนั่นก็คือ mass centralization หรือการคำนุงถึงเรื่องศูนย์ถ่วงน้ำหนักของรถที่ให้ความสำคัญกับคำว่า สมดุลหรือบาล้านซ์ของรถนั่นเอง นอกจากนี้ในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์ยังรวมถึงระบบกันสะเทือนใหม่ ที่เลือกใช้ Kayaba 48 m.m. Air-Oil-Separated{AOS} USD forks รวมทั้ง compact rear shock ที่พัฒนามาควบคู่กันเพื่อให้รถสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายๆจังหวะของการเคลื่อนที่นั่นเอง

2017 CRF450R นี่คือรถที่ได้รับการอัพเดทใหม่ ทุกๆชิ้นส่วนถูกนำไปวิเคราะห์เพื่อทำการ re-design ภายใต้คอนเซ็ปท์ ของรุ่นนี้คือ ABSOLUTE HOLESHOT จนกลายเป็น MXer ในระดับพรีเมียร์คลาสที่ประสบความสำเร็จมากในยุโรป ด้วย new chassis, full Showa suspension และที่สำคัญเครื่องยนต์ใหม่ new engine ที่ทำการปรับเน้นในเรื่องพละกำลังในรอบการทำงานสูงสุด อีกทั้งยังติดตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้ามาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการพัฒนาของรถรุ่นนี้ เพราะในปีถัดๆไป CRF450R ได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง อย่างในปี 2019รถรุ่นนี้ได้รับการอัพเดทในเรื่องของแรงบิด ดังนั้นHRC จังอัพเดทในส่วนของ cylinder head ควบคู่กับการติดตั้ง HRC launch control และยังมีการอัพเดทต่อเนื่องอย่างไม่หยุดนิ่งอย่างในปี 2020 ที่โฟกัสมาที่ระบบอิเล็คทรอนิคส์เพื่อจัดการการหมุนฟรีของล้อหลังหรือการจัดการการส่งผ่านกำลังที่ล้อหลังด้วย 3-level Honda Selectable Torque Control – HSCT ออกมาใช้กับ MXer ระดับเรือธงโมเดลนี้

นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งหรือไฮไลท์คร่าวๆของวิวัฒนาการตลอดระยะเวลาห้าทศวรรษจาก CR สู่ CRF  นับจากปี 1973-2023 และแน่นอนว่า ในวาระครบรอบห้าทศวรรษดังกล่าว พวกเขาจึงส่ง CRF450R ในวาระพิเศษดังกล่าวออกมาด้วย

ROYAL ENFIED สร้างปรากฏการณ์ใหม่ เปิดตัว Hunter 350 เอาใจผู้ใช้รถชาวไทยมีไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนใคร

รอยัล เอ็นฟีลด์ ผู้นำระดับโลกด้านรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (250cc – 750cc) ประกาศเริ่มจำหน่ายรถจักรยานยนต์ Hunter 350 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยหลังจากเปิดตัวระดับโลกอย่างการไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Hunter 350 ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าของแบรนด์ในประเทศไทยมาตลอด Hunter 350 ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สำคัญของรอยัล เอ็นฟีลด์ ด้วยยอดจองมากกว่า 75,000 คัน ในประเทศอินเดีย จนกลายเป็นรถรุ่นที่มียอดขายสูงที่สุดของแบรนด์ในประเทศ ปัจจุบันมีผู้เป็นเจ้าของรถจักรยายนต์แล้วมากกว่า 40,000 ราย

คุณอนุจ ดัว, หัวหน้าฝ่ายธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก, รอยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวถึง Hunter 350 ในด้านความสำเร็จหลังจากงานเปิดตัวระดับโลกอย่างการเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การเป็นที่ยอมรับในระดับโลก และการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกว่า “เป้าหมายที่รอยัล เอ็นฟีลด์ยึดถือมาอย่างต่อเนื่องคือการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางระดับโลก และเป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์ที่ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ Hunter 350 คือรถจักรยานยนต์ที่ถูกออกแบบจากความคิดเห็นของกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ทั้งในด้านดีไซน์ และประสิทธิภาพในการขี่ที่ให้ความสนุก ปราดเปรียว และคล่องตัวตามแบบฉบับ 350 โรด์สเตอร์ ผสานกับจิตวิญญาณของการขี่ที่แท้จริง อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ การออกแบบตัวถัง และโครงรถมาในรูปทรงที่กะทัดรัด และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ J-series ที่ออกแบบอย่างประณีตขั้นสุดให้แรงบิดที่เต็มมือ ทำให้การขับขี่มีความสนุก เร้าใจ ให้ประสบการณ์การขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ ในประเทศไทยเราพบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับรถจักรยายนต์ที่สามารถเป็นพาหนะคู่ใจได้ในทุก ๆ วัน และมีราคาเข้าถึงได้ ซึ่ง Hunter 350 ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ให้แก่ลูกค้าชาวไทย เรามั่นใจว่าการจำหน่าย Hunter 350 ในประเทศไทยจะช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ ๆ เข้าสู่กลุ่มผู้มีใจรักในการขี่รถจักรยานยนต์แบบรอยัล เอ็นฟีลด์มากยิ่งขึ้น”

Hunter 350 มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นที่มีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เหมือนใคร และกลุ่มผู้ใช้รถจักรยายนต์ที่กำลังมองหารถคันใหม่ โดยHunter 350 รุ่นเริ่มต้นราคา 129,900 บาท นั้นเปิดให้จองแล้วที่ Royal Enfield Store ทุกสาขาทั่วประเทศไทย ซึ่งมีคอลเลกชันเครื่องแต่งกายไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์เสริมสำหรับแต่งรถจักรยานยนต์ของแท้วางจำหน่ายอีกด้วย ทั้งนี้ Hunter 350 จะเริ่มมีวางจำหน่ายในประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า

เกี่ยวกับรอยัล เอ็นฟีลด์

รอยัล เอ็นฟีลด์ เป็นแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งยังดำเนินการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตมอเตอร์ไซค์คันแรกในปีพ.ศ. 2444 รอยัล เอ็นฟีลด์เป็นบริษัทลูกของบริษัท ไอเซอร์ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด บุกเบิกตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางในประเทศอินเดียด้วยความเป็นรถมอเตอร์ไซค์แบบโมเดิร์คลาสสิกที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น และด้วยฐานการผลิตแห่งใหม่ในเมืองเชนไน ประเทศอินเดีย รอยัล เอ็นฟีลด์สามารถขยายการผลิตได้อย่างรวดเร็วตอบสนองต่อความต้องการในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตมากกว่า 50% ทุกปี ตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา ส่งผลให้รอยัล เอ็นฟีลด์ กลายเป็นผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รายสำคัญในตลารถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางระดับโลกและกำลังดำเนินงานอย่างมุ่งมั่นในการทำตลาดกลุ่มนี้ด้วยรถมอเตอร์ไซค์ที่สร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานน่าประทับใจ

รอยัล เอนฟิลด์ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 และประกาศเริ่มดำเนินการผลิตที่โรงงานประกอบในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2564 โดยโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้ นอกเหนือจากการผลิตรถให้กับผู้บริโภคในประเทศไทยแล้ว โรงงานดังกลว่าวยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการจัดจำหน่ายรถไปที่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งทำให้รอยัล เอ็นฟิลด์ได้เปรียบในหลายด้าน รวมถึงด้านการเติบโต ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 เป็นต้นมา รอยัล เอ็นฟีลด์เติบโตอย่างมากจากส่วนแบ่งการตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางในประเทศน้อยกว่า 3% มาเป็นมากกว่า 7% ณ วันนี้ นอกจากนี้รอยัล เอ็นฟีลด์ก็มีรถจักรยายนต์คัสตอมมากกว่า 50 แบบ ในประเทศไทย และได้ทำงานร่วมกับสำนักแจ่งชื่อดังมากมาย อย่าง K-SPEED และ ZEUS ปัจจุบันรอยัล เอ็นฟีลด์อยู่อันดับ 4 ในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางในประเทศไทย (เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2565)รอยัล เอ็นฟีลด์เป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไอเชอร์ มอเตอร์ส ลิมิเต็ด ดำเนินธุรกิจโดยมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 921 ราย และ 638 สตูดิโอสโตร์ทั้งในประเทศอินเดียและเมืองใหญ่ทั่วโลก รวมถึงมีการส่งออกรถมอเตอร์ไซค์ไปยังกว่า 60 ประเทศ ทั่วโลก ด้วยการเติบโตมากกว่า 17% ทุกปี ตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา และยอดขายในตลาดต่างชาติที่สูงถึง 96% ในปีพ.ศ.2562–2563 ทำให้รอยัล เอ็นฟีลด์กลายเป็นผู้นำในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง

“อินทรีแซงค์” ผู้ไม่ยอมให้ใครแซง บู๊ระห่ำคว้าท็อป 10 สร้างประวัติศาสตร์นักแข่งไทยคนแรก

“อินทรีย์แซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต นักบิดทางฝุ่นจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” เจ้าของแชมป์ประเทศไทย 4 สมัยติดต่อกัน สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการแข่งรถโมโตครอสของไทย โดยการสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแข่งโมโตครอสไทยคนแรกที่ทำอับดับและคะแนนสูงที่สุดในการแข่งขันในรายการโมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น ด้วยการควงเดิร์ตไบค์คู่ใจ Honda CRF250R หมายเลข 62 โชว์ฟอร์มเยี่ยม ดวลศึกในรายการ โมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น D.I.D. All Japan Motocross 2022 สนามที่ 7 ในรุ่น IA2 (250 ซีซี) ซึ่งเป็นสนามปิดฤดูกาล ณ สนามสปอร์ตแลนด์ซูโก้ เมืองมิยางิ

เรซแรก “อินทรีแซงค์” เจ้าของรถแข่ง Honda CRF250R หมายเลข 62 ต้องออกสตาร์ตในกลุ่มหลัง ฝ่าฟันรถแข่งระดับท็อปจำนวนมาก ไล่ขึ้นมาถึงอันดับ 16 และผ่านครึ่งทางของการแข่งขันก็สามารถไต่อันดับขึ้นมาถึงอันดับ 13 โดยในช่วง 2 รอบสุดท้าย “อินทรีแซงค์” ยังคงสามารถเร่งแซงขึ้นมาได้อีก โดยสามารถจบการแข่งขันด้วยการคว้าอันดับที่ 10 สร้างประวัติศาสตร์นักแข่งไทยคนแรกที่สามารถจบในอันดับที่สูงที่สุดในรายการนี้ และคว้า 9 คะแนนมาครอง
เรซที่ 2 “อินทรีแซงค์” ออกสตาร์ตได้ไม่ดีนักจากแถวหลัง แต่อาศัยจังหวะค่อยๆ ขยับอันดับขึ้นมาในช่วงครึ่งทางของการแข่งขันจนมาถึงอันดับ 15 และแซงขึ้นมาได้อีกในช่วงรอบที่ 10 จนสามารถขึ้นมาถึงอันดับ 12 ได้ และจบการแข่งขันไปในอันดับนี้ คว้าคะแนนมาได้เพิ่มอีก 7 คะแนน
โดยการลงบิดในศึกระเบิดโคลนครั้งนี้ เป็นการลงแข่งสนามที่ 2 ในรายการ โมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น D.I.D. All Japan Motocross 2022 สนามที่ 7 ในรุ่น IA2 (250 ซีซี) ของเจ้าตัว ซึ่ง “อินทรีย์แซงค์” กฤษฎา จำรูญจารีต” เจ้าของรถแข่ง Honda CRF250R หมายเลข 62 ไม่ทำให้แฟนโมโตครอสชาวไทยผิดหวัง ด้วยการไล่ไต่อันดับโดยไม่เพลี่ยงพล้ำให้กับนักแข่งคนไหนแซงได้เลยตลอดการแข่งขันจบอันดับ 10 ในเรซแรก ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกที่คว้า ท็อป 10 ในรายการระดับสูงอย่างเจแปน โมโตครอส ที่เต็มไปด้วยนักแข่งระดับพระกาฬ ถึง 39 คน และคว้าอันดับ 12 ในเรซที่ 2 รวมจบในอันดับที่ 11 พร้อมเก็บมาได้ 16 คะแนน สร้างประวัติศาสตร์นักแข่งโมโตครอสไทยคนแรกที่ทำอับดับและคะแนนได้สูงที่สุดในการแข่งขันรายการโมโตครอสชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่น เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการแข่งรถโมโตครอสของไทย
สำหรับแฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทย สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนักบิดไทยในโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” และ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ แชมเปี้ยน” รวมถึงส่งกำลังใจเชียร์นักบิดฮอนด้าทุกคนได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

NEW YAMAHA WR155R Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า สีใหม่! พร้อม Accessories แต่งสุดเท่! พร้อมการรับประกัน 5 ปี!

บริษัท ไทยยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กระตุ้นตลาดพร้อมปลุกกระแส เอ็นดูโร่ ไบค์ ครั้งใหม่! พร้อมส่ง NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” ออกสู่ตลาดเมืองไทยด้วยสีใหม่ พร้อม Accessories แต่งพร้อมลุยสุดเท่! และการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม.

สำหรับ NEW YAMAHA WR155R รถสายพันธุ์ Enduro ระดับโลกอย่าง WR Series ยังคงตอบสนองความเร้าใจในการขับขี่ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ 155 ซีซี จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VVA (Variable Value Actuation) และพร้อมลุยทุกเส้นทางทั้งออนโรดและออฟโรดด้วยระบบกันสะเทือนหน้า KYB ขนาด 41 มม. และระบบกันสะเทือนหลัง Linked-Type Monocross ที่สามารถปรับค่าความแข็งได้ 5 ระดับตามน้ำหนักผู้ขับขี่ ช่วยซับแรงกระแทกได้ดีเยี่ยมทำให้สนุกในทุกเส้นทางการขับขี่ พร้อมถังน้ำมันความจุขนาด 8.1 ลิตร ให้คุณไปได้ไกลกว่าเดิม

NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” ให้ความล้ำสมัยด้วยหน้าปัด Full LCD Digital Meter ที่แสดงข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน มาพร้อมตัวเลขบอกตำแหน่งเกียร์ เพื่อรองรับการขับขี่ทั้งทางเรียบและทางลุย และมาพร้อมเบาะนั่ง Flat Seat ที่สามารถรองรับการขับขี่ทุกท่วงท่า พร้อมเฟรมที่ออกแบบเพื่อความสนุกสนานในการขับขี่ทั้งออนโรดและออฟโรด NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” มีให้เลือกเป็นเจ้าของด้วยกัน 2 เฉดสี คือ YAMAHA BLUE สีน้ำเงินที่ให้ความเร้าใจแบบเดียวกับทีมแข่งยามาฮ่าเรซซิ่งทีม และ YAMAHA BLACK สีดำดุดัน ที่ตัดกับเฟรมสีเขียวพาสเทลพร้อมโลโก้ WR สีขาว-เหลือง ซึ่งให้ความเท่สะดุดตาทุกมุมมอง
นอกจากนี้ NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” สีใหม่! ยังมาพร้อมกับ Accessories แต่งสุดเท่! ที่มีให้เลือกช้อปกันเต็มพิกัด คือ ชุดเบาะปรับระดับ, ตัวกันกระแทกแฮนด์, ชุดครอบด้านล่างอะลูมิเนียม, ชุดการ์ดแฮนด์ ซ้าย-ขวา, ชุดรองปลอกแฮนด์ และชุดปลอกครอบโช้ค ซึ่งนอกจากจะเท่อย่างมีสไตล์แล้วยังพร้อมลุยได้อย่างเต็มพิกัดในทุกเส้นทางทั้งออนโรดและออฟโรดอีกด้วย
สำหรับ NEW YAMAHA WR155R “Journey of The Brave เปิดเส้นทางใหม่ไปกับใจที่กล้า” พร้อมวางจำหน่ายในราคาแนะนำเริ่มต้น 119,000 บาท พร้อมการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กม. โดยสามารถเลือกเป็นเจ้าของได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 พร้อมติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่
Facebook : Yamaha Society Thailand
Instagram : @Yamaha Society Thailand
Youtube : Yamaha Society Thailand
Line OA : @ Yamahasociety

ได้เวลาแล้ว! MOTOR EXPO 2022 รวมรถยนต์ 35 แบรนด์ จักรยานยนต์ 17 แบรนด์

“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” พร้อมจัดแสดงรถยนต์ จักรยานยนต์ รุ่นใหม่ สินค้าเกี่ยวเนื่อง คับคั่ง 1-12 ธันวาคม 2565 คนรักรถพลาดไม่ได้ ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” เผยว่า “ปีนี้จัดงานภายใต้แนวคิด “ได้เวลา…สัมผัสอนาคต – It’s TIME…Come Touch the FUTURE” มีค่ายรถยนต์เข้าร่วมงานทั้งหมด 35 แบรนด์ จาก 10 ประเทศ รถจักรยานยนต์ 17 แบรนด์ จาก 8 ประเทศ โดยทุกค่ายพร้อมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และมอบโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะผู้ซื้อภายในงาน”
รถยนต์ 35 แบรนด์ ได้แก่ AUDI, BENTLEY, BMW, BYD, FORD, GREAT WALL MOTOR, HONDA, HYUNDAI, ISUZU, JEEP, KIA, LAMBORGHINI, LEXUS, MASERATI, MAZDA, MERCEDES-BENZ, MG, MINE, MINI, MITSUBISHI, MOKE, NETA, NISSAN, PEUGEOT, POCCO, PORSCHE, SUBARU, SUZUKI, TOYOTA, VOLT, VOLVO รวมถึงชุดแต่ง และรถยนต์จากผู้นำเข้าอิสระ ได้แก่ BMW M PERFORMANCE, CARLSSON, M’Z SPEED และ SWIFT
รถจักรยานยนต์ 17 แบรนด์ ได้แก่ ALPHA VOLANTIS, BMW MOTORRAD, DUCATI, EM, FELO, HARLEY-DAVIDSON, HONDA, HUSQVARNA, KAWASAKI, KTM, LAMBRETTA, ROYAL ENFIELD, SCOMADI, SOLAR, SUZUKI, TRIUMPH และ YAMAHA
นอกจากนี้ ยังมีรถมือสอง 6 แบรนด์ ได้แก่ BMW PREMIUM SELECTION, CARSOME, JUST CAR, MERCEDES-BENZ CERTIFIED PRE-OWNED VEHICLES, MOTORIST และ VOLVO SELEKT
ส่วนกิจกรรมคืนกำไรให้ผู้ชมทั้ง ซื้อรถ…ชิงรถ / ซื้อบัตร…ชิงรถ / ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์ / ชม MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM ชิงรางวัล มีรายละเอียดดังนี้
1. “ซื้อรถ…ชิงรถ” เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ภายในงาน มีสิทธิ์ชิงรถยนต์ NEW MG ZS EV รุ่น X มูลค่า 1,269,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
2. “ซื้อบัตร…ชิงรถ” ผู้ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงรถยนต์ VOLT CITY EV รุ่น FOR-FOUR มูลค่า 425,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
3. “ซื้อสินค้า…ชิงรถ” เมื่อซื้อสินค้าภายในงานจากร้านค้าที่ร่วมรายการรับโชค 2 ชั้น ชั้นที่ 1 รับสิทธิ์จับสลาก เพื่อลุ้นรับของรางวัลทั้งหมด 2,122 รางวัล ชั้นที่ 2 ลุ้นชิงรถยนต์ MITSUBISHI MIRAGE 1.2 ACTIVE CVT A/T มูลค่า 509,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท
4. “ซื้อมอเตอร์ไซค์…ชิงบิกไบค์” เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในงาน มีสิทธิ์ชิงรางวัล รถจักรยานยนต์ YAMAHA รุ่น MT-09 มูลค่า 439,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
5. “ชม MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM ชิงรางวัล” ผู้ชมงาน MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM ผ่านลิงค์จาก https://op.motorexpo.co.th ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 – 31 ธันวาคม 2565 มีสิทธิ์ลงทะเบียนเพื่อชิงรางวัล NEW APPLE WATCH SERIES 8 รุ่น GPS (ตัวเรือน 41 มม.) รางวัลละ 15,900 บาท จำนวน 5 รางวัล รวมมูลค่า 79,500 บาท
ส่วน “MOTOR EXPO EXCLUSIVE VISITOR” เป็นแพคเกจชมงานแบบวีไอพี เพียง 500 บาท รับสิทธิพิเศษ ที่จอดรถ VIP ณ ลานจอดรถ P1 (1 คัน/1 สิทธิ์) ฟรีค่าจอด 3 ชม. พื้นที่รับรองพิเศษ EXCLUSIVE VISITOR LOUNGE บัตรเข้าชมงาน ULTIMATE VIP 2 ใบ บริการนำชมรถโดยพนักงานขายของแบรนด์ที่ลูกค้าสนใจ และบริการพิเศษจากผู้จัดงานอีกมากมาย
นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ JOIN BOAT PLATFORM โดยงาน MOTOR EXPO 2022 ได้ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจเรือจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเรือ และการท่องเที่ยวทางน้ำ จัดแสดงเรือกว่า 20 แบรนด์ อาทิ BENETEAU, COBALT, CRANCHI, FERRETTI, IGUANA, JEANNEAU, LINDER, MALIBU, PRINCESS, RIVA, REGAL, SAXDOR เป็นต้น คาดว่าจะมียอดจองเรือในงานกว่า 50 ลำ เงินสะพัดกว่า 200 ล้านบาท
“มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39” จัดขึ้น ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565 มีการถ่ายทอดสดงานทาง ททบ. 5 วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2565 เวลา 14.35-15.35 น. ไทยรัฐ TV วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 เวลา 14.00-15.00 น. และชมรีวิวรถที่แสดงในงาน และรับสิทธิพิเศษมากมายผ่าน “MOTOR EXPO ONLINE PLATFORM” งานคู่ขนานในสื่อดิจิทอลครบวงจร ได้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.motorexpo.co.th

ไทยฮอนด้าเปิดตัว New Honda GROM เอาใจคนรักสปอร์ตมินิไบค์ กับ 2 สีสันใหม่ เร้าใจกว่าเดิม

ไทยฮอนด้าเปิดตัว New Honda GROM ตอบสนองความต้องการของวัยรุ่นสายสปอร์ต ด้วย 2 สีสันใหม่ รุ่น ABS สีเทา-ดำใหม่ โดดเด่นด้วยลวดลายพิเศษบนตัวรถ เพิ่มความเท่ สปอร์ต ดุดัน ให้ผู้ใช้งาน และรุ่น STD สีน้ำเงิน-ดำใหม่ เพิ่มสีสันให้การขับขี่ สนุกเร้าใจมากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซปต์ “Hype up your ride รออะไร…ถ้าใจมันเร้า” พร้อมวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ

New Honda GROM โดดเด่นด้วยสีสันที่โดนใจ ลงตัวกับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบมินิไบค์สายสปอร์ต ไฟหน้า Full LED Headlight ดีไซน์โฉบเฉี่ยว แผงหน้าปัดเรือนไมล์ดิจิทัลแบบ Full LCD Panel แสดงผลครบถ้วนรวมถึงตำแหน่งเกียร์ ล้อแม็กพร้อมยางหน้ากว้างแบบ Tubeless ขนาด 12 นิ้ว สไตล์บิ๊กไบค์ พร้อมเสริมความมั่นใจด้วยดิสก์เบรกหน้า-หลัง และระบบเบรก ABS with G-Sensor เทคโนโลยีจากสนามแข่งรถซูเปอร์สปอร์ตระดับท็อป

New Honda GROM ออกแบบมาเพื่อกลุ่มคนที่ชื่นชอบการขับขี่สนุกในเมืองแต่ใจรักความสปอร์ต ด้วยเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 125 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI พร้อมทั้งส่งกำลังด้วยคลัตช์มือ และชุดเกียร์ 5 สปีด ให้ประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ บิดสนุกแบบรถสปอร์ต
ไทยฮอนด้าพร้อมวางจำหน่าย New Honda GROM แล้วตั้งแต่วันนี้ ที่ศูนย์ Honda Wing Center ทั่วประเทศ
มีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น ABS สีเทา-ดำใหม่ ราคาแนะนำ 77,900 บาท และรุ่น Standard มีให้เลือกด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน-ดำใหม่ สีแดง และสีดำ ราคาแนะนำที่ 69,900 บาท
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ New Honda GROM ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊ก : www.fb.com/hondamotorcyclethailand

2022 CRF250R

ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง CRF250R โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหาก

ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเอง และเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450R

อย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ

Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.

Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.

Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.

เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive)  ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ

BRAKE ;   Rear 240mm hydraulic wave disc  โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเองและเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450Rอย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ

Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.

Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.

Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.

เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive)  ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ