2023 KTM 450SX-F : WorkbIke

นี่คือต้นแบบของรถโมโตครอสในไลน์อัพ Replica ที่ส่งขายทั่วไป คงไม่ผิดนัก เพราะผู้ผลิตอย่าง KTM ขายทุกสิ่งที่ทีมแข่งใช้ ตามที่ทราบกันดีว่าพวกเขา เน้นกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตก็เพื่อพัฒนาแล้วนำผลที่ได้นั้นมาขายสู่ผู้ใช้ทั่วไป ในภาพนี่คือ รถแข่งตัวล่าสุดของ Jeffrey Herling ที่จะใช้ใน 2023MXGP ภายใต้การบริหารดูแลทีมโดย Antonio Cairoli สำหรับพื้นฐานของตัวแข่งโรงงานคันนี้มันก็คือการนำ 450SX-F เวอร์ชั่นสแตนดาร์ตทั่วไป มาทำการปรับแต่งปรับเซท โดยเสริมอุปกรณ์ที่มีจำหน่ายบนแคตตาล็อก Power part ของโรงงานนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ทั่วไปสามารถหารถสมรรถนะแบบเดียวกันนี้ได้ตามตัวแทนจำหน่ายของพวกเขา เพราะมันจะถูกผลิตออกมาอยู่ในไลน์อัพรถ Replica นั่นเอง อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้ว รถคันนี้ที่ Jefrey ใช้นั้น ย่อมมีความแตกต่างจากตัวขายทั่วไป เพราะบางสิ่ง คือการตกแต่งเพิ่มเติมจากโรงงานโดยเฉพาะซึ่งมันก็อาจจะถูกนำไปปรับใช้กับรถตลาดในโมเดลถัดไปนั่นเอง

อย่างไรก็ตามพวกเขาพยายามสื่อว่า เครื่องยนต์ของ 2023 KTM 450 SX-F FACTORY EDITION นำเอาความดุดันของรถแข่งทีมโรงงานมาสู่ผู้ใช้ทั่วไป ด้วยการผลิตจำนวนจำกัด ทำให้มันเป็นของพิเศษเฉพาะตัวแบบเดียวกับรถแข่งที่ใช้โดยทีม Red Bull KTM Factory Racing อย่างเป็นทางการดังนั้น 2023 KTM 450 SX-F FACTORY EDITION ผสานกราฟิก Factory Racing กับส่วนประกอบรถแข่งระดับสุดยอด ไม่เพียงดูเหมาะสมเป็นอย่างดีเท่านั้น แต่มันยังทรงพลังด้วยในระดับเดียวกับที่นักแข่งอย่าง Jefrey Herling ใช้ในสังเวียนการแข่งขันนั่นเอง

ระบบกันสะเทือนทั้งหน้าและหลังนั้นสามารถทำการปรับเซทโดยที่ไม้ต้องใช้เครื่องมือในการทำงาน โดยการออกแบบ all-new shock absorber นั้นได้กำหนดให้สามารถทำการปรับได้ด้วยมือ ทั้ง adjustable dual compression control ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับค่า high and low speed setting ได้ในเวลาไม่กีวินาที เช่นเดียวกับในส่วนของช่วงหน้าอย่างฟอร์คนั้นสามารถปรับได้ง่าย เพราะการออกแบบให้ปรับอย่างง่ายดาย ด้วย single air pressure preload valve เพียงแค่การคลิกปรับตัวปรับ adjusters for compression and rebound

ขณะที่เครื่องยนต์ที่มีน้ำหนักเบาเพียง 26.8ก.ก. นั้น ได้ติดตั้งมาพร้อมชุดท่อไอเสียหรือท่อสูตรAkrapovic น้ำหนักเบา ที่ดีไซน์มาเพื่อเครื่องยนต์สี่จังหวะโดยเฉพาะ ซองสามารถช่วยให้ส่งผ่านกำลังออกมาได้มากถึง 63 แรงม้า โดยที่มีอุปกรณ์ช่วยในการออกตัว holeshort device , Launch control , Quickshifter ด้วยองค์ประกอบทั้งสามนี้ มีส่วนช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียวร์ได้เร้วขึ้น เร่งทะยานออกตัวได้อย่างนิ่งมั่นคง และมีการยึดเกาะพื้นผิวได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็สามารถปรับเลือกโปรแกรมการเซทติ้ง หรือเลือกใช้แม็พที่เซทไว้ได้สองแบบ ด้วยการกดปุ่มปรับเปลี่ยนเลือกค่า engine maps ได้ตามความเหมาะสมกับสภาพการขับขี่ เช่นเดียวกับในส่วนของการปรับตำแหน่งจัดวางเครื่องยนต์ที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งวางเครื่องยนต์บนเฟรมใหม่นั้น มีการเอียงไปด้านหลังมากกว่าเดิมประมาณสององศา และนี่เองเป็นผลให้ตำแหน่งของสเตอร์หน้าวางตำแหน่งต่ำลงจากเดิมประมาณสามมิลมิเมตรเป็นผลให้ได้รับการรวมจุดศูนย์ถ่วงน้ำหนักที่ดียิ่งขึ้นอันนำมาซึ่งสมดุลที่ช่วยให้การควบคุมรถทำได้อย่างง่ายดาย

ข้อมูลพื้นฐานของสเปครถมีดังนี้
ENGINE
• TRANSMISSION5-speed
• STARTERElectric starter
• STROKE63.4 mm
• BORE95 mm
• CLUTCHWet, DDS multi-disc clutch, Brembo hydraulics
• DISPLACEMENT449.9 cm³
• EMSKeihin EMS
• DESIGN1-cylinder, 4-stroke engine
CHASSIS
• WEIGHT (WITHOUT FUEL)103.5 kg
• TANK CAPACITY (APPROX.)7.2 l
• FRONT BRAKE DISC DIAMETER260 mm
• REAR BRAKE DISC DIAMETER220 mm
• FRONT BRAKEDisc brake
• CHAIN520, Non-sealed
• FRAME DESIGNCentral double-cradle-type 25CrMo4 steel
• FRONT SUSPENSIONWP XACT-USD, Ø 48 mm
• GROUND CLEARANCE343 mm
• REAR SUSPENSIONWP XACT Monoshock with linkage
• SEAT HEIGHT958 mm
• STEERING HEAD ANGLE63.9 °
• SUSPENSION TRAVEL (FRONT)310 mm
• SUSPENSION TRAVEL (REAR)300 mm

2023 SUZUKI V-Strom 1050ED

ในช่วงเดือนที่ผ่านมาทางยุโรปค่าย Suzuki ได้ทยอยเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาสู่ตลาด หนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจและก็มีเปิดขายในบ้านเราช่วงนี้ก็คือ V-Strom ที่กล่าวได้ว่ามันคือเรือธง สายแอดเวนเจอร์ของค่ายนี้ในปัจจุบัน ซึ่งเจ้า V-Strom นี้ได้เปิดตัวสู่ตลาดในฐานะรถรุ่นใหม่ new generation เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า sport adventure tourer ด้วยโมเดลอย่าง C-Strom 1000 ที่ใช้รหัสรุ่นว่า DL1000 โดยเปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการในปี 2002 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 90’V-twin DOHC สี่วาล์วต่อสูบ ก่อนจะมีการพัฒนาปรับปรุงขนานใหญ่แล้วเปิดตัวเป็นเจนที่สองของรถในรุ่น V-Strom1000 ที่เปิดตัวในปี 2013 (ขายปี 2014 กล่าวได้ว่ารถที่ผลิตออกมาขายในปี 2014 จึงนับเป็น Gen2)

ซึ่งรถในเจนที่สองนี้ได้เพิ่มขนาดเครื่องยนต์จากเดิม 996ซี.ซี.ไปเป็น 1037 ซีซี ก่อนที่จะอัพเกรดปรับปรุงอีกครั้งด้วยการเปิดตัวใหม่ในปี2019กับ V-Strom1050XT ที่นับเป็นเจนเนอเรชั่นที่สามหรือ Gen3 ของรถในรุ่น V-strom นอกจากการเพิ่มสมรรถนะในส่วนของเครื่องยนต์แล้ว Gen3 นี้ ยังได้ตามเทรนตลาดด้วยการเสริมติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่จำเป็นสำหรับรถจักรยานยนต์ในยุคปัจจุบันอีกด้วย กล่าวได้ว่า V-Strom เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ดีรุ่นหนึ่งในช่วงเวลานั้น และมันก็ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่าโมเดลล่าสุดอย่าง V-Strom1050 ที่ส่งออกมานี้ เป็นช่วงเวลาครบรอบ 20ปี ก็ว่าได้ โดยทางSuzuki ได้เปิดตัวสองเวอร์ชั่น คือ V-Strom1050 กับ V-Strom1050DE ซึ่งพัฒนาต่อยอดออกมาจากโมเดลก่อนหน้านี้ ด้วยการเน้นไปที่การเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับระบบอิเล็คทรอนิคส์ advance electronic control systems

สำหรับความแตกต่างของ V-Strom ทั้งสองเวอรืชั่นที่ส่งออกมานี้ จุดหลักๆก็คือ V-Strom1050DE จะใช้ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ที่มาพร้อมยางที่ใช้ดอกยางแบบ Semi-block pattern ขณะที่ V-Strom1050 นั้นจะใช้ล้อหน้าขนาด 19นิ้ว จากขนาดวงล้อหน้าที่ต่างกันนี้ มันส่งผลให้ เวอร์ชั่นDEนั้น จะมีช่วงระยะrakeกับwheelbaseที่ยาวกว่า มีประสิทธิภาพโดยตรงต่อความมั่นคงในการขับขี่บนเส้นทางที่วิบากขรุขระนั่นเองขณะเดียวกันช่วงยุบตัวของระบบกันสะเทือนในเวอร์ชั่น DE นั้นก็มีมากกว่า เช่นเดียวกับที่ในส่วนของแฮนเดิลบาร์ที่ใช้ในเวอร์ชั่น DE ก็จะมีความกว้างมากกว่าด้วยเช่นกัน กล่าวคือแฮนเดิลบาร์ที่ใช้ใน V-Strom1050Deนั้น จะกว้างกว่าอีกข้างละ 20ม.ม.อีกความแตกต่างที่สำคัญคือ ในส่วนของ Traction control systemนั้น พื้นฐานทั้งคู่จะมี 3modes+ Off มาเหมือนกัน แต่ที่เพิ่มเติม คือ ในV-Strom1050DE นั้นจะมีเพิ่ม G mode และยังเพิ่มฟังก์ชั่น การปรับเซทเพื่อยกเลิกการใช้งาน ABSหลัง( Rear ABS cancel function)ได้อีกด้วย

ขณะที่ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นทางSuzuki ยังคงใช้พื้นฐานเครื่องยนต์สี่จังหวะ 90’V-twin DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี โดยในส่วนของเครื่องยนต์ที่ใช้กับโมเดลล่าสุดนี้ ได้รับการเพิ่มเติมให้มีความรู้สึกที่สบายและควบคุมง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยการอัพเกรดและเพิ่มเติมเสริมแต่งในส่วนประกอบต่างๆเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์มีขีดความสามารถสุงสุดในด้านต่างๆมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่า การนำระบบ Bi-directional Quick Shift System ควบคู่กับการอัพเกรดระบบส่งกำลัง มีผลให้สามารถส่งผ่านกำลังเครื่องยนต์ได้นุ่มนวล ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายสะดวกรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับประสบการณณืที่ยอดเยี่ยมในแต่ละจังหวะของการขับขี่ได้อย่างสนุกสนานยิ่งขึ้น แน่นอนว่าในส่วนของระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นหนึ่งใน Advanced electric control ที่Suzuki พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ S.I.R.S.-Suzuki Intelligent Ride System ที่ซึ่งในเวอรั่นที่ใช้กับ V-Strom1050DE นั้น จะได้เพิ่มเติมในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวกับ Traction Control System ด้วยการเพิ่มโหมดการทำงานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือ G mode โดย G นั้นก็มาจากคำว่า Gravel แปลตรงตัวง่ายๆก็คือ หินกรวดทราย ประมาณนั้น นั่นหมายความว่าโหมดนี้จะช่วยให้สามารถส่งกำลังเครื่องยนต์สู่ล้อได้อย่างเหมาะสมกับการขับขี่บนถนนหรือพื้นผิวที่เป้นกรวดทรายหรือลูกรังประมาณนั้นนั่นเอง มาถึงตรงนี้คงบ่งบอกได้ชัดเจนว่า V-Strom1050DE นั้นก็คือเรือธงตัวจริงของซีรีส์ เป็นตัวท็อป ที่พัฒนาออกมาเพื่อเป้นตัวลุยสายแอ๊ดเว็นเจอร์อย่างเต็มตัวมากยิ่งขึ้น

สำหรับเครื่องยนต์ V-twin engine ของSuzuki ตัวนี้นั้น มีคุณสมบัติที่ดีพอสำหรับบุกตะลุยพื้นนุ่มที่มีร่องลึกหรือดินโคลนดินทรายได้อย่างเต็มที่ เพราะเครื่องยนต์ออกแบบมาให้มีกำลังที่ดีในช่วงรอบการทำงานต่ำ กล่าวได้ว่าทางวิศวะกรได้คำนึงถึงแรงบิดที่ดีสำหรับการใช้งานขับขี่ในช่วง รอบต่ำและรอบกลาง ขณะเดียวกันตัวเครื่องยนต์เองก็ได้รับการออกแบบให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขค่ามาตรฐานไอเสีย Euro5 อีกด้วย สรุปคือ เครื่องยนต์ V-twin ตัวนี้ พร้อมตอบสนองการขับขี่ทั้งในการเดินทางไกลสไตล์ทัวริ่ง พร้อมตอบสนองความสนุกเร้าใจในการขับขี่บนท้องถนนได้อย่างเต็มสมรรถนะ ขณะเดียวกันก็สามารถลุยบนเส้นทางทุนชรกันดารในแบบแอ๊ดเว็นเจอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากขุมพลังของเครื่องยนต์ V-twin ที่มีความจุ 1037 ซี.ซี. ให้กำลังสุงสุด 79.0kW/8500รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 100.0Nm-6000รอบต่อนาที นอกจากนี้ยังเคลมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไว้ที่ 19.2ก.ม./ลิตร หรือ 5.2ลิตร/100ก.ม. ที่พิเศษเฉพาะเวอร์ชั่น DE ก็คือในชิ้นส่วนของ drive chain นั้นได้มีการอัพเกรดมาเป้นการเฉพาะเจาจงเพื่อรองรับคุณสมบัติการขับขี่ในโหมด G หรือ Gravel ดังนั้น drive chain จึงมีขนาดของ pin หรือหมุดย้ำข้อต่อของ drive chain ที่ใหญ่กว่าปกตินั่นเอง นอกจากนี้ส่วนที่มีการปรับปรุงอัพเกรดไม่น้อยก็คือในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์ของตัวรถ

83 ผู้ผลิตอย่าง Suzuki นับได้ว่าเป็นค่ายแรกที่ตัดสินใจใช้ all-aluminium frame มาผลิตกับรถโปรดักชั่นในแบบ mass-produce หรือผลิตรถที่ใช้เฟรมอลูมิเนียมจำนวนมาก หลังพวกเขาพบว่ามันให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทีมวิศวะกรของพวกเขายืนยันว่ามันคือ the best performing frame นับจากนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทยอยใช้โครงสร้างเฟรมมิเนียมกับรถรุ่นต่างๆที่จะผลิตออกมาสู่ตลาด พวกเขาก็พัฒนาเฟรมอลู่มิเนียมในแบบที่เรียกว่า twin-spar ออกมาและ รถในรุ่น V-Strom ก็ได้รับการสืบทอดมาด้วยเช่นกัน โดยในโมเดลล่าสุดอย่าง V-Strom 1050 นั้นก็ได้ใช้เฟรมแบบ twin-spar aluminium alloy frame ที่ชิ้นส่วนเฟรมอลูมิเนียมนั้นใช้กรรมวิธีการผลิตที่ผสมผสานกันระหว่างวิธีที่เรียกว่า aluminium cartings กับ การใช้ชิ้นส่วนอลูมิเนียมที่มาประกอบเป็นส่วนที่เรียกว่า extruded aluminium sections โดยโครงสร้างหลักของเฟรมที่เป็นแบบ castings นั้น จะให้ความแข็งแรง และในส่วนของ extruded aluminium นั้น จะช่วยให้โครงสร้างโดยรวมมีความเพรียวบางมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยให้โครงสร้างเฟรมนี้มีการให้ตัวที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

แม้ว่าในโดยรวมพื้นฐานของแชสซีส์ที่ใช้กับ V-strom1050 ใหม่นี้ จะมีส่วนให้ประสิทธิภาพต่างๆดีขึ้นในฐานะรถแอดเวนเจอร์ทัวริ่ง แต่ V-Strom1050DEนั้นวิศวะกรต้องการให้ คุณสมบัติของเวอร์ชั่น DE นั้น ยอดเยี่ยมทั้งด้าน performance และ control เพื่อให้สามารถขับขี่ได้ทั้งบนสภาพทางแบบ gravelและ flat dirt trails ใน V-Strom1050DE นั้น โครงสร้างแชสซีส์นั้นจะให้ค่ามิติที่แตกต่างกว่า คือ longer wheelbase , longer rake , more ground clearance และ wider handlebar grip ทั้งหมดช่วยให้เวอร์ชั่น DE มีความมั่นคงในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น มีประสิทธิภาพในการควบคุมการขับขี่ที่ดีขึ้น เมื่อขับขี่บนพื้นผิวที่เป้นหินกรวดทรายและภาพเส้นทางที่วิบาก นอกจากนี้ด้วยสิวอาร์มที่ยาวกว่าของ เวอร์ชั่น DE ซึ่งใช้ Aluminium swingarm ที่ระบุว่าเป็น new longer version เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นธรรมดา แล้วมันสามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ในทางตรงได้มากกว่าเดิมเทียบเป้นเปอร์เซ็นต์ คือ มั่นคงขึ้นอีก 10% ซึ่งข้อมูลสเปคของ V-Strom 1050DE รวมทั้ง V-Strom105

 

2023 Ducati MonsterSP

ค่ายรถอิตาลีอย่าง Ducati ขยับปรับขบวนทัพรถในไลน์อัพกลุ่ม Nakedbike อย่าง Monster ด้วยการนำเสนอของแรง เวอร์ชั่นพิเศษนำร่องรถซีรี่ส์นี้ออกสู่ตลาด นี่คือการเติบโตหรือการขยายรากฐานของรถตระกูล Monster ไปอีกระดับขั้น ด้วยการส่ง Monster SP ที่อยู่ภายใต้การออกแบบด้วยเงื่อนไขที่เน้นสร้างความสนุกสนานเร้าในให้กับผู้ขับขี่มากกว่าที่เคย จากธรรมชาติดั้งเดิมของรถในกลุ่ม Nakedbike ทางโรงงานโบ โลญญ่า ได้ประเคนเทคโนโลยีและส่วนประกอบใหม่ๆเสริมเข้าไป เพื่อเพิ่มความเป็นสปอร์ตที่มากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่า Monster SP มาพร้อมกับ คำจำกัดความสั้นๆว่า Mad For Fun ที่มาพรอมกับฟิลลิ่งการขี่ในสไตล์สปอร์ต และภาพลักษณ์ที่มีกลิ่นอายจากรถแข่ง MotoGP ของพวกเขา โดย Monster SP จะใช้โทนสีของรถแข่งปี 2022 อย่าง Desmosedici GP พร้อมกับอุปกรณ์ส่วนประกอบที่จะมาเสริมให้มันมีความเป็นรถในแบบ supersport ชั้นนำจะต้องมีติดตั้งมาเป็นชุดมาตรฐานจากโรงงาน


ด้วยคำจำกัดความ Mad for Fun บ่งบอกได้ถึงความปรารถนาของ Ducati ในการที่จะขยายฐานของรถในตระกูล Monster ออกไปให้กว้างมากกว่านิยามความเป็นตัวตนในกลุ่มของรถ Nakedbike ด้วยการส่ง SP version เป็นหัวหอกนำร่องออกมาสู่ตลาด ด้วยการออกแบบให้มันมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ให้ความสนุกสนานยิ่งขึ้น และรหัส SP นี่เองที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ ที่สุดของตระกูล Monster หรือก็คือ Top of the range ที่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีและส่วนประกอบของอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบลงตัวมากที่สุดเท่าที่รถในตระกูลนี้พัฒนาออกมาสู่ตลาด

นับตั้งแต่ปี 2021 ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ๆ ด้วยการออกแบบปรับโฉมให้ Monster เป็นรถที่มีความกะทัดรัด มีความดุดัน มีน้ำหนักที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาจากตัวตนดั้งเดิมของรถตระกูล Monster ที่ออกมาสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1993 อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ที่เป็นรากฐานของการพัฒนารถในซีรีส์นี้ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ต แต่สามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นอีกแนวทางของการพัฒนาก็คือการผสมผสานแนวทางของการออกแบบเฟรมที่ต่อยอดมาจากรถในไลน์อัพประเภทSuperbike ของพวกเขา เพื่อตอบโจทย์สนองความต้องการให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยประโยคที่ว่า everything you need to have fun every day แปลแบบง่ายๆก็คือ ทุกสิ่งที่คุณต้องการก็คือการได้สนุกในทุกๆวันกับการขับขี่รถรุ่นนี้นั่นเอง

หัวใจของ Monster นั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ใช้อย่าง Testastretta 11 engine ที่เป็นเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำ liquid-cooled 4-valve twin ที่มีกำลังเครื่องยนต์ 111แรงม้า อย่างที่กล่าวไปแล้วโครงสร้างเฟรมนั้นต่อยอดมาจากรถในกลุ่ม Superbike ดังนั้นที่ส่วนเฟรมช่วงหน้าของ Monster จึงได้รับการปรับแต่งมาจากเฟรมของ Panigale V4 ที่มีน้ำหนักเบาและมีความกะทัดรัด
คงไม่ผิดนักที่จะระบุว่าเจ้า SP นี้ คือการแตกไลน์ใหม่ล่าสุดหรือการยกระดับมาตรฐานของรถตระกุลนี้ ที่ซึ่งจะขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ใหม่ๆ หรือเหล่า new generations of Monsteristi ต่างก็จะต้องชื่นชอบหรือหลงเสน่ห์ของเจ้า SP นี้


เป็นธรรมชาติหรือตัวตนของ Monster SP นั้น ล้วนถึงแต่งแต้มด้วยโทนสีรถแข่งจาก Ducati Lenovo Team อย่าง Desmosedici GP ที่เพิ่งเถลิงบัลลังก์แชมป์โลกในปีที่ผ่านไปมาครอง พร้อมกับการติดตั้งส่วนประกอบที่ล้วนมีผลต่อความแรงสมรรถนะการขับขี่ที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นสปอร์ตให้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ Ohlins NIX30 fork ที่มาด้วยการอะโนไดซ์สีทองเด่นสะดุดตา หรือการติดตั้งปลายท่อไอเสียซึ่งเป็นท่อสูตรสุดแรงจาก Temignoni ที่เป็นท่อไอเสียมาตรฐานจากโรงงาน หรือแม้แต่เบาะนั่งคุณภาพสูงเฉดสีแดงเด่นสะดุดตา ข๊ะเดียวกันชิ้นส่วนครอบเบาะผู้โดยสารก็ใช้โทนสีแดงพร้อมประทับตราโลโก้ MonsterSP อันเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของความเป็นเวอรืชั่นพิเศษ เช่นเดียวกับในส่วนของถังเชื้อเพลิงที่ออกแบบกราฟฟิคลวดลายและติดโลโก้Ducati ที่เป็นกราฟฟิคในสไตล์เดียวกับที่ใช้บน Panigale V4 อีกด้วย

หลายๆส่วนประกอบที่ติดตั้งมาใน Mobster SP นั้นก็เพื่อประโยคที่ว่า greater performance in sporty riding คือเสิรมสร้างพลังขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมเพื่อตอบสนองฟิลลิ่งการขี่ที่มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น แน่นอนผู้ขับขี่จะต้องสนุกสนานกับการขี่ในทุกๆวันที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมของรถในตระกูลนี้ ไม่ว่าประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในเรื่องของการเบรก ความแม่นยำในทุกจังหวะการควบคุมรถ ล้วนถูกนำมาเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนามันออกมาด้วยระบบกันสะเทือนแบบ fully adjustable Ohlins suspension ที่ปรับเซ็ทได้อย่างเต็มรูปแบบ ของผู้เชี่ยวชาญระบบกันสะเทือนชั้นนำนี้ สามารถรถน้ำหนักฟอร์คหน้าให้เบาขึ้นถึง 0.6 กก. ซึ่งเป็นน้ำหนักของฟอร์คหน้าที่เบาที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับรถในตระกูลนี้ ไม่เพียงเท่านั้นนี่คือระบบกันสะเทือนที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันดับต้นๆเท่าที่จะมีใช้ในรถโปรดักชั่นที่จำหน่ายทั่วไป ซึ่งทางโรงงานโบโลญญ่ายืนยันว่า Monster SP จะเป็นรถที่มีสมดุลในทุกจังหวะการควบคุม บนทุกๆสภาพการขับขี่ทั้งถนนเปิด ทั้งถนนที่มีรูปแบบหลากหลาย รวมทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับนำไปขับขี่บนแทร็คได้อย่างสนุกสนานและเปี่ยมประสิทธิภาพ ยังรวมถึงระบบเบรกที่ได้มีการอัพเกรดมาเป็น Brembo Stylema calipers ที่มาพร้อมกับจานดิสหน้าขนาด 320 มม. ซึ่งนอกจากมันจะให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังสามารถลดน้ำหนักชิ้นส่วนในระบบเบรกได้มากกว่าเดิมอีกเช่นกัน แม้กระทั่งรายละเอียดในส่วนของชิ้นส่วนอย่างแบตเตอรี่ ก็อัพเกรดมาเป็น lithium-ion battery ซึ่งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักโดยรวมของรถเวอร์ชั่นพิเศานี้สามารถลดลงไปถึง 2 กก. จากโมเดลก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ก็มีการติดตั้งชิ้นส่วนกันสะบัดหรือ steering damper ที่ออกแบบมาช่วยให้ตัวรถมีความมั่นคงในจังหวะการเร่งและเลี้ยวที่ทำได้นิ่งมากขึ้น พร้อมกันนี้ในส่วนของ electronic control ของรถได้อัพเกรดเพิ่มขึ้นจากโมเดลก่อนนี้ ด้วยการเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่เข้ามา คือ wet riding mode ที่พัฒนามาให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเสริมสมรรถนะที่ดีในขณะขับขี่บนพื้นผิวที่เปียกลื่น
ในส่วนของระบบอิเล้คทรอนิคส์นี้กล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ทันสมัยและมีมาตรฐานที่สูงเท่าที่จะสามารถติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ ซึ่งถือว่าอยู่ในเลเวลที่สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันที่มีจำหน่ายในตลาด ซึ่งระบบอิเล็คทรอนิคส์มาตรฐานที่ติดตั้งมาจากโรงงานในฐานะ standard equipment นั้น จะประกอบไปด้วย ABS Cornering, Ducati Traction Control และ Ducati Wheelie Control ซึ่งแต่ละระบบนั้นต่างก็สามารถปรับตั้งค่าการใช้งานที่หลากหลาย และที่พิเศษสำหรับ Monster SP ก็คือ การติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นตัวช่วยด้านความปลอดภัยและความสะดวกในจังหวะการออกตัว ก็คือ Launch Control ที่มักจะมีติดตั้งอยู่ในเฉพาะรถซีรีส์สูงๆเท่านั้น แต่ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำมาติดตั้งกับเจ้า SP นี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์พวก electronic control ที่ได้รับมา ทำให้ Monster SP ได้อัพเกรดปุ้มควบคุมบนแฮนเดิลบาร์ที่จะช่วยในการสั่งงานการปรับตั้งค่า ที่จะแสดงผลผ่านหน้าจอสีแบบ TFT ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงโหมดการขี่ต่างๆ ไม่ว่า sport , touring , wet นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งค่าต่างๆโดยจอแสดงผลนี้ได้ออกแบบกราฟฟิคการบอกข้อมูลต่างในแบบเดียวหรือใกล้เคียงกับ Panigale V4 ซึ่งเป็นรถในกลุ่มSuperbikeระดับเรือธงของ Ducati

สเปค ข้อมูลพื้นฐาน
Engine
Type : Testastretta 11°, V2 – 90°, 4 valves per cylinder, desmodromic valvetrain, liquid cooled
Displacement : 937 cc (57 cu in)
Bore x Stroke : 94 mm x 67.5 mm
Compression Ratio : 13.3:1
Power : 111 hp (82 kW) @ 9,250 rpm
Torque : 9.5 kgm (93 Nm, 69 lb ft) @ 6,500 rpm
Fuel Injection : Electronic fuel injection system, Ø 53 mm throttle bodies with Ride-by-Wire system
Exhaust : Pre-muffler and Termignoni type approved twin muffler, catalytic converter and 2 lambda probes
Gearbox : 6 speed with Ducati Quick Shift up/down

Final drive : Chain, front sprocket z15, rear sprocket z43
Clutch : Slipper and self-servo multiplate wet clutch with hydraulic control
Frame : Aluminum alloy Front Frame
Front suspension : Fully adjustable Öhlins NIX 30 Ø 43 mm usd front fork with TiN treatment on inner tube
Front Wheel : Light alloy cast, 3.5″ x 17″
Front Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 120/70 ZR17
Rear suspension : Progressive linkage, fully adjustable Öhlins monoshock, aluminium double-sided swingarm
Rear Wheel : Light alloy cast, 5.5″ x 17″
Rear Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 180/55 ZR17

Wheel Travel (Front/Rear) : 140 mm / 150 mm (5.5 in / 5.9 in)
Front Brake : 2 x Ø 320 mm semi-floating aluminum flange discs, radially mounted Brembo Stylema® monobloc 4-piston callipers, radial master cylinder, Cornering ABS
Rear Brake : Ø 245 mm disc, Brembo 2-piston floating calliper, Cornering ABS
Instrumentation : 4.3″ TFT colour display
Dry Weight : 166 kg (366 lb)
Kerb Weight : 186 kg (410 lb)
Seat Height : 840 mm (33.1 in)
Wheelbase : 1,472 mm (57.9 in)
Rake : 23°
Trail : 87 mm (3.4 in)
Fuel Tank Capacity : 14 l (3.7 US gal)

ไทยยามาฮ่าประกาศผู้ชนะการออกแบบชุดยูนิฟอร์มใหม่ชิงเงินรางวัลรวม 1 แสนบาท ในโครงการ “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST”

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ รองผู้จัดการใหญ่ด้านการขายและการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด นายวรภัทร์ สังข์น้อย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และประธานคณะกรรมการการพัฒนาการศึกษา สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ ถ่ายภาพร่วมกับผู้เข้าแข่งขันและได้รับรางวัลในการประกวดการออกแบบชุดยูนิฟอร์ม “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST” อันดับ 1 – 3 ในประเภทบุคคลทั่วไปและประเภทร้านผู้จำหน่าย โดยผลงานการออกแบบของผู้ชนะเลิศการแข่งขันจะถูกนำมาผลิตให้กับทางบุคลากรของผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่ากว่า 600 สาขาทั่วประเทศ

โดยในรุ่นบุคคลทั่วไป นายนพไพสิษฐ์ ขอจุลซ้วน สามารถคว้ารางวัลผู้ชนะเลิศไปครองพร้อมเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท ส่วนในประเภทร้านผู้จำหน่าย รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ บริษัท ซี.เค. เจริญยนต์ จำกัด จ.ขอนแก่น รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รายชื่อผู้ได้รับรางวัลในรุ่นบุคคลทั่วไป
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นายนพไพสิษฐ์ ขอจุลซ้วน รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายอภิทาน ลิ้มบริบูรณ์ รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นายพุทธนันท์ นพกวด รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
รายชื่อผู้ได้รับรางวัลในรุ่นร้านผู้จำหน่าย
รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ บริษัท ซี.เค. เจริญยนต์ จำกัด จ.ขอนแก่น รับเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ บริษัท สหไทยอินเตอร์เทรด จำกัด จ.สิงห์บุรี รับเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ บริษัท โล้วเฮงหมง มอเตอร์ จำกัด จ.กาญจนบุรี รับเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท
โดยการประกาศผลการแข่งขัน “YAMAHA UNIQUE FORM DESIGN CONTEST” ในครั้งนี้มีขึ้น ณ บูธ YAMAHA Community of PRIDE ในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา

ไทยฮอนด้าคว้า 2 รางวัลใหญ่ Exhibit Design Award และ The Best Bike Award ในงาน Bangkok Motor Show 2023

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าผู้นำวงการรถจักรยานยนต์ไทยได้รับเกียรติคว้า 2 รางวัล Exhibit Design Award รางวัลออกแบบบูธยอดเยี่ยม และ The Best Bike Award รางวัลรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยม ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2023 ไทยฮอนด้านำเสนอความมุ่งมั่นที่จะเผชิญกับทุกความท้าทาย เพื่อแบ่งปันความสุขและความน่าตื่นตาตื่นใจสู่ผู้คน เป็นที่มาของบูธภายใต้คอนเซปต์ Challenge the Horizon เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมและนวัตกรรมเฉพาะตัวของการขับขี่ พร้อมจัดแสดงนวัตกรรม EV Ecosystem และเทคโนโลยีเครื่องยนต์เรืออันทรงพลังของฮอนด้า ทำให้ได้รับรางวัล Exhibit Design Award
นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอีกรางวัลคือ The Best Bike Award สำหรับ New XL750 Transalp รถบิ๊กไบค์สไตล์แอดเวนเจอร์ล่าสุด ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ทั้งบนทางเรียบและทางวิบาก ให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินไปกับการผจญภัยในทุกพื้นที่ได้อย่างไร้กังวล พิธีมอบรางวัลในครั้งนี้ ดร.อารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เป็นตัวแทนรับมอบจาก ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานจัดงาน พร้อมด้วย นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ จัดขึ้น ณ บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ยามาฮ่าคว้ารางวัลการออกแบบและดีไซน์บูธยอดเยี่ยมต่อเนื่องปีที่ 17

ยามาฮ่าคว้ารางวัลการออกแบบและดีไซน์บูธยอดเยี่ยมต่อเนื่องปีที่ 17 และรางวัลผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44 นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร นายจิรภัทร สายเพชร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติ กและสนับสนุนการขาย บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ขึ้นรับรางวัล EXHIBIT DESIGN AWARD การออกแบบและจัดแสดงบูธยอดเยี่ยม และรางวัล INNOVATIVE TECHNOLOGY AWARD ผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยียอดเยี่ยม จาก ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานกรรมการบริหาร / ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการมอเตอร์โชว์ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44
สำหรับรางวัลการออกแบบและจัดแสดงบูธยอดเยี่ยม EXHIBIT DESIGN AWARD นั้นยามาฮ่าได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 17 ซึ่งแสดงความสวยงามของการออกแบบคอนเซ็ปต์บูธภายใต้แนวคิด YAMAHA COMMUNITY OF PRIDE และที่ขาดไม่ได้กับรางวัลผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยียอดเยี่ยม INNOVATIVE TECHNOLOGY AWARD ที่ยามาฮ่าได้นำนวัตกรรมมาจัดแสดงอย่างต่อเนื่องโดยในปีนี้ยามาฮ่าได้จัดแสดงไว้ที่โซน Zero Carbon Community ที่มีรถพลังไฮโดรเจนอย่างรถ ROV มาร่วมจัดแสดง พร้อมกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า YAMAHA E01 และ YAMAHA NEO’S รวมถึงรถจักรยาน YPJ-MT Pro เสือภูเขาที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และ Tri town สกู๊ตเตอร์ 3 ล้อที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้ามาจัดแสดงอีกด้วย
โดยการรับรางวัลในครั้งนี้มีขึ้น ณ บูธ YAMAHA COMMUNITY OF PRIDE ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44 อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ปลดล็อก! ประสบการณ์การขับขี่ในเมืองไปอีกขั้น กับ New Honda CB750 Hornet

ปลดล็อก! ประสบการณ์การขับขี่ในเมืองไปอีกขั้น กับ New Honda CB750 Hornet บิ๊กไบค์ดีไซน์เท่ เร้าใจ สมรรถนะดุดัน แรงเต็มอารมณ์สปอร์ต ในงาน Motor Show 2023
ไทยฮอนด้า จัดชุดใหญ่ต่อเนื่อง เปิดตัว New Honda CB750 Hornet บิ๊กไบค์สไตล์สปอร์ตเน็กเก็ตที่มาพร้อมดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว สมรรถนะเต็มขั้นกับเครื่องยนต์ใหม่ พร้อมเทคโนโลยีที่ครบครัน เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้วที่งาน Motor Show 2023 บูธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า M4
New Honda CB750 Hornet เท่ เร้าใจ สปอร์ตเน็กเก็ตตัวจริงที่เพิ่มดีกรีความดุดันด้วยเครื่องยนต์ใหม่ Parallel Twin 755 ซีซี 8 วาล์ว แรงเต็มอารมณ์สปอร์ต สมรรถนะดีเยี่ยม มาพร้อมแอสซิส สลิปเปอร์คลัตช์ ช่วยลดแรงกระชาก และป้องกันล้อล็อกขณะเปลี่ยนเกียร์ให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น มีน้ำหนักเบาด้วยเฟรมรุ่นใหม่ที่มีน้ำหนักเบาเป็นพิเศษ เพียง 16 กก. ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักรวม 190 กก. ให้การขับขี่โฉบเฉี่ยวและคล่องตัวอย่างเต็มขั้น
เหนือระดับยิ่งกว่า ด้วยสุดยอดการควบคุมและการเชื่อมต่อ กับระบบ Throttle by Wire (TBW) เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า ขับขี่และเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ควบคุมง่ายด้วยโหมดการขับขี่ปรับได้ 4 ระดับ Sport Standard Rain และ User มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Honda Selectable Torque Control (HSTC) ป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ นอกจากนี้ จอแสดงผลสี TFT ขนาด 5 นิ้ว อินเทอร์เฟซสวยงามและใช้งานง่าย พร้อมเชื่อมต่อระบบสั่งการด้วยเสียง Honda Smartphone Voice Control System (HSVCs) ผ่านแอปพลิเคชัน HondaSync สะดวกสบาย ไร้กังวลทุกการขับขี่ ที่มาพร้อมความเท่ ผ่านการตกแต่งไฟหน้าระดับพรีเมียมสไตล์ Sports Naked ระบบไฟ LED แบบปิดเองอัตโนมัติ เทคโนโลยีจากฮอนด้า และสัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ให้ทุกการขับขี่มั่นใจยิ่งขึ้น
CB750 Hornet ได้รับการออกแบบโดยใช้ Steel Diamond Frame ถังน้ำมันได้รับแรงบันดาลใจจากโครงร่างของปีก Hornet เบาะนั่งแบ่ง 2 ตอน แยกส่วนขับกับคนซ้อนออกจากกันอย่างอิสระ โดยเบาะผู้ขับขี่มีความสูง 795 มม. ด้วยตำแหน่งการขี่ที่ตั้งตรงอย่างเป็นธรรมชาติ และน้ำหนักรถ 190 กก. ทำให้บังคับเลี้ยวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการควบคุมที่แม่นยำ กับโช้กอัพหน้า Upside Down จาก Showa ขนาด 41 มม. ระยะยุบ 133 มม. ที่มาพร้อมโช้กอัพหลังแบบเดี่ยว ช่วงยุบ 150 มม. ช่วยลดแรงกระแทกและแรงสั่นสะเทือน ให้การทรงตัวดีเยี่ยม มั่นใจได้ไม่ว่าเส้นทางใด
CB750 Hornet มี 2 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว และ สีดำ เปิดตัววางจำหน่ายด้วยราคาแนะนำที่ 319,000 บาท
พบกับ CB750 Hornet ได้ในงาน บางกอก มอเตอร์โชว์ ที่บูธ M4 ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 2 เมษายน 66 ที่อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี
พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ทั่วประเทศ ที่ BigWing ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ : fb.com/HondaBigBikeTH

“กวาร์ตาราโร” กู้สถานการณ์คว้าท็อป 8 โมโตจีพี สนามแรก

“เอลดิอาโบล” ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร แชมป์โลกโมโตจีพี 1 สมัยจาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ โมโตจีพี ฝ่างานหินในเรซแรกของปี กอบกู้สถานการณ์กลับมาคว้าท็อป 8 ได้สำเร็จในศึก โมโตจีพี รายการ โปรตุกีส กรังด์ปรีซ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะ มัสซิโม เมเรกัลลี ผู้อำนวยการทีมชี้มุ่งหน้าสู่ อาร์เจนติน่า ด้วยแนวทางการทำงานใหม่เพื่อผลงานที่ดีขึ้น มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ โมโตจีพี ต้องเจอภารกิจการคัมแบ็กสู่แชมป์โลกที่ท้าทายอย่างมาก หลังเดินทางออกจากสนามแรกของปีที่ อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการคว้าแต้มมาครองได้จากนักบิดทั้งคู่
ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์ หมายเลข 20 ออกตัวจากกริดที่ 11 ก่อนจะรูดลงไปถึงอันดับ 15 ทว่าแชมป์โลกหนึ่งสมัยสามารถไล่แซงคู่แข่งขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 นับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ยอดเยี่ยม ส่วนทีมเมทอย่าง ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี นักบิดอิตาเลียนหมายเลข 21 จบการแข่งขันในอันดับ 14 มัสซิโม เมเรกัลลี ผู้อำนวยการทีมกล่าวว่า “เรามีเรซแรกที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ฟาบิโอ ต้องเจอการเริ่มต้นเรซที่ยากลำบากอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่เราต้องแก้ไข การรูดลงไปไกลในช่วงเริ่มเกมเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อเรซในวันนี้ เพราะความเร็วของเขาค่อนข้างดีในรอบสปรินต์ การไล่จากอันดับ 15 ขึ้นมาจบเรซในอันดับ 8 แสดงถึงศักยภาพของเรา”
“ส่วน มอร์บิเดลลี ยังไม่สามารถค้นพบการยกระดับที่เรามองหา เราจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากแพ็คเกจรถแข่งของเราให้ได้มากขึ้น ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่ อาร์เจนติน่า และจะคลี่คลายปัญหาต่างๆ เพื่อค้นหาประสิทธิภาพที่ขาดหายไป” ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร กล่าวว่า “แน่นอนครับ มันเป็นเรชที่ยากสำหรับเรา โดยเฉพาะกับผลควอลิฟายที่ออกมาไม่ดีนัก และเมื่อวาน (สปรินต์) ผมมีปัญหากับระบบควบคุมการออกตัว แต่ในวันอาทิตย์ (เรซเดย์) ผมเลือกไลน์ไม่ถูกต้องในช่วงออกสตาร์ททำให้ร่วงลงมาไกลมาก”
“แต่ความเร็วของเราก็ไม่ได้เลวร้ายนัก หากคุณดูรอบสุดท้ายของผมในเรซนี้ มันใกล้เคียงกับฟาสเทสต์แล็ปที่้ทำได้ในปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าความเร็วที่เราทำได้ตลอดทั้งสุดสัปดาห์นี้มันยอดเยี่ยมมาก หวังว่าเราจะกลับมาแข็งแกร่งมากขึ้นในสนามหน้าที่ อาร์เจนติน่า” ด้าน ฟรานโก้ มอร์บิเดลลี เปิดเผยว่า “มันเป็นการแข่งขันที่ยากมาก ในการทดสอบผมช้ากว่ากลุ่มหน้า 0.6 วินาที แต่ในเรซผมเร็วขึ้นมารอบละ 0.1 วินาที เราต้องเน้นไปในแนวทางที่เป็นบวก เรายกระดับขึ้นเล็กน้อยที่ ปอร์ติเมา และผมก็คงเส้นคงวามากขึ้น สามารถนำรถแข่งเข้าเส้นชัยได้ เก็บมา 2 คะแนน หวังว่าผลงานจะดีขึ้นที่ อาร์เจนติน่า”
ศึก โมโตจีพี 2023 สนามถัดไปจะโยกไปดวลความเร็วกันที่ เทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ เซอร์กิต ในประเทศอาร์เจนติน่า ภายใต้รายการ กรังด์ปรีซ์ ออฟ อาร์เจนติน่า ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-2 เมษายน ติดตามข่าวสารของนักบิดยามาฮ่าได้ที่ https://web.facebook.com/YamahaThailandRacingTeam

โฟลท – รัฐพงษ์ หวดคันเร่ง R6 ขับเคี่ยวคู่แข่งสุดมันส์ จบเรซ 2 รุ่น SS600 อันดับที่ 7 ศึกชิงแชมป์เอเชียสนามโฮมเรซ

“โฟลท” รัฐพงษ์ วิไลโรจน์ #56 นักบิดดีกรีแชมป์เอเชียรุ่น Super Sports 600 ซีซี สังกัด “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” ควบ YAMAHA YZF-R6 เปิดเกมรุกสุดมันส์ไล่ขับเคี่ยวกับคู่แข่งแบบหมดปลอกตลอดเกมทั้ง 12 รอบสนาม ก่อนทะยานเข้าเส้นชัยคว้าอันดับที่ 7 ในสนามโฮมเรซได้จากการแข่งขันรุ่น Super Sports 600 ซีซี เรซที่ 2 ของศึกชิงแชมป์เอเชียรายการ FIM Asia Road Racing Championship 2023 สนาม 1 ซึ่งจัดการแข่งขันขึ้น ณ สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

สำหรับการแข่งขัน FIM Asia Road Racing Championship 2023 สนาม 2 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2566 ที่สนามเซปัง ประเทศมาเลเซีย โดยแฟนมอเตอร์สปอร์ตสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทีม “ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่งทีม” เพิ่มเติมได้ที่ FB: Yamaha Thailand Racing Team

“ก้อง-สมเกียรติ” ประเดิมสวย คว้าท็อป 9 โมโตทู สนามแรก

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ประเดิมฤดูกาลใหม่ศึกจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก 2023 รุ่น โมโตทู ได้อย่างร้อนแรง ทะยานจากกริดที่ 13 ขึ้นมาคว้าอันดับท็อป 9 ในสนามแรกได้อย่างสุดมันส์ เก็บ 7 แต้มแรกมาครองได้สำเร็จ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ที่ อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกสโดยสนามต่อไปของ ศึก โมโตจีพี 2023 จะโยกไปดวลความเร็วกันที่ เทอร์มาส เดอ ริโอ ฮอนโด้ ประเทศอาร์เจนติน่า ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-2 เมษายนนี้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา “ก้อง” สมเกียรติ ได้ฝากผลงานด้วยการคว้าโพเดียมในอันดับที่ 2 มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

ร่วมลุ้นและให้กำลังใจ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา และทัพนักบิดฮอนด้า พร้อมติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/HondaRacingTeamTH

คาวาซากิ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2023

คาวาซากิเปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ที่ทุกคนรอคอย Ninja ZX4R เป็นครั้งแรกของภูมิภาคอาเซียน ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2023 คาวาซากิเผยโฉมโมเดลใหม่ล่าสุด Ninja ZX-4R รถจักรยานยนต์ซูเปอร์สปอร์ตทรงพลัง เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง โดดเด่นในคลาส 400cc เป็นครั้งแรกของภูมิภาคอาเซียน พร้อมจัดแสดงสุดยอดยนตรกรรมอีกมากมาย ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันนี้ – 2 เมษายน 2566

บริษัท คาวาซากิ มอเตอร์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด นำทัพรถจักรยานยนต์หลากหลายรุ่น เข้าร่วมประชันโฉมภายในงานมอเตอร์โชว์ 2023 ซึ่งมีดาวเด่นเป็นสุดยอดรถจักรยานยนต์ซุปเปอร์สปอร์ต โมเดลใหม่ล่าสุด Ninja ZX-4R  จอดท้าทายสายตาผู้เข้าร่วมงาน และอีกหนึ่งไฮไลท์กับรถจักรยานยนต์สปอร์ตครุยเชอร์ใหม่ Eliminator ขนาด 400cc. รวมถึง Versys 650  ปรับโฉมใหม่เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อยามขับขี่ นอกจากนี้คาวาซากิยังยกทัพยนตรกรรมอีกหลากหลายรุ่น ที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน และสะท้อนภาพลักษณ์แห่งจิตวิญญาณของนวัตกรรม ตลอดจนการพัฒนาอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในฐานะแบรนด์รถจักรยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย คาวาซากิได้ผลักดันให้เกิดการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ ไปยังผู้คนที่มีเป้าหมายในการค้นหารถจักรยานยนต์ในฝันตามแนวทางของตนเอง ผ่านกิจกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ต่างๆ อาทิ Kawasaki Riding Clinic ที่เปิดโอกาสให้ทดสอบขับขี่รถจักรยานยนต์ในฝันของคุณก่อนตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังได้รับคำแนะนำในการขับขี่จักรยานยนต์เบื้องต้นเพื่อความปลอดภัย หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการขับขี่แบบมีคลัทช์ก็จะมีเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลเป็นอย่างดีเช่นกัน ต่อด้วยกิจกรรม Kawasaki Circuit Ride กิจกรรมที่สร้างความประทับใจกับลูกค้าเป็นจำนวนมากมีทั้งการเรียนการสอนทักษะการขับขี่ในสนามแข่งขัน และการทดสอบรถจักรยานยนต์บนสนามแข่ง เป็นต้น

ระบบกันสะเทือน High-Grade Suspension SFF-BP (Separate Function Fork – Big Piston) Horizontal Back-link Rear Suspension ระบบรองรับน้ำหนักด้านหน้าถูกติดตั้งมาเป็นระบบ SFF-BP ของ SHOWA ทำให้ Ninja ZX-4R สามารถขับขี่ได้ทั้งในสนามแข่งและรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ในส่วนของโช้คอัพหลัง เป็นแบบ Horizontal Back-Link ที่ออกแบบมาจาก Ninja ZX-10R (ในรุ่น SE สามารถปรับ Preload ที่โช้คอัพหน้าได้) เรือนไมล์ TFT Colour Instrumentation with Circuit Mode หน้าจอ TFT ขนาด 4.3 นิ้ว ที่สามารถเลือกโหมดได้ (Normal, Circuit) ตัวหน้าจอจะแสดงผล ความเร็ว รอบเครื่อง ไฟบอกตำแหน่งเกียร์ ไฟเตือนเปลี่ยนเกียร์ เกจวัดระดับน้ำมันเชื้อเพลิง เกจบอกระยะทาง อุณภูมิน้ำหล่อเย็น นาฬิกา แบตเตอรี เวลาต่อรอบ เตือนการเข้ารับบริการ โหลดการขับขี่ ควิกชิพเตอร์ และอื่นๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ในการควบคุมฟังชั่นค์ต่างๆ ผ่านระบบ Smartphone Connectivity โดยหน้าจอ TFT มี Built in Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของผู้ใช้รถโดยเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น “RIDEOLOGY” ซึ่งมีฟังก์ชั่นแสดงข้อมูลรถ และตั้งค่าการขับขี่ต่างๆ ผ่านโทรศัพท์ได้เลย ทำให้ Ninja ZX-4R สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น รองรับสมรรถนะสไตล์สปอร์ตที่มีพิษสงรอบตัวยิ่งกว่ารุ่นใดๆ ในคลาส 400cc ทุกรุ่น ราคา   Ninja ZX-4R           320,000 บาท   Ninja ZX-4R SE       360,000 บาท

Eliminator

Eliminator คือรถฟรีสไตล์ครุยเซอร์ใหม่ขนาด 400 ซีซี คือเหตุผลที่คุณจะขับขี่มอเตอร์ไซค์ เพิ่มความตื่นเต้นใหม่ๆ ให้กับการเดินทางของคุณ กระโดดขึ้น แล้วสัมผัสถึงการปลดปล่อยความเครียดจากชีวิตประจำวันของคุณให้มลายหายไป โอบรับอิสรภาพที่อยู่บนท้องถนน ให้ Eliminator ทำให้จิตวิญญาณของคุณสดชื่นขึ้น ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์พื้นฐานเดียวกันกับ Ninja 400 และเฟรมโครงตาข่ายที่มีน้ำหนักเบา ตำแหน่งการขับขี่เป็นธรรมชาติซึ่งรองรับผู้ขับขี่ได้หลากหลาย ช่วยให้มั่นใจตั้งแต่วินาทีที่คุณนั่ง มีน้ำหนักที่เบา จุดศูนย์ถ่วงรวมที่ดี จะช่วยให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องแคล่วด้วยความเร็วต่ำได้ มาพร้อมกับหน้าจอ LCD หน้าจอดิติตอล ที่ออกแบบใหม่ที่ให้ความโมเดิร์นและคอมแพ็ค ซึ่งจอ LCD นี้เป็นองค์ประกอบทื่ทำให้ Eliminator คันนี้สมบูรณ์ ด้วยลักษณะและคาเรคเตอร์ที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ Eliminator เป็นคู่หูในการขับขี่ในทุกๆ วัน

ราคา   Eliminator             224,900 บาท

Versys 650

Versys 650 โฉมใหม่เป็นหนึ่งในรุ่นที่ผู้ขับขี่เข้าใจมันได้เป็นอย่างดี คู่หูการเดินทางท่องเทียวและผจญภัยขนาดกลางกับสไตล์ใหม่และเพิ่มความสะดวกสบายที่มากขึ้น มีระบบ KTRC เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ไม่ว่าจะออกสำรวจนอกเมืองหรือฝ่าฟันการจราจรในเมืองก็ตาม รวมถึง Windshield ปรับระดับได้ถึง 4 ระดับ โครงสร้างตัวถังที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ช่วยเพิ่มการป้องกันลมได้อย่างดีเยี่ยม เรือนไมล์ TFT แบบ full-colour ขนาด 4.3 นิ้วใหม่ ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพพลิเคชั่น “RIDEOLOGY” ช่วยสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Versys 650 ได้ถูกดีไซน์ใหม่โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Versys 1000 ปรับรูปลักษณ์ให้เข้ากับตระกูลที่แข็งแกร่งอย่าง Versys โดดเด่นด้วยไฟ LED ใหม่ที่ทันสมัย Cowling ทั้งหมดถูกออกแบบใหม่ให้ความปราดเปรียวและน่าดึงดูด อีกทั้งยังช่วยให้ระบายอากาศรอบตัวผู้ขับขี่ได้โดยตรงเพื่อเพิ่มความสบายให้กับผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว หรือการขับขี่เพื่อความสนุกสนาน

ราคา   Versys 650             329,500 บาท

พร้อมกันนี้ คาวาซากิยังยกทัพรถอีกหลากหลายรุ่นมาให้ชมไม่ว่าจะเป็น KLX230, KLX230S, KLX230SM, KLX230SE, KLX140F, KLX110, KX252, Ninja ZX-10RR, Ninja ZX-6R, Ninja 650, Ninja 400, Z1000, Z900, Z650, Versys 1000, KLR 650, Vulcan S, Z650RS, Z900RS มาร่วมจัดแสดง โดยผู้จองรถจักรยานยนต์คาวาซากิภายในงานจะได้รับข้อเสนอและสิทธิประโยชน์มากมาย สนใจเข้าชมรถจักรยานยนต์คาวาซากิได้ที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 (44rd Bangkok International Motor Show 2023) ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม-2 เมษายน 2566 ณ บูธรถจักรยานยนต์ Kawasaki บูธหมายเลข C02  อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพค เมืองทองธานี

 

“ไทยยามาฮ่า” จัดทัพใหญ่เขย่าเวที “มอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44”

ครบครันด้วยยนตกรรมอันทันสมัยภายใต้แนวคิด YAMAHA Community of PRIDE จัดเต็มโปรโมชัน พร้อมอวดโฉมรถต้นแบบ ตอกย้ำแนวทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จัดทัพยนตกรรมอันทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ครบครันในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ภายใต้แนวคิด YAMAHA Community of PRIDE – คอมมิวนิตี้ที่สะท้อนความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งตัวตนของลูกค้า ยามาฮ่า พร้อมโชว์ยานยนต์ต้นแบบสุดล้ำรวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอกย้ำทิศทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน มาพร้อมแคมเปญพิเศษระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน นี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 อิมแพค เมืองทองธานี
มร.ทัตสึยะ โนซากิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงแนวความคิดของบูธยามาฮ่าในปีนี้ว่า “สำหรับการออกแบบบูธและการนำเสนอของยามาฮ่าในปีนี้มีชื่อคอนเซ็ปต์ว่า “YAMAHA Community of PRIDE” ซึ่งเป็นคอมมิวนิตี้ที่สะท้อนความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งตัวตนของลูกค้ายามาฮ่า ผสมผสานนวัตกรรมที่พร้อมก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน เสริมสร้างแบรนด์ตามปรัชญา “คันโด” และ “5 Unique Styles” วิถีอันเป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า และต่อยอดทิศทางของแบรนด์คอนเซ็ปต์ในปีนี้ คือ “Restart & Revs Up” เพื่อให้ลูกค้าได้เริ่มต้นใช้ชีวิต และสร้างประสบการณ์ใหม่ที่เร้าใจให้เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์โควิดได้คลี่คลายลง ซึ่งยามาฮ่ายังคงมุ่งเน้นที่จะพัฒนานวัตกรรมอันทันสมัยและส่งต่อคุณค่าแห่งสินค้ามาให้กับลูกค้าทุกท่าน โดยเราได้นำยนตกรรมต้นแบบที่ถูกพัฒนาและพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อผลิตเป็นสินค้าในอนาคตมาโชว์ที่โซน Zero Carbon Community ตามวิสัยทัศน์ของ บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้ให้ความสำคัญ และดำเนินการเกี่ยวกับ Carbon Neutrality การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ และโซนอื่นๆ ที่ยามาฮ่านำเสนอสินค้าและบริการ ที่ส่งมอบทั้งความมั่นใจ และสร้างประสบการณ์ความตื่นเต้นเร้าใจ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าอย่างแน่นอนครับ”
มร.เคนจิ โคมัสซึ Chief General Manager of Technical Research & Development Center บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึง Zero Carbon Community Zone ว่า“ยามาฮ่ามอเตอร์ กำลังดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งการซึ่งความเป็นกลางทางก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ภายในปี 2050 ซึ่งเราเชื่อว่ามีหลากหลายวิธีการที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ ที่สำนักงานใหญ่ ยามาฮ่ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เราได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์แบบใหม่เพิ่มขึ้นหลายอย่าง ซึ่งรวมไปถึงอุปกรณ์ตรวจวัดและทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้า, อุปกรณ์จ่ายก๊าซไฮโดเจน และถังเก็บเชื้อเพลิง Carbon-Neutral โดยทั้งหมดได้ทำการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยไปเมื่อปีที่แล้วและเมื่อทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว โรงงานแห่งนี้จะมีบทบาทที่สำคัญในการดำเนินกิจการตามมาตรฐานทางด้านเทคโนโลยีสีเขียวสำหรับผลิตภัณฑ์ของยามาฮ่าที่ส่งออกไปทั่วโลก โดยในขณะนี้เราได้ทำการวิจัยเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและทำการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเกี่ยวกับในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาทิ การพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ไฮโดรเจน ในวันนี้ เมื่อความร่วมมือกันระหว่างสายการผลิตในปัจจุบัน และเทคโนโลยี Blue Core ที่มีอยู่ในรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กของยามาฮ่า ทำให้วันนี้เราจะได้เห็น Product Concept อย่างเช่น เครื่องยนต์พลังงานไฮโดรเจน และแบตเตอรี่ EV ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้รับความสนุกสนานจากผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่จาก บูธรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าภายในงานวันนี้ ขอบคุณครับ”
นายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า“สำหรับบูธรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในปีนี้ เราออกแบบและดีไซน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “YAMAHA Community of PRIDE” คอมมิวนิตี้ที่สะท้อนความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งตัวตนของลูกค้ายามาฮ่า ที่ผสมผสานนวัตกรรมที่พร้อมก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน เพื่อลูกค้ายามาฮ่า ซึ่งเราก็ได้แบ่งโซนต่างๆ ถึง 7 โซนดังนี้
1.Zero Carbon Community Zone ตามที่ มร.โคมัสซึ ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยในปีนี้ทางยามาฮ่ามอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญกับ “Carbon neutrality” หรือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ยามาฮ่ามีเจตนารมย์ในการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยในปีที่ผ่านมายามาฮ่าได้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่นำมาจัดแสดงในวันนี้ เราได้นำรถคอนเซ็ปต์ ROV หรือเรียกว่า (Recreational Off-Highway Vehicles) รถต้นแบบที่ใช้พลังไฮโดรเจนขับเคลื่อน ซึ่งเป็นความร่วมมือในการสร้างนวัตกรรมร่วมกันระหว่าง LEXUS International ถือเป็นครั้งแรกของโลก ในการนำมาจัดแสดงนอกประเทศญี่ปุ่น พร้อมทั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจน 100% ซึ่งเริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ปี 2015 นอกจากนี้ ยังมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่าง E01 และ NEO’s ที่จำหน่ายและได้รับความนิยมในยุโรป รวมถึงรถจักรยานเสือภูเขาแบบใช้แบตเตอรี่อย่าง YPJ-MT Pro และ Tri town scooter ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยี LMW มาจัดแสดงในโซนนวัตกรรมด้วย จะเห็นได้ว่า ทางยามาฮ่ามอเตอร์มีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการบรรลุเป้าหมาย carbon neutrality ให้สำเร็จและยั่งยืน
2.Commuter Community Zone สังคมของผู้ที่ชื่นชอบรถจักรยานยนต์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันที่เป็นรุ่นยอดนิยม อย่าง Grand Filano Hybrid Connected, AEROX, FAZZIO และ FINN ซึ่งเป็นรถครอบครัวรุ่นเดียวที่กล้ารับประกัน 5 ปีไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยยามาฮ่า EXCITER สีใหม่ Ride the Next Level ตอกย้ำบทบาทผู้นำรถออโตเมติกและรถครอบครัว
3.MAX SERIES Community Zone เป็นโซนของรถออโตเมติกยอดนิยมในตระกูล MAX-SERIES อย่าง TMAX Sport Scooter ที่ประสบความสำเร็จและขายดีที่สุดในยุโรป รวมถึง XMAX Connected ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในหลากหลายประเทศและโมเดลที่ประสบความสำเร็จ อย่างยิ่งในประเทศไทย โดยมียอดจำหน่ายเป็นอันดับ 1 ของโลก พร้อมด้วยรถในตระกูล MAX SERIES อย่าง NMAX Connected ขนาด 155 ซีซี ที่มาพร้อมสีใหม่ Dull Blue
4.R-SERIES Community Zone ครบครันด้วยรถในตระกูล R-SERIES นำโดยรุ่นใหญ่อย่าง YZF-R1M รถจักรยานยนต์สไตล์สปอร์ตที่ครองใจชาวสปอร์ตมาอย่างยาวนาน รวมถึง YZF-R7 ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ของ R-Series ออกแบบสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถมอเตอร์ไซค์ทรงสปอร์ตที่เน้นขับขี่ในชีวิตประจำวัน รวมถึง New R15 Connected และ R15M Connected-ABS ท๊อปคลาสรถสปอร์ต พิกัด 155 ซีซี
5.Adventure Touring & Sprot Heritage Community Zone นำโดย Tenere700 ที่พัฒนา ต่อยอดเทคโนโลยีจากสังเวียนหฤโหดดาการ์ แรลลี่ พร้อมด้วย Tracer9 GT บิ๊กไบค์สาย Adventure และ กลุ่มรถ Sport Heritage นำโดย XSR900, XSR700, XSR155 ผสมผสานดีไซน์คลาสสิกกับสมรรถนะและเทคโนโลยีของ Sport Naked ซึ่ง XSR155 มาพร้อมกับสีใหม่ล่าสุด และรุ่นพิเศษแต่งในสไตล์ Yard Built by K-Speed จำนวนจำกัดเพียง 200 คันในประเทศไทย
6.MT-SERIES Community Zone รถจักรยานยนต์ในตระกูล MT-SERIES Master of Torque ที่สร้างชื่อเสียงให้ยามาฮ่าไปทั่วโลก ในคอนเซ็ปต์ torque & agile ภายใต้แคมเปญ The Darkside of Japan นำโดย MT-09 และ MT-15 พร้อมด้วย MT-07 สีใหม่ สไตล์ Hyper Naked ที่มาพร้อมกับเรือนไมล์ TFT สีเต็มรูปแบบ ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ตอกย้ำความนิยมในทวีปยุโรปด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 160,000 คัน
7.Leisure Community Zone นำโดย YAMAHA WaveRunner รุ่น SuperJet ยานยนต์ที่จะสร้างความเร้าใจให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบกีฬาทางน้ำ รวมถึงเครื่องยนต์ติดท้ายเรือและรถกอล์ฟมาให้แฟนๆ ยามาฮ่าได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด เติมเต็มบรรยากาศให้กับบูธยามาฮ่า ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์
และที่ขาดไม่ได้ในครั้งนี้ ยามาฮ่าได้จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับรถจักรยานยนต์ขนาด 115 – 155 ซีซี รับ Gift Voucher สูงสุด 15,000 บาท และรถจักรยานยนต์ขนาด 400 – 1,000 ซีซี รับ Gift Voucher สูงสุด 40,500 พร้อมประกันภัยชั้น 1
โปรโมชันพิเศษสำหรับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าภายในงานเท่านั้น!
รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าขนาด 115 – 155 ซีซี
YAMAHA XSR155 รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท
New R15 Connected รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท
R15M Connected-ABS รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 8,000 บาท
YAMAHA MT-15 รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 15,000 บาท
YAMAHA WR155R รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท
YAMAHA FINO รับฟรี Fino Duo Set (Jacket + หมวกกันน๊อก)
พร้อม Gift Voucher รวมมูลค่า 2,000 บาท
YAMAHA FAZZIO HYBRID CONNECTED รับฟรี Gift Voucher มูลค่า 2,000 บาท
YAMAHA FINN รับฟรี! ตะกร้าหน้า กันลาย ตะแกรงหลัง และ บัตรน้ำมัน
รวมมูลค่ากว่า 1,500 บาท
โปรโมชั่นพิเศษสำหรับรถยามาฮ่าขนาด 400 – 1,000 ซีซี
Super Sport
YZF-R1M รับฟรี! ประกันภัยชั้น 1
YZF-R7 รับฟรี! Gift Voucher 26,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
MT-09SP รับฟรี! Gift Voucher 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
MT-09 รับฟรี! Gift Voucher 40,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
New MT-07 รับฟรี! Gift Voucher 40,500 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
Tracer9 GT รับฟรี! Gift Voucher 30,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
Tenere700 รับฟรี! Gift Voucher 28,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
XSR900 รับฟรี! Gift Voucher 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
XSR700 รับฟรี! Gift Voucher 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1
SR400 รับฟรี! Gift Voucher 10,000 บาท
TMAX 560 และ TMAX 560 Techmax รับฟรี! ประกันภัยชั้น 1
โปรโมชันพิเศษสำหรับผลิตภัณฑ์ YAMALUBE และ เครื่องแต่งกาย และอะไหล่ตกแต่ง
YAMAHA APPAREL รับส่วนลดสูงสุด 20%
YAMAHA ACCESSORIES รับส่วนลดสูงสุด 20%
ผลิตภัณฑ์ YAMALUBE รับส่วนลดสูงสุด 10%
พิเศษสุดเมื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งและยามาลู้ปครบ 1,000 บาท รับฟรี! ทันที กระเป๋าเป้ มูลค่า 200 บาท
พิเศษสุดเมื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งและยามาลู้ปครบ 2,000 บาท รับฟรี! ทันที กระเป๋ากันน้ำ มูลค่า 500 บาท จำกัด 1 ใบ / 1 ออเดอร์ / 1 ใบเสร็จ โปรโมชั่นนี้เฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2566 เท่านั้น
พบกับบูธ YAMAHA Community of PRIDE – คอมมิวนิตี้ที่สะท้อนความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์แห่งตัวตนของลูกค้ายามาฮ่า พร้อมชมยนตกรรมเหนือชั้นจากยามาฮ่า ภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 2 เมษายน 2566 ณ อาคาร ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และกิจกรรมพิเศษจากยามาฮ่า ผ่านช่องทางต่างๆ ของยามาฮ่าได้ดังนี้ www.yamaha-motor.co.th / FB: Yamaha Society Thailand / IG: @YamahaSocietyThailand และทาง YouTube: Yamaha Society Thailand