ไทยฮอนด้า ประกาศเปิดราคา All New 650Series รุ่น E-Clutch พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้

ไทยฮอนด้า ประกาศเปิดราคา ‘All New Honda CBR650R E-Clutch และ All New Honda CB650R E-Clutch’ พร้อมกับวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา
สำหรับราคาอย่างเป็นทางการประกอบด้วย
• All New Honda CBR650R E-Clutch ราคาแนะนำ 347,300 บาท
• All New Honda CB650R E-Clutch ราคาแนะนำที่ 332,100 บาท
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมข้อเสนอพิเศษ ผู้ที่เป็นเจ้าของ 100 คันแรกจะได้รับบลูทูธติดหมวก Cardo Freecom 2X มูลค่า 7,900 บาท และเสื้อยืด Honda E-Clutch สุดเท่
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของ All New Honda CBR650R และ All New Honda CB650R ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th/hondabigbike
เฟซบุ๊กฮอนด้าบิ๊กไบค์ : www.facebook.com/HondaBigBikeTH/

BMW F900GS

ช่วงเดือนที่ผ่านมา BMW Motorrad เดินหน้าส่งรถปี่พร้อมจำหน่ายในปี2023นี้ทยอยออกมาตามแพลนที่วางไว้ แม้จะเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแล้วก็ตาม หนึ่งในซีรี่ส์ล่าสุดที่เป็นรถในระดับพรีเมี่ยม แต่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องยต์ขนาดกลางหรือมิดเดิลเวทคลาส ซึ่งระบุมาในเอกสารประชาสัมพันธ์ว่าเป็น The new premium mid-range touring enduros แถมชี้ชัดเจนว่ามันคือตัวลุยสายทัวริ่งกึ่งเอ็นดูโร่ ซึ่งจัดส่งไลน์อัพออกมาเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าพิจารณาเพื่อหาครอบครองด้วยกันสามรุ่น คือ The new F900GS ; F900GS Adventure และตัวที่จัดวางไว้สำหรับเป็นตัวเริ่มต้นสำหรับผู้ขับขี่ระดับentry-level ridersหรือมือใหม่ที่จะหันมาลองสัมผัสประสบการสายนี้ด้วยรุ่น F800GS นั่นเอง อย่างไรก็ตามเราคงของพูดถึงรวมๆเพียงแค่ซีรีส์900 โดยเป้าหมายในการส่ง F 900 GS, F 900 GS Adventure ออกมาสู่ตลาดในคราวนี้ทาง BMW Motorrad มุ่งเน้นที่จะช่วยส่งเสริมกลุ่มผลิตภัณฑ์รถในกลุ่ม enduro สายทัวริ่ง ด้วยเครื่องยนต์สำหรับรถในพิกัดระดับกลางอย่างมีนัยสำคัญ แม้แต่ในรุ่นเล็กสุดอย่างก็ถูกเข็นพ่วงตามมาด้วยรุ่น F 800 GS ใหม่ที่ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดที่จะเป็นมอเตอร์ไซค์ในอุดมคติสำหรับผู้ขับขี่ระดับเริ่มต้น ที่เป็นตัวเลือกสำหรับมือใหม่ที่อาจจะลังเลกับพิกัด900 นั่นเอง

โดยในรุ่น BMW F 900 GS Adventure เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางผจญภัยระยะยาวและความต้องการที่จะตอบสนองผู้ขับขี่ที่มีความต้องการอย่างแรงกล้าต่อการเดินทางระยะไกลโดยเฉพาะ ทั้งสามรุ่นที่ออกมาพร้อมกันนี้ต่างได้รับการอัปเดตอย่างมี และยังมีอุปกรณ์มาตรฐานในระดับที่สูงขึ้น ในขณะที่ F900GSจะมีความโดดเด่นด้วยนวัตกรรมที่มีขีดความสามารถในการตอบสนองที่กว้างขวางมากมาย ขอบเขตการใช้งานของรถจักรยานยนต์ที่ได้รับการขยายคุณสมบัติการตอบสนองการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วยคุณภาพศักยภาพในการใช้งานบนทางออฟโรดที่ระบุว่าได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมกับน้ำหนักของตัวรถที่ลดลงอย่างมากถึง 14 กก. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้เป็นรุ่น F Series ที่มีความเป็นสปอร์ตยิ่งขึ้น แหล่งพลังขับเคลื่อนของรถอาศัยขุมพลังด้วยเครื่องยนต์อินไลน์ 2 สูบ 2cylinder in-line engine ที่มีปริมาตรความจุของเครื่องยนต์ที่กำลังพอดี ให้กำลังขับมากขึ้น รวมทั้งประสิทธิภาพการควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ที่ดี

ใน F 900 GS, F 900 GS Adventure และ F 800 GS เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดที่ส่งออกมาสู่ดีลเลอร์ในปัจจุบันนี้ ใช้พื้นฐานจากเครื่องยนต์อินไลน์ 2 สูบที่เปิดตัวในปี 2018 ที่ในเวลานั้นส่งออกมาพร้อมด้วย F 850 ​​GS ที่ช่วยเพิ่มไดนามิกในการขับขี่สามารถตอบสนงความต้องการใช้งานที่หลากหลาย สาเหตุของความยอดเยี่ยมในด้านประสิทธิภาพหลักๆก็มาจากความจุที่เพิ่มขึ้นเป็น 895 ซีซี จากพื้นฐานเดิม 853 ซีซี) พร้อมกับการตั้งค่ากำหนดองศาการจุดระบิดไว้ที่ 270/450 องศา ส่งผลให้เครื่องยนต์ตัวนี้เสียงที่แผดออกมาได้ถึงอารมณ์หรือฟิลลิ่งในการขับขี่ที่มีความเป็นพิเศษ ในส่วนของสมรรถนะเครื่องยนต์ของ F 900 GS และ F 900 GS Adventure จะให้พลังขับเคลื่อนออกมาโดยพวกเขาระบุว่าจะให้กำลัง 77 kW (105 แรงม้า) และในรุ่น F 800 GS จะให้กำลัง64 kW(87 แรงม้า) ที่เห็นได้ว่ามีการเพิ่มกำลังสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญให้กับการอัพเดทล่าสุดนี้ที่ 10 แรงม้า นอกจากนั้นเครื่องยนต์ใหม่ยังมีลักษณะเฉพาะเมื่อพิจารณาข้อมูลจากกราฟข้อมูลสเปคเครื่องยนต์จะเห็นถึงเส้นโค้งแรงบิดที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยกำลังการแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับอัตราการเร่งความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิม จากคำบอกดังกล่าวนี้สามารถชี้ชัดได้ว่าเวอร์ชั่นล่าสุดของรถทั้งสามรุ่นนี้มีการตอบสนองคันเร่งที่ดียิ่งขึ้น หรืออาจบอกได้ว่ามันจะเป็นรถที่ขี่สนุกมากขึ้นนั่นเอง

มีการติดตั้งโหมดการขับขี่ 2 โหมด ได้แก่ ABS Pro และ DTC ที่จะให้มาเป็นมาตรฐานจากโรงงาน โดยในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้โหมดการขี่ Pro จะมาพร้อมโหมดการขี่ที่เพิ่มเติมมาให้ สามารถทำการการเลือกโหมดการขี่ล่วงหน้า และในส่วนของการควบคุมหรือปรับเซทค่าแรงบิดของเครื่องยนต์หรือ engine drag torque control นั้นจะเป็นอ็อพชั่นเสริมไว้ให้เลือกติดตั้งเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามสำหรับรหัสรุ่น GS ใหม่ในซีรีส์ F จะมีโหมดการขี่สองโหมดคือ “Rain” กับ “Road” ติดตั้งมาให้เป็นมาตรฐานอยู่แล้ว

มาลองไล่ดูดีเทลเล็กๆน้อยๆที่ทางค่ายเยอรมันอัพเดทให้รถเอ็นดูโร่ทัวริ่งขนาดมิดเดิลเวทกันบ้าง อย่างในส่วนของBMW F 900 GS จะมาพร้อมถังเชื้อเพลิงพลาสติกใหม่ที่เบากว่าอย่างเห็นได้ชัดและส่วนระบบกันสะเทือนที่จะมาแบบปรับได้เต็มระบบด้วย โช้คอัพแบบกลับหัวกลับที่ปรับได้เต็มที่แบบใหม่  fully adjustable upside-down telescopic forksที่ใช้ทั้งในรุ่น F900GSและF900 GS Adventure

ขณะที่ชิ้นส่วนของโครงสร้างแชสซีส์นั้น ทั้ง F 900 GS, F 900 GS Adventure และ F 800 GS ใหม่ต่างก็ใช้เฟรมแบบบริดจ์bridge-type frame ที่ทำจากชิ้นส่วนเหล็กแผ่นเชื่อมเข้าด้วยกันโดยใช้กรรมวิธี deep-drawn sheet steel parts welded together ซึ่งรวมกับส่วนของเครื่องยนต์อินไลน์ 2 สูบที่ได้รับการออกแบบจัดวางจนนำมาเป็นองค์ประกอบรองรับร่วมกับโครงสร้างแชสซีส์อีกด้วย  ถังเชื้อเพลิงพลาสติกขนาด 14.5 ลิตรของ F 900 GS ใหม่เป็นการพัฒนาใหม่ทั้งหมดซึ่งช่วยลดน้ำหนักได้ 4.5 กก. เมื่อเทียบกับถังเหล็กของรุ่นก่อนหน้า F 900 GS จะสังเกตุได้ว่าจะมีส่วนท้ายของชิ้นส่วนที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ดูสรีระของชิ้นส่วนถังน้ำมันนี้ดูคล่องตัวยิ่งขึ้น และยังสามารถช่วยลดน้ำหนักของชิ้นส่วนถังโดยรวมได้ประมาณ 2.4 กก. นอกจากนี้น้ำหนักรวมของตัวรถยังสามารถลดเพิ่มได้อีก 1.7 กก. ด้วยผลมาจากชิ้นส่วนของท่อเก็บเสียงด้านหลังที่พัฒนามาโดย Akrapovic

สำหรับ The new F 900 GS ตามที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า เน้นคุณสมบัติการตอบสนองการขับขี่ในแบบออฟโรดมากยิ่งขึ้น ด้วยอ็อพชั่นเพิ่มเติมที่จัดอยู่ในอุปกรณ์เสริม the optional equipment ซึ่งก็คือ  Enduro Pro package ที่จะทำงานร่วมกับ fully adjustable titanium nitride-coated upside-down telescopic forks, fully adjustable central spring strut รวมถึง handlebar risers และโซ่ M Endurance ในขณะที่ส่วนของ  The Dynamic ESA (Electronic Suspension Adjustment) หรือระบบกันสะเทือนไฟฟ้านั้นจะมีให้เลือกใช้เป็นอ็อพชั่นเสริมสำหรับthe new F 900 GS Adventure และ  F 800 GS ที่ผู้ขับขี่สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อที่จะติดตั้งเพิ่มเติมได้เช่นกัน

สำหรับ BMW F 900 GS ที่เน้นฟิลลิ่งความเป็นสปอร์ตมากขึ้นเพื่อให้ได้ความสนุกสนานในการขับขี่ยิ่งขึ้นมันจึงได้รับการคำนวณตำแหน่งท่าทางการขับขี่ที่มาพร้อมหลักสรีรศาสตร์เพื่อปรับให้มีความเหมาะกับการใช้งานแบบออฟโรด เช่นเดียวกับชิ้นส่วนของที่พักเท้าเป็นแบบ Enduro และขาตั้งด้านข้างอะลูมิเนียม คันเกียร์แบบปรับได้ที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับท่าทางจัดวางตำแหน่งขับขี่

Triumph Speed 400 & Scrambler 400 X รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด

อันเป็นรุ่นน้องเล็กที่สุดของตระกูล Speed ที่อยู่ในท้องตลาดมาก่อนหน้านี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถครอบครองรถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษคันนี้ได้ง่ายขึ้นไปอีกระดับ

สำหรับรถจักรยานยนต์ไทรอัมพ์ Speed 400 ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์โมเดิร์น คลาสสิก ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของไทรอัมพ์ นั่นก็คือ Speed Twin 900 และ Speed Twin 1200 ในขณะที่ Scrambler 400 X เป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจในด้านดีไซน์มาจาก Scrambler 900 และ Scrambler 1200 โดยมีสายเลือดแบบออฟโรดที่พาย้อนหวนรำลึกถึง Scramblers รุ่นแรกจากโรงงานในปี 1950

ตัวรถ ถูกออกแบบมาสไตล์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ โดดเด่นด้วยความคล่องตัวของตัวรถ มาพร้อมกับขนาดตัวรถที่อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ง่าย เป็นมิตรกับทุกคน ไฟหน้า LED ทรงกลม มาพร้อมไฟสูง, ไฟต่ำ และไฟ DRL ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED เต็มระบบ หน้าจอเรือนไมล์แบบมัลติฟังก์ชั่น ผสมผสานระหว่างเรือนไมล์แบบเข็ม ที่ใช้วัดความเร็ว และหน้าจอดิจิตอล บอกข้อมูลการขับขี่พื้นฐานครบครัน ทั้งตำแหน่งเกียร์, มาตรวัดรอบเครื่องยนต์, ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง, นาฬิกา และจับทริป โดยเราสามารถควบคุมการทำงานของหน้าจอที่ได้ผ่านประกับแฮนด์ฝั่งซ้าย คันเร่งไฟฟ้าแบบ Ride by wire  ถังน้ำมันความจุ 13 ลิตร มาพร้อมเบาะนั่งตอนเดี่ยว ความสูงอยู่ที่ 790 มม. (Scrambler 835 มม.)

ช่วงล่าง ใช้โช้คอัพหัวกลับขนาดแกน 43 มม. ระยะยุบ 130 มม. มาพร้อมระบบเบรกดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 300 มม. ปั้มเบรก 4 พอร์ท พร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อก ระบบกันสะเทือนด้านหลังแบบสวิงอาร์ม พร้อมโช้คอัพเดี่ยวปรับพรีโหลดได้ ระยะยุบ 130 มม. ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกเดี่ยว ขนาด 230 มม. พร้อมปั้มเบรก 1 พอร์ท และระบบ ABS ป้องกันล้อล็อก ล้อ เป็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว รัดยางขนาด 150/60 R17 ชนิดไม่มียางใน Scrambler ล้อหน้า 19 นิ้ว น้ำหนัก 170 กิโลกรัม และ 179 กิโลกรัม (Scrambler)

ทั้งสองรุ่นได้รับประโยชน์จากโครงรถเฉพาะรุ่น ด้วยเฟรมใหม่ ซับเฟรมด้านหลังแบบยึดด้วยสลักเกลียว และสวิงอาร์มอะลูมิเนียมหล่อ จับคู่กับระบบกันสะเทือนที่ปรับให้เหมาะกับการใช้งาน ทำให้ทั้งสองรุ่นมีการควบคุมที่ง่าย คล่องตัว และมีไดนามิกตามแบบฉบับไทรอัมพ์อันโด่งดัง

เครื่องยนต์ Triumph Speed 400 ใช้เครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดในรหัส TR-Series ซึ่งมีจุดกำเนิดที่ต้องย้อนไปถึงการแข่งรถในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันออฟโรดรายการ Six Day Trial ขุมพลังเครื่องยนต์ 1 สูบ ขนาด 398 ซีซี DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ได้รับการผสมผสานสไตล์โมเดิร์น คลาสสิก อันเป็นเอกลักษณ์ไทรอัมพ์ ส่งมอบพละกำลังความเร้าใจ 40 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์แมนนวลคลัทช์มือ 6 สปีด ขับเคลื่อนด้วยโซ่ มาพร้อมกับ ระบบสลิปเปอร์คลัทช์ ช่วยทำให้การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลมากยิ่งขึ้นในทุกจังหวะการใช้งาน  ระบบควบคุมการยึดเกาะ Traction Control ของทั้ง 2 รุ่นสามารถสลับได้ด้วยการเลือกเปิดหรือปิดง่าย ๆ ดังนั้นผู้ขี่จึงสามารถปิดการทำงานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย

รุ่น Speed 400 มีกราฟิกบนตัวถังไทรอัมพ์ สะท้อนถึงสไตล์โรดสเตอร์สุดโดดเด่น โดยมีสีให้เลือกประกอบด้วย สี Carnival Red, สี Caspian Blue และสี Phantom Black

รุ่น Scrambler 400 X มีให้เลือก 3 โทนสี ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะฉบับไทรอัมพ์ด้วยแถบสี Scrambler คาดบนตัวถังน้ำมัน ที่มาพร้อมแถบเส้นสามเหลี่ยม โดยมีสีให้เลือก ประกอบด้วย สี Matt Khaki Green/Fusion White, สี Carnival Red/Phantom Black และ สี Phantom Black/Silver Ice

Aprilia TUAREG660

รถ Adventure ขนาดกลางที่ลงตัวจากการที่ได้ลองขี่มาแล้วบอกเลยว่านี่ล่ะรถ Adventure New Standard ในการออกแบบคันนี้ทาง Piaggio Advance Design Center ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Tuareg 600 Wind จากปี 1988 ที่มีเครื่องยนต์สูบเดียวขนาด 562 ซีซี โดยรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย มีจำหน่ายทั้งหมด 3 สีแดง Martian Red, สีทอง Acid Gold และสีน้ำเงิน Indaco Tagelmustเครื่องยนต์ Parallel Twin 659 cc 80 แรงม้า ที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 70 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ให้พละกำลัง 80 แรงม้า มาพร้อมเทคโนโลยี APRC (Aprilia Performance Ride Control) เทคโนโลยีครบจบตามสไตล์รถทัวร์ริ่งรุ่นใหญ่ พร้อมโหมดการขับขี่ 4 โหมดโหมด Urban เหมสำหรับกับการขี่ใช้งานในเมืองหรือชีวิตประจำวัน ที่มีรอบเครื่องยนต์ที่มีความนิ่มนวล

โหมด Explore เหมาะแก่การเดินทางไกล ท่องเที่ยว ทางยาวๆ แต่ปล่อยกำลังเครื่องยนต์ไม่ธรรมดา มีเพียงคันเร่งที่แตกต่าง

โหมด Off-road โหมดนี้พร้อมลุยทุกสภาพถนน ระบบอิเล็กทรอนิกส์จะอยู่ระดับที่ต่ำ ABS ล้อหลังจะปิดการทำงานแต่ใครอยากปิดทั้งหน้าและหลังก็สามารถทำได้เช่นกัน

โหมด Individual ก็เป็นโหมดที่ให้ผู้ขี่เซ็ทค่ารถได้อย่างตามใจ ตามสไตล์การขี่ของคุณเองได้เลย

ด้วยหน้าตาที่ยังมีความเป็น DNA ของ Aprilia กับเอกลักษณ์เฉพาะ ไฟหน้าสามตา โดดเด่น ดูเท่ดูล้ำไปอีกแบบ ไม่เหมือนใครแน่นอน และระบบไฟหน้าหลัง ไฟเลี้ยวยังเป็น LED ทุกจุด

ดีไซน์หน้ามาล้ำแล้วเค้าก็ยังใส่ใจเรื่อง Riding Position ด้วยเบาะตอนเดียว นั่งสบายหนานุ่มมาเลย แฮนด์บาร์แบบกว้างทำให้คุมตัวรถได้ง่าย และระยะแฮนด์กับเบาะนั้นอยู่ในตำแหน่งที่สบายกระชับไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ก็พอดีกับขาที่เราแนบไปกับตัวถังน้ำมันขนาด 18 ลิตร ที่เต็มถังสามารถไปได้ไกลถึง 450 กิโลเมตร

จอแสดงผล TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อมเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจอตามสภาพแสงแวดล้อมอัตโนมัติ ที่บอกรายละเอียดได้ครบถ้วน แบ่งฝั่งชัดเจนด้านขวาเป็นรอบบอกความเร็ว ด้านซ้ายเป็นการแสดงข้อมูลอื่นๆ โดยเลื่อนเล่นเมนูต่างๆ ได้ที่ จอยด้านซ้าย และรถคันนี้ มีโหมด การขับขี่มาให้ 4 โหมด โดยจะแบ่งเป็น

โดยที่ปุ่มโหมดก็ใช้งานง่ายโดยจอยคอนโทรลจะอยู่ที่แฮนด์ด้านขวา ตัวรถก็ยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริม PMP เพื่อสามารถแสดงระบบนำทางได้ที่หน้าจอได้รวมถึงฟังชั่นอื่นๆ ได้อีก ผ่าน Aprilia MIA และระบบความปลอดภัยในตัวรถก็ถือว่าให้มาเยอะเลยครับทั้ง Aprilia Traction Control ปรับได้ 4 ระดับ หรือจะปิดการทำงานก็ได้

Aprilia Engine Brake ระบบควบคุมความแรงเบรกจากเครื่องยนต์มีให้ปรับถึง 3 ระดับซึ่งเราสามารถเซ็ทค่าได้ในทั้งโหมด Off-road และ Individual

Aprilia Engine Map ระบบควบคุมการตอบสนองของเครื่องยนต์ อยากได้นวลก็ปรับที่ 3 อยากได้รุนแรงก็ปรับไป 1 เซ็ตค่าได้ในทั้งโหมด Off-road และ Individual เหมือนกัน

ABS ระบบเบรกที่เลือกปรับได้อีก 2 ระดับในโหมดIndividual และสามารถปิดการทำงานได้ในโหมด Off-road

และ Aprilia Cruise Control ระบบล็อคความเร็วโดยไม่ต้องบิดคันเร่ง เหมาะมากสำหรับการเดินทางไกลเจอทางตรงยาวๆอยากพักมือก็ใช้ระบบนี้ช่วยได้ซึ่งจะใช้ได้ต่อเมื่อตัวรถอยู่ในเกียร์ 3 ถึงเกียร์ 6 ครับ

ช่วงล่าง KYB ด้านหน้าโช้คหัวกลับขนาด 43 มม.  ระยะยุบ 240 มม. ด้านหลังจะเป็น Monoshock ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มและกระเดื่อง วงล้อหน้า 21 นิ้ว วงล้อหลัง 18 นิ้ว รัดด้วยยางกึ่งที่สามารถลุยได้ทุกสภาพผิวถนน ซึ่งใช้ยางแบบทูปเลสไม่มียางใน หรือจะใส่ยางในก็ได้แล้วแต่สะดวก

ความคิดเห็นหลังการทดสอบขับขี่

จตุรงค์ หมื่นทิพย์ กอล์ฟ ไรดิ้ง

ตัวรถค่อนข้างมีความสูงเล็กน้อยสำหรับตัวผม 555 กับความสูง 168 ซม. ขาเกือบลอย มีเพียงแค่ครึ่งเท้าถึงแตะพื้นพยุงตัวได้ ความสูงของเบาะนั่งอยู่ที่ 860 มม.ตัวรถเบามีน้ำหนักแค่ 204 กิโลกรัม ทำให้ไม่รู้สึกหนักใจเมื่อขึ้นไปคร่อม

เครื่องยนต์ 659 ซีซี 2 สูบเรียง 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับ RS 660 หรือ Tuono 660 แต่สำหรับ Tuareg 660 ถูกลดลงมาที่ 80 แรงม้า แต่เพิ่มแรงบิดมาให้แทนแถมยังถูกปรับองศาข้อเหวี่ยง 270 องศา นั่นทำ ให้มันเหมาะกับการใช้งานที่ทำได้หลากหลาย

ท่านั่งขี่ให้ความสบายสไตล์รถแอดเสนเจอร์ ตัววินชีลบังลมสั้นทำให้มองเห็นทัศนวิสัยเคลียชัด ขับขี่ด้วยการยืนขี่ยิ่งสะดวกเลย พักเท้าที่ถอดยางออกได้ทำให้เราให้เราวางเท้าแล้วไม่ลื่น ตำแหน่งเกียร์หรือเบรกหลัง อยู่ตำแหน่งที่ใช้งานง่าย

สมรรถนะเต็มระบบใช้รอบเครื่องยนต์เต็มที่ 11,000 รอบ ของ redline อยู่ที่ 10,000 รอบ แต่ขับขี่กันจริงๆ เพียง 4,000-6,000 รอบ ก็เพียงพอแบบชิวๆ เพราะมันมีทอร์คที่จัดจ้าน การขับขี่ครั้งนี้ นักทดสอบจะใช้งานอยู่เพียง 2 โหมด นั่นก็คือ Explore กับ Off-road เพราะเราได้ขี่ทั้งทางดำ และก็ทางดิน

โหมด Explore บนถนนทั่วไป เกียร์ต้นๆ ลากรอบได้ยาวไม่ต้องไปเค้นมาก สำหรับตัวรถขนาดพิกัดไซส์กลาง พลิกรถเลี้ยวง่ายให้ความรู้สึกเบาเมื่ออกตัวขับขี่ เบาะนุ่มนั่งสบาย เบรกจาก Brembo ทำงานได้ฉับไวไว้ใจได้ แต่สำหรับทางลื่นๆ ต้องระวังอาจมีไถล แต่ถ้าทางแห้งปกติกับบางจังหวะที่ต้องใช้เบรกแรงๆ หรือกะทันหัน ABS ทำงานได้ดี ตัวเบรกก็สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัย

ช่วงล่าง เหลือๆ เซ็ทค่าโรงงานยังไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ทางเอ็นดูโร่มันช่างสบายอะไรเช่นนี้ ซับแรงได้ดีจนน่าตกใจ ทั้งโดดเนิน ลงหลุม ทางขรุขระ หินลอย รูดแบบไม่ต้องเกรงใจ ให้การทรงตัวดีเลิสประเสิรฐเชียวหล่ะ สำหรับบนท้องถนนตอนที่ใช้ความสูง กับสรีระความยาว และสูงของตัวรถ มันแทบไม่มีอาการส่ายเลย แต่ถ้าเหวี่ยงเข้าโค้งเร็วๆ ก็จะมีบ้างเล็กน้อย ซึ่งนั่นคงไม่มีใครทำ โดยปกติน่าจะใช้ความเร็วอยู่ที่ 100 หรือ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยิ่งไม่รู้สึกเลยแน่นอน ส่วนยางนั้น รับได้หมด จะทางดินก็ไปได้แบบไม่ยากเย็น หรือ ทางดำ ก็เกาะถนนได้ดีเข้าโค้งด้วยความเร็วก็เอาอยู่

โหมด Off-Road นี่ล่ะ ทางเค้าเลย กับรถสไตล์ Adventure วิ่งเข้าป่า ทางวิบาก ช่วงล่างเดิมๆ ที่ติดมาจากโรงงาน KYB เอาเรื่อง ขี่สนุกมากซับแรงกระแทกได้โคตรดี แถมปรับได้อย่าง Full Adjust ทั้งหน้าและหลัง อีกอย่างในโหมด Off-Road ระบบ ABS ข้างหลังจะปิดการทำงานอัตโนมัติ แต่เรายังสามารถปิดด้านหน้าได้อีกด้วย รวมไปถึงระบบ Traction Control ที่สามารถเปิด/ปิดการใช้งานได้เหมือนกันที่จอยคอนโทรลด้านซ้ายมือ จะมีให้ปรับใช้ถึง 4 ระดับ ต้องบอกว่าละเอียดและปรับใช้งานง่าย ล้อหลังหมุนเกินล้อหน้าเมื่อไหร่ ก็พร้อมตัดการทำงานไม่ให้รถเสียอาการ

เอาเป็นว่าใครที่รถสไตล์แอดเวนเจอร์ขนาดกลางๆ สายลุยที่ขี่สนุกๆ เพลินๆ น้ำหนักไม่เยอะมาก  ช่วงรถ และบาลานซ์รถดี ช่วงล่างนุ่มๆ หนึบๆ พร้อมคันเร่งไฟฟ้าละเอียด ขี่ได้ทั้งในเมือง และทางไกลแถมพาไปลุยได้อีก สนใจไปสัมผัส หรือ ลองทดสอบดูก่อนก็ได้ รับรองว่าติดใจแน่นอน ส่วนราคาค่าตัว 749,900 บาท พร้อมออพชั่นการใช้งานเพียบ

“เรปโซล ฮอนด้า ไทรอัล ทีม” พร้อมป้องกันแชมป์เปิดฤดูกาล X-Trial 2024 ที่ บาร์เซโลนา ประเทศสเปน

“เรปโซล ฮอนด้า ไทรอัล ทีม” (Repsol Honda Trial Team) ทีมสุดแกร่ง ในฐานะแชมป์ฤดูกาลที่ผ่านมา พร้อมป้องกันแชมป์ในศึก Indoor World Trial Championship หรือ X-Trial ฤดูกาล 2024 โดยเริ่มต้นสนามแรกที่ PALAU SANT JORDI ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน ในวันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ นี้

สำหรับสถิติสุดแกร่งของ “เรปโซล ฮอนด้า ไทรอัล ทีม” (Repsol Honda Trial Team) ในฤดูกาล 2023 ที่ผ่านมา ยอดนักบิดไต่เขาชาวสเปน “โทนี่ โบ” และทีมเมท “กาเบียล มาเซลลี่” สร้างผลงานเหมารวบอันดับที่ 1 และที่ 2 มาครอง ทั้งนี้ “โทนี่ โบ” สามารถผงาดคว้าแชมป์ได้ถึง 6 จาก 7 เรซ พร้อมไล่ล่าแชมป์โลกไทรอัลเพิ่มเติมจากที่เก็บสะสมได้มาแล้วถึง 17 เวิลด์แชมป์เปี้ยน ขณะที่ “กาเบียล มาเซลลี่” ทำผลงานจบอันดับที่ 3 ในตารางคะแนนสะสม

ไทยฮอนด้า เปิดตัวรถเอ.ที. พร้อมกัน 4 รุ่น ในงาน ‘Honda A.T. Mega Fest 2024’

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดตัวรถจักรยานยนต์ เอ.ที. 4 รุ่นใหม่ล่าสุด ในงานมหกรรมแห่งปี ‘Honda A.T. Mega Fest 2024’ นำโดย ‘New Honda Forza350’ สีเขียวใหม่ ‘Phoenomenon Green’ ตามด้วยรถสไตล์ Premium SUV Bike อย่าง ‘New Honda ADV350’ ที่มาพร้อมระบบ RoadSync โดดเด่นด้วยล้อสีทอง รวมถึง ‘New Honda PCX160’ เฉดสีทูโทนใหม่ และ ‘New Honda Click160’ Special Edition ‘สีดำ-ทอง Magnetic Black’ ทั้งหมดเปิดตัวเป็นครั้งแรกภายในงาน พร้อมโปรโมชันพิเศษให้สาวกฮอนด้าได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ ณ ศูนย์การค้า Bravo BKK

New Honda Forza350 มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Ride The Exceptional หนึ่งเดียวเหนือทุกปรากฏการณ์’ นำเสนอความสปอร์ตหรูเร้าใจด้วยสีเขียวใหม่ ‘Phoenomenon Green’ ที่ให้ความโดดเด่นมีมิติ ลงตัวกับไฟหน้าแบบ Dual LED Headlight มาพร้อม Day Time Running Light และไฟท้ายดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมลงตัวกับเส้นสายรอบคัน ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำกับระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบตรวจจับและ ควบคุมล้อหน้า-หลังให้สัมพันธ์กัน ป้องกันรถเสียการทรงตัว เพิ่มความสะดวก ปลอดภัย ให้ทุกการขับขี่ พร้อมขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์อัจฉริยะ eSP+ 4 วาล์ว ขนาด 330 ซีซี โดย New Honda Forza350 สีเขียวใหม่ ‘Phoenomenon Green’ รุ่น Standard มีวางจำหน่าย พร้อมกับอีก 4 เฉดสี ได้แก่ ‘สีเทา-ดำ Stromy Grey’ ‘สีดำ Eclipse Black’ ‘สีแดง-ดำ Solar Red’ และ ‘สีน้ำเงิน-ดำ Energic Blue’ ราคาแนะนำที่ 179,000 บาท และ รุ่น Roadsync วางจำหน่ายทั้งหมด 2 สี ได้แก่ ‘สีเทา-ดำ Stromy Grey’ และ ‘สีดำ Eclipse Black’ ราคาแนะนำที่ 181,000 บาท

New Honda ADV350 RoadSync มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Explore Your Extraordinary ออกไป
ท้าทาย ให้มากกว่าที่เคย’ มาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ Honda RoadSync ระบบสั่งการด้วยเสียงบนสมาร์ทโฟน เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่มากยิ่งขึ้นผ่านสวิตช์แฮนด์ด้านซ้าย โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน โดดเด่นมากขึ้นด้วยชุด Emblem สีทอง และล้อแม็กสีทอง วัสดุอะลูมิเนียม X-Shaped แบบ 6 ก้าน น้ำหนักเบาช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถไปได้ทั้งทางเรียบและทางลุยอย่างมั่นใจ แรงด้วยเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 330 ซีซี 4 วาล์ว ส่งกำลังการขับขี่ที่ต่อเนื่องในทุกสภาพถนน อัตราเร่งติดมือไม่ว่าจะเป็นการออกตัวหรือเร่งแซง รวมถึงระบบป้องกันรถเสียการทรงตัว HSTC (Honda Selectable Torque Control) มอบความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้นด้วยระบบเบรก ABS หน้า-หลัง โดย New Honda ADV350 รุ่น RoadSync มีวางจำหน่าย 3 เฉดสี ได้แก่ ‘สีเทา-ดำ Misty Grey’ ‘สีดำ Nightfall Black’ และ ‘สีแดง-ดำ Red Twilight’ ราคาแนะนำที่ 188,900 บาท
New Honda PCX160 มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Pride That Never Follows ภูมิใจ กับชีวิตไม่ตามใคร’ อัปลุคสปอร์ตพรีเมียมด้วยสีทูโทนใหม่ มาพร้อมกับระบบ ABS หน้า ดิสก์เบรกหน้า-หลัง เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ แรงด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ eSP+ 4 วาลว์ ขนาด 157 ซีซี ผสานกับเทคโนโลยีที่เหนือชั้น เพื่อความสะดวกสบายที่เหนือระดับ และโดดเด่นทุกมิติ New Honda PCX160 พร้อมวางจำหน่าย 5 เฉดสีใหม่ ได้แก่ ‘สีดำ Matt Gun Powder’ ‘สีแดง-ดำ Candy Rosy Red’ ‘สีเทา-ดำ Pearl Smoky Grey’ ‘สีขาว-ดำ Pearl Metalloid White’ และ ‘สีน้ำเงิน-ดำ Caribbean Blue’ ราคาแนะนำ 93,900 บาท
พร้อมกันนี้ ไทยฮอนด้ายังได้เปิดตัว New Honda Click160 Special Edition ‘สีดำ-ทอง Magnetic Black’ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘ผู้นำบนเส้นทางจ่าฝูง’ ดีไซน์โฉบเฉี่ยว โดดเด่นด้วยเส้นสายลายกราฟิกสีทองที่ลงตัวกับสีรถ พร้อม Emblem รมดำ
New Honda Click160 รุ่น Special Edition ‘สีดำ-ทอง Magnetic Black’ ราคาแนะนำที่ 70,400
วางจำหน่ายพร้อมกับรุ่น Standard 3 สีใหม่ ได้แก่ ‘สีเทา-ดำ Pearl Smoky Grey’ ‘สีดำ Shiny Jet Black’ และ ‘สีแดง-ดำ Rustic Red’ ราคาแนะนำที่ 69,900 บาท
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของรถจักรยานยนต์ทั้ง 4 รุ่น ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : fb.com/hondamotorcyclethailand

ไทยฮอนด้า คว้ารางวัลธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2566 ติดต่อกัน 6 ปี ซ้อน

บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าและเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย เข้ารับรางวัลธงขาวดาวเขียว (Green Star Award) และรางวัลระดับดาวทอง (Gold Star Award) ในพิธีรับมอบธงธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อมประจำปี 2566 จัดขึ้นโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งทางไทยฮอนด้าได้รับรางวัลธงขาวดาวเขียวติดต่อกันมาถึง 6 ปี สะท้อนถึงการรักษามาตรฐานและความโปร่งใสของโรงงานได้เป็นอย่างดี

โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม (ธงขาวดาวเขียว) เป็นโครงการที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและกำกับดูแลโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยมีคณะกรรมการตรวจประเมินโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งเจ้าหน้าที่ กนอ. ตัวแทนชุมชนและหน่วยงานราชการท้องถิ่น ทางไทยฮอนด้าได้รักษามาตรฐานโรงงานโดยยึดหลัก

ธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมมาใช้ในการดำเนินงาน ผ่านเกณฑ์การตรวจประเมิน 5 มิติ ประกอบด้วย มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม และมิติการบริหารจัดการ โดยอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม สร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นจากทุกภาคส่วนในการบริหารจัดการโรงงาน

“ไทยยามาฮ่ามอเตอร์” ฉลองครบรอบ 60 ปี จัดงานแถลงนโยบายปี 67 ส่งรถ 5 รุ่นลุยตลาดรถจักรยานยนต์ไทย ชิงส่วนแบ่งการตลาดที่ 16.4%

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ให้การต้อนรับ และถ่ายภาพร่วมกับ มร.โยชิฮิโร ฮิดากะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ในงาน Yamaha Company Policy Announcement 2024 แถลงนโยบายการตลาดประจำปี 2567 โดยในปีนี้ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ฉลองความสำเร็จครบรอบ 60 ปี ธุรกิจรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย

 

พร้อมประกาศความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมาด้วยการชิงส่วนแบ่งการตลาดรวมที่ 14.4% ครองใจชาวไทยด้วยรถออโตเมติกยอดนิยม YAMAHA GRAND FILANO HYBRID ที่มียอดจำหน่ายมากกว่า 1 แสนคันในปี 2566 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จะทำการสื่อสารแคมเปญครบรอบ 60 ปี ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ผ่านแนวคิด “ดีใจ…ที่ได้เจอ” เพื่อเป็นการขอบคุณความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทย และจัดเต็มกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี ให้กับลูกค้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่า

สำหรับงาน Yamaha Company Policy Announcement 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ TRUE ICON HALL ชั้น 7 ศูนย์การค้า ICONSIAM เมื่อเร็วๆ นี้

All New Honda CBR650R

All New Honda CBR650R New Honda CBR650R 2024 โมเดลใหม่ที่ ไทยฮอนด้า ได้ทำการเปิดตัว เพราะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ปรับโฉม เพิ่มระบบ HSTC & Roadsync

สำหรับ Honda CBR650R 2024 มีการพัฒนาในเรื่องของชุดแฟริ่งใหม่รอบคัน เพิ่มออพชั่นที่โดดเด่นเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ด้วยการใส่ Winglet ไว้ในชุดแฟริ่ง เสริมแรงกดให้รถนิ่งขึ้นในความเร็วสูง และแหวกอากาศได้ดีขึ้นทั้งทางตรง และในโค้ง

อีกทั้งยังมีการอัปเกรดชุดไฟหน้า  ไฟท้าย แบบ Full LED ที่มาในทรงสปอร์ตเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น และยกระดับความพรีเมี่ยมขึ้นไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ TFT ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลแบบ Full Digital จอสี ที่มาพร้อมกับระบบ Honda Raodsync เป็นครั้งแรก โดยมีปุ่มสวิตช์ควบคุมหน้าจอเพิ่มขึ้นมาที่ประกับแฮนด์ข้างซ้าย อีกทั้งยังรองรับกับการสั่งงานด้วยเสียง HSVCs (Honda Smartphone Voice Control system) ซึ่งสามารถอ่าน ตอบข้อความ ฟังเพลง ระบบนำทาง Turn by Turn ที่หน้าจอ และคุยโทรศัพท์ได้ขณะขับขี่ผ่านระบบ Bluetooth ที่เชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับตัวรถ

ติดตั้งระบบ HSTC (Honda Selectable Torque Control) ที่มีการติดตั้งชุดเซ็นเซอร์ที่ล้อหน้า ล้อหลัง เผื่อตรวจจับว่าการหมุนของล้อทั้ง 2 สัมพันธ์กันไหม ถ้ามีล้อใดล้อหนึ่งหมุนเร็วกว่า หรือเกิดการสไลด์ กล่อง ECU จะสั่งการตัดกำลังเครื่องยนต์ทันที เพื่อป้องกันการลื่นไถล ซึ่งสามารถเลือกที่จะเปิดหรือปิดระบบนี้ก็ได้ในการใช้งาน

ในเรื่องของขุมพลังเครื่องยนต์นั้น ถึงแม้จะใช้เครื่องยนต์บล็อคเดิม แต่มีการปรับจูนใหม่ โดยรุ่น CBR650R 2024 มีการปรับองศาแคมชาร์ฟฝั่งไอดีใหม่ และปรับจูนกล่อง ECU คล้ายกับเอาไป Remap มาใหม่ เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่มีความสมูท อัตราเร่งตอบสนองได้ดี ไม่กระโฉกโฮกฮากจนเกินไป ทำให้ขี่แล้วไม่เหนื่อย

ช่วงล่างสแตนดาร์ดความหนึบพอใช้ได้ ข้างหน้า Up Sidedown แกน 41 มม. ปรับเซ็ทค่าสปริง และความหนืดใหม่ ส่วนโช้คอัพหหลังเดี่ยว สามารถเปรับตั้งค่าสปริงได้อีก 10 ระดับตามน้ำหนัก และ สไตล์ของผู้ขับขี่ ซึ่งการเข้าโค้งในสนามที่ใช้ความเร็ว อาจรู้สึกถึงอาการส่ายๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าใช้งานขับขี่บนถนนด้วยความเร็วปกติน่าจะลงตัว แต่ถ้ามีทักษะที่ดี ก็ปรับเพิ่มความแข็งขึ้นอีกนิดหน่อย รับรอง…มันส์

บอดี้ดีไซน์ใหม่กับเมนเฟรมแบบไดมอนเพรียวกว่าเดิม แหวกอากาศได้ดี น้ำหนักตัวรถไม่เยอะจะเวอร์ ไฟหน้าโฉบเฉี่ยว และที่ลงตัวที่สุดกับบั้นท้ายที่ออกแบบมาให้เป็นสปอร์ตเต็มขั้นสักที ถึงแม้ว่าเบาะยังจะเป็นสองชิ้นต่อกันเหมือนซิงเกิ้ลซีท แฮนด์จับใต้แผงคอซึ่งเป็นองศาเดิมจาก เจเนอเรชั่นที่แล้วอาจจะไม่ได้ก้มหมอบจนเมื่อย แต่ก็สามารถงอแขนโอบถังได้ไมยาก การควบคุมสามารถเอียงลงไปได้เยอะ พลิกเลี้ยวง่าย นั่นอาจจะเป็นเพราะการได้ยางไซส์ใหญ่มาด้วย ใช้เวลาปรับตัวไม่นานก็คุ้น

การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของดีไซน์ ออพชั่น เทคโนโลยี และสมรรถนะการขับขี่ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับสายสปอร์ต

All New Honda CBR500R Ignite The Race

All New Honda CBR500R มาพร้อมกับคอนเซปต์ Ignite The Race ปรับโฉมใหม่ทั้งคัน ยกระดับความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้า ไฟท้าย และชุดแฟริ่งใหม่ ให้ความสปอร์ตยิ่งกว่าเดิม

ยกระดับดีไซน์ไปอีกขั้น และติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ TFT Screen ขนาด 5 นิ้ว ทำงานร่วมกับระบบ HSVCs (Honda Smart Voice Control System) สั่งการด้วยเสียง ผ่านแอปพลิเคชัน Honda RoadSync ยกระดับความมั่นใจด้วยระบบป้องกันรถเสียการทรงตัว HSTC (Honda Selectable Torque Control)

ภายใต้คอนเซปต์ “IGNITE THE RACE” ผสานการออกแบบด้วยดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวในทุกเส้นทางการขับขี่ตามแบบฉบับของ CBR Series เต็มประสิทธิภาพด้วยเครื่องยนต์ขนาด 471 ซีซี แบบ Parallel Twin DOHC 2 สูบ 4 จังหวะ ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ เกียร์แบบธรรมดา 6 สปีด ระบบคลัทซ์เป็นมัลติแบบเปียก ทำงานร่วมกับระบบแอสซิสสลิปเปอร์คลัทซ์ เพิ่มความนุ่มนวลขณะเปลี่ยนเกียร์ อัตราส่วนกำลังอัดอยู่ที่ 10.7:1 ให้พละกำลังสูงสุดที่ 47 แรงม้า (35 กิโลวัตต์ ที่ 8,600 รอบ/นาที) แรงบิดสูดสุดที่ 43 นิวตันเมตร (ที่ 6,500 รอบ/นาที) มีขนาดกระบอกสูบและช่วงชัก อยู่ที่ 67.0 x 66.8 มิลลิเมตร ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 28.6 กิโลเมตรต่อลิตร

ตัวรถมีขนาดอยู่ที่ (กว้าง x ยาว x สูง) 765 x 2,081 x 1,145 มิลลิเมตร ระยะห่างระหว่างล้ออยู่ที่ 1,409 มิลลิเมตร ความสูงจะพื้นถึงเบาะ 789 มิลลิเมตร วงล้อเป็นแบบแม็กซ์อะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ขนาดล้อหน้า 17 x 3.50 นิ้ว ขนาดล้อหลัง 17 x 4.50 นิ้ว มีขนาดยางในด้านหน้าที่ 120/70ZR17M/C และขนาดยางหลังที่ 160/60ZR17M/C ตัวถังน้ำมันสามารถจุได้สูงสุด 15.4 ลิตร มีน้ำหนักโดยรวม 191 กิโลกรัม

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นโช้คอัพหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาด 41 มิลลิเมตร ระบบกันสะเทือนด้านหลังโช้คอัพแบบ Pro-Link สามารถปรับตั้งค่าพรีโหลดได้ 5 ระดับ ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ขณะที่ระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร คาลิเปอร์แบบ Radial Mount 2 ลูกสูบ ระบบเบรกด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว พร้อมทั้งทำงานร่วมกับระบบ ABS เสริมความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นโช้คอัพหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาด 41 มิลลิเมตร ระบบกันสะเทือนด้านหลังโช้คอัพแบบ Pro-Link สามารถปรับตั้งค่าพรีโหลดได้ 5 ระดับ ทำงานร่วมกับสวิงอาร์ม ขณะที่ระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร คาลิเปอร์แบบ Radial Mount 2 ลูกสูบ ระบบเบรกด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตร คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว พร้อมทั้งทำงานร่วมกับระบบ ABS เสริมความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

NEW XMAX Tech MAX ความเร้าใจพิเศษ…สุดแม็กซ์ Follow The MAX

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ยกระดับความเหนือชั้น! พร้อมตอกย้ำความเป็นรถจักรยานยนต์ออโตเมติกยอดนิยมที่ครองใจคนทั่วโลกตามเอกลักษณ์แห่งตระกูล MAX Series ด้วยการเปิดตัว “NEW XMAX Tech MAX” ความเร้าใจพิเศษ…สุดแม็กซ์ Follow The MAX ยกระดับการขับขี่ด้วยสมรรถนะเหนือชั้น สัมผัสพิเศษแห่งความหรูหรา บ่งบอกตัวตนที่แตกต่างด้วยเอกลักษณ์ความพิเศษสุดแม็กซ์ และคุ้มค่าด้วยการรับประกันนาน ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

ที่สุดคือ MAX ที่เหลือก็แค่ใจ…ใหม่! ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ เทคแม็กซ์ เพิ่มความเร้าใจให้สมบูรณ์แบบกับผู้ขับขี่ด้วยฟีเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งสุดพิเศษที่ติดตั้งออกมาจากโรงงาน ด้วย OHLINS Tech MAX LIMITED EDITION โช้คอัพพิเศษสำหรับ XMAX Tech MAX โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถปรับค่าได้แบบ Full adjust (Rebound, Preload, Compression) ที่สามารถปรับความแข็งอ่อนให้เหมาะสมกับสไตล์ของคุณ เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจได้สุดแม็กซ์
*เงื่อนไขการติดตั้งและรับประกันโช้ค OHLINS:
1. ลูกค้าจะได้รับโช้คอัพ 2 ชุด คือ โช้คอัพ OHLINS 1 ชุด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตกแต่งติดตั้งไปกับรถจักรยานยนต์ และลูกค้าจะได้รับโช้คอัพ Standard 1 ชุด แยกบรรจุในกล่อง เพื่อใช้เป็นอุปกรณ์สำรองทดแทนในกรณีต่าง ๆ เช่น ส่งโช้คอัพ OHLINS เข้ารับการบำรุงรักษาหรือเคลมประกันกับทาง OHLINS เป็นต้น
2. โช้คอัพ OHLINS ได้รับการรับประกัน 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร โดย บริษัท เออห์ลินส์ เอเซีย จำกัด ตามเงื่อนไขการรับประกันที่กำหนด สามารถศึกษาข้อมูลได้จากคู่มือ โดยมีสาระสำคัญที่ต้องการเน้นย้ำ ดังนี้
• ลูกค้าต้องลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์การรับประกัน โดยใช้หมายเลขใบรับประกัน (Warranty card number) คู่กับหมายเลขตัวถัง (VIN number) ของรถคันที่ซื้อเท่านั้น
• ลูกค้าต้องนำโช้คอัพเข้ารับการบำรุงรักษา เพื่อรักษาสิทธิ์การรับประกัน เมื่อครบกำหนด 2 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร แล้วแต่ว่าระยะใดถึงก่อน กับทาง OHLINS
• ลูกค้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนการรับประกันหรือการบำรุงรักษาโช้คอัพ OHLINS
NEW XMAX Tech MAX” ยังเหนือระดับด้วย EXCLUSIVE Tech MAX SPECIAL SEAT เบาะนั่งดีไซน์พิเศษ กระชับรับกับสรีระทุกการเคลื่อนไหว มั่นใจในการขับขี่, Tech MAX EMBLEM สัญลักษณ์เฉพาะตัว แสดงถึงความพิเศษ บ่งบอกตัวตนที่สุด MAX, Tech MAX FOOT PLATES ชุดรองพักเท้าด้านหน้าอะลูมิเนียมพิเศษสุดพรีเมียม แข็งแรง เพิ่มความโดดเด่นขึ้นอีกขั้น, Tech MAX HAND GRIPS ปลอกแฮนด์ดีไซน์พิเศษสำหรับ Tech MAX เพิ่มความกระชับในการควบคุม และ Tech MAX COVER FRONT LUGGAGE ฝาปิดช่องเก็บของหุ้มวัสดุพิเศษสุดพรีเมียม เพิ่มความหรูหราไปอีกระดับ
“NEW XMAX Tech MAX” ยังคงมาพร้อมกับ EXPERIENCE MAX PERFORMANCE สุดยอดสมรรถนะการขับขี่สไตล์สปอร์ต เพื่อประสบการณ์ที่เร้าใจระดับ MAX ด้วย BLUE CORE 300 cc EU5 เครื่องยนต์หัวฉีด 300 ซีซี มาตรฐาน EURO5 เทคโนโลยีแห่งความแรง และความประหยัด ระบบหัวฉีดอัจฉริยะ พร้อมกระบอกสูบไดอะซิล ให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ สนุกเร้าใจในทุกระดับความเร็ว โดยเสริมสมรรถนะการขับขี่ให้เต็ม MAX ด้วย LIGHTWEIGHT FRAME & SPORT FRONT FORK เฟรมน้ำหนักเบา และโช้คอัพหน้าแบบรถสปอร์ต อีกทั้งยังให้ความมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ด้วยระบบ TRACTION CONTROL SYSTEM ระบบช่วยลดอาการล้อหมุนฟรีบนสภาพถนนลื่น และให้ความปลอดภัยในทุกสถานการณ์การขับขี่ด้วยระบบ ABS DUAL CHANNEL SYSTEM ระบบเบรก ABS หน้า-หลัง ควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติ ช่วยลดอาการเกิดล้อล็อก
“NEW XMAX Tech MAX” โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วย “X” MOTIF FULL LED ไฟหน้า-ไฟท้าย LED ดีไซน์เอกลักษณ์สไตล์ “X” ให้ความรู้สึกสปอร์ตดุดัน ต้นฉบับความเท่ของตระกูล MAX สว่างขึ้นชัดเจนกว่าเดิม เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ โดยพร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานด้วย EXTRA MAX FUNCTIONS ฟังก์ชันที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น UNDERSEAT STORAGE ที่เก็บของใต้เบาะสามารถเก็บหมวกกันน็อกเต็มใบได้ 2 ใบ, DC Socket ช่องต่อไฟอุปกรณ์เสริม ขนาด 12V สามารถชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า รวมทั้ง SMART KEY SYSTEM กุญแจรีโมทอัจฉริยะที่สามารถใช้งานทั้งสตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์, ปลดล็อกแฮนด์รถ / ปลดล็อกเบาะ / ปลดล็อกฝาปิดถังน้ำมัน และส่งสัญญาณตอบรับ ANSWER BACK
“NEW XMAX Tech MAX” ให้ความสุดเอ็กซ์คลูซีฟด้วย EXCLUSIVE THE MAX FEATURES ล้ำสมัยกับจอแสดงผลใหม่ พร้อมการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เพื่อรองรับการใช้งานที่มากขึ้น โดยมาพร้อมกับ DUAL DISPLAYS เรือนไมล์แสดงผล 2 หน้าจอ เพิ่มคุณค่าและตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการขับขี่ แสดงข้อมูลรถและการขับขี่ ข้อมูลจากสมาร์ทโฟน ตลอดจนฟังก์ชันระบบนำทาง บนหน้าจอสี TFT Infotainment 4.2 นิ้ว และจอ Digital LCD 3.2 นิ้ว แสดงผลมาตรวัดความเร็ว โดยสามารถเชื่อมต่อรถกับสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชั่น Y-Connect เพื่อดึงข้อมูลต่างๆ ของรถจาก CCU มาแสดงบนหน้าจอสี TFT ได้ ซึ่งสามารถควบคุมการใช้งานได้อย่างง่ายดายด้วยสวิตช์บนแฮนด์ด้านซ้าย
– แสดงข้อมูลรถและการขับขี่
– แสดงข้อมูล/รับสายโทรศัพท์ (เมื่อเชื่อมต่อกับ Headset)
– แสดงข้อความ Text Message (รวม SMS และ Email)
– แสดง / เล่นเพลงจากสมาร์ทโฟน และปรับระดับเสียง (เมื่อเชื่อมต่อกับ Headset)
– แสดงสภาพอากาศ / เวลา
– เลือกภาษาที่แสดง
– แสดงระบบนำทาง (เมื่อเปิดใช้แอป Garmin Street Cross)
“NEW XMAX Tech MAX” พร้อมทุกการเชื่อมต่อด้วย CONNECTIVITY การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วยการติดตั้งแอปพลิเคชัน Y-Connect ในการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ CCU ของตัวรถผ่าน Bluetooth พร้อมทั้งเปิด Location โดยตรวจสอบสถานะการเชื่อมต่อได้บนจอแสดงผล TFT และสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ได้มากมาย คือ
1. SMARTPHONE NOTIFICATIONS ON METER – แจ้งเตือนข้อมูลจากสมาร์ทโฟน
2. MAINTENANCE RECOMMENDATIONS – แจ้งเตือนการบำรุงรักษา
3. MALFUNCTION NOTIFICATION –แจ้งเตือนเมื่อเครื่องยนต์เกิดปัญหา
4. FUEL CONSUMPTION – แสดงข้อมูลอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
5. REVS DASHBOARD – แสดงมาตรวัดสมรรถนะขณะขับขี่
6. LAST PARKING LOCATION – แสดงตำแหน่งจอดรถล่าสุด
7. RANKING – แสดงอันดับในการขับขี่
8. RIDING LOG –บันทึกประวัติการขับขี่
9. WEATHER – แสดงสถานะภูมิอากาศ
10. MUSIC – แสดงรายละเอียดและควบคุมการฟังเพลง
11. CONTACT FORM – ช่องทางการติดต่อยามาฮ่า
“NEW XMAX Tech MAX” พร้อมทุกการเดินทางในทุกเส้นทางด้วย GARMIN NAVIGATION SYSTEM ระบบนำทางในการขับขี่ ฟังก์ชันสำหรับการเดินทางที่สะดวกสบาย เพียงเชื่อมต่อ Y-Connect แล้วใช้แอปพลิเคชัน Garmin Street Cross ค้นหาสถานที่ กำหนดปลายทาง และเลือกเส้นทางบนสมาร์ทโฟน ระบบนำทางจะแสดงบนหน้าจอแสดงผล TFT เพื่อรองรับการเดินทางของผู้ใช้โดยไม่มีค่าบริการ โดยสามารถซูมแผนที่เส้นทางเข้าออก หรือปรับเปลี่ยนมุมมองได้โดยใช้สวิตช์บนแฮนด์ด้านซ้ายในการควบคุม
– แสดงแผนที่เส้นทาง
– ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์
– แสดงเส้นทางเลี่ยงที่เป็นไปได้
– เวลาถึงที่หมายโดยประมาณ
– สภาพอากาศที่ปลายทาง
– แจ้งเตือนข้อมูลเส้นทางที่อาจไม่ปลอดภัย เช่น ทางโค้งหักศอก ทางจำกัดความเร็ว และทางที่วิ่งผ่านสถานศึกษา
– แสดงจุดสถานีบริการน้ำมัน
“NEW XMAX Tech MAX” มาพร้อมกับสีสันสุดพิเศษ! คือ น้ำตาล-ดำ ให้ลุคคมเข้มตัดกับล้อแม็กสีทอง โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร! พร้อมจำหน่ายในราคาสุดเร้าใจเพียง 224,900 บาท เท่านั้น!!! พร้อมกันนี้ ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ รุ่น STANDARD มาพร้อมกับสีสันที่มีให้เลือกด้วยกันถึง 5 สี คือ สีเขียว-ดำ (Dark Petrol), สีแดง-ดำ (Ruby Red), สีเทา (Ice Fluo), สีดำ (Midnight Black) และสีน้ำเงิน-ดำ (Icon Blue) ที่วางจำหน่ายในราคา 189,900 บาท
โดยสามารถเป็นเจ้าของ “NEW XMAX Tech MAX” ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Yamaha Call Center โทร. 02-263- 9999 และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารทางออนไลน์ได้ที่
Facebook : Yamaha Society Thailand
Instagram : @Yamaha Society Thailand
Youtube : Yamaha Society Thailand

ฮอนด้า ฟอร์มหรู! เปิดสนาม คว้าชัย ดาการ์ แรลลี่ 2024 สเตจแรก ซาอุดิอาระเบีย

ฮอนด้า สร้างผลงานกระหึ่ม ดาการ์ แรลลี่ 2024 (Dakar Rally 2024) ด้วยผลงานของ “โทชาร์ ชาร์เรนา” (Tosha Schareina) จากยอดทีมแข่ง มอนสเตอร์ เอเนอร์จี ฮอนด้า (Monster Energy Honda Team) ควบรถแข่ง Honda CRF450 Rally หมายเลข 68 คว้าชัยจากการแข่งขันสุดหฤโหดในสเตจแรก ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนระอุของภูมิประเทศทะเลทราย ที่ อัลลูลา (Alula) ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา

การแข่งขันดาการ์ แรลลี่ ได้ชื่อว่าเป็นการแข่งขันแรลลี่รายการที่ใหญ่ที่สุดและหฤโหดที่สุดในโลก โดยสเตจแรกในปี 2024 การคว้าชัยของ “โทชาร์ ชาร์เรนา” (Tosha Schareina) ถือเป็นชัยชนะแรกของเจ้าตัว ขณะที่ “เอเดียน ฟาน เบเวอเรน” (Adrien Van Beveren) และ “พาโบล ควินตานินญ่า” (Pablo Quintanilla) ทีมเมทจากยอดทีมแข่ง มอนสเตอร์ เอเนอร์จี ฮอนด้า (Monster Energy Honda Team) สามารถควบรถแข่ง Honda CRF450 Rally จบในอันดับที่ 4 และ 7 ตามลำดับ เมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเปิดสเตจแรกของการแข่งหฤโหดจากการแข่งขันทั้งสิ้น 12 สเตจ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุของทะเลทรายในประเทศซาอุดิอาระเบีย

ทั้งนี้ การแข่งขันแรลลี่รายการที่ใหญ่ที่สุดและหฤโหดที่สุดในโลก “ดาการ์ แรลลี่ 2024” จะจัดการแข่งขันขึ้นระหว่างวันที่ 5-19 มกราคมนี้ ณ ทะเลทรายของประเทศซาอุดีอาระเบีย รวมระยะทางกว่า 7,891 กิโลเมตร
สามารถติดตามข่าวสารของนักบิดฮอนด้า ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม : Race to The Dream