โรยัล เอ็นฟีลด์ บิดทะลุ 1 ล้านคัน ยอดขายประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์

โรยัล เอ็นฟีลด์ ยอดขายรวมอยู่ที่ 1.09 ล้านคัน 

โรยัล เอ็นฟีลด์ สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ด้วยยอดขายทะลุ 1 ล้านคันต่อปี ในปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ของแบรนด์ โดยมาจากความต้องการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ ทำให้ยอดขายรวมอยู่ที่ 1.09 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2566-2567 ถึง 11% โดยในเดือนมีนาคม 2568 เพียงเดือนเดียว ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 34% และยอดส่งออกก็เติบโตถึง 37% เช่นกัน

คุณบี โกวินดาราจัน ราจัน กรรมการผู้จัดการของ Eicher Motors และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ โรยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่พิเศษอย่างยิ่งสำหรับ โรยัล เอ็นฟีลด์ การก้าวข้ามสู่ยอดขาย 1 ล้านคันต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดที่เคยทำได้ เป็นหลักฐานชัดเจนถึงความก้าวหน้าของเรา จากอดีตที่ยอดขาย 50,000 คันต่อปียังถือเป็นความสำเร็จใหญ่ มาจนถึงปัจจุบันที่เราสามารถสร้างมาตรฐานระดับโลกในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง การตอบรับที่ล้นหลามจากรุ่น Bullet Battalion Black และ Classic 350 รุ่นใหม่ รวมถึงความสามารถในการตอบสนองต่อเสียงสะท้อนของผู้ขับขี่อย่างรวดเร็ว ด้วยการออกแบบรุ่นใหม่ ๆ ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ดีที่สุดของเรา

ในระดับสากล เรากำลังขยายตลาดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยการเปิดโรงงานประกอบในประเทศไทย และการเข้าสู่ตลาดบังกลาเทศ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการเติบโตระดับโลกของเรา รถรุ่นใหม่ 4 รุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ และการก้าวเข้าสู่โลกแห่งยานยนต์ไฟฟ้าครั้งแรกของเรากับรุ่น Flying Flea ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะท้าทายขีดจำกัด โรยัล เอ็นฟีลด์ ยังได้รับการจัดอันดับสูงสุดด้านคุณภาพเริ่มต้นในผลการศึกษาของ J.D. Power India Two-Wheeler Initial Quality Study ปี 2025 ซึ่งตอกย้ำถึงคุณภาพงานฝีมือระดับโลกของเรา และในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปีที่ 125 ของแบรนด์ เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ ๆ และเราตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมสร้างอนาคตของการขับขี่มอเตอร์ไซค์ต่อไป” ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โรยัล เอ็นฟีลด์ มียอดขายเติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันแบรนด์เป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางในตลาดสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่น ประเทศไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และนิวซีแลนด์

คุณอนุจ ดัว หัวหน้าฝ่ายธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “ที่ โรยัล เอ็นฟีลด์ การสร้างรถจักรยานยนต์ระดับโลก การสร้างชุมชนผู้ขับขี่ระดับนานาชาติ และการทำงานร่วมกับพันธมิตรตัวแทนจำหน่ายที่มีความกระตือรือร้น ถือเป็นหัวใจสำคัญของทุกสิ่งที่เราทำ เราดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่อย่างแท้จริง และทำให้รถมอเตอร์ไซค์ของเราเป็นเพื่อนร่วมทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับนักขี่ทุกคน เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดทั่วโลก และเติบโตถึง 13% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สิ่งนี้สะท้อนถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์การเติบโตในตลาดสำคัญของเรา เราไม่เคยต้องการแค่เป็นผู้นำ แต่เราต้องการเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขนาดกลางในระดับโลก และความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้คือผลลัพธ์ของความมุ่งมั่นที่ไม่หยุดยั้ง และเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอีกหนึ่งปีที่ยอดเยี่ยม”

ไฮไลท์สำคัญในปีที่ผ่านมาของโรยัล เอ็นฟีลด์

 โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดโรงงานประกอบแบบ CKD แห่งใหม่ในประเทศไทย
โรงงานประกอบแบบ CKD (Completely Knocked Down) แห่งแรกนอกประเทศอินเดียที่เป็นกรรมสิทธิ์เต็มรูปแบบ ณ จังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร โรงงานแห่งใหม่นี้มีพื้นที่รวมกว่า 57,000 ตารางฟุต และมีกำลังการผลิตปีละ 30,000 คัน สะท้อนถึงพันธกิจระยะยาวของแบรนด์ที่มีต่อประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนับเป็นโรงงาน CKD แห่งที่ 6 ของโรยัล เอ็นฟีลด์ทั่วโลก ต่อจากโรงงานในอาร์เจนตินา โคลอมเบีย บราซิล บังกลาเทศ และเนปาล

โรยัล เอ็นฟีลด์ เดินหน้าเปิดสายการผลิตในบังกลาเทศ
โรยัล เอ็นฟีลด์เริ่มดำเนินงานสายการผลิต (Category 2) และเปิดโชว์รูมแฟลกชิปรูปแบบใหม่ในบังกลาเทศ โดยมุ่งเน้นการผลิตและประกอบรถรุ่น Hunter 350, Meteor 350, Classic 350 และ Bullet 350 ภายในประเทศ พร้อมกันนี้ ยังประกาศแผนการขยายธุรกิจด้วยการเปิดโรงงานประกอบแบบ CKD แห่งใหม่ในประเทศบราซิลภายในเดือนมกราคม 2568 เพื่อตอบรับการเติบโตในตลาดยานยนต์ระดับโลก

โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดตัวแบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Flying Flea
โรยัล เอ็นฟีลด์เปิดตัว Flying Flea แบรนด์รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะที่งาน EICMA 2024 และในประเทศอินเดีย โดยได้แรงบันดาลใจจากรุ่น Flying Flea ยุค 1940s นำเสนอแนวคิด City+ Mobility ผสานดีไซน์เรโทร-ฟิวเจอริสติกเข้ากับเทคโนโลยี EV ล้ำสมัย รุ่นที่เปิดตัว ได้แก่ FF-C6 และ FF-S6 ซึ่งมีสไตล์สแครมเบลอร์ เตรียมวางจำหน่ายภายในปี 2569 เพื่อเปิดประสบการณ์การเดินทางในยุคใหม่

 โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดศักราชใหม่ด้วย Guerrilla 450 โร้ดสเตอร์สไตล์โมเดิร์นระดับพรีเมียม
โรยัล เอ็นฟีลด์เปิดตัว Guerrilla 450 โร้ดสเตอร์สไตล์โมเดิร์นระดับพรีเมียม ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Sherpa ขนาด 452 ซีซี ที่พัฒนาใหม่ เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจ รุ่นนี้มีให้เลือก 3 เวอร์ชัน ได้แก่ Analogue, Dash และ Flash พร้อมสีสันสดใสถึง 5 เฉด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้ขับขี่ยุคใหม่

 โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดตัว Classic 350 รุ่นปี 2024
โรยัล เอ็นฟีลด์เปิดตัว Classic 350 รุ่นใหม่ปี 2024 สานต่อตำนานความงามที่เข้าถึงได้อย่างแท้จริง ด้วย 5 รุ่น ได้แก่ Heritage, Heritage Premium, Signals, Dark และ Chrome ครอบคลุมสีสันที่โดดเด่นถึง 7 เฉด พร้อมทั้งเปิดตัวโปรแกรม Factory Custom ซึ่งเป็นโปรแกรมปรับแต่งเฉพาะบุคคลแห่งแรกของแบรนด์ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถสะท้อนตัวตนผ่านดีไซน์เฉพาะตัว

 โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิด Camp Kharu จุดแวะพักรักษ์โลกแห่งแรกในเลห์-มะนาลี โรยัล เอ็นฟีลด์เปิดตัว Camp Kharu จุดแวะพักรักษ์โลก (Green Pit Stop) แห่งแรกบนเส้นทางหลวงเลห์-มะนาลี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนและสร้างอาชีพให้ผู้หญิงท้องถิ่น แคมป์แห่งนี้ดำเนินงานโดยผู้หญิงท้องถิ่นที่ผ่านการอบรม 6 คน ภายในมีร้านอาหารท้องถิ่นลาดักห์ พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ และสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ ที่ออกแบบและสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมดินอัดแน่นซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โรยัล เอ็นฟีลด์ไม่ใช่แค่แบรนด์ แต่คือขบวนการเคลื่อนไหวของผู้รักการขับขี่ระดับโลก ที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่แตกต่าง ชุมชนที่เข้มแข็ง และแผนการเติบโตที่ชัดเจน พร้อมก้าวสู่ทิศทางการเติบโตในระดับต่อไปอย่างมั่นใจ

NIU เดินหน้าลงทุน 100 ล้านบาทเปิดสายการผลิตในไทย

ตั้งเป้าหมายการขาย 1 หมื่นคันต่อปีภายในปี 2572

TTA คว้าสิทธิ์จำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า NIU เดินหน้าลงทุน 100 ล้านบาทเปิดสายการผลิตในไทย ตั้งทีมวิจัยและพัฒนาสร้างสินค้าที่เหมาะสม เตรียมเปิดตัวรถที่พัฒนาสำหรับประเทศไทย 4 รุ่นภายใน 3 ปี ขยายตัวแทนจำหน่ายจังหวัดละ 1 แห่ง ตั้งเป้าหมายการขาย 1 หมื่นคันต่อปีภายในปี 2572 ขึ้นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทยพร้อมขยายตลาดส่งออกในอาเซียน

คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้คว้าสิทธิ์ในการทำตลาดและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ‘นิว’ (NIU) ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมจากประเทศจีน เนื่องจากมองเห็นว่ารถจักรยายนต์ไฟฟ้าเป็นพาหนะแห่งอนาคต ด้วยความสะดวกในการใช้งานและการดูแลรักษาที่ต่ำ

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังไม่สูงมากนัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้งานทุกกลุ่มในวันนี้ แต่เชื่อมั่นว่าการเติบโตของจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นภาพที่คุ้นตาบนท้องถนนภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการทำตลาด ในครั้งนี้ มีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียมในประเทศไทย ที่หากใครนึกถึง รถกลุ่มนี้จะต้องนึกถึง NIU

“เราเลือกเป็นพันธมิตรกับ NIU เพราะนอกจากเทคโนโลยีสมาร์ทฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่แล้ว NIU ยังเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ทำตลาดครอบคลุมทั้งยุโรป อเมริกาและเอเชีย ซึ่งจะต้องผ่านมาตรฐานที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพและมาตรฐานที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด”

ตั้งโรงงานผลิต พร้อมทีมวิจัยและพัฒนาสร้างสินค้าสำหรับประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าการที่ตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ายังไม่เติบโตเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการพัฒนาสินค้าที่อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ TTA จึงเตรียมที่จะลงทุน 100 ล้านบาทในการเปิดสายการผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย รวมถึงการตั้งทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค ในประเทศ โดยจะเริ่มผลิตได้ภายในช่วงปลายปี 2568

การพัฒนาสินค้าสำหรับประเทศไทย ได้รับความร่วมมือจาก NIU International สำนักงานใหญ่ โดยตั้งเป้าหมายที่จะเปิดตัวสินค้าที่ทำการคิดค้นสำหรับประเทศไทย 2 รุ่นในช่วงปลายปี 2568 และอีก 2 รุ่น ในปี 2570 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในประเทศ รวมถึงมีแผนที่จะเริ่มการส่งออกรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2571

จับมือพันธมิตรสร้างระบบนิเวศสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
คุณเฉลิมชัย กล่าวว่า นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าแล้ว บริษัทฯ จะเริ่มสร้างเครือข่ายพันธมิตร เชิงกลยุทธ์ ทั้งด้านช่องทางจำหน่าย สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจรถจักรยานยนต์มือสอง เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ เพื่อที่จะผลักดันให้ตลาดมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

“ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เปิดรับสินค้ากลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้จากอัตราการเติบโตของยอดจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 100% ต่อเนื่องหลายปี ซึ่งสิ่งที่จะผลักดันให้ตลาดเติบโตได้ จะต้องมีทั้งเรื่องของสมรรถนะของตัวรถ ราคาจำหน่ายที่เหมาะสม รวมถึงการสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ด้วยการทำโครงสร้างราคาที่ชัดเจนและมั่นใจได้มากกว่าที่ผ่านมา”

ขณะที่เป้าหมายการตั้งตัวแทนจำหน่ายนั้น จะมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายจังหวัดละอย่างน้อย 1 แห่ง และหากเป็นจังหวัดใหญ่ อย่างเช่น ชลบุรี ก็อาจจะมีตัวแทนจำหน่ายได้ 2 ราย ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็จะมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายตามเขต เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการเยี่ยมชมตัวรถ โดยตัวแทนของเราในแต่ละพื้นที่สามารถดำเนินกิจกรรมด้านการขายและการตลาดในพื้นที่ของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยปัจจุบันมีผู้สนใจสมัครตัวแทนจำหน่ายแล้วกว่า 90 ราย

ตั้งเป้าขึ้นที่ 1 ในประเทศไทย ทั้งด้านยอดขายและความเชื่อมั่น
การเข้ามาทำตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า NIU ในครั้งนี้ TTA ได้เดินหน้าลงทุนทั้งเรื่องการเปิดสายการผลิตและการพัฒนารถสำหรับตลาดในประเทศ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในตลาดประเทศไทย โดยตั้งเป้าหมาย ที่จะมียอดจำหน่ายระดับ 1 หมื่นคันต่อปีในปี 2572 ขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มพรีเมียม ในประเทศไทย รวมถึงยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับตราสินค้า

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแบรนด์ NIU เคยเข้ามาในประเทศไทย ด้วยการเป็นรถจักรยานยนต์นำเข้าแบบสำเร็จรูป ส่งผลให้ราคาขายปลีกสูงและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างจำกัด แต่ภายใต้การบริหารของ TTA นอกจากการผลิต การพัฒนาสินค้าแล้ว ยังจะมีการทำราคาจำหน่ายให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดย TTA มั่นใจว่า NIU จะเป็นแบรนด์ที่เติบโตเคียงคู่กับผู้บริโภคชาวไทยในระยะยาวอย่างแน่นอน

ไม่ใช่แค่ขายในไทย แต่มองไกลถึงอาเซียน
คุณเฉลิมชัย กล่าวว่า การเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ มองไปถึงการส่งออกไปในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์จำนวนมาก แต่ที่ผ่านมามีอุปสรรคในด้านกำแพงภาษีนำเข้าจาก ประเทศจีนที่ทำให้ตลาดไม่เติบโตเท่าที่ควร แต่หากมีการเปิดสายการผลิตในประเทศไทย ก็จะทำให้สามารถขยายตลาดเข้าสู่ภูมิภาคนี้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“การที่ NIU มีพันธมิตรและมีโรงงานในประเทศไทย จะทำให้สามารถส่งออกรถจักรยานยนต์ที่ผลิตในประเทศไทยไปยังอาเซียนด้วยข้อตกลงเขตการค้าเสรี และทำให้ภาษีนำเข้ารถจักรยานยนต์ในหลายประเทศ ที่เคยสูงถึง 40-50% จะลดลงเหลือ 0% ทันที ซึ่งตอนนี้ได้มีตัวแทนจำหน่ายในหลายประเทศเริ่มติดต่อมาที่ TTA เพื่อจะนำรถไปจำหน่าย โดยเรามีแผนที่จะส่งออกในช่วงปลายปี 2571”

ชี้แบรนด์จีนไม่ใช่ปัญหา แต่ขึ้นกับตัวสินค้าต้องเหมาะสม
สำหรับการทำตลาดรถจากประเทศจีนนั้น มองว่าไม่ได้เป็นปัญหาทั้งในเรื่องภาพลักษณ์และคุณภาพ ของสินค้า เนื่องจากในประเทศจีนมีการใช้งานรถจักรยานยานต์ไฟฟ้าที่แพร่หลายมานาน แต่มองว่าอยู่ที่การเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับตลาดมากกว่า ซึ่งข้อที่ได้เปรียบของ NIU ก็คือการเป็นแบรนด์ที่ทำตลาดมาหลายประเทศ ทั่วโลก จึงมีความเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ จากมุมมองของ TTA รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตั้งคำถามในแง่ของคุณภาพหรือภาพลักษณ์ เพราะจริงๆ แล้ว ผู้ผลิตจากประเทศจีนหลายรายสามารถผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานในระดับสากล แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือการเลือกตัวสินค้าที่จะเข้ามาทำตลาด ว่าตรงกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยหรือไม่

“สิ่งที่เราจะต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษก็คือ การบริหารจัดการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรถที่มีคุณสมบัติและสมรรถนะที่ตรงกับความต้องการของตลาด การพัฒนาด้านการให้บริการหลังการขายที่จะทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด เพราะความสำเร็จของจักรยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับแหล่งผลิต แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่ตอบโจทย์และบริการที่เหนือความคาดหมายหรือไม่”

บริษัทฯ มั่นใจว่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า NIU เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่สามารถทดแทนรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งในอนาคต TTA พร้อมที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมหากเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ ตามที่ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน

ยามาฮ่าฉลองยอดจำหน่าย 1,286 คัน ปิดงานมอเตอร์โชว์ ครัังที่ 46

จำหน่ายรถจักรยานยนต์ได้มากถึง 1,286 คัน และมีผู้เข้าเยี่ยมชมบูทสูงกว่า 45,064 คน

นายโอฬาร กะจะวงศ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย กรุงเทพฯ และปริมณฑล นายธนะชัย เลขวนิชกุล ผู้จัดการทั่วไปธุรกิจรถบิ๊กไบค์ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และบริษัทไฟแนนซ์พันธมิตร ร่วมกันฉลองยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า และปิดบูทยามาฮ่า “Feel The Unique E xperience” ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46

โดยในปีนี้ยามาฮ่าทุบสถิติยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ได้มากถึง 1,286 คัน และมีผู้เข้าเยี่ยมชมบูทสูงกว่า 45,064 คน ด้วยไฮไลต์ของการออกแบบและดีไซน์บูทภายใต้คอนเซปต์ “Reflect Your Unique Identity” และรถรุ่นใหม่ที่นำมาเปิดตัวภายในงานได้แก่ YAMAHA R9, YAMAHA SR400 Final Edition และ New YAMAHA R3 พร้อมกับ All New YAMAHA NMAX ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในปีนีั

สำหรับการฉลองปิดยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46 มีขึ้น ณ บูท YAMAHA “Feel The Unique Experience” อิมแพค ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1 เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

ยอดจอง “New Monkey Chrome Legacy Limited Edition” ทะลุ 1,390 คัน

ไทยฮอนด้า ฉลองความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ปิดฉากมอเตอร์โชว์ 2025

ไทยฮอนด้า ปิดฉากการจัดแสดงงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยความสำเร็จเกินคาด โดยเฉพาะโมเดลพิเศษอย่าง ‘New Honda Monkey Chrome Legacy Limited Edition’ เพียงรุ่นเดียว ก็สามารถกวาดยอดจองภายในงานทะลุ 1,390 คัน โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากแฟนพันธุ์แท้เจ้าลิงซนเป็นจำนวนมาก นับเป็นการประกาศความสำเร็จครั้งใหม่ของไทยฮอนด้า ที่ยังคงครองใจคนไทยมาอย่างต่อเนื่อง

New Honda Monkey Chrome Legacy โมเดลพิเศษที่ได้รับการออกแบบเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของไทยฮอนด้า ถ่ายทอดความคลาสสิกของเจ้าลิงซนในสไตล์โครเมียมเต็มคัน ทั้งถังน้ำมัน ฝาครอบข้าง และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต เสริมความโดดเด่นด้วยเบาะหนังสีดำและหมุดสแตนเลสสุดหรู พร้อม 3D Soft Emblem ลายเจ้าลิงซนฉลอง 60 ปี และ Chrome Edition Serial Number ที่รันหมายเลขเฉพาะให้กับแต่ละคัน

อีกความพิเศษสำหรับเจ้าของ New Honda Monkey Chrome Legacy จะได้รับของพรีเมียมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ หมวกกันน็อกสีเงินเมทัลลิก ที่ออกแบบมาให้เข้าชุดกับตัวรถได้อย่างลงตัว โดยเปิดตัวพร้อมราคาแนะนำ 117,000 บาท  ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม เป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของแบรนด์รถจักรยานยนต์ฮอนด้า

Dickies® x Harley-Davidson® ปฏิวัติวงการ Workwear ด้วยคอลเลกชัน ” Born to Be Alive”

คอลเลกชันรุ่นลิมิเต็ดที่ผสานความเท่ของ Workwearสไตล์อเมริกันเข้ากับไลฟ์สไตล์มอเตอร์ไซค์ได้อย่างลงตัว

Dickies และ Harley-Davidson จับมือกันสร้างสรรค์คอลเลกชันเครื่องแต่งกายรุ่นลิมิเต็ดเอดิชัน “Born to Be Alive” ซึ่งหลอมรวมความเท่ของ Workwear เข้ากับตำนานรถมอเตอร์ไซค์ เอาใจเหล่าไบค์เกอร์ที่กล้าก้าวข้ามทุกขีดจำกัด นับเป็นสุดยอดคอลเลกชันที่รังสรรค์ขึ้นจากดีเอ็นเอของสองแบรนด์อเมริกันระดับตำนาน ถือเป็นการพลิกโฉม Workwear ฉบับคลาสสิกให้โดดเด่นขึ้นไปอีกขั้นด้วยกลิ่นอายความเท่จากโลกของรถมอเตอร์ไซค์ สู่เครื่องแต่งกายสุดเท่ที่ใส่ได้ทั้งในที่ทำงานและสนุกไปกับการขับขี่บนท้องถนน

คอลเลกชันดังกล่าวนำเสนอไอเทมหลักสำหรับผู้ชายและผู้หญิงไว้อย่างครบครัน ทั้งแจ็กเก็ต Eisenhower อันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนเสื้อยืดลายกราฟิก กางเกง Workwear เสื้อกั๊ก เสื้อฮู้ดและหมวก โดยเครื่องแต่งกายทุกชิ้นสะท้อนงานฝีมืออันประณีตตามแบบฉบับของ Dickies พร้อมถ่ายทอดจิตวิญญาอิสระและความเท่ในสไตล์ Harley-Davidson ออกมาอย่างชัดเจน

ไฮไลท์ในคอลเลกชันนี้ ประกอบด้วย
Dickies x H-D Quilted Lined Eisenhower Jacket มีจำหน่ายทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง โดยแจ็กเก็ตทรงซิกเนเจอร์ของ Dickies รุ่นนี้ ได้รับการอัพเกรดให้มีความดุดันในสไตล์ Harley-Davidson ผลิตจากผ้าทวิลชนิดหนาทนทาน พร้อมซับในบุผ้านวมเพื่อเพิ่มความอบอุ่น โดดเด่นด้วยดีไซน์ action back ที่รองรับการเคลื่อนไหว พร้อมแถบปรับเอว แขนเสื้อทรงโค้งรับกับสรีระ และปกเสื้อแบบซ่อนกระดุมที่ไม่ปลิวขณะขับขี่มอเตอร์ไซค์ เติมเต็มรายละเอียดด้วยซับในที่มีสีตัดกับตัวเสื้อด้านนอก เสริมลุคด้วยฮาร์ดแวร์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของทั้งสองแบรนด์ โดยแจ็กเก็ตตัวนี้ยังมาพร้อมกับลวดลายกราฟิกสุดเท่ ทั้งด้านหน้าและหลังสะท้อนถึงความคลาสสิกและจิตวิญญาณของคนทำงานอย่างแท้จริง

Dickies x H-D Original 874® Work Pants มีจำหน่ายทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง กางเกง Workwear ยอดนิยมตลอดกาลของ Dickies มาพร้อมกับดีไซน์สุดเท่สไตล์ Harley-Davidson ผลิตขึ้นจากผ้าทวิลชนิดหนา ที่ทนทานต่อคราบเปื้อนและรอยยับ มาพร้อมตะเข็บเสริมความแข็งแรงและดีไซน์ทรงหลวมใส่สบาย พร้อมเอาใจสายไบค์เกอร์ด้วยอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ เช่น ห่วงเกี่ยวพวงกุญแจที่ขอบเอว กระเป๋าหลังแบบกระดุมแป๊กสำหรับเก็บของสำคัญ และตำแหน่งกระเป๋าที่ปรับให้ต่ำลงเพื่อความสะดวกขณะขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ เสริมลูกเล่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งจากความร่วมมือระหว่างสองแบรนด์ โดดเด่นด้วยตะเข็บด้านในสีส้ม สไตล์ Harley-Davidson และดีไซน์ขอบเอวด้านในแบบคัสตอม ซึ่งช่วยเพิ่มความพรีเมียมและสไตล์โดดเด่นไม่เหมือนใคร

Dickies x H-D Eagle Sleeve Hoodie มาพร้อมกับดีไซน์สมาร์ทและการสวมใส่สุดสบาย โดย Dickies x H-D Eagle Sleeve Hoodie เป็นเสื้อฮู้ดแบบกระดุมแป๊กที่ให้ความอบอุ่น และสามารถสวมเข้ากับอุปกรณ์ขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือหมวกนิรภัยในขณะทำงานได้อย่างพอดี โดยเสื้อฮู้ดทรงสวมหัวที่ใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงรุ่นนี้ผลิตจากผ้าฟลีซผสมคอตตอนและโพลีเอสเตอร์ที่แข็งแรง ให้ทรงหลวมใส่สบาย ตกแต่งด้วยลวดลายกราฟิกที่เป็นเอกลักษณ์ด้านหน้าและลายพาดแขนที่สะดุดตาในสไตล์ Harley-Davidson

Dickies x H-D Racerback Cropped Eagle Tank เสริมรูปร่างให้ดูโดดเด่นพร้อมเย็นสบายตลอดวันกับเสื้อกล้าม Dickies x H-D Racerback Cropped Eagle Tank ซึ่งผลิตจากผ้าคอตตอน 100% ช่วยระบายอากาศได้ดี มาพร้อมกับเนื้อผ้าที่ออกแบบให้มีลายเป็นร่องช่วยเพิ่มความมีมิติ และดีไซน์ทรงพอดีตัว โดดเด่นด้วยดีไซน์ครอปเสมอช่วงเอวและเหนือเอวเล็กน้อย ปิดท้ายด้วยลวดลายกราฟิกและโลโก้อันเป็นเอกลักษณ์ด้านหน้า ช่วยเพิ่มความเท่ในแบบที่ไม่ซ้ำใคร

คอลเลกชัน Dickies x Harley-Davidson จะวางจำหน่ายผ่านทางเว็บไซต์ harley-davidson.com, dickies.com และที่โชว์รูม Harley-Davidson โดยจะเริ่มวางจำหน่ายที่โชว์รูมในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชียก่อน ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน เป็นต้นไป โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากตัวแทนจำหน่าย Harley-Davidson

สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยคาดการณ์ตลาดยานยนต์ยังทรง พร้อมวอนรัฐออกมาตรการกระตุ้นต่อเนื่อง

สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Industry Association : TAIA) ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (The Thai Automotive Journalists Association : TAJA) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสื่อมวลชน (TAIA Meets the Press) ในหัวข้อ “ทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย” โดยมองแนวโน้มตลาดยานยนต์ปี   พ.ศ. 2568 มีแนวโน้มการเติบโตใกล้เคียงกับปีที่แล้ว โดยอาจจะดีขึ้นหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง

นายสุวัชร์ ศุภกาญจน์เดชากุล นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เผยว่า “ในปี พ.ศ. 2568 คาดการณ์การผลิตรถยนต์ของไทยโดยรวมที่ 1.5 ล้านคัน เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 2.1% โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 5 แสนคัน และผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และสำหรับตัวเลขรถจักรยานยนต์ คาดการณ์ยอดผลิตที่ 2.1 ล้านคัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 11.2%

ปัจจัยที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568 แบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ปัจจัยสนับสนุน
  • การขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปัจจัยสนับสนุนด้านการเพิ่มขึ้นของการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะในโครงการสำคัญต่างๆ เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภค การก่อสร้างรถไฟสายต่างๆ โดยจะทำให้มีเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 3 ล้านล้านบาท
  • การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ที่ใกล้เคียงระดับก่อนโควิด-19 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มกลับเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ในขณะที่ภาครัฐจัดกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง

  1. ปัจจัยเสี่ยง
  • สถานการณ์หนี้ครัวเรือนและหนี้เสียยังอยู่ในระดับน่ากังวล โดยหนี้ครัวเรือน ถึงแม้จะปรับตัวลดลงเหลือระดับ 89% ต่อ GDP แต่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงสัดส่วนหนี้เสียต่อสินเชื่อทั้งหมดมากถึง 22% ส่งผลให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง
  • อัตราส่วนหนี้ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือนของสินเชื่อรถยนต์ยังอยู่ในระดับสูงมาก ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงนโยบายเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงในการกลายเป็นเป็นหนี้เสีย
  • นโยบายกีดกันการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ที่เน้นการลดการเสียเปรียบด้านการค้ากับประเทศคู่ค้า โดยการเพิ่มภาษีสินค้าที่นำเข้าไปในสหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนได้รับผลกระทบ เช่น รถยนต์นั่ง ยางรถยนต์ อะไหล่และอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงทางอ้อมที่อาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งระบายสินค้าจากประเทศที่ถูกกีดกันการค้าสูงกว่ามากขึ้น นำไปสู่การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากภาวะอุปทานเกินขนาด

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้ ได้แก่

  • โครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์ใหม่ ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป โดยมีการกำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ต่ำกว่าปัจจุบัน เพื่อให้ได้อัตราภาษีในอัตราต่ำลง รวมถึงสนับสนุนยานยนต์สมัยใหม่ เช่น PHEV กำหนดให้มีการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS และกำหนดเงื่อนไขการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ
  • การบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากรถยนต์ ระดับยูโร 6 โดยรถยนต์เครื่องยนต์เบนซิน  เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ส่วนรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของภาครัฐ
  • ข้อตกลง FTA ในปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 17 ฉบับ 24 ประเทศคู่ค้า และอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 4 ฉบับ โดยมีฉบับสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต เช่น การเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป
  • มาตรฐานประสิทธิภาพการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับรถยนต์ใหม่ (New Vehicle Efficiency Standard : NVES) ของประเทศออสเตรเลีย โดยจะมีการกำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รถยนต์ที่นำเข้าไปยังประเทศออสเตรเลีย ทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะ ที่จะเริ่มบังคับใช้พร้อมบทลงโทษตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

จากสถานการณ์ยอดขายรถยนต์ที่ซบเซาในปัจจุบัน สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้เสนอมาตรการต่อภาครัฐ ดังนี้

มาตรการกระตุ้นยอดขายในประเทศระยะสั้น

  • มาตรการด้านภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การนำค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือค่าบำรุงรักษารถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผลิตในประเทศมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • มาตรการด้านภาษีเงินได้นิติบุคคล การนำค่าใช้จ่ายในการซื้อ หรือเช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผลิตในประเทศมาลดหย่อนภาษีนิติบุคคลได้ รวมถึงขยายเพดานค่าใช้จ่ายที่หักได้ให้เพิ่มมากขึ้น
  • มาตรการด้านสินเชื่อ การผ่อนปรนเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อสำหรับกู้ซื้อรถ โดยอนุญาตให้สามารถกู้ร่วมและพิจารณารายได้รวมของทั้งครอบครัวในการประเมินการปล่อยสินเชื่อได้ รวมถึงมาตรการค้ำประกันสินเชื่อในการซื้อรถยนต์
  • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

มาตรการกระตุ้นยอดขายและส่งออกในระยะกลาง – ยาว

  • รักษาการเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์ ICE ที่สำคัญของโลก และส่งเสริมการผลิต Future ICE เพื่อรักษา Economy of Scale ให้สามารถแข่งขันได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ด้วยการเร่งเจรจา FTA กับกลุ่มประเทศที่ยังมีความต้องการรถยนต์สันดาปภายในอยู่ รวมถึงหามาตรการส่งเสริมการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในกลุ่ม Future ICE เช่น Product Champion, HEV หรือ PHEV เป็นต้น
  • ยกระดับอุตสาหกรรมชิ้นส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ยานยนต์สมัยใหม่ผ่านกลไกการ Matching บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยกับต่างชาติ เพื่อเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ และต่อยอดสู่ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า (Power Electric Parts) รวมทั้งฝึกอบรมแรงงาน เพื่อเข้าสู่ยานยนต์สมัยใหม่เพื่อเพิ่มทักษะและองค์ความรู้ต่างๆ
  • ขยายการส่งออกยานยนต์ประเภท ZEV (Zero Emission Vehicle) ไปยังประเทศที่มีศักยภาพ พร้อมเร่งรัดการเจรจาข้อตกลง FTA โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศที่มีนโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อมีสิ่งแวดล้อม

โดยคาดหวังว่ามาตรการเหล่านี้ จะสามารถกระตุ้นตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ปีนี้ และปีต่อๆไป ให้ฟื้นตัวไปสู่ระดับปกติ และดียิ่งขึ้นต่อไป”

ยามาฮ่าจับมือ ททท. และ อัมรินทร์ทีวี เปิดแคมเปญท่องเที่ยว “สุดทุกฟีล..ชิลทุกวัน @ภาคตะวันออก”

เปิดประสบการณ์ใหม่เที่ยว 5 MUST DO IN THAILAND เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “Feel The Unique Experience” จับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และอัมรินทร์ทีวี เปิดตัวแคมเปญ “สุดทุกฟีล..ชิลทุกวัน @ภาคตะวันออก” เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภายในภาคภาคตะวันออก พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่เที่ยว 5 MUST DO IN THAILAND เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวัน

นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “หลังจากที่ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้เปิดตัวแบรนด์แคมเปญ “FEEL THE UNIQUE EXPERIENCE สุดทุกทาง…ต่างทุกฟีล” เพื่อส่งมอบที่สุด..แห่งประสบการณ์ใหม่ที่เหนือระดับให้กับลูกค้ารถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และความต้องการของลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

เพื่อตอบสนองความเป็นที่สุด…ในทุกความเร้าใจในการขับขี่ ยามาฮ่าได้รับเกียรติอย่างยิ่งจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ อัมรินทร์ ทีวี และ Traveloka ในการร่วมมือเปิดตัวแคมเปญ “สุดทุกฟีล..ชิลทุกวัน @ภาคตะวันออก” ในการสนับสนุน และส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคตะวันออก โดยมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้ายามาฮ่าทุกท่านสามารถใช้คะแนนสะสมจากแอปพลิเคชัน Yamaha Smart Reward แลกรับโค้ดส่วนลดพิเศษจากร้านอาหาร ที่พัก โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวในภาคตะวันออกกว่า 5,200 ร้านค้า จำกัดจำนวน 2,000 สิทธิ์ โดยสามารถแลกรับสิทธิพิเศษนี้ ได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ถึง 31 กรกฎาคม 2568 ลูกค้ายามาฮ่าสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Yamaha Smart Reward ได้ทาง App Store หรือ Google play พิเศษ ดาวน์โหลด และล๊อกอินครั้งแรก รับฟรี แต้มสะสม 5,000 แต้ม
พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถจักรยานยนต์ YAMAHA XMAX ภายในงาน Bangkok Motor Show หรือที่ร้านผู้จำหน่ายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 จะได้รับสิทธิ์เป็น 1 ใน 20 คันผู้โชคดีร่วมทริปเปิดประสบการณ์สุด Unique กับยามาฮ่าและ ททท. ณ จังหวัดปราจีนบุรี ระหว่างวันที่ 26 – 27 เมษายน 2568 สามารถติดตามกติกา และรายละเอียดได้ทาง www.yamaha-motor.co.th หรือ Facebook: Yamaha Society Thailand
ยามาฮ่า พร้อมส่งมอบที่สุดแห่งความเร้าใจในการขับขี่ ผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับลูกค้าทุกท่าน แล้วมา สุดทุกทาง…ต่างทุกฟีล ด้วยกัน”

คุณกนกกิตติกา กฤตย์วุฒิกร ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวชวนเที่ยว และสัมผัสประสบการณ์ 5 MUST DO IN THAILAND เมืองไทยเที่ยวได้ทุกวันว่า “ตามที่ รัฐบาลประกาศให้ปี2568 เป็น “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025” โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งประเทศ 276 ล้านคน-ครั้ง รายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท เน้นการส่งเสริม Soft Power ชูจุดเด่นของไทย ส่งเสริมทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ด้วยแนวคิด 5 Grand ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย Grand Festivity, Grand Moment, Grand Privilege, Grand Invitation และ Grand Celebration เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีแล้ว ยังรวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยว 5 Must Do in Thailand ประกอบด้วย Must Taste เมนูเด็ดที่ต้องชิม ประจำท้องถิ่น Must Try กิจกรรมต้องลองลุย Must Buy สินค้าอัตลักษณ์เฉพาะชุมชนต้องช้อป Must Seek วิวสวยจุดถ่ายรูป และ Must See ไลฟ์สไตล์แบบคนท้องถิ่นที่ต้องลอง ซึ่งทุกกิจกรรมจะช่วยเพิ่มความถี่ในการเดินทางท่องเที่ยว ได้ตลอดปี และเพิ่มการใช้จ่ายกระจายตัวสู่จังหวัดต่างได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งส่งเสริมให้ทุกเมืองในประเทศไทยเป็นเมืองน่าเที่ยว ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้วางไว้ ททท. จึงส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เมืองไทยเที่ยวได้สุขใจตลอด 365 วัน สร้างความเป็นอยู่ที่ดีและกระจายรายได้สู่ประชาชน นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ททท. จึงบูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดกิจกรรม “สุดทุกฟีล ชิลทุกวัน @ตะวันออก” โดยครั้งนี้ททท. ได้ร่วมกับ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด และ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด ทำโปรโมชั่นส่วนลด โรงแรมที่พัก ร้านอาหารและกิจกรรมทางการท่องเที่ยว 9 จังหวัดในภาคตะวันออกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ผ่านช่องทาง OTA และกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวด้วยการจัด Exclusive Trip นำร่องตัวอย่างเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงผ่านรถมอเตอร์ไซด์ออโตเมติกพรีเมียมสปอร์ต (ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์) เส้นทาง นครนายก-ปราจีนบุรี จำนวน 2 วัน 1 คืน พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ร่วมกับพันธมิตรตลอดทั้งโครงการเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการเดินทางอย่างต่อเนื่องในโอกาสนี้ ททท. ขอขอบคุณพันธมิตรทุกท่านที่ได้ร่วมดำเนินการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ และเล็งเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในมิติของการท่องเที่ยว ที่จะนำส่งประสบการณ์ใหม่ๆที่มีคุณค่าให้แก่นักท่องเที่ยวร่วมกัน และที่สำคัญต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่เข้าร่วมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์กิจกรรมส่งเสริมการตลาดของ ททท. ในครั้งนี้และโอกาส ต่อไป”

นางสาวธนสร จิรายุวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัดกล่าวว่า “บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ยินดีที่ได้ร่วมเป็นกำลังสำคัญในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ของอมรินทร์ทีวี โดยมีการผสมผสานทั้งสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ และอีเวนต์พิเศษที่ร่วมกันจัดเพื่อกระตุ้นความสนใจ และสร้างกระแสให้กับการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้ สื่อสารออกไปทั้งรายการโทรทัศน์ แพลตฟอร์มดิจิทัล และโซเชียลมีเดีย โดยจะนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจ อาทิ รายการท่องเที่ยว การสัมภาษณ์นักเดินทาง และผู้ประกอบการในพื้นที่ รวมถึงการถ่ายทอดบรรยากาศจากกิจกรรมจริงในแคมเปญ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ผู้ชมออกเดินทางสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษด้วยตัวเองเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญ “สุดทุกฟีล ชิลทุกวัน @ตะวันออก” จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาคตะวันออก และสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เห็นถึงเสน่ห์ของพื้นที่แห่งนี้ในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนขอขอบคุณทาง ททท.และยามาฮ่า ที่ให้เกียรติร่วมเป็นพันธมิตร และขอบคุณนักท่องเที่ยวทุกท่านที่ให้การสนับสนุน หวังว่าจะได้ร่วมเดินทางไปค้นพบความสุดทุกฟีล ชิลทุกวัน ด้วยกันในแคมเปญนี้”

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสอบถามหรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : AMARINTV หรือที่เว็บไซต์ www.amarintv.com

—————————–
#ยามาฮ่าเร่งชีวิตให้เร้าใจ
#Yamaha #RevsYourHeart
#YAMAHAXMAXConnected #ยามาฮ่า #สุดทุกฟีลชิลทุกวัน #FeelTheUniqueExprenice

กรุงศรี ออโต้ ร่วมสร้างอนาคตที่ปลอดภัย ผนึกรัฐสภา และกรมการขนส่งทางบก

กรุงศรี ออโต้ สนับสนุนหมวกกันน็อกเด็ก 1,000 ใบ

“กรุงศรี ออโต้” ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน ผนึกกำลังร่วมกับคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านยานพาหนะเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา และกรมการขนส่งทางบก รณรงค์ให้เด็กไทยอายุ 4-12 ปี สวมหมวกกันน็อกทุกครั้งเมื่อซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ มุ่งปลูกฝังพฤติกรรมของเด็ก และผู้ปกครอง ให้ร่วมมือกันป้องกันอันตราย เพื่อลดความรุนแรงจากการบาดเจ็บและลดความเสี่ยงของเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

นายคงสิน คงคา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา กรุงศรี ออโต้ ได้ดำเนินโครงการ LET’sponsible หรือ  Responsible (Let us be responsible) มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลูกฝังแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมที่สามารถเริ่มต้นได้จากตัวบุคคลและขยายผลส่งต่อไปยังคนรอบข้าง โดยมุ่งเน้นด้านการส่งเสริมพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย พร้อมผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยในปี 2568 กรุงศรี ออโต้ ได้สานต่อโครงการ LET’sponsible ส่งต่อความปลอดภัยให้เด็กไทยอายุ 4-12 ปี สวมหมวกกันน็อกทุกครั้งเมื่อโดยสารรถจักรยานยนต์ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนนของ กรุงศรี ออโต้ โดยมีคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านยานพาหนะเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา และกรมการขนส่งทางบก ให้เกียรติร่วมมือกันผลักดันการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านการร่วมแจกจ่ายหมวกกันน็อกสำหรับเด็กจำนวน 1,000 ใบ”

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ประธานคณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านยานพาหนะเกี่ยวกับการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา กล่าวว่า “คณะอนุกรรมการฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนมาโดยตลอด และมุ่งมั่นสนับสนุนมาตรการที่จะช่วยลดอุบัติเหตุและปกป้องผู้ใช้ถนน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง เราจึงยินดีที่ได้เห็นความร่วมมือจากภาคเอกชน อย่าง กรุงศรี ออโต้ ในการร่วมผลักดันแนวคิดนี้ให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากการเสียชีวิตของเยาวชนอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อการพัฒนาประเทศ เราจึงต้องร่วมกันรณรงค์ให้ทั้งผู้ปกครองและเด็กเกิดการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสวมใส่หมวกกันน็อก เพื่อไม่ต้องเสี่ยงภัยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน

นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า “กรมการขนส่งทางบก ได้ตั้งเป้าหมายลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 คนต่อแสนประชากร ภายในปี 2570 ตามนโยบายของรัฐบาล และเล็งเห็นว่าการสร้างความตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้ถนนเป็นปัจจัยสำคัญ  สำหรับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนของกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเปราะบางและมีความเสี่ยงสูง ดำเนินการจัดกิจกรรมรณรงค์ปลูกฝังวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนน ตั้งแต่วัยเยาว์ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กแต่ละช่วงวัยผ่านเว็บไซต์ kidsoer.safedrivedlt.com รวมถึงยังมีโครงการนักเรียนรุ่นใหม่ มีใบขับขี่ ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษามีทักษะการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ถูกต้อง ปลอดภัย ดังนั้น การสนับสนุนจากภาคเอกชน อย่าง กรุงศรี ออโต้ จึงถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว พร้อมเสริมสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ปลอดภัยแก่สังคมไทย

แคมเปญ LET’sponsible มุ่งส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน ปลูกฝังพฤติกรรมการใช้รถอย่างรับผิดชอบ และมุ่งเน้นให้ผู้ใช้รถใช้ถนน เคารพกฎวินัยจราจร แบ่งปันน้ำใจให้กับเพื่อนร่วมทางอันจะนำไปสู่การลดจำนวนอุบัติเหตุ ป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน กรุงศรี ออโต้ ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับสังคมไทย และมุ่งมั่นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน เพื่อให้ถนนทุกสายปลอดภัยสำหรับทุกคน

“ก้อง-สมเกียรติ” บิดคว้าอันดับ 16 โมโตจีพี สนาม 3 อเมริกาส์ กรังด์ปรีซ์

“ก้อง-สมเกียรติ” ยกระดับ ขยับเข้าใกล้แต้มแรกจากเรซสุดหิน 

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดโมโตจีพีชาวไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” หมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ บิดรถแข่ง Honda RC213V เริ่มเกมจากกริดที่ 21 ในเรซที่ต้องลดจำนวนรอบลงเหลือ 19 รอบสนาม จากเหตุธงแดงช่วงต้นเกมก่อนจะบิดเข้าป้ายในอันดับ 16 ขยับเข้าใกล้การคว้าแต้มแรกใน โมโตจีพี

ด้านทีมเมทชาวฝรั่งเศสหมายเลข 5 “โยฮันน์ ซาร์โก” พลาดล้มท้ายเรซ แต่สามารถบิดจบการแข่งขันในอันดับที่ 17 ส่วน “ลูก้า มารินี” นักบิดอิตาเลียน หมายเลข 10 จาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี บิดเข้าในอันดับ 8 ตามหลังผู้ชนะ 15.646 วินาที และ “โจอัน เมียร์” ทีมเมทชาวสแปนิช หมายเลข 36 ต้องออกจากการแข่งขัน

ขณะที่ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี เจ้าของหมายเลข 5 ดาวรุ่งชาวไทยจาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย พลาดลงแข่งขันใน โมโตทรี สนามนี้อย่างน่าเสียดาย หลังได้รับบาดเจ็บเอ็นที่หัวเข่า จากอุบัติเหตุล้มในรอบควอลิฟาย โดยจะต้องทำการรักษาและเช็คอย่างละเอียดอีกครั้ง

ทั้งนี้ ศึก โมโตจีพี 2025 สนามถัดไปจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 เมษายนนี้ ที่ สนามลูแซล อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศกาตาร์ ในรายการ กาตาร์ กรังด์ปรีซ์

แฟนมอเตอร์สปอร์ตส่งกำลังใจเชียร์ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดโมโตจีพีชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ และนักบิดฮอนด้า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กฮอนด้าเรซทูเดอะดรีม: https://facebook.com/HondaRacingTeamTH

#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #Motorsport #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #HondaHRCCastrol #JM36 #LM10 #LCRHondaTeam #LCRHonda #JZ5 #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #TheFirstThaiRiderInMotoGP #HondaTeamAsia #TB5 #Gonz #AmericasGP

“มิลเลอร์” คว้าท็อป 6 ซ้อมวันแรก ทะยาน Q2 โมโตจีพี อเมริกา

แจ็ค มิลเลอร์ ยกระดับความเร็วรถแข่ง YZR-M1

แจ็ค มิลเลอร์ ยอดนักบิดออสเตรเลียนจาก พรีม่า พรามัค ยามาฮ่า โมโตจีพี ยกระดับความเร็วรถแข่ง YZR-M1 ยอดเยี่ยม รั้งท็อป 6 ซ้อมวันแรกในศึก โมโตจีพี 2025 สนาม 3 อเมริกาส์ กรังด์ปรีซ์ ทะยานเข้าสู่ Q2 ได้สำเร็จ ก่อนลุ้นล่าโพเดียมเสาร์-อาทิตย์นี้ ที่ เซอร์กิต ออฟ ดิ อเมริกาส์

ศึก กรังด์ปรีซ์ ออฟ ดิ อเมริกาส์ ผ่านการซ้อมวันแรกเพื่อแบ่งกลุ่มการควอลิฟาย เมื่อเช้ามืดวันเสาร์ที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา ภายใต้สภาพอากาศกึ่งแห้งกึ่งเปียก หลังจากที่มีฝนตกลงมาตลอดทั้งวัน โดยในรุ่น โมโตจีพี แทร็กเริ่มแห้งทำให้นักบิดทุกคนสามารถใช้ยางสลิคได้

ผลการซ้อมปรากฏว่า แจ็ค มิลเลอร์ นักบิดออสเตรเลียนเจ้าของหมายเลข 43 จาก พรีม่า พรามัค ยามาฮ่า โมโตจีพี ยังคงสร้างผลงานร้อนแรงต่อเนื่อง รั้งอันดับ 6 ด้วยเวลาต่อรอบ 2 นาที 3.953 วินาที ตามหลังหัวแถว 1.024 วินาที สามารถทะลุเข้าสู่ควอลิฟายรอบ Q2 แบบอัตโนมัติ

ส่วน ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร นักบิดเฟรนช์เจ้าของหมายเลข 20 จาก มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี จบวันแรกในอันดับ 11 ด้วยเวลาต่อรอบ 2 นาที 4.579 วินาที ตามด้วยทีมเมทชาวสแปนิชอย่าง อเล็กซ์ รินส์ หมายเลข 42 ในอันดับ 17 ด้วยเวลา 2 นาที 5.287 วินาที และ ออกุสโต้ เฟอร์นันเดซ นักบิดทดสอบชาวสแปนิชจาก พรีม่า พรามัค ยามาฮ่า โมโตจีพี ในอันดับ 19 ด้วยเวลา 2 นาที 5.927 วินาที

จากสถานการณ์ในวันแรกที่ เซอร์กิต ออฟ ดิ อเมริกาส์ ส่งสัญญาณบวกสำหรับทัพนักบิดจาก ยามาฮ่า โดยเฉพาะการพัฒนารถแข่ง M1 ซึ่งมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดอย่างน่าสนใจในสุดสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ศึก กรังด์ปรีซ์ ออฟ ดิ อเมริกาส์ จะเข้าสู่โปรแกรมการควอลิฟายในวันเสาร์ที่ 29 มีนาคมนี้ และดวลความเร็วรอบ สปรินต์ในคืนเดียวกัน จากนั้นจะดวลความเร็วรอบชิงชนะเลิศในคืนวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมนี้ 02.00 น. (ข้ามเป็นวันที่ 31 มีนาคม) ถ่ายทอดสดทาง TrueVisionsSPOTV

—————————–
#YamahaSocietyThailand #RevsYourHeart #ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด #YamahaBeyondTheLimits
#YamahaRacing #YamahaWorldChampion #YamahaNumber1RacingTeam
#YamahaMotoGP25 #TheBlueShift
#YamahaFactoryRacingTeam
#MonsterEnergyYamahaMotoGP #FQ20 #AR42
#PrimaPramacYamaha
#JM43 #MO88

“ก้อง-สมเกียรติ” เดินหน้า พร้อมลุยโมโตจีพีกับแทร็กสุดหิน “เมียร์” พา “ฮอนด้า” รั้งท็อป 9 ตีตั๋ว Q2 ออสติน

“ก้อง-สมเกียรติ” รั้งอันดับ 21 ด้วยเวลาต่อรอบ 2 นาที 6.493 วินาที

“ก้อง-สมเกียรติ” นักบิดโมโตจีพีชาวไทย เจ้าของหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า แอลซีอาร์ ต้องพยายามอย่างหนักในการปรับตัวกับการลงบิดรถแข่ง โมโตจีพี Honda RC213V ในสนามแห่งนี้เป็นครั้งแรก ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนัก ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำความเร็วให้กับนักบิดทุกคน ก่อนจะรั้งอันดับ 21 ด้วยเวลาต่อรอบ 2 นาที 6.493 วินาที

ขณะที่ “โจอัน เมียร์” นักบิดสแปนิชจาก ฮอนด้า เอชอาร์ซี พารถแข่งหมายเลข 36 ยกระดับอย่างต่อเนื่อง รั้งอันดับ 9 จากการซ้อมวันแรกด้วยเวลา 2 นาที 4.342 วินาที ตามหลังจ่าฝูง 1.413 วินาที สามารถทะยานเข้าสู่ Q2 ได้สำเร็จ ส่วน “ลูก้า มารินี” ทีมเมทชาวอิตาเลียน หมายเลข 10 รั้งอันดับ 15 และ “โยฮันน์ ซาร์โก” นักบิดชาวฝรั่งเศสหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า แอลซีอาร์ รั้งอันดับ 20 หลังพลาดล้มช่วงท้ายการซ้อม

ด้าน “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี นักบิดดาวรุ่งชาวไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ยกระดับความเร็วได้ดีในการซ้อมวันแรก รั้งอันดับ 17 ของ โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ด้วยเวลาต่อรอบ 2 นาที 26.006 วินาที ส่งสัญญาณยอดเยี่ยมในการลุ้นแต้มสนามนี้ ที่แม้จะพลาดโอกาสทะลุสู่ Q2 ไปอย่างเฉียดฉิว

สำหรับ ศึก กรังด์ปรีซ์ ออฟ ดิ อเมริกาส์ จะแข่งขันรอบควอลิฟายเพื่อจัดอันดับสตาร์ตในคืนวันเสาร์ที่ 29 มีนาคมนี้ (ข้ามวันเข้าสู่วันอาทิตย์) ก่อนดวลความเร็ว “สปรินต์เรซ” ในคืนเดียวกัน จากนั้นจะแข่งขันรอบ “เมนกรังด์ปรีซ์” ในคืนวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมนี้ เริ่มต้นด้วย โมโตทรี 23.00 น. ต่อด้วย โมโตทู (ข้ามวันเข้าสู่วันจันทร์) 00.15 น. และปิดท้ายด้วย โมโตจีพี 02.00 น. ถ่ายทอดสดทาง True4U Truevision Now และ True SPOTV

#HondaRacingThailand #RaceToTheDream #Motorsport #MotoGP #HondaBigBike #HondaRC213V #HondaHRCCastrol #JM36 #LM10 #LCRHondaTeam #LCRHonda #JZ5 #IdemitsuHondaLCR #SC35 #Kong #TheFirstThaiRiderInMotoGP #HondaTeamAsia #TB5 #Gonz #AmericasGP

คาวาซากิ ขนทัพผลิตภัณฑ์หลากรูปแบบ มาเพื่องาน Bangkok International Motor Show 2025

คาวาซากิเปิดผ้าคลุมรถใหม่ถึง 2 รุ่น ภายในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้

W800 ปี 2025 เอาใจสายคลาสสิคกับสี Metallic Brilliant Golden Black กับลายเส้นสีทองบนพื้นดำเมทัลลิค ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา งดงาม โดดเด่นกว่าใคร W800 ถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์สวยงามเหนือกาลเวลา หยิบยื่นสมรรถนะการควบคุมการขับขี่ที่ใช้งานง่ายและการเก็บรายละเอียดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความประณีตพิถีพิถัน พร้อมกับรูปลักษณ์และสัมผัสที่คล้ายคลึงต้นตระกูลรุ่นแรกมากที่สุด จึงสามารถส่งมอบสัมผัสแห่งความอิ่มเอมและความภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์คลาสสิคให้แก่ผู้ใช้ได้อย่างถ่องแท้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Vertical Twin 773 “ซีซี” ระบายความร้อนด้วยอากาศ เครื่องยนต์ช่วงชักยาวถูกปรับจูนมาเพื่อสมรรถนะในรอบต่ำ-กลางเพื่อส่งมอบสัมผัสของแรงบิดอันทรงพลัง เพลาข้อเหวี่ยงแบบ 360 องศา ช่วยให้ W800 มีการจุดระเบิดและชีพจรการทำงานที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

เปิดจำหน่ายที่ราคา 419,000 บาท พร้อมโปรโมชั่นคูปองเงินสดมูลค่า 5,000 บาท ฟรีประกันภัยชั้น 1

 

กลับมาอีกครั้งกับเจ้าสนามแข่งอย่าง Ninja ZX-10R ปี 2025 รถจักรยานยนต์ที่ถูกสร้างมาเพื่อการขับขี่ในสนามแข่ง และได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากการครองแชมป์ในรายการ FIM World Superbike Championship 6 ปีซ้อน นับว่าเป็นผลลัพธ์ของความสำเร็จในการแข่งขันทางเรียบระดับโลกแห่งทศวรรษ รวมเข้ากับประสบการณ์ในสนามแข่งของคาวาซากิ ได้กลายมาเป็นขุมพลัง 998ซีซี 4 สูบ พร้อมกับเฟรมที่เกิดมาเพื่อการแข่งขัน และชุดอิเล็คทรอนิคล้ำสมัย เปิดทุกความเป็นไปได้ให้กับ Ninja ZX-10R Face Yourself

ราคาแนะนำที่ 859,000 บาท พร้อมโปรโมชั่นเปิดตัวสุดพิเศษ คูปองเงินสดมูลค่า 10,000 บาท ฟรีประกันภัยชั้น 1

นอกจากนี้ยังมีรถรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

กับ KLX230 Sherpa เครื่องมือเดินป่าสำหรับนักขี่จากคาวาซากิ ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้ง่าย ด้วยน้ำหนักเบาและการควบคุมที่ง่าย ความสูงของเบาะต่ำ และให้ความมั่นใจในการขี่ รูปลักษณ์ที่ทนทานเหมาะกับการใช้งานกลางแจ้ง ติดตั้งการ์ดมือและแผ่นกันกระแทกอะลูมิเนียมที่เพิ่มความสามารถในการใช้งาน พร้อมระบบเบรก ABS ที่สามารถเปิด-ปิดการใช้งานได้ทั้งหน้าและหลัง และรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านทาง Rideology the app สมชื่อ Sherpa เพื่อนคู่ใจนักเดินเขาหิมาลัย คาวาซากิได้นำ KLX230 Sherpa มาให้สัมผัสกันที่งานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ พร้อมจำหน่ายที่ราคา 159,000 พร้อมคูปองเงินสด 5,000 บาทและประกันรถหาย

และอีกหนึ่งความพิเศษของงานนี้คือ คาวาซากิ ได้นำผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ไม่เคยจัดแสดงในประเทศไทยมาทุกท่านสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด กับ รถ ATV รุ่น Brute force 750 ATV ที่จะพาคุณพิชิตเส้นทางที่ยากลำบากและภารกิจต่างๆ ด้วยความสามารถที่แข็งแกร่งและความสะดวกสบายตลอดทั้งวันที่ไม่มีใครเทียบได้ พลังที่ตอบสนองได้ดี การควบคุมที่สปอร์ต และคุณภาพการประกอบของ Kawasaki เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นด้วยความมั่นใจ และนำพาคุณไปสู่ทุกจุดหมายที่ต้องการ

 

และที่พ่วงมาด้วยกันคือ เจ๊ตสกีนั่งรุ่น Ultra310LX ที่สุดแห่งความลงตัวระหว่างความสนุกสนานและหรูหราของยานยนต์ทางน้ำ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ Supercharged อันทรงพลัง และเทคโนโลยีเหนือชั้นมากมาย ให้ผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำได้รับประสบการณ์ที่สุดยอดเหนือใครนั่นเอง

 

พิเศษสุดในปีนี้ Eliminator มาพร้อมกับการเฉลิมฉลองยอดขายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์เป็นอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นในปี 2024 มากกว่า 6,000 คัน ภายใต้แคมเปญ Just Ride No.1 โดย Eliminator มีฐานการผลิตอยู่ที่โรงงานคาวาซากิในจังหวัดระยอง ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปีตั้งแต่เปิดตัว คาวาซากิ ประเทศไทยได้ผลิต Eliminator เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปทั่วโลกแล้วกว่า 40,000 คัน นับเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ให้กับแบรนด์รถจักรยานยนต์ที่เป็นที่รักของชาวครุยเซอร์มากว่า 40 ปี นับตั้งแต่ปี 1985 นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จนี้

Eliminator ซิตี้ครุยเซอร์ที่จะมาปลุกจิตวิญญาณในตัวคุณ เครื่องยนต์สองสูบเรียง ขนาด 399 ซีซี ที่มอบแรงบิดสูง ในทุกรอบการขับขี่ น้ำหนักเบาเพียง 176 กิโลกรัม และเบาะนั่งต่ำ 735 มิลลิเมตร ให้การควบคุมที่คล่องตัว ขับขี่ง่ายแม้มือใหม่กับรถขนาดใหญ่ และถังน้ำมันขนาด 13 ลิตร ให้คุณไปได้ไกลกว่า มาพร้อมกับหน้าจอ TFT สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของผู้ใช้รถโดยเชื่อมต่อผ่านแอพพลิเคชั่น “RIDEOLOGY” ครบทั้งรูปลักษณ์อันโดดเด่นและเทคโนโลยีเพื่อการใช้งานที่สะดวกสบาย

Eliminator จำหน่ายในประเทศไทย 2 รุ่น รุ่นสแตนดาร์ดราคา 199,000 บาท และรุ่น SE ราคา 215,000 บาท พิเศษกับโปรโมชั่นเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้ ด้วยคูปองเงินสดมูลค่า 12,000 บาท ประกันรถหาย 1 ปี