VERSYS 650 ABS

เครื่องยนต์
 แบบ   4 จังหวะ/ 2 สูบ DOHC 8 วาล์ว
 ปริมาตรกระบอกสูบ  649cc
 อัตราส่วนกำลังอัด  10.8:1
 กระบอกสูบ x ระยะชัก 83.0 x 60.0 mm.
 ระบบหล่อลื่น  แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน  หัวฉีดอิเล็กทรอนิคส์
 ระบบจุดระเบิด  จุดระเบิดแบบดิจิตอล
 ระบบคลัทช์ คลัทช์เปียกหลายแผ่นแบบธรรมดา
 ระบบเกียร์ 6 เกียร์
ระบบสตาร์ท  สตาร์ทมือ
น้ำมันเชื้อเพลิง  E10,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง  19 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง   –
กว้าง*ยาว*สูง 860×2,125×1,330 มิลลิเมตร
น้ำหนักรวม  209 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน

หน้า : โช้คหน้าแบบเทเลสโคปิค UP SIDE DOWN

หลัง : โช้คแบบเดี่ยววางแนวนอน  PRELOAD

ระบบเบรก

หน้า : ดิสก์เบรกคู่  คาลิปเปอร์เบรกลูกสูบคู่

หลัง : ดิสก์เบรก คาลิปเปอร์เบรกลูกสูบเดี่ยว

ยาง/ล้อ

หน้า : 120/70ZR17M/C (58W)

หลัง : 160/60ZR17M/C (69W)

 

Honda CB150R Modern Cafe Exmotion

CB150R สุดยอดรถจักรยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตใหม่ล่าสุดจากฮอนด้า อีกหนึ่ง DNA สายพันธุ์สปอร์ตที่ผสมผสานความลงตัวของสปีด และสไตล์ เอาใจนักบิดที่หลงใหลความเท่ และโดดเด่นแห่งสไตล์โมเดิร์นคาเฟ่ และชอบความเร้าใจและท้าทายทุกการขับขี่ของสุดยอดสมรรถนะเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด 150 ซีซี ครบทุกฟังก์ชั่นให้อารมณ์การขับขี่สไตล์บิ๊กไบค์ ถือเป็นที่สุดของประสบการณ์ขับขี่รูปแบบใหม่และมาตรฐานใหม่ของรถสปอร์ต 150 ซีซี

สำหรับรุ่น Honda CB150R นี้ นับเป็นครั้งแรกที่นำเสนอความโดดเด่นแห่งสไตล์และมาตรฐานใหม่ของเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์สายพันธุ์สปอร์ตสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ ดีไซน์โดดเด่นด้วยสไตล์โมเดิร์นคาเฟ่ เส้นสายการออกแบบที่เฉียบคมและใส่รายละเอียดของสไตล์ในทุกชิ้นส่วน เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุด
ครั้งแรกในโลก ด้วยการนำเทคโนโลยีจากบิ๊กไบค์มาใส่รถสปอร์ตขนาด 150 ซีซีแบบเต็มรูปแบบ ตั้งแต่เครื่องยนต์ออกแบบใหม่ขนาด 150 ซีซี Generation 2017 DOHC 4 วาล์ว แบบ Roller Rocker Arm เกียร์ 6 สปีด ลูกสูบเคลือบโมลิบดีนั่ม ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI มาตรฐานไอเสียระดับ 6 ทำให้เครื่องแรง อัตราเร่งดีเร้าใจทุกการขับขี่ แต่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนโช้คอัพหน้าแบบหัวกลับขนาดใหญ่ 41 มม. ใหญ่สุดในรถสปอร์ต 150 ซีซี ขนาดเดียวกับ X-ADV 750 บิ๊กไบค์สายลุย ท่อไอเสียแบบสั้น ดีไซน์ใหม่ ที่วางอยู่ใกล้กับเครื่องยนต์ ระบบไฟ Full LED ทั้งคัน พร้อมเรือนไมล์ Full LCD Multifunction Meter ที่บอกฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างครบครัน ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนของเฟรมได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้เน้นการรวมมวลมาที่จุดศูนย์ถ่วงแบบ Inner Pivot Type Diamond Frame โดยเป็นการวางจุดศูนย์รวมของน้ำหนักให้อยู่ใกล้ผู้ขับขี่มากที่สุด เพื่อการควบคุมง่ายทุกสไตล์การขับขี่ เสริมความโดดเด่นด้วยดีไซน์ถังน้ำมันใหม่ที่มาพร้อมฝาถังน้ำมันแบบ Airplane Tank Cap เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยกับระบบเบรกหน้าหลัง ABS G-Sensor ที่มาพร้อมกับดิสก์เบรกหน้าจุดยึดแบบเรเดียลเม้าท์ จานเบรกแบบแยกชิ้นขนาด 296 มม. คาลิปเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ที่เป็นเทคโนโลยีจากสนามแข่ง สวิงอาร์มสไตล์บิ๊กไบค์ เสริมความมั่นใจในทุกการขับขี่ด้วยยางหลังขนาดใหญ่ 150/60-17จากการออกแบบตัวรถที่แปลกตา ในรถระดับ 150 ซีซี ซึ่งฮอนด้าเองเป็นผู้นำของเรืองการดีไซน์ สร้างเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับวงการรถจักรยานยนต์อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเชื่อได้ว่า CB150R มีดีมากกว่ารูปทรงที่ได้เห็น

ไรดิ้ง โพลสิชั่น
นั่งสบายๆ คุมง่าย
เป็นเทคโนโลยีเดียวกับการออกแบบรถแข่งโมโตจีพี รวมมวลทั้งหมดไว้ที่จุดศูนย์ถ่วงกลางตัวรถ ตำแหน่งท่านั่งการควบคุมง่าย คล่องแคล่ว ให้ความสบาย เบาะที่ไม่ใหญ่เล็กจนเกินไป นั่งได้กระชับ พักเท้าแบบสปอร์ตวางตำแหน่งอยู่กลางตัวรถ ผสมผสานกับแฮนด์เดิ้ลบาร์ที่มีความกว้าง และแข็งแรง ซึ่งใช้เทคโนโลยีจากรุ่นพี่ Africa Twin หรือรหัส CRF1000L ที่รู้จักกันทั่วโลก ช่วยให้ง่ายต่อการบังคับควบคุม เลี้ยว ถึงแม้จะมีความกว้างไปสักหน่อยสำหรับรถซีซีน้อย สัญญาณ สวิตช์ ต่างๆ ใช้งานได้สะดวกเพียงใช้นิ้วสัมผัส สำหรับคนซ้อนท้ายก็ไม่ได้นั่งจนสูงเกินไปไม่ต้องก้มตัวลงเยอะ ทำให้ทั้งคนขับและคนซ้อนอยู่ระนาบเดียวกัน

ต้องบอกว่างออฟชั่นเสริมให้มาแบบเต็มเหนี่ยวโดยที่ไม่ห่วงเรื่องของราคาหน้าร้านเลย ทำเอาค่ายอื่นสะดุ้งนอนกระสับกระส่าย โช้คอัพหน้า Upside Down มาพร้อมกับแกนขนาด 41 มม. จากรถ X-ADV 750 ซึ่งเป็นขนาดที่ใช้กับรถขนาด 600 ซีซี ขึ้นไป ถูกนำเข้ามาช่วยในการซับแรงกระแทกในช่วงหน้า ด้วยแกนที่มีขนาดใหญ่ช่วยให้การสั่นสะเทือนลดน้อยลง และยังมีตัวปรับตั้งค่าได้อีกด้วย ระบบดิสก์เบรก แค่เห็นก็รีบจะคว้ากระเป๋าเงินซื้อแล้ว เพิ่มความมั่นใจและความเท่ ครั้งแรกกับรถขนาด 150 ซีซี คาลิเปอร์เบรก 4 พอร์ท เรเดียลเม้าท์ จานเบรกแบบลอยตัว ด้วยไดมิเตอร์ของจานดิสก์ที่ใหญ่ ทำให้การใช้เบรกมีระยะการเบรกที่สั้นลง และการทำงานของ ABS+G Sensor ช่วยไม่ให้ล้อล็อคตาย และการกดย้ำหนักหรือการเบรกกะทันหันท้ายจะไม่ยกหรือปัด

สิ่งอำนวยความสะดวก
พร้อมใช้งาน
เรือนไมล์ LCD แบบสมาร์ทโฟน พร้อมฟังก์ชั่นจัดเต็ม อ่านค่าได้ง่ายเห็นชัดเจน ถึงจะมีแสงแดดจ้า และการแจ้งเตือนของไฟเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเหมาะสม สำหรับส่วนนี้มีการปรับเปลี่ยนระยะของรอบได้ เพราะในตัวสแตนดาร์ดไฟจะโชว์ที่ 7,200 รอบ/นาที ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณเตือน ใช้เป็นหลอด LED ทั้งคัน สว่างจริงชัดเจน ทั้งกลางวันและกลางคืน ยางหลังขนาดใหญ่เพิ่มความมั่นใจการการขับขี่ แบบเรเดียลเสริมใยเหล็ก แต่สัมผัสแรกก็ต้องบอกเลยว่ารถจะหนืดๆ เพราะว่าหน้ายางสัมผัสพื้นเยอะการเข็นจูงอาจไม่คุ้นชินกับรถขนาดเล็ก แต่พอได้วิ่งออกไปแล้ว มันรู้สึกถึงความเบา การพลิกเลี้ยวที่คล่องตัว และแน่นอนว่าการเข้าโค้งที่ใช้ความเร็วได้สูงขึ้นขี่สนุกและมั่นใจมากขึ้นด้วย

เครื่องยนต์ใหม่
ให้อารมณ์สปอร์ต
เครื่องยนต์มีการออกแบบใหม่ เพิ่มอัตราการเร่งที่ดีขึ้น เสื้อสูบ ปลอกแบบมีผิวขรุขระเพิ่มพื้นผิวภายนอกให้สัมผัสกันมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ลดการขยายตัวของลูกสูบและแหวน ลูกสูบ เคลือบโมลิบดีนั่ม ลดแรงเสียดทาน ฝาสูบใหม่ DOHC 4 วาล์ว ไอดีเข้ามาคายไอเสียสะดวก ดีไซน์ห้องเผาไหม้ใหม่ อัตราส่วนกำลังอัดสูงที่สุดในรถสปอร์ต 11.3 : 1 แรงม้าสูงสุดที่ 9,500 รอบ/นาที กระเดื่องวาล์วใหม่ แบบโรลเลอร์ยูนิตแคม ลดแรงเสียดทาน ไม่กินแรงเครื่อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับรถบิ๊กไบค์อย่างเช่น VFR122 และ CBR500 Series เพลาข้อเหวี่ยงเพิ่มระยะชัก ให้แรงบิดดีตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบสูง ตอบสนองได้อย่างต่อเนื่อง ผ้าคลัทช์ใหม่ เพิ่มพื้นผิวจากเดิม 11% เพิ่มประสิทธิภาพการรับและส่งกำลังจากเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่สูญเสียกำลังงานทุกอย่างจัดมาอย่างเต็มอัตราทำให้การขับขี่นั้นเร้าใจ สามารถเติมคันเร่งได้ทุกรอบเครื่องยนต์ การทรงตัวที่เป็นเยี่ยมและความคล่องตัวตอบสนองความต้องการ ด้วยเทคโนโลยีขนาดนี้กับรถเครื่องยนต์ 150 ซีซี และราคาที่เปิดตัว 99,800 บาท สำหรับตัวธรรมดา รุ่น ABS ราคา 109,800 บาท สัมผัสตัวจริงได้แล้วที่ ฮอนด้า วิงเซ็นเตอร์ ทั่วประเทศ

การตอบสนองกำลังเครื่องยนต์แบบสูบเดี่ยว ที่เร็วแรงฉับไว รอบเครื่องยนต์ความต่อเนื่อง และลื่นไหลได้ดี สมรรถนะการทรงตัวมีบาร์ล้านซ์ที่จุดศูนย์กลางทำให้ควบคุมได้ง่าย คล่องตัว ท่านั่งสบายๆ ตัวรถออกแบบไม่ใหญ่จนเกินไป สำหรับออพชั่นที่ให้ ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเต็มที่ เบรกเรเดียลเม้าท์ เอาอยู่ทุกย่านความเร็ว ABS เพิ่มความปลอดภัยใส่กับผู้ขับขี่ แฮนด์กว้างคุมง่ายเบาแรง ยางใหญ่โอเวอร์ไซส์ ยึดเกาะถนนหนึบมั่นใจในการเข้าโค้ง

VERSYS-X 300

 

เครื่องยนต์
 แบบ   4 จังหวะ/ 2 สูบ DOHC 8 วาล์ว
 ปริมาตรกระบอกสูบ  296 cc
 อัตราส่วนกำลังอัด  10.6:1
 กระบอกสูบ x ระยะชัก 62.0 x 49.0 mm
 ระบบหล่อลื่น  แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน  หัวฉีดอิเล็กทรอนิคส์
 ระบบจุดระเบิด  จุดระเบิดแบบดิจิตอล
 ระบบคลัทช์ คลัทช์เปียกหลายแผ่นแบบธรรมดา
 ระบบเกียร์ 6 เกียร์
ระบบสตาร์ท  สตาร์ทมือ
น้ำมันเชื้อเพลิง  E10,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง  17 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง   –
กว้าง*ยาว*สูง 860×2,170×1,390 มิลลิเมตร
น้ำหนักรวม  175 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน

หน้า : โช้คหน้าแบบเทเลสโคปิค

หลัง : โช้คแบบ Bottom-Link Uni-Trak, ปรับระดับได้

ระบบเบรก

หน้า : ดิสก์เบรก

หลัง : ดิสก์เบรก

ยาง/ล้อ

หน้า : 100/90-19M/C 57S

หลัง : 130/80-17M/C 65S

 

2018 Yamaha PW50+TT-R50E

เพียงแค่บิดแล้วก็พุ่งทะยานไป กับแนวความคิด a twist and go ในการออกแบบรถวิบาก Fully automatic transmission อย่าง PW50 ที่ สายวิบาก คุ้นเคยกันดีกับรถออโต้ สำหรับ นักบิดในระดับ”ยุวชน”ด้วยเครื่องยนต์แบบสองจังหวะขนาด 49 ซีซี ที่ออกแบบให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวล เหมาะสำหรับนักขี่หรือนักแข่งในระดับยุวชนที่ต้องการ”เริ่มต้น” ด้วยการฝึกฝนทักษะท่าทางการขับขี่ การควบคุมจังหวะการทรงตัวการขับขี่ โดยไม่ต้องกังวลกับเรื่องของระบบคลัทซ์และเกียร์ โดย PW50 เป็นรถที่ออกแบบมาให้มีความต้องการบำรุงรักษาที่ต่ำ ดังนั้นระบบขับเคลื่อนจึงใช้การส่งกำลังด้วยเพลาแทนโซ่ที่จะไม่ต้องคอยปรับตั้งหรือแม้แต่ต้องคอยดูแลการหล่อลื่น อีกทั้งยังตัดความยุ่งยากในเรื่องของการผสมน้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย โดยภาพรวมนี่คือรถวิบากสำหรับเริ่มต้นสำหรับเด็กๆที่มีความต้องการการดูแลรักษาต่ำมากที่สุด เพื่อเน้นไปที่เรื่องการฝึกทักษะและคิดคำนึงในส่วนของการดูแลความปลอดภัยของนักบิดตัวจิ๋วด้วยการใส่ใจในส่วนของไรดิ้งเกียร์แทน โดยไม่ต้องมากังวลใดๆเกี่ยวกับตัวรถ

จากรถระดับเริ่มต้นเครื่องยนต์สองจังหวะแบบ single speed ก็ก้าวขึ้นมาสู่ระดับแอ๊ดว้านซ์ด้วย TT-R50E ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์สี่จังหวะสามเกียร์ หรือ three speed automatic clutch transmission และแน่นอนว่าด้วยความที่เป็นหนึ่งซีรี่ส์ TT-R ที่มี รหัส E พ่วงท้าย นั่นหมายความว่า TT-R50E ตัวนี้จึงมาพร้อมกับระบบสตาร์ทไฟฟ้า ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขี่ ในขณะที่องค์ประกอบส่วนควบของรถนั้นมีความเป็นไปในลักษณะเดียวกับรถวิบาก full size ด้วยฟอร์คหน้าแบบหัวกลับพร้อมกันสะเทือนหลังแบบ monocross ว่ากันว่า นี่คือรถในระดับแอ๊ดว้านซ์สำหรับยุวชนนักบิดตัวเล็กที่จะใช้ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการควบคุมจังหวะการขี่ในโค้ง ด้วยขุมพลัง จากเครื่องยนต์สี่จังหวะขนาด 50 ซีซี SOHC 2วาล์ว ระบายความร้อนด้วยอากาศ นอกจากนี้ในส่วนของความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่จึงได้มีการเพิ่มสกรูสำหรับควบคุมคันเร่ง หรือ Adjustable throttle stop screw ว่าสามารถเปิดหรือเร่งได้มากน้อยแค่ไหนเพื่อทำการควบคุมความเร็วสูงสุดขณะขับขี่ได้อีกด้วย และนี่คือ สองรถวิบากสำหรับการเริ่มต้นของนักบิดระดับยุวชนเวอร์ชั่นล่าสุดจากยามาฮ่า

สำหรับ 2018 PW50 มีข้อมูลดังนี้
Engine : 2-stroke, air-cooled, reed-valve, single
Displacement : 49cc
Bore and Stroke : 40 x 39.2mm
Compression Ratio : 6.0:1
Maximum Torque : 0.36kg-m (2.6 ft-lb) @ 4,500 rpm
Fuel Delivery : Mikuni VM12SC
Ignition / Starting : CDI / Kick
Transmission : Single-speed automatic (no clutch)
Final Drive : Shaft
Suspension (Front) : 22 mm fork / 60mm
(2.4”) wheel travel
Suspension (Rear) : Unit swingarm / 50 mm
(2”) wheel travel
Brakes (Front) : Drum
Brakes (Rear) : Drum
Tires (Front) : 2.50-10
Tires (Rear) : 2.50-10
Length : 1,245 mm (49″)
Width : 610 mm (24″)
Height : 705 mm (27.8″)
Wheelbase : 855 mm (33.7″)
Ground Clearance : 95 mm (3.7″)
Seat Height : 475 mm (18.7″)
Fuel Capacity : 2 litres (0.4 imp. gallons)
Wet Weight : 41 kg (90 lb)
สำหรับข้อมูลของ 2018 TT-R50E มีรายละเอียดดังนี้
Engine : 4-stroke, air-cooled, SOHC, 2-valve, single
Displacement : 50cc
Bore and Stroke : 36 x 48.6mm
Compression Ratio : 9.5:1
Maximum Torque : 0.32 kg-m (2.3 ft-lb) @ 5,500 rpm
Fuel Delivery : Mikuni VM11
Ignition / Starting : CDI / Electric
Transmission : 3-speed, semi auto (automatic clutch)
Final Drive : Chain
Suspension (Front) : 22mm inverted fork / 96mm
(3.8″) wheel travel
Suspension (Rear) : Monocross, single shock / 71mm
(2.8″) wheel travel
Brakes (Front) : Drum
Brakes (Rear) : Drum
Tires (Front) : 2.50-10
Tires (Rear) : 2.50-10
Length : 1,305mm (51.4″)
Width : 595mm (23.4″)
Height : 795mm (31.3″)
Wheelbase : 925mm (36.4″)
Ground Clearance : 135mm (5.3″)
Seat Height : 555mm (21.9″)
Fuel Capacity : 3 litres (0.66 imp. gallons)
Wet Weight : 57kg (126 lb)

SCOYCO BOOTS MR001

รองเท้าสำหรับขับขี่รถจักรยานยนต์แบบทางเรียบ เป็นรองเท้าบู๊ทหนังทรงสูง เสริมความแข็งแรงด้วยพลาสติกในจุดสำคัญอย่างครบถ้วน ตั้งแต่หน้าแข้ง ตาตุ่มด้านนอก ส้นเท้า ปลายนิ้ว ตรงตาตุ่มกับการ์ดส่วนบนมีการป้องกันต่อเนื่องด้วยชิ้นข้อต่อที่สามารถขยับได้ทำให้ข้อเท้าไม่ถูกบล็อค ส่วนด้านในเรียบง่ายตามสไตล์รองเท้าทางเรียบส่วนใหญ่ ด้านในส่วนน่องเสริมแผ่นยางพร้อมลายกันลื่น เปิดและปิดด้วยซิปผ่าตั้งแต่ข้างฝ่าเท้าจนถึงส่วนบนสุดแล้วปิดทับด้วยแถบเวลโคร (ตีนตุ๊กแก) แน่นหนา ที่หลังเท้ามีการเสริมความหนาของแผ่นกันลื่นสำหรับใช้เปลี่ยนเกียร์มาให้เหมือนกันทั้งสองข้าง ส่วนที่ต้องการความยืดหยุ่นอย่างด้านหน้าข้อเท้าและด้านหลังเอ็นร้อยหวายก็ให้เป็นหนังสังเคราะห์แบบย่นนุ่มๆ เป็นพื้นที่กว้าง พื้นรองเท้าเป็นแบบอัดกาว และมีการคาดแถบสะท้อนแสงเพื่อความปลอดภัยเอาไว้ทั้งด้านข้างและด้านหลังของรองเท้า

แหล่งผลิต : ประเทศจีน ตามมาตรฐานของ Scoyco
ราคา : 3,800 บาท

การใช้งาน : ทีมทดสอบเราได้รับรองเท้าบู๊ท MR001 จากสคอยโก้ ก็เจอศึกหนักเมื่อต้องใช้ในการแข่งขัน R2M Endurance 8 Hour โดยนักทดสอบของเราใช้ขับขี่กว่า 4 ชั่วโมง จึงเป็นโอกาสดีมากๆ ที่จะทดลองรองเท้าคู่นี้ การออกแบบถือว่าดูดีมากมาย ดูแข็งแรง ทันสมัย และตัววัสดุที่ใช้ก็ไม่ก๋องแก๋ง เก็บงานมาเรียบร้อยทั้งการตัดเย็บและอัดกาว น้ำหนักเบาเปิดแถวเวลโครแล้วรูดซิปลงเช่นเดียวกับหลายยี่ห้อ ก็สวมใส่ได้ง่ายๆ ด้านในบุผ้าฟองน้ำทำให้สัมผัสในการสวมใส่นั้นนุ่มนวล ปลายซิปมีติ่งสำหรับล็อคกันซิปเลื่อนลงเวลาขับขี่ สวมใส่เข้าไปแล้วให้ความรู้สึกนุ่มสบายกว่าที่คิด พอไปลองขับขี่ดูพบว่าการขยับเท้าทำได้ง่ายไม่ขืนหรือติดขัด จัดว่าเป็นรองเท้าที่ใส่สบายไม่ต้องปรับตัวนาน พื้นรองเท้าไม่อ่อนจนทำให้รู้สึกย้วยเมื่อต้องเหยียบบนพักเท้ารถแข่ง และจากประสบการณ์ใช้งานรองเท้า Scoyco มาหลายคู่ พื้นอัดกาวทนทานมากขนาดแกะกล่องออกทริปแรกต้องเดินเข็นรถในน้ำยังใช้ได้อีกกว่า 2 ปีโดยพื้นกาวไม่หลุด ส่วนความหนาของหลังเท้าในส่วนที่ต้องใช้งัดเกียร์ไม่จัดว่าหนาจนไม่รู้สึก สรุปเป็นรองเท้าขี่มอเตอร์ไซค์ที่ให้ภาพลักษณ์ความเป็นเรซซิ่งสปอร์ตอย่างเต็มที่ด้วยฟังก์ชั่นการป้องกันครบ แต่ความสบายในการสวมใส่และแถบสะท้อนแสงขนาดใหญ่ก็ทำให้มันเหมาะกับการใช้ทัวร์ริ่งบนท้องถนนได้ด้วยเช่นกัน เทียบราคาจำหน่ายแล้วเกินคุ้ม

ผู้บริหาร และพนักงานไทยยามาฮ่า ร่วมใจภักดิ์รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ รัชกาลที่ ๙

มร.ชิเงโอะ ฮายาคาวะ ประธานกรรมการบริหาร นายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร ผู้บริหารระดับสูง และพนักงาน บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พร้อมด้วยมร.ทาคาอะกิ คิมูระ Executive Vice President and Representative Director บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) ร่วมกันปลูกดอกดาวเรือง บริเวณรั้วรอบ และภายในบริษัทฯ เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ไทยลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี โดยดอกดาวเรือง หรือ ดอกไม้สีเหลือง เป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และยังมีความหมายที่เปรียบเสมือนพระจริยวัตรที่เรียบง่าย และพอเพียง และสามารถพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า อีกทั้งยังทรงบำเพ็ญแต่ความดีงามประทับไว้ในใจคนไทยตราบนานเท่านาน โดยการปลูกดอกดาวเรืองในครั้งนี้มีขึ้นที่ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560

QBIX PJ RACING

กระแสยังไม่หยุดง่ายสำหรับรถจักรยานยนต์แนวออโตเมติกล้ำสมัยด้วยดีไซน์และเทคโนโลยี พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่สามารถขับขี่ใช้งานได้อย่างสบายและโดดเด่นด้วยการออกแบบสีสันถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มลวดลายรอบคันผสมผสานกับสติ๊กเกอร์ฉีกแนวและสะดุดตาน่ามองมากยิ่งขึ้น จากหน้าถึงหลังมีการเพิ่มของแต่งอื่นๆ เพื่อความสวยงาม เบาะนั่งปาดแต่งใหม่และครอบท้ายตระแกรง รองรับสัมภาระในการเดินทาง ใต้เบาะที่มีขนาดใหญ่ใส่ของได้อย่างจุใจ เอนกประสงค์ด้วยช่องเสียบชาร์ทไฟที่ไม่พลาดโลกแห่งโซเชียล แฮนด์บาร์กว้างควบคุมได้ง่าย ปลอกแฮนด์ใหม่ ก้านเบรกปรับระดับแต่ยังคงใช้ปั๊มแรงดันแท้งค์เหลี่ยม ประกับคันเร่งแบบสองสายกันค้าง กระจกมองหลังทรงเหลี่ยม เรือนไมล์ดิจิตอล และครอบปิดด้านหน้า ไฟหน้าแบบสองชั้น ไฟเลี้ยวแยก

วงล้อแม็กขนาด 12 นิ้ว ยางแบบกึ่งทางเรียบและทางขรุขระ ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์ RCB จานดิสก์แต่งลายระบายความร้อน โช้คอัพหน้าของแต่งยอดฮิต Gazi แบบหัวกลับ โช้คอัพหลังเดี่ยวที่มั่นใจของแต่งระดับแนวหน้า Gazi แบบมีซับแท้งค์บิ้วท์อินสามารถปรับได้ วงล้อหลังแม็กปิดทึบ เบรกหลังแบบดรัมใช้ขารั้งโค้งอลูมินัมแยกชิ้น

เครื่องยนต์ขนาด 125 ซีซี ที่ให้ความประหยัดและขับขี่ได้อย่างนุ่มนวลกับเทคโนโลยี BLUE CORE กรองอากาศเดินคอสแตนเลสออกมาสูดอากาศด้านข้าง และเสริมพละกำลังรีดแรงม้าด้วยท่อสแตนเลส ซึ่งเพียงพอสำหรับรถขนาดเล็กที่อยากจัดจ้าน

2018 Husqvarna FC250

สำหรับในไลน์การผลิตรถ MXer จาก Husqvarna ในกลุ่ม Full Size bikes นั้นจะมีการอัพเดทแบบไมเนอร์เช้นจ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่มีใหม่ก็คือ New Magura Braking System , New Li-ion Battery , New Seat Cover , New Graphics ซึ่ง ระบบเบรกของ My 2018 หรือรถโมเดล 2018 แม้ว่าระบบเบรกหน้าหลังจะมีดีไซน์ที่คล้ายๆ กับโมเดลก่อนหน้านี้ แต่ทาง Magura ยืนยันว่า เบรกหน้าและหลังใหม่นี้จะให้ความรู้สึกที่เหนือกว่า ในประสิทธิภาพการเบรกในขณะที่ใช้พลังขับเคลื่อนในระดับสูง จากคาลิเปอร์เบรกของ Magura ที่จะทำงานร่วมกับจานดิสก์หน้าขนาด 260 มม. กับ จานดิสก์หลัง ขนาด 220 มม. ที่ผลิตโดย GSK ที่พร้อมให้พลังในการหยุดที่ยอดเยี่ยมและได้สมดุลในจังหวะการใช้เบรก

สำหรับในส่วนของแบตเตอรี่ใหม่นั้น เป็น New Li-ion Battery ขนาด 2.2Ah ที่ให้กำลังไฟที่สม่ำเสมอยาวนานสำหรับรองรับระบบสตาร์ทไฟฟ้าที่มีติดตั้งให้กับรถ MXer เครื่องยนต์สี่จังหวะทุกรุ่น ที่สำคัญแบตเตอรี่ใหม่นี้จะมีน้ำหนักที่เบายิ่งขึ้น และในส่วนของกราฟฟิคใหม่ นั้นได้คุมโทนเป็นสีขาวแบบดั้งเดิม พร้อมด้วยเฉดสีน้ำเงิน-เหลืองที่เรียบง่าย ตามแบบฉบับดั้งเดิมของรถที่มีต้นกำเนิดเดิมจากสวีเดน และในส่วนผ้าคลุมเบาะใหม่ ผลิตออกแบบมาให้มีการยึดเกาะที่ดีพร้อมตอบสนองทุกจังหวะการเคลื่อนไหวขณะขับขี่ด้วยเบาะนั่งแบบ low profile ที่ออกแบบมาเข้ากับสรีระขณะนั่ง โครงสร้างเฟรม hydro-formed ที่ตัดชิ้นส่วนด้วยเลเซอร์และใช้การเชื่อมชิ้นส่วนเฟรมโดยหุ่นยนต์ ภายใต้กรรมวิธีการผลิตโดย WP Performance System ที่มีมาตรฐานสูงสุดในการผลิต จึงเป็นเฟรมที่มีคุณภาพสูงแข็งแกร่งให้ความรู้สึกของการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ขณะที่ส่วนของซับเฟรมนั้น เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ที่มีน้ำหนักเพียง 1.4 กก. มาที่ส่วนของระบบกันสะเทือนนั้น ชุดฟอร์คหน้าเป็น WP AER 48 Front Forks ที่แยกระบบการทำงานเป็นฝั่งของ air spring กับ pressurized oil chamber ที่จับยึดกับโครงสร้างเฟรมด้วย ชุดแผงคอ CNC Machined Triple Clamps ที่มีขนาดออฟเซทที่ 22 มม. ได้มีการปรับยางรองรับแรงสั่นสะเทือน integrated rubber damping system ที่ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนและเพิ่มความสบายให้กับผู้ขับขี่ ซึ่งแผงคอชุดนี้ผู้ขับขี่สามารถปรับตำแหน่งแฮนเดิ้ลบาร์ได้ และในส่วนของ ระบบกันสะเทือนหลังนั้น เป็นชุดโช้คหลังเดี่ยว WP DCC REAR SHOCK ที่มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบา แต่มีประสิทธิภาพในการรองรับแรงสั่นสะเทือน และให้สมดุลที่ดีขณะที่ซึมซับแรงสั่นสะเทือนขณะขับขี่ ซึ่งมีระยะยุบตัวที่ 300 มม.เมื่อทำงานร่วมกับระบบกระเดื่องหรือ linkage system ล้ำสมัยด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่กลายเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับรถแข่งหรือรถจักรยานยนต์สมัยใหม่ โดยจะมี Map Swith ที่ใช้สำหรับเลือกค่า engine maps สองค่าที่แตกต่างกันได้ รวมทั้งยังสามารถสั่งการระบบช่วยในการออกสตาร์ทหรือ Launch Control เพื่อให้ได้สมรรถนะและการยึดเกาะที่ดีที่สุดในขณะสตาร์ทออกจากเกทสตาร์ท

จากการเป็นเครื่องยนต์สี่จังหวะยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดดังนั้น “กล่อง” หรือระบบควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงและจุดระเบิดจึงมีความสำคัญ โดย Engine Management System หรือ EMS เป็นระบบที่พัฒนาและออกแบบมาให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด มีประสิทธิภาพการประมวลผลข้อมุลที่รวดเร็วด้วย Keihin EMS และนอกจากนี้ยังมี Traction Control ที่สามารถควบคุมหรือเลือกเปิดปิดการใช้งานด้วยการกดปุ่มที่แฮนเดิ้ลบาร์ ระบบนี้จะทำหน้าที่ควบคุมการส่งกำลังเครื่องยนต์ไปที่ล้อหลังให้มีความเหมาะสมกับสภาพการขับขี่ให้มีการยึดเกาะที่ดีที่สุด กล่าวคือ ถ้ารอบการทำงานเครื่องยนต์สูงเกิน ระบบก็จะจำกัดหรือลดกำลังที่ส่งผ่านไปล้อหลังให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการขับขี่นั่นเอง เพราะฉะนั้นนักแข่งที่ชอบจังหวะการขับขี่ที่ต้องการให้ล้อหลังมีอาการสไลด์หรือดิ้น ก็สามารถที่จะปิดการใช้งาน Traction Control นี้ได้ โดยเครื่องยนต์ของ FC250 นี้มีกำลังสูงสุด 46 แรงม้า ที่ 14,000 รอบต่อนาที

ซึ่งสเปคพื้นฐานของตัวรถมีดังนี้ 

EngineDesign : 1-cylinder, 4-stroke engine
Displacement : 249.9 cm³
Starter : Electric starter
Transmission : 5-speed
Primary drive : 24:73
Secondary gear ratio : 14:51
Clutch : Wet, multi-disc clutch,
Magura hydraulics
EMS : Keihin EMS
Frame design : 25CrMo4 steel
central-tube frame
Front suspension : WP-USD, AER 48, Ø 48 mm
Rear suspension : WP shock absorber
with linkage
Suspension travel (front) : 12.2 inch
Front brake : Brembo twin-piston floating
calliper, brake disc
Rear brake : Brembo single-piston floating
calliper, brake disc
Rear brake disc : diameter 220 mm
Steering head angle : 63.9 °
Seat height : 37.8 inch
Weight without fuel : 217.81 lb.
Suspension travel (rear) : 11.81 inch
Tank capacity (approx.) : 1.85 US gal

2018 Honda CRF250R

ประโยคแรกจากเอกสารประชาสัมพันธ์จาก Honda สั้นๆได้ใจความก็คือ เครื่องยนต์ DOHC ใหม่ ที่ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิม 9% และมีรอบ redline ที่สูงมากกว่าเดิม อีกทั้งยังมีการติด
ตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ ที่มีมาใน 2018 CRF250R ด้วยอานิสงค์จากรุ่นเรือธงพิกัด 450F อย่างโมเดล 2017 CRF450R จะเพิ่งวิวัฒนาการครั้งใหญ่ด้วยเฟรมเจเนอเร
ชั่นที่ 7 พร้อมด้วยแนวคิดในการพัฒนา “Absolute Holeshort” ได้นำมาถ่ายทอดใช้กับรุ่นรองลงมาในพิกัด 250F อย่าง 2018 CRF250R ที่ได้นำมาปฏิวัติใหม่อีกครั้งด้วยการปรับมิติของตัวรถพร้อมด้วยพัฒนาในส่วนของระบบกันสะเทือนในทิศทางเดียวกับที่ใช้ในรุ่น 450F แต่ได้มีการนำเครื่องยนต์ตัวใหม่ New DOHC engine ที่ทางฮอนด้ามั่นใจว่า โมเดลล่าสุดอย่าง 2018 CRF250R นี้จะสามารถตอบสนองผู้ขับขี่ในระดับมือใหม่จนถึงระดับโปรได้อย่างดี ซึ่งหัวหน้าโปรเจ็คพัฒนา 2018 CRF250R คือ Mr.Mokio Uchiyama ได้กล่าวถึงการพัฒนาว่า
CRF250R ใหม่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความโดดเด่นในการออกตัว เร่งทะยานมุ่งเข้าสู่โฮลชอต และพละกำลังที่ยอดเยี่ยมในทุกรอบ ได้ทำการเปลี่ยน Unicam power unit ด้วยเครื่องยนต์ ใหม่ DOHC engine ที่มีรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่รุนแรงยิ่งขึ้น รอบการทำงานสูงขึ้น เหมาะสมกับการทำงานร่วมกับเฟรม CRF450R ที่พัฒนาให้มีการควบคุมการขับขี่ที่ดี ได้รับประสิทธิภาพในการยึดเกาะที่ล้อหลังเป็นอย่างดี ทุกส่วนของการพัฒนาล้วนได้รับการดูแลจากทาง HRC เพื่อให้ภาพรวมของ 2018 CRF250R เป็นรถที่เปี่ยมสมรรถนะในการแข่งขัน มีความทนทาน และเป็นรถแข่งที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น ”

สำหรับ 2018 CRF250R มีการพัฒนาที่เหนือกว่า 2017 CRF250R เมื่อเทียบอัตราส่วนระหว่างกำลัง ต่อ น้ำหนักแล้ว จะพัฒนาจากเดิมถึง 5% และหากเปรียบเทียบทดสอบกันแบบล้อต่อล้อแล้ว จะพบว่า ในระยะ 0-10 เมตรนั้น CRF250R เวอร์ชั่นล่าสุด สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 3% อีกทั้งยังมีความว่องไวเพิ่มขึ้นถึง 3.6% ในระยะที่มากกว่า 30 เมตร หรืออาจกล่าวได้ว่า CRF250R เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ เร็วกว่า ครึ่งคันรถ และ หนึ่งช่วงคันรถ ในระยะทางที่กล่าวถึงนี้ ด้วยเครื่องยนต์ DOHC engine ที่ออกแบบให้เป็นเครื่องยนต์ over-square bore and stroke ที่ปรับมาเป็นขนาด 79×50.9 มม. พร้อมด้วยวาล์วที่โตขึ้น โดยวาล์วไททาเนียมใหม่ มีการปรับ ในส่วนของ ไอดีจาก 30.5 เป็น 33 มม.ส่วนวาล์วไอเสีย ปรับจาก 25 เป็น 26 มม. รวมทั้งการปรับไอดีและไอเสียใหม่ จึงเป็นส่วนสำคัญให้มีกำลังที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งรอบการทำงานของเครื่องยนต์ในการเร่งจากโค้งถึงโค้งนั้นสามารถลากกำลังเครื่องยนต์ได้รอบการทำงานที่สุงขึ้นถึง 2,000 รอบ ต่อนาที เช่นเดียวกับที่รอบการทำงานสูงสุดหรือ redline ของครื่องยนต์นั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก 900 รอบต่อนาที ซึ่งอัตราส่วนกำลังอัดของเครื่องยนต์เพิ่มจาก 13.8:1 เป็น 13.9:1

ขณะที่ในส่วนของโครงสร้างแชสซีส์ที่ปรับมาใช้พื้นฐานของเฟรมเจเนอเรชั่นที่ 7 แบบเดียวกับ CRF450R ในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับเฟรมเดิมของ CRF250R ในเวอร์ชั่นเดิมแล้วจะพบว่า สามารถลดน้ำหนักเฟรมลง 340 กรัม จาก aluminum beam frame ของรุ่นเดิม แล้วเมื่อเทียบมิติตัวรถกับ CRF250R เดิม จะพบว่าเฟรมใหม่ล่าสุดนี้ให้ระยะวีลเบสสั้นลง 3 มม. มาเป็นระยะที่ 1,486 มม. และระยะห่างระหว่างจุดยึดสวิงอาร์มกับแกนล้อหลังก็จะสั้นลง 15 มม. เหลือระยะห่าง 573 มม. ขณะที่ในส่วนของซับเฟรมนั้น สามารถลดน้ำหนัดลงได้จากเดิม 20% ช่วยให้สามารถจัดการเรื่องจุดศูนย์ถ่วงน้ำหนักของรถได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ความสูงเบาะนั่งเพิ่มขึ้นอีก 6 มม. เป็นสูง 957 มม. ในขณะที่ระยะห่างจากพื้นหรือ ground clearance เพิ่มขึ้นอีก 5 มม. ทำให้มีระยะห่างเพิ่มเป็น 327 มม. โดยที่น้ำหนักรถที่ไม่มีเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 103.3 กก. และ น้ำหนักรถพร้อมเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 108.1 กก.

สำหรับระบบกันสะเทือนนั้นได้แทนที่หรือเปลี่ยนจากกันสะเทือนหน้า Showa SFF-TAC-Air front fork มาเป็น Showa USD coil-spring fork ที่มีขนาดแกน 49 มม. ซึ่งใหญ่กว่าของเดิมที่มีขนาด 48 มม. และแม้ว่าจะมีทางเลือก คือ Showa Kit fork ที่เป็นชุดแต่ง แต่ก็จะจำกัดเฉพาะทีมแข่งโมโตครอสในเกมชิงแชมป์ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งสเปคพื้นฐานของ 2018 CRF250R มีข้อมูลดังนี้

Technical Specifications
ENGINE : Type Liquidcooled 4stroke
single DOHC
Displacement : 249.4cc
Bore x Stroke : 79mm x 50.9mm
Compression Ratio : 13.9 : 1
Oil Capacity : 1250cm3
FUEL SYSTEM : Carburation Fuel injection
Fuel Tank Capacity : 6.3 litres
Ignition : Full transistor
Starter : Electric
Clutch Type : Wet multiplate
Transmission Type : Constant mesh
Final Drive : Chain
FRAMEType : Aluminium twin tube
Dimensions (L´W´H) : 2183mm x 827
mm x 1274mm
Wheelbase : 1,486mm
Caster Angle : 27.5 degrees
Trail : 116mm
Seat Height : 957mm
Ground Clearance : 327mm
Weight : 108kg
SUSPENSION Type Front : 49mm Showa coilsprung fork
SUSPENSION Type Rear : Showa monoshock using Honda ProLink system
WHEELS Type : Front Aluminium spoke
WHEELS Type : Rear Aluminium spoke
Tyres Front : 80/10021 Dunlop MX3S
Tyres Rear : 100/9019 Dunlop MX3S
BRAKES Front : 260mm hydraulic wave disc
BREAKS Rear : 240mm hydraulic wave disc

ทัพนักบิด YAMAHA THAILAND RACING TEAM ฟอร์มเดือด สู้สุดใจ กระชากคันเร่งรถแข่งตระกูล R-Series ผงาดยืนโพเดี้ยม ศึกชิงแชมป์เอเชีย สนาม 5

ทัพนักบิด YAMAHA THAILAND RACING TEAM สวมใจนักสู้สายเลือดไทย โชว์ฟอร์มไล่บู๊คู่แข่งสะท้านแทร็คในศึกชิงแชมป์เอเชียรายการ FIM Asia Road Racing Championship 2017 สนามที่ 5 ก่อนกระชากคันเร่งรถแข่งตระกูล R-Series ผงาดยืนโพเดี้ยมได้สำเร็จ โดย ตี – อนุภาพ ซามูล #500 สามารถคว้าชัยชนะอันดับ 2 รุ่น Asia Production 250 cc เรซ 1 และจบอันดับ 4 เรซ 2 พร้อมขยับคะแนนสะสมขึ้นมารั้งอันดับ 2 ได้สำเร็จ ส่วนเพื่อนร่วมทีม ต๋ง – พีรพงศ์ บุญเลิศ #39 และ เติ้ล – พีระพงษ์ หลุยบุญเป็ง #14 ทำผลงานดีที่สุดในการแข่งขันสนามนี้ด้วยการจบอันดับที่ 9 และ 13 ตามลำดับ สำหรับรุ่น Super Sports 600 cc คู่หูจอมเก๋า ตั้น – เดชา ไกรศาสตร์ #24 และ เบียร์ – เฉลิมพล ผลไม้ #65 มีอาการบาดเจ็บจากการแข่งในวันเสาร์ ได้ลงทำการชิงชัย ก่อนทำผลงานดีที่สุดด้วยการจบการแข่งขันในอันดับ 5 และ 6 ตามลำดับ ในเกมการชิงชัยในเรซ 2 โดยการแข่งขันครั้งนี้จัดขึ้น ณ สนาม Madras Motor Race Track ประเทศอินเดีย เมื่อเร็วๆ นี้

First Test NEW YAMAHA XMAX300

ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถบิ๊กสกู๊ตเตอร์สุดฮอตในกระแส บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมงานสัมมนาเทคนิคเครื่องยนต์ และ ได้ทดสอบขับขี่รถจักรยานยนต์ออโตเมติกรุ่นใหม่ล่าสุด XMAX300 สำหรับ ยามาฮ่า XMAX300 สปอร์ตออโตเมติกระดับพรีเมี่ยมคลาส ได้รับการถ่ายทอด DNA ยนตกรรมชั้นนำของตระกูล MAX Series ออกมาได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ BLUE CORE เครื่องยนต์ยุคใหม่ที่ให้ความแรงขึ้นอีกขั้น พิกัด 300 ซีซี พร้อมระบบ Traction Control System (TCS) ที่จะช่วยปรับสมดุลกำลังเครื่องยนต์ เมื่อล้อหน้า และล้อหลังหมุนไม่สัมพันธ์กัน เป็นการเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับให้กับสปอร์ตออโตเมติกระดับพรีเมี่ยมคันแรกของเมืองไทยสมรรถนะมาเต็มด้วยเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ที่เร้าใจ ตัวรถดีไซน์แบบสปอร์ตเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง TMAX รูปทรงแค่มองอาจดูว่าใหญ่ แต่ลองเข้าไปนั่งคร่อมจะรู้สึกว่าไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป เน้นถึงการขับขี่ใช้งานทั่วไปและทัวร์ริ่งเดินทางไกล เรือนไมล์ แบบดิจิตอลมีหลายฟังก์ชั่นผสมกับอะนาล็อคบอกถึงความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ ไฟหน้า LED และมีไฟสูงแยกอยู่ตรงกลาง ไฟท้ายโฉบเฉี่ยวดีไซน์สไตล์ X เบาะนั่งใหญ่นั่งได้สบาย และยกระดับท้ายสำหรับผู้ซ้อนท้ายที่กว้าง UBOX ช่องเก็บของใต้เบาะได้อย่างจุใจ ใส่หมวกกันน็อค 2 ใบ สบายๆ

เครื่องยนต์ Blue Core 292 ซีซี 4 จังหวะ 1 สูบ SOHC 4 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 27.62 แรงม้า ที่ 7,250 รอบ/นาที กระบอกสูบยังคงเป็นเทคโนโลยี ไดอะซิล ลูกสูบอลูมินัมอัดขึ้นรูป ระบายความร้อนได้ดีเช่นเดิม ให้กำลังแรงบิดที่ต่อเนื่อง มาไวออกตัวได้ปี๊ดป๊าดดดดดดเร้าใจ คันเร่งมีความหน่วงนิดหน่อยไม่ถึงกับเบามาก รอบเครื่องยนต์ถ่ายทอดออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขับเคลื่อนด้วยระบบสายพาน ที่ออกแบบหน้าตาใหม่แบบหยักทั้งบนและล่าง (ลองนึกภาพสายพานรุ่นเก่าด้านบนเรียบ ด้านล่างเป็นหยัก) ชุดคลัทช์หลัง 5 ก้อน เพิ่มสมรรถนะการจับที่ดียิ่งขึ้นฐานล้อที่ออกแบบให้ช่วงรถสั้นส่งผลถึงความคล่องตัวในการพลิกเลี้ยวในทางแคบได้ดี วงล้อหน้าขนาด 15 นิ้ว ให้การควบคุมที่เบาแรง วงล้อหลัง 14 นิ้ว พร้อมยางหน้ากว้างให้ความนิ่มนวลเกาะพื้นถนนได้เยอะ มั่นในในการขับขี่เข้าโค้ง รู้สึกได้เมื่อพลิกเข้าโค้งที่มีความเร็วมากกว่า 80 กม./ชม. ช่วงท้ายไม่มีอาการยวบยาบ ควบคู่ไปกับระบบรับแรงกระแทกโช้คอัพหลัง ถูกวางตำแหน่งไว้ท้ายสุดเพื่อการรับน้ำหนักและรับแรงกดที่ต้องเปิดคันเร่งออกจากโค้งอย่างรวดเร็ว

เทคโนโลยีขั้นเทพ TCS หรือ เรียกกันง่ายๆ ว่า แทร็คชั่นคอนโทรล ถูกจัดใส่เข้าไปเพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยกันล้อหลังแซงล้อหน้า สามารถที่จะปิดและเปิดได้ตามทักษะและความต้องการแต่ละคน (แต่เสียดายที่ยังไม่ได้ลองระบบนี้ เจอกันนอกรอบ) ระบบเบรกแน่นอนกับ ABS ที่ค่อนข้างเซนซิทีฟให้ความรู้สึกเร็ว ปลอดภัย

First Test New Honda CB150R Modern Cafe

ครั้งแรกของโลกกับกองทัพสื่อมวลชนทดสอบขับขี่ CB150R ในสนามทดสอบระดับ 1,700 ล้านบาท ที่ Honda R&D Asia Pacfiififfiic จ.ปราจีนบุรี หลังจากเปิดตัวได้เพียง 4 วัน บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ก็ส่งหมายเทียบเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงชั้นนำของเมืองไทยเข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษกับการทดสอบขับขี่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ Honda CB150R ในสถานที่ปิดส่วนตัวเค้นสมรรถนะและความโดดเด่นของออพชั่นต่างๆ ที่เสริมมาให้อย่างลงตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์

การทดสอบขับขี่ครั้งนี้สื่อมวลชนกว่า 100 ชีวิต เดินทางจากศูนย์อบรมขับขี่ปลอดภัย สุขาภิบาล มุ่งหน้าไปที่ Honda R&D Asia Paciffiic จ.ปราจีนบุรี โดยที่ก่อนfiจะเริ่มเข้าสู่การทดสอบขับขี่ ในช่วงสายๆ ก็มีการเข้าสัมมนาเกี่ยวกับ การออกแบบตัวรถ เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการขับขี่สนุกสนาน ซึ่งจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่เสริมสำหรับ CB150R นั้น มันโดดเด่นกว่ารถในคลาสเดียวกันอย่างสิ้นเชิงตัวรถออกแบบในสไตล์ของ โมเดิร์น คาเฟ่ ฉีกแนวเพิ่มความโดดเด่นซึ่งไม่แตกต่างจากตัวรถคอนเซ็ปต์มากนัก ไฟหน้าทรงกลม แฮนด์บาร์จาก Africa Twin โช้คอัพหน้าแบบหัวกลับขนาด 41 มม. จาก X-ADV ดิสก์เบรกแบบเรดียลเม้าท์ 4 ลูกสูบ พร้อมระบบ ABS จาก CBR1000RR สวิงอาร์มและช่วงท้ายแบบสปอร์ต รวมไปถึงการออกแบบจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถที่อยู่ตรงลางของตัวเพิ่มสมรรถนะในการทรงตัวและการถ่ายเทน้ำหนักได้ดีขึ้นจากนั้นก็เข้าสู่โปรแกรมการขับขี่ทดสอบโดยแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ที่เหมาะสมกับการใช้งานจริง ในการขับขี่ด้วยเส้นทางที่ เน้นความคล่องตัว การพลิกเลี้ยวบนถนนที่มีทั้งเนิน โค้งแคบ โค้งกว้าง ด้วยตัวรถที่มีจุดศูนย์ถ่วงตรงกลาง และฐานล้อที่ไม่ยาวมากทำให้การพลิกเลี้ยวได้อย่างคล่องตัว หลายๆ จังหวะที่มีเนินการเปิดคันเร่งในรอบที่สูงตัวรถลอยและลงสัมผัสพื้น โช้คอัพหน้าที่มีขนาดแกนที่ใหญ่ทำให้ลดแรงกระแทกและไม่มีอาการส่ายสะบัด รวมไปถึงโช้คอัพหลังที่ซับแรงกดจากกำลังเครื่องยนต์ในการเปิดคันเร่งออกจากโค้งสามารถควบคุมรถได้นิ่งสร้างความมั่นใจและปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ฐานการขับขี่ที่สอง ได้ทดสอบระบบเบรก ด้วยระยะทางตรง 1,200 เมตร แบ่งออกเป็น 2 ช่วง สตาร์ทออกตัวไป 500 เมตร มีจุดดักให้ใช้เบรกอย่างเต็มที่ ทั้งหน้าและหลัง ด้วยประสิทธิภาพของดิสก์หน้าแบบ 4 ลูกสูบ ดิสก์เบรกหลัง พร้อมระบบ ABS ทำให้ระยะการเบรกนั้นสั้นลง การทำงานของ ABS ลดการล็อคของล้อ และวนกลับให้ลองเปิดคันเร่งทำท็อปสปีดกันยาวๆ ความเร็วที่ได้ประมาณ 136 กม./ชม.ฐานที่สาม การขับขี่ทดสอบความเร็วและการทรงตัวในโค้งด้วยความเร็ว แบบรูปไข่ กดคันเร่งกันแบบไม่มียกคันเร่ง ถึงแม้จะมีเส้นแทบสีเหลืองให้ชะลอความเร็ว แต่ด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี ในความเร็วระดับ 136 กม./ชม. สามารถที่ขยับตัวและเอียงตัวรถเข้าโค้งโดยที่ไม่มีอาการส่ายหรือความเร็วลดลง

เป็นการทดสอบที่เห็นได้ถึงสมรรถนะเครื่องยนต์และการทำงานของอุปกรณ์เสริมระดับชั้นนำที่ให้ความคุ้มค่า พร้อมกับการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ฮอนด้ากล้าฉีกกฎเดิมเพื่อตอบสนองความต้องการขอผู้ใช้