1290 super adventure r

 

 

 

เครื่องยนต์
 แบบ   4 จังหวะ/  สูบ V2  4 วาล์ว DOHC
 ปริมาตรกระบอกสูบ  1301 cc
 อัตราส่วนกำลังอัด  13.1:1
 กระบอกสูบ x ระยะชัก  108 x 71 mm
 ระบบหล่อลื่น  แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน  หัวฉีด
 ระบบจุดระเบิด  จุดระเบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์
 ระบบคลัทช์  แบบเปีกยหลายแผ่นซ้อนกัน
 ระบบเกียร์  6 สปีด
ระบบสตาร์ท  สตาร์ทมือ
น้ำมันเชื้อเพลิง  E20,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง  23 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง  –
กว้าง*ยาว*สูง
น้ำหนักรวม  217 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน

หน้า : โช้คหน้าแบบเทเลสโคปิคหัวกลับของสำนัก WP ขนาด 48 มม.

หลัง : โช้คอับเดี่ยวของสำนัก WP พ่วงด้วยกระบุกซับแท้งค์ ระยะการทำงาน 220 มม. ปรับแต่งได้

ระบบเบรก

หน้า : ดิสก์

หลัง : ดิสก์

ยาง/ล้อ

หน้า :110/80 R19

หลัง : 150/70 R17

STREET ROD

 

เครื่องยนต์
 แบบ แบบ        High output Revolution X™ V-Twin 2 สูบ SOHC 8 วาล์ว
 ปริมาตรกระบอกสูบ  749 cc
 อัตราส่วนกำลังอัด  12.0:1
 กระบอกสูบ x ระยะชัก  85 x 66 mm.
 ระบบหล่อลื่น  แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน  หัวฉีด Mikuni
 ระบบจุดระเบิด  จุดระเบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์
 ระบบคลัทช์  แบบเปีกยหลายแผ่นซ้อนกัน
 ระบบเกียร์  6 สปีด
ระบบสตาร์ท  สตาร์ทมือ
น้ำมันเชื้อเพลิง  E20,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง  13.1 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง
กว้าง*ยาว*สูง 2225 x 754 x ×609 มิลลิเมตร
น้ำหนักรวม 206 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน

หน้า : โช้คหน้าแบบเทเลสโคปิค

หลัง : โช้คอัพคู่พร้อมซับแทงค์แยก

ระบบเบรก

หน้า : ดิสก์เบรก (ลูกสูบคู่)

หลัง : ดิสก์เบรก (ลูกสูบคู่)

ยาง/ล้อ

หน้า : 120/70 R17

หลัง : 160/60 R17

ยามาฮ่าเชิญสื่อมวลชนชั้นนำเข้าชมสุดยอดนวัตกรรมสุดล้ำสมัยที่บูธยามาฮ่าในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์

นายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พาสื่อมวลชนชั้นนำของประเทศไทยเข้าชมสุดยอดนวัตกรรมรุ่นใหม่ที่บูธยามาฮ่า โดยครั้งนี้ยามาฮ่าเนรมิตบูธสุดล้ำสมัยภายใต้แนวคิด “Yamaha Future Garage : Resonate the Future ยามาฮ่าโรงรถแห่งอนาคต : เสียงกังวานแห่งอนาคต” ที่สุดแห่งยนตกรรมสองล้อ พร้อมเปิดตัวโมเดลใหม่ครั้งแรกในโลกพร้อมกันถึง 6 รุ่น และอีก 4 รุ่นที่ทำการเปิดตัวเป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังนำรถจักรยานยนต์มาจัดแสดงหลากหลายโมเดลอีกด้วย เพื่อให้สาวกยามาฮ่าได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 45 (The 45th Tokyo Motor Show 2017) โดยงานครั้งนี้จัด ณ The Tokyo Big Sight ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเร็วๆ นี้

 

“ครูฝึก เอ.พี. ฮอนด้า” ประกาศศักยภาพคว้าชัยชนะเหนือเจ้าถิ่น ผงาดคว้า 2 แชมป์การแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยของครูฝึกสอนประเทศญี่ปุ่น

“ครูฝึก เอ.พี. ฮอนด้า” ประกาศศักยภาพคว้าชัยชนะเหนือเจ้าถิ่น ผงาดคว้า 2 แชมป์การแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยของครูฝึกสอนประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 18 ตอกย้ำการสร้างความเชื่อมั่นสูงสุดให้ผู้บริโภคภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เมืองไทย ขับขี่ปลอดภัย” บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการทำกิจกรรมขับขี่ปลอดภัยภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เมืองไทย ขับขี่ปลอดภัย” (Safety Thailand) ส่ง 7 สุดยอดครูฝึกดีกรีแชมป์ประเทศไทย ที่เป็นตัวแทนผู้ผ่านการคัดเลือก (ได้คะแนนสูงสุดของแต่ละรุ่น) จากการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ครั้งที่ 14 ณ ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เดินทางเข้าร่วมการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยของครูฝึกสอนประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 18 (The 18th Safety Instructor Japan Competition) ที่สนามซุซุกะ เซอร์กิต ทราฟฟิค เอดูเคชั่น เซ็นเตอร์ ในเมืองซุซุกะ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-20 ต.ค. 2560 การแข่งขันปีนี้มีตัวผู้เข้าร่วมแข่งขันทั้งสิ้น 91 คน จาก 10 ประเทศ โดยเป็นครั้งแรกที่เจ้าภาพเปิดให้นักแข่งต่างชาติเข้าร่วมการแข่งขันในประเภทเดียวกับนักแข่งญี่ปุ่น ซึ่งในวันแข่งได้มีฝนโปรยปรายลงมาเป็นอุปสรรค แต่ 7 ครูฝึกไทยจากบริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ก็ไม่ย่อท้อจนสามารถคว้ารางวัลติดมือได้ทุกประเภทที่เข้าร่วมชิงชัย โดยผงาดคว้าแชมป์ด้วยการทำเวลาได้ดีที่สุดถึง 2 รางวัล และที่สำคัญยังเป็นครูฝึกต่างชาติเพียง 2 คนที่สามารถชนะนักแข่งจากประเทศญี่ปุ่นได้

 

 

 

 

 

โดยครูฝึกไทยที่สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ คือ อรุณกรุง พินโปน ในประเภทจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (ใช้รถ NC750L) โดยมีผู้เข้าแข่งขันรวมทั้งสิ้น 29 คน ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น 18 คน และ อัครพล พรมแตง ในประเภทรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (ใช้รถ GROM125 หรือ MSX125) โดยมีผู้เข้าแข่งขันรวมทั้งสิ้น 11 คน ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น 6 คน ขณะที่ จารุวัตร ขันเงิน คว้าอันดับ 3 ในประเภทรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (ใช้รถ CB400SF) จากนักแข่งทั้งหมด 14 คน ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น 6 คน และ นฤเบศร์ พรมศรี คว้าอันดับ 4 ในประเภทรถยนต์ (ใช้รถฮอนด้า ซีวิค เกียร์อัตโนมัติ) จากนักแข่งทั้งหมด 37 คน ซึ่งในจำนวนนั้นเป็นคนญี่ปุ่น 30 คน ด้าน อรุณกรุง พินโปน แชมป์ประเภทจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ กล่าวว่า “ดีใจมากที่สามารถคว้าแชมป์กลับมาฝากคนไทยได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะการแข่งขันปีนี้ต้องยอมรับว่ามีอุปสรรคไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องฝนที่ตกลงมาทำให้การบังคับรถค่อนข้างยากลำบาก อีกทั้งอากาศก็ยังหนาวกว่าที่คิดไว้ แต่ก่อนเดินทางมาเราก็ได้ฝึกซ้อมมาอย่างเต็มที่โดยเปลี่ยนสนามซ้อมถึง 3 สนาม คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ซึ่งบางสนามก็ต้องซ้อมท่ามกลางสายฝนมาแล้ว ทำให้ทุกคนรับมือได้เป็นอย่างดีและสามารถทำผลงานได้ออกมาเป็นที่น่าพอใจ” อัครพล พรมแตง  แชมป์ประเภทจักรยานยนต์ขนาดเล็กกล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ที่จัดกิจกรรมการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้าที่ประเทศไทย จนพวกเราได้เป็นตัวแทนมาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติได้ถึงประเทศญี่ปุ่น”สำหรับ สุดยอดครูฝึกทั้ง 7  คน ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยของครูฝึกสอนประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 18 ประกอบด้วย 1. อรุณกรุง พินโปน และ 2. พีระพล ทองคำ จาก เอ.พี. ฮอนด้า แข่งขันประเภทรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (ใช้รถ NC750L) 3. มนตรี เขื่อนเพชร จาก เอ.พี. ฮอนด้า และ 4. จารุวัตร ขันเงิน จากร้านผู้จำหน่าย บริษัท ฮอนด้าสมุทรปราการ จำกัด จ.สมุทรปราการ แข่งขันประเภทรถจักรยานยนต์ขนาดกลาง (ใช้รถ CB400SF), 5. อัครพล พรมแตง จากร้านผู้จำหน่าย บริษัท ที เค ซี มอเตอร์ไบค์ จำกัด จ. กำแพงเพชร แข่งขันประเภทรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก (ใช้รถ GROM125 หรือ MSX125SF), 6. พิศาล วิฑูรย์พิศาลศิลป์ จาก เอ.พี. ฮอนด้า และ 7.นฤเบศร์ พรมศรี จาก เอ.พี. ฮอนด้า แข่งขันรุ่นประเภท รถยนต์ (ใช้รถฮอนด้า ซีวิค เกียร์อัตโนมัติ)

 

 

 

ทั้งนี้ บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ได้จัดการแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า ระดับประเทศ ภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เมืองไทย ขับขี่ปลอดภัย” (Safety Thailand) มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 เพื่อยกระดับมาตรฐานของ HONDA SAFETY RIDING และพัฒนาทักษะของวิทยากรครูฝึกขับขี่ปลอดภัยทั่วประเทศ ด้วยการแข่งขันครูฝึกขับขี่ปลอดภัยที่มีมาตรฐานเทียบเท่าการแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมสร้างความเชื่อมั่นสูงสุดให้กับผู้บริโภค โดยเชิญครูฝึกฯ ทั้งร้านผู้จำหน่ายและหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กำหนด ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ครูฝึกชายประจำร้านผู้จำหน่าย (ผ่านหลักสูตร Instructor), เจ้าหน้าที่ครูฝึกหญิงประจำร้าน (ผ่านหลักสูตร Sub Instructor, Instructor), เจ้าหน้าที่วิทยากรขับขี่ปลอดภัยจากภาครัฐ (ครู, ตำรวจ) และนักศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เข้าร่วมแข่งขันทักษะขับขี่ปลอดภัย รถจักรยานยนต์ 3 สถานี คือ 1.การเบรก (Braking), 2.ความคล่องตัว/จิมคาน่า (Course Slalom) และ 3.การขับขี่ทรงตัวบนกระดานแคบ (Plank Riding) เพื่อเฟ้นสุดยอดครูฝึกที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดคว้าสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแข่งขันต่อที่ประเทศญี่ปุ่น อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2544

 

Ducati Multistrada 1200 Enduro

หลังจากต้นปี 2017 ที่ Ducati ปล่อย Multistrada 1200 Enduro ออกสู่ตลาด ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของรถในแนวแอ๊ดเวนเจอร์ทัวร์ริ่งในยุโรป และอเมริกา ทำให้กลางปีที่ผ่านมาจึงได้มีการ “อัพสเปค” มาเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด คือ Multistrada 1200 Enduro Pro ออกมาปิดท้ายซีรี่ส์ ทั้งที่ยังเหลือเวลาไม่ถึงครึ่งปีก็น่าจะเป็นช่วงเวลา “เปิดตัวรถโมเดลปี2018” ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า Enduro Pro จึงน่าจะเป็นเวอร์ชั่น”พิเศษ” สำหรับ นักบิดในระดับฮาร์ดคอจริงๆ

จากพื้นฐานเดิมของ Multistrada 1200 Enduro ที่มาด้วยขุมพลังขนาด 152 แรงม้า จากเครื่อง Ducati เวอร์ชั่น Testastretta DVT engine ที่มาพร้อมกับโหมดการขับขี่ คือ enduro , touring , sport และ urban ที่ว่ากันว่าเป็นรถที่ให้ความรู้สึกในการขับขี่แบบ 4in1 หรือเป็นรถที่พร้อมตอบสนองการขี่แบบครบทุกรูปแบบความต้องการในคันเดียวนั่นเอง จากพื้นฐานเครื่องยนต์ และเฟรมที่มีความแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษจาก Multistrada 1200Enduro มาสู่การพัฒนาเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดที่ต่อท้ายด้วย รหัส Pro นั้น จึงได้รับการติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ทันสมัย “เป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน” ไม่ว่า ABS Cornering , Cornering Lights(DCL) , Ducati Traction Control (DTC) ,Ducati Wheelie Control(DWC) , และ Ducati Skyhook Suspension(DSS) อีกทั้งยังมี Vehicle Hold Control(VHC) ที่ช่วยควบคุมให้สามารถสตาร์ทขึ้นเนินได้อย่างนุ่มนวล นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มอ๊อพชั่นลูกเล่นเพิ่มเติมให้กับ Multistrada 1200 Enduro Pro ด้วยการเพิ่ม electronic speed control กับ Bluetooth module ที่จะให้ผู้ขี่สามารถเชื่อมต่อรถกับสมาร์ทโฟน ผ่าน Ducati Multimedia System (DMS) โดยข้อมูลต่างๆ เช่น สายโทรเข้า, ข้อความ , เพลง จากโทรศัพท์ จะแสดงผลบนแผงเรือนไมล์ที่เป็นจอแสดงผลแบบ TFT dashboard

นอกจากนี้สีของตัวรถจะแตกต่างออกไปจากเวอร์ชั่นมาตรฐาน ด้วยโทนสี Sand-colourwd พร้อมมีโลโก้ Enduro ติดด้านข้างเช่นเดียวกับเบาะนั่งก็จะเป็นเบาะแบบ two tone รวมทั้งซับเฟรมสีดำ พร้อมด้วยลูกเล่นเพิ่มเติมพิเศษในบางชิ้นส่วนของตัวรถที่จะแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นเดิมที่ออกมาก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกันก็จะเปลี่ยนยางติดรถจากโรงงานมาเป็น Pirelli Scorpion Rally Tyre ขนาด ยางหน้า 120/70 R19 , ยางหลังขนาด 170/60 R17 ซึ่งเป็นยางประเภทแรลลี่ ที่สมบูรณ์แบบกับการใช้งานในเส้นทางวิบาก แต่ก็มีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับรองรับการขับขี่บนพื้นถนนแอสฟัลท์

นอกจากนี้ยังเปลี่ยนแฮนด์เดิ้ลบาร์มาเป็นชุดคิทพิเศษ Ducati Performance bull bar ที่ผลิตโดย Touratech และที่พิเศษคือ ท่อไอเสีย ที่พัฒนาโดย Termignoni ซึ่งเป็นท่อพิเศษที่พัฒนาได้มาตรฐานการตรวจสองของ Ducati Performance

Yamaha Test Automatic

ชุ่มฉ่ำ เต็มๆ กับบรรยากาศของฤดูฝน แต่ทำอะไรกับทีมสื่อทดสอบพวกเราไม่ได้ ทริปความมันครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อลองของจริงกับสมรรถนะเครื่องยนต์ BLUE CORE ที่อยู่ใน NMAX และ Aerox155 รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายการเดินทางอันแสนบันเทิง จากกรุงเทพฯ ถึง เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ระยะทางเกือบ 500 กิโลเมตร กับทีมนักทดสอบจากนิตยสารชื่อดัง 6 ฉบับ Inside Motor Racing, Fastbike Thailand, Road Racing, Cycle Road, เซียนมอไซค์ และ Riding พร้อมรถทดสอบ Yamaha NMAX และ Aerox155 รถออโตเมติกระดับสุดยอดแห่งยุค

ถึงแม้ตัวรถจะออกแบบมาคนละสไตล์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าต่างวัย แต่หัวใจสำคัญคือเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ช่วยให้การขับขี่นั้นมีความเร้าใจมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าด้วยรถที่มีไรดิ้งโพลสิชั่นที่ต่างกัน การนั่ง การควบคุมก็ต่างกันไป ถ้าเรื่องของความสบายเวลาขับขี่เดินทางไกลๆ ต้องยกให้กับ NMAX ที่นั่งได้สบายกว่า แฮนด์ยกสูงไม่ต้องก้มลงมาก การวางเท้าก็สามารถที่จะขยับตำแหน่งตามสรีระของผู้ขับขี่ได้ เบาะกว้างนั่งสบายมีสโล้ปรับกับก้น ตัวรถมีบาร์ล้านซ์ที่ดี ควบคุมได้ง่าย เบาแรง ซิกแซก คล่องตัว ใช้งานได้ดีทั้งในเมืองและการขับขี่ออกทริปสั้นๆ

ครั้งนี้ได้บิดกันยาวๆ กับเครื่องยนต์ 155 ซีซี ที่มีกำลังเพียงพอมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด VVA ระบบวาล์วแปรผัน ช่วยให้รอบการทำงานในรอบกลางมีกำลังอย่างต่อเนื่อง เพราะทริปนี้คันเร่งแทบไม่ได้ยกกันเลย ลากกันหมดปลอกในความเร็ว 118-120 กม./ชม. ทำให้เห็นถึงจุดเด่นของเครื่องยนต์ในรอบประมาณ 6,000-6,500 VVA ระบบวาล์วจะทำงานเหมือนมีแรงกระชาก หรือ แรงดันท้ายให้รถพุ่งไปข้างหน้าต่อเนื่องกับรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น ให้กำลังอย่างต่อเนื่องไม่มีตก เพราะครั้งนี้เส้นทางขับขี่ต้องขึ้นเขาที่มีความชัน เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องความประหยัด เน้นความเร้าใจช่วงล่างที่ให้มาก็แตกต่างกันอีก NMAX วงล้อหน้าขนาด 14 นิ้ว ล้อหลัง 13 นิ้ว Aerox155 หน้า/หลัง 14 นิ้ว ส่งผลให้เห็นถึงการออกตัวชัดเจน NMAX จะพุ่งออกมาได้เร็วกว่าด้วยวงล้อที่เล็ก แต่ Aerox155 จะมาได้เปรียบในช่วงปลายๆ ด้วยขนาดวงล้อใหญ่ไหลยาวๆ ยางเดิมๆ โช้คอัพเดิมๆ การยึดเกาะบนพื้นผิวถนนได้มากกว่า การทรงตัวในโค้งที่ดีกว่าแต่ก็ต้องโหนตัวช่วยเล็กน้อย แม้กระทั่งพื้นที่เปียกแฉะไปด้วยน้ำฝนก็ยังสามารถผ่ามาได้

ความรู้สึกนักทดสอบ

จตุรงค์ หมื่นทิพย์ Riding

ตื๊ดๆ ติดมือบิดสนุก ออโตเมติก NMAX vs Aerox155 เครื่องยนต์ บูลคอร์ พร้อมระบบ VVA วาล์วแปรผัน ตอบสนองทุกรอบเครื่องยนต์ให้กำลังที่ต่อเนื่อง ช่วงปลายๆ จะขี่ที่รอบสูงได้อย่างเต็มกำลัง ท่านั่งสบายๆ คุมรถได้ง่าย ยางขนาดใหญ่เกาะถนนเข้าโค้งมั่นใจ ถึงแม้จะต้องลุยกับสายฝน และพื้นถนนที่เปียกแฉะเดินทางจากกรุงเทพฯ มาถึงเขาค้อระยะทางเกือบๆ 500 กิโลเมตร ขี่สนุก มันเร้าใจ ตอบโจทย์การใช้งาน…แบบนี้ขี่ไม่เลิก

ทนง แซ่เล้า Cycle Road

การเดินทางในครั้งนี้สนุกมากแม้ว่าระหว่างทางจะเจอฝนตกเป็นระยะ แต่ก็ได้สัมผัสถึงอากาศเย็นที่ซาบซ่า ช่วงสุดท้ายก่อนถึงที่พักต้องขี่รถลุยหมอกที่ลงหนามากแต่ก็ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย เครื่องยนต์ของ Yamaha Aerox155 จัดจ้านบิดติดมือจึงทำให้ขี่สนุกไม่จืดชืด ส่วนเบรก ABS ช่วยทำให้การหยุดรถบนยอดเขาที่เปียกลื่นนั้นเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัย

พลสิทธิ์ นาคใจเสือ Road Racing

ทริปนี้ได้ควงคู่ NMAX กับระยะทางคงไม่ใช่ปัญหา บล็อคเครื่องยนต์ขนาด 155
ซีซี แค่นี้ก็จบแล้ว ท่านั่งสบายควบคุมง่าย มีความคล่องตัว ที่สำคัญประหยัดน้ำมัน ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ BLUE CORE ให้กำลังขึ้นเขาเยี่ยมเลย เพราะมีระบบ VVA ช่วยให้รอบเครื่องช่วงกลางที่ต่อเนื่องแช่กันได้ยาวๆ มาประกบคู่กับบรรยากาศที่เขาค้อก็บอกได้เลยว่าฟินมาก อากาศดีขี่รถสนุก

สาธิต สถิตดี Inside Motoracing

จุดหมาย เขาค้อ เพชรบูรณ์ กับรถออโต้ไซส์ 155 ซีซี ระยะทางถึงจุดหมายก็ 440 กิโลเมตรเห็นจะได้ พาขบวนยกชุดบิดหมดปลอก อัตราเร่งที่มีวาล์ว VVA เป็นหัวใจ ความสบายของท่านั่ง และความประหยัด ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความประทับใจ เปลี่ยนความคิดเรื่องที่จะออกเที่ยวแล้วต้องเป็นรถใหญ่ๆ เท่านั้น ที่สำคัญ Ubox ของทั้ง 2 รุ่นนี้ใหญ่พอจนไม่ต้องแบกของขึ้นบ่าให้ลำบาก กลายเป็นว่าชักติดใจ อยากเดินทางท่องเที่ยวไปกับออโตเมติก “โซฟาซิ่ง” นี้อีกสักรอบแล้วซิ

อาทิตย์ ฉิมพาลี เซียน มอเตอร์ไซค์

ตอบโจทย์สำหรับผู้ชายหุ่นหมี เรียกได้ว่าถูกใจคนทุกไซส์เลยทีเดียวสำหรับ 2 คู่หูสายพันธ์ุ ผู้นำออโตเมติก จากค่ายยามาฮ่า NMAX & Aerox155 ซึ่งหลังจากได้ร่วมออกทริปแล้ว กล้าการันตี ด้วยความเป็นคนที่มีน้ำหนักเยอะกว่าคนอื่น ว่ารถทั้ง 2 รุ่นนี้มีดีที่สมรรถนะที่เร้าใจ Aerox เป็นรถที่มีความโฉบเฉี่ยว ควบคุมง่ายมากๆ แรงดี บิดมัน ได้อารมณ์สปอร์ตออโตเมติก ส่วน NMAX จะเป็นแนวบิดเพลินๆ แรงกำลังดี ขับขี่สบาย ทั้งท่านั่งขับ และการควบคุมจริงๆ

เกียรติพร ลีลาวันทนพันธุ์ Fastbikes Thailand Magazine

NMAX & Aerox155 ทั้งสองรุ่นเป็นสกู๊ตเตอร์ที่ขี่ง่าย เเละมีสมรรถนะที่จัดจ้านจากเครื่องยนต์พิกัด 155 ซีซี พร้อมด้วย VVA วาล์ว ที่ทำให้เครื่องยนต์มีกำลังบิดติดมือทุกรอบ ความปลอดภัยก็เหนือระดับด้วยระบบเบรก ABS นอกจากนั้นไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างหนึบๆ สมาร์ทคีย์ล้ำๆ น้ำหนักที่เบา หรือยางหลัง Oversize in spec ทางชันขี่ได้ ถนนเปียกขี่ดี ทางเรียบบิดมันส์ ลองแล้วต้องชอบแน่นอน

 

 

รอสซี่-บีญาเลส คืนฟอร์มร้อนแรง ยามาฮ่าผงาดดับเบิ้ลโพเดี้ยมออสซี่

ทัพนักบิดยามาฮ่าคืนฟอร์มร้อนแรงหลังเปิดเกมสุดดุเดือดในเกมการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP 2017 สนามที่ 16 รายการ ออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ประเทศออสเตรเลีย โดย วาเลนติโน รอสซี่ นักบิดจอมเก๋าอิตาเลียน ควงคู่ทีมเมทดาวรุ่งสแปนิชอย่าง มาเวริค บีญาเลส ทีม “มูวิสตาร์ ยามาฮ่า โมโตจีพี” กระชากคันเร่งรถแข่งยามาฮ่า YZR-M1 ผงาดยืนโพเดี้ยมอันดับ 2 และ 3 ขณะที่ โยฮันน์ ซาร์โก นักบิดฝรั่งเศสจาก ทีม “มอนสเตอร์ ยามาฮ่า เทคทรี” เค้นฟอร์มเก่งคว้าแชมป์ทีมอิสระ หลังจบการแข่งขันสุดมันส์

 

2018 KTM 250SX-F

หลังจากคว้าตำแหน่งแชมป์โลก MX2 World Championship มาครองได้อย่างต่อเนื่องหลายสมัย รวมทั้งในฤดูกาลนี้ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป ทำให้ทาง KTM เคลมได้อย่างเต็มปากว่า นี่คือที่สุดของ MXer250F จากขุมพลังเครื่องยนต์ที่ได้รับข้อมูลการพัฒนาโดยตรงจากทีมแข่งแฟคทอรี่ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ KTM จะใช้ประโยคว่า powerfull championship winning engine หรือ เครื่องยนต์ที่นำแชมป์มาสู่ทีมนั่นเอง

ในไลน์การผลิตทั้งหมดของ MXer เครื่องยนต์สี่จังหวะ ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ติดตั้ง E-starter , ใช้ WP suspension , มี traction control และ map selection อีกทั้งยังพัฒนาตัวโครงสร้างรถทั้งหมดด้วยการ “ทำให้เบา” ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เครื่องยนต์ของ KTM 250SX-F นั้น มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในพิทรถแข่งรุ่น MX2 ด้วยรอบการทำงานที่สามารถเค้นได้สูงถึง 14,000 รอบ ต่อนาที ในขณะที่แรงบิดของเครื่องยนต์ก็สามารถส่งออกมาได้เต็มที่ในทุกๆ ย่านการทำงานของรอบเครื่องยนต์ ด้วยพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์ KTM ที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพ ระบบควบคุมการทำงานเครื่องยนต์ Engine Management System จาก Keihin ที่ทำงานร่วมกับระบบหัวฉีดไฟฟ้าที่มีขนาดเรือนลิ้นเร่ง 44 มม.ที่มีส่วนสำคัญให้เครื่องยนต์มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมในทุกจังหวะขับขี่ โดยหัวใจของระบบจัดการนี้ก็คือ การออกแบบ ECU ขนาดกะทัดรัด มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง โดยเฉพาะการควบคุมในส่วนของ traction และ launch control ที่มีส่วนทำให้ 250SX-F มีสมรรถนะการยึดเกาะในทุกๆ สถานการณ์การขับขี่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้ขี่สามารถเลือกใช้กำลังเครื่องยนต์ที่เหมาะสมได้ด้วยการสั่งการที่ปุ่ม map switch บนแฮนด์เดิ้ลบาร์ เพื่อปรับเปลี่ยนค่า mapping ที่ต้องการ

โดยมาตรฐานของปุ่ม map switch หรือ map select switch บนแฮนด์เดิ้ลบาร์นั้น จะมีหน้าที่อยู่สามอย่างด้วยกัน คือ เปิดใช้งานระบบ traction control , เลือกใช้งาน launch control , และเลือกใช้กราฟหรือค่าแมปปิ้งที่ต้องการ ซึ่งจะมี standard กับ advanced ซึ่งปัจจุบัน 250SX-F ก็เป็นเช่นทุกรุ่นในกลุ่มเครื่องยนต์สี่จังหวะของ KTM ที่ติดตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน ดังนั้นทั้งระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และระบบสตาร์ท จึงจำเป็นต้องมีแหล่งพลังงาน โดย KTM ได้ติดตั้งแบตเตอรี่ lithium ion ใหม่ ที่มีน้ำหนักเบาแต่มีกำลังไฟที่มากขึ้นสำหรับรองรับการจ่ายไฟให้กับระบบต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สำหรับสเปค 2018 KTM 250SX-F มีรายละเอียดดังนี้
Engine : 1-cylinder, 4-stroke engine
Displacement : 249.9 cm³
Bore : 78 mm
Stroke : 52.3 mm
Starter : Electric starter

Transmission : 5-speed
Primary drive : 24:73
Secondary gear ratio : 14:51
Clutch : Wet, CSS multi-disc clutch,
Brembo hydraulics
EMS : Keihin EMS
Frame : 25CrMo4 steel central-tube frame
Front suspension : WP-USD, AER 48, Ø 48 mm
Rear suspension : WP shock absorber
with linkage
Suspension travel (front) : 310 mm
Suspension travel (rear) : 300 mm
Front brake : Disc brake
Rear brake : Disc brake
Front brake disc diameter : 260 mm
Rear brake disc diameter : 220 mm
Chain : 5/8 x 1/4”
Steering head angle : 63.9 °
Wheelbase : 1485 ± 10 mm
Ground clearance : 370 mm
Seat height : 960 mm
Tank capacity (approx.) : 7 l
Weight READY TO RACE (without fuel) : 98.2 kg

Buccaneer 250I Cafe Racer

ค่ายนี้มีดีไม่ธรรมดา STALLION จากยอดขายอันถล่มทลายของรถคลาสสิค Centaur ทำให้กระแสของรถประเภทนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนค่ายอื่นอิจฉาไปตามๆ กัน แต่ยังมีอีกหนึ่งที่มาแบบเงียบๆ ในกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบรถที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์และสมรรถนะของเครื่องยนต์

ถ้าใครได้ไปร่วมงาน BIG Motor Sale ที่ผ่านมา ภายในบูธของ Stallion ที่นำรถมาโชว์อย่างมากมาย แต่มุมโชว์รถที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมได้อย่างไม่น้อยหน้าค่ายใหญ่ๆ ก็คงจะเป็นมุมของการแต่งที่จัดของเล่นสุดชิคปรับแต่งเสริมความหล่อให้กับ BUCCANEER 250i ในสไตล์ คาเฟ่ เรเซอร์ ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าคันนี้คือรถรุ่นอะไร เพราะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาจากเดิมโดยสิ้นเชิง และแน่นอนว่ามันสวยเฉียบเนี๊ยบทุกรายละเอียดไฟหน้าทรงสามเหลี่ยม การที่ใช้ยางหน้ากว้างอวบๆ อ้วนๆ ลายดอกใบเลื่อยกับวงล้อซี่ลวด ปรับเสริมชุดรับแรงกระแทก โช้คอัพหน้า Upside Down แฮนด์จับโช้คใต้แผงคอตามสไตล์คาเฟ่ เรเซอร์ ประกับคันเร่งอลูมินัมแบบสองสาย ปลอกแฮนด์ยางสีแดง ปั๊มแรงดันดิสก์เบรกหน้าแท้งค์ตู้ปลา RCB คาลิเปอร์แบบสองลูกสูบ สายถักสแตนเลส ถังน้ำมันถูกออกแบบสร้างขึ้นใหม่มีความยาวเพิ่มขึ้น และเจาะท่อที่ด้านข้างเป็นตัวบอกระดับของน้ำมัน เบาะนั่งแต่งทรงสปอร์ตย้อนยุคท้ายแบบตูดมดฝังไฟท้ายทับทิมแดง เสริมฟองน้ำหุ้มด้วยหนังสีแดงเย็บลาย ท่านั่งถูกบังคับด้วยพักเท้าแบบสปอร์ตเกียร์โยงอลูมินัม โช้คอัพหลังเดี่ยวแกนใหญ่สปริงสีฟ้าปรับพรีโหลดได้ ยึดกับสวิงอาร์มดามบนเสริมความแข็งแรง ดิสก์เบรกหลังคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยวจานขอบหยักเซาะร่องระบายความร้อน

เครื่องยนต์ขนาด 250 ซีซี แบบ V-Twin 2 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ น่าจะเป็นรุ่นแรกเลยก็ว่าได้ที่มีขายอย่างเป็นทางการ ให้กำลังช่วงต้นและกลางที่เหมาะสมสนุกกับแรงบิดที่มาเร็ว มีการอัพเสริมเติมแต่งด้วยท่อไอเสียเดินไลน์ใหม่ ด้วยสแตนเลสทั้งใบ เสร็จแล้วออกมาหน้าตาโหดๆ ดิบๆ แต่ก็แฝงด้วยความเท่ของแนวคาเฟ่ เรเซอร์

KTM 1190 ADVENTURE

 

 

เครื่องยนต์
 แบบ 4 จังหวะ สูบ V2  4 วาล์ว DOHC
 ปริมาตรกระบอกสูบ  1195 cc
 อัตราส่วนกำลังอัด 12.5:1
 กระบอกสูบ x ระยะชัก 105 x 69 mm
 ระบบหล่อลื่น  แบบเปียก
 ระบบจ่ายน้ำมัน  หัวฉีด
 ระบบจุดระเบิด  จุดระเบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์
 ระบบคลัทช์  แบบเปีกยหลายแผ่นซ้อนกัน
 ระบบเกียร์  6 สปีด
ระบบสตาร์ท  สตาร์ทมือ
น้ำมันเชื้อเพลิง  E20,91,95
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 23 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง  –
กว้าง*ยาว*สูง  –
น้ำหนักรวม 230 กิโลกรัม
ระบบกันสะเทือน

หน้า :โช้คแบบUPSIDE DOWN 48 มม.

หลัง : โมโนโช้ค

ระบบเบรก

หน้า : ดิสก์เบรคคู่ขนาด BREMBO 320 MM. ปั้มเบรก 2 ลูกสูบ พร้อม ABS

หลัง : ดิสก์เบรค BREMBO 268 MM. ปั้มเบรก 2 ลูกสูบ พร้อม ABS

ยาง/ล้อ

หน้า : 120/70-R19

หลัง : 170/60 R17

Innovative QBIX Automatic

กระแสเหมือนจะเงียบๆ หายไปสำหรับรถออโตเมิกแต่ละค่ายหันไปแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มของรถสปอร์ต แต่ลืมไปว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่มาจากรถตลาดที่สามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย

การเปิดตัวของ QBIX ที่ฮือฮาในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา อาจได้รับการตอบรับเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แต่เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เห็นว่ารถออโตเมติกเทรนด์ใหม่นั้นสามารถที่จะสร้างความโดดเด่นได้ไม่น้อย อย่างเช่นคันนี้ที่เน้นการปรับแต่งภายนอก เพิ่มเติมสีสันและอุปกรณ์แต่ง ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ก็โดดเด่นโดยใช้สี และการตัดลวดลายใหม่
ตัวรถทรงเหลี่ยมๆ โค้งๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก ก็จะเน้นการแต่งที่อุปกรณ์เสริม ชุดการควบคุม แฮนด์บาร์ ค้ำด้วยขายึดที่เป็นชุดเดียวกับกระจกมองหลัง ประกับคันเร่งอลูมินัมสายเร่งคู่ ป้องกันสายคันเร่งค้าง ปลอกแฮนด์ยางนิ่ม RCB ก้านเบรกปรับระดับ และสวิตช์ ปิด/เปิด สตาร์ทไฟฟ้าใหม่ ชุดเรือนไมล์ ฟูลดิจิตอลอ่านค่าได้ง่ายชัดเจน ช่องเก็บของอินเนอร์มีช่องชาร์ทไฟสำหรับ เครื่องเล่น โทรศัพท์, แท็บเล็ต และ GPRS สำหรับนำทาง เบาะนั่งมีการปรับแต่งใหม่ครอบปิดท้ายนั่งคนเดียวสำหรับสายโสด เป็นเบาะที่ดีไซน์ให้รับกับก้นนั่งไม่ลื่นไถล พื้นวางเท้ายกขึ้น มีกันโครงเสริมความแข็งแรง ช่องสำหรับเติมน้ำมันยึดด้วยขาอลูมินัมง่ายต่อการเปิด

วงล้อแม็ก หน้า/หลัง ดิสก์เบรกหน้า เปลี่ยนจานดิสก์แบบให้ตัวได้ คาลิเปอร์ทรงสปอร์ตลูกสูบคู่ รูไล่ด้านข้างพร้อมด้วยสายถักไล่น้ำมัน ดรัมเบรกหลังขารั้งอลูมินัม ส่วนของเครื่องยนต์เสริมความจี๊ดจ๊าดด้วยท่อไอเสียเดินย้อนปลายทรงกล่อง