All new NMAX 155 กับแรงบันดาลใจของการตกแต่ง

Sport fashion เน้นสีแดงสดปาดเบาะซิ่ง

รายละเอียดการตกแต่ง
– ล้อแม็กซ์ RCB 3,800
– ยางนอก หน้า-หลัง 2,000
– จุ๊บลมแต่ง 200
– จานดิสก็เบรคหน้า Rottea 1,850
– แผงคอ (ทั้งชุด) GTR 6,500
– ชุดปั๊มลอย RCB L+R 4,400
– โชคหลัง RCB 6,900
– ชักหน้า Hottime 950
– การ์ดหม้อน้ำ Hottime 690
– จานดิสเบรค หน้า-หลัง Wolf 4,200
– ปั๊มเบรค แบมโบ้ หน้าล่าง 6,800
– ปั๊มเบรค แบมโบ้ หลังล่าง 5,500
– ขาคาร์ลิบเปอร์ หน้า-หลัง 1,500
– ก่ออากาศ 690
– ชุดชามเม็ด set by sar 3,500
– ห่อหม้อน้ำ 650
– ท่อไอเสีย ไทเทเนี่ยม 19,500
– พักเท้าหลัง 490
– เบาะ หน่อยวัดด่าน
– ชุดสีตัดลาย 15,000
– ชุดเซ็ต โชคหน้า set by sar 3,500
– ชุดกันลม ท่อไอเสีย GTR 1,980
– ชุดบทบังโคลนหน้า GTR 820
– น้อตล้อหลัง GTR 490
– แกนล้อหน้า GTR 1,550
– บู๊ทล้อหน้า GTR 1,390
– น๊อตปลายแฮนด์ ไทเทเนี่ยม 250
– รองขาตั้งข้าง GTR 550
– รองขาตั้งคู่ GTR 490
– ปลอกแฮนด์ Domino 800
– กระจกมองหลัง 650
– ฝาถังน้ำมัน+ครอบไมล์+ฝ่าข้าง L+R
คาร์บอน 2,500

ใครสนใจก็สามารถติดต่อร้าน Hottime หรือเจ๊ปลา ขาแว้นซ์ได้เลยนะคะ

All new NMAX 155 กับแรงบันดาลใจของการตกแต่ง

ร้าน Murazaki + Motostory
แต่งสไตล์ Touring ชิวสูงสปอร์ตที่ยาวกว่าของเดิม คางใต้ไฟที่ให้ดูมีสไตล์แอดเวนเจอร์มากยิ่งขึ้น ครอบแก้ม R/L เสริมความบึกบึน ครอบข้างกลางแฟริ่งเสริมความบึกบึนในสไตล์ Cross Country และอีกมากมายรอติดตามได้จากรีวิวเร็วๆนี้ที่ชองยูทูป Riding Channel นะคะ

“มอร์บิเดลลี่” ประเดิมโพเดี้ยมพรีเมียร์คลาส “กวาตาร์ราโร่” คว้าแต้ม เบอร์โน่ ควงคู่ต้นสังกัด รั้งผู้นำฝูงโมโตจีพี

การแข่งขันในสนามที่ 3 ศึกโมโตจีพี 2020 ดวลความเร็วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ณ ออโตโมโตโดรม เบอร์โน่ สาธารณรัฐเช็ก ระยะทางต่อรอบ 5.403 กิโลเมตร กำหนดชิงชัยทั้งสิ้น 21 รอบสนาม ในรายการมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ กรังด์ปรีซ์ เช็ก รีพับลิคกี้

โดย ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #20 ผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพ จาก ปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ที ได้เริ่มเกมจากกริดสตาร์ทที่ 2 ขนาบข้างด้วย ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 นักบิดร่วมสังกัดชาวอิตาเลียน ในกริดที่ 3 ส่วน มาเวริค บีญาเลส #12 ดาวบิดสแปนิช สังกัดมอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี ได้เริ่มเกมจากกริดที่ 5 ขณะที่ วาเลนติโน่ รอสซี่ #46 ดาวบิดรุ่นพี่ร่วมค่าย ประจำการในกริดที่ 10

ออกสตาร์ทเรซด้วยตำแหน่งผู้นำของ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 ที่ทะยานขึ้นไปรั้งหัวขบวนตั้งแต่ต้นเกม รวมถึง ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #20 ที่รั้งอยู่ในอันดับ 2 ทว่าด้วยปัญหาในเรื่องของยางส่งผลให้ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #20 ไม่สามารถทำความเร็วได้ ก่อนจะทำได้ดีที่สุดด้วยการบิดจบการแข่งขันในอันดับ 7 ขณะที่ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 สามารถรีดฟอร์มเก่งบิดเกาะอยู่ในกลุ่มหัวขบวน และบิดรถแข่ง M1 รับธงตาหมากรุกในอันดับ 2 คว้าโพเดี้ยมแรกในเกมพรีเมียร์คลาสให้กับตนเอง

รวมถึง วาเลนติโน่ รอสซี่ #46 ที่สามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในเกมที่ เบอร์โน่ บดกับคู่แข่งได้อย่างสนุกตลอดทั้งเกม ทั้งยังโชว์ความเก๋าไล่แซงทำอันดับไต่จากกริดที่ 10 ขึ้นมาจบการแข่งขันในอันดับ 5 ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้าน มาเวริค บีญาเลส #12 ที่เจอปัญหาในเรื่องกริปของยางเช่นกัน ส่งผลให้ทำได้ดีที่สุดด้วยการบิดเข้าเส้นชัยในอันดับ 14 คว้าแต้มเพิ่มให้กับตนเองและต้นสังกัด

จากผลการแข่งขันดังกล่าว ส่งผลให้ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ #21 ยังคงเป็นผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพ หลังเก็บไปได้ทั้งสิ้น 59 คะแนน ตามด้วย มาเวริค บีญาเลส #12 ในอันดับ 2 มีทั้งสิ้น 42 คะแนน ขณะที่ ฟรังโก้ มอร์บิเดลลี่ #21 ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 3 มีทั้งสิ้น 31 คะแนน ส่วน วาเลนติโน่ รอสซี่ #46 มี 27 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับ 7

รวมถึง ยามาฮ่า ที่ยังนำโด่งบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทค่ายผู้ผลิต โกยไปแล้วทั้งสิ้น 70 คะแนน ทิ้งห่าง เคทีเอ็ม ที่อยู่ในอันดับ 2 ถึง 26 คะแนน ขณะที่ ปิโตรนาส ยามาฮ่า เอสอาร์ที ยังคงเป็นผู้นำบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภททีม มีทั้งสิ้น 90 คะแนน ตามด้วย มอนสเตอร์ เอเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี ในอันดับ 2 มี 69 คะแนน

ศึกโมโตจีพี 2020 สนามถัดไป จะยกพลไปดวลความเร็ว ที่ เรดบูลล์ ริง เมืองสปีลเบอร์ก ประเทศออสเตรีย ในวันที่ 16 สิงหาคม นี้

แฟนมอเตอร์สปอร์ตสามารถร่วมติดตามและให้กำลังใจนักบิดยามาฮ่าได้ที่ Facebook : Yamaha Society Thailand

ร้าน Likit Racing + Moto Plaza

รถคันนี้ตกแต่งในสไตล์สปอร์ตแต่สามารถนำมาใช้งานได้จริงบนท้องถนน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนำเสนอความเป็นตัวเองดีไซน์การตกแต่งแหวกแนวไม่เหมือนใคร ซึ่งทำสีใหม่เป็นสี midnight blue ในที่สว่างจะเป็นสีเงิน ในที่มืดจะเป็นสีดำ คาดลายกราฟฟิกที่ให้อารมณ์ความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เน้นคู่สีที่ตัดกันแบบลงตัว

All new NMAX 155 กับแรงบันดาลใจของการตกแต่งจากสำนักแต่งชั้นนำระดับประเทศ

สปอร์ต ออโตเมติก สุดฮิต All new NMAX 155 กับแรงบันดาลใจของการตกแต่งจากสำนักแต่งชั้นนำระดับประเทศ คันไหนโดนใจคุณบ้างละ ส่วนรายละเอียดเพิ่มรอติดตามรีวิวแบบจัดเต็มที่นี่เร็วๆ นี้ https://www.facebook.com/ridingmag/ https://www.youtube.com/channel/UC20M7mYJrvrcvGlMUpy5gog?view_as=subscriber

2020 Yamaha WR155 R สายโดด สายดีด พร้อมกับสปีดสุดเร้าใจ

ยามาฮ่าพร้อมลุยสายฝุ่น ตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่มีหลากหลายสไตล์ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ กับการขับขี่ที่ตื่นเต้น หลังจากที่ อินโดนีเซีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับนักแข่ง MotoGP มาเวอร์ริค บีญาเลส ก็ได้เวลาของสยามประเทศที่จะได้สัมผัสกับความมันส์กันแล้ว

Yamaha WR155R มาพร้อมกับความโดดเด่นของตัวรถที่ถอดดีเอ็นเอมาจากรุ่นพี่สายเอ็นดูโร่ รหัส WR ที่รู้จักทั่วโลกถึงสมรรถนะ และความลงตัวของดีไซน์ เพรียว กระชับ คล่องตัว ควบคุมง่ายมาดูกันสิว่า WR155R มีฟีเจอร์ และอะไรน่าสนใจที่จะกระชากเงินในกระเป๋าคุณได้บ้าง ระบบกันสะเทือนหน้าเทลเลสโคปิคขนาด 41 มม. และมีความยาวมากถึง 899.1 มม. ทำให้การซับแรงกระแทกในเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อนั้น มีความเสถียร ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบโมโนครอสแบบแก๊ส ที่สามารถปรับระดับพรีโหลดได้ตามสไตล์ของแต่ละคนเลย ส่วนยางจะเป็นแบบเอนกประสงค์ใช้งานได้ทั้งถนนทั่วไป และพร้อมลุยฝุ่น วงล้อซี่ลวดแบบอลูมินัม ข้างหน้า 21 นิ้ว หลัง 18 นิ้ว เพื่อให้สายลุยฝ่าอุปสรรคได้เต็มที่ตัวเฟรมรถจะเป็นแบบ Semi Double Cradle Frame น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ถังน้ำมันจุมาให้มากถึง 8.1 ลิตร ตามสไตล์ของรถเอ็นดูโร่ แหม..ลุยกันได้ทั้งวัน ระบบเบรกจะเป็นแบบดิสก์เบรกจานหน้า 240 มม. ดิสก์ด้านหลังจาน 220 มม. หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ LCD Meter แสดงค่าต่างๆ อย่างครบครัน

มาดูที่เครื่องยนต์กันบ้าง มีขนาดปริมาตร 155 ซีซี 1 สูบ 4 จังหวะ SOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีการติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน VVA มาให้ด้วย เน้นพละกำลังที่จี๊ดจ๊าด ให้แรงม้าสูงสุดมาอยู่ที่ 16.5 แรงม้า ที่ 10,000 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 14.3 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที และกำลังอัด 11:6.1 ตรงนี้บอกเลยว่าจุดระเบิดได้เต็มที่สมบูรณ์มากเพราะการสั่งจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดที่ละเอียด แต่จะว่าไปแล้วด้วยข้อมูลที่แกะออกมาได้ ก็จะเหมือนกับเครื่องยนต์ลูกเดียวกันกับ MT-15 และ YZF-R15 ที่โดดเด่นเรื่องของพละกำลังแรงบิดที่โดดเด่น

Honda CB400X 2020

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถจักรยานยนต์เอเชีย ค่ายปีกอินทรี Honda ประเทศญี่ปุ่นส่งทัวร์ริ่งแอดเวนเจอร์ CB400X เวอร์ชั่นปี 2020 พร้อมปรับลุคใหม่ลงตลาดอย่างเป็นทางการ สำหรับการผจญภัยครั้งใหม่ ความโดดเด่นมาพร้อมกับไฟ LED ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง วินชิวด์หน้าสามารถรถปรับได้ 2 ระดับเพื่อให้ลมไหลผ่านไม่ปะทะผู้ขับขี่ แผงหน้าปัดจอ LCD ฟูลดิจิตอล แสดงค่าต่างๆ อย่างครบครัน ความลงตัวในสไตล์แอดเวนเจอร์กับท่อไอเสียแบบปลายท่อ 2 รู, ระบบเบรกที่ติดตั้ง ABS แบบ dual channel พิเศษมากยิ่งขึ้น สำหรับเบรกหน้าที่ปรับได้ถึง 5 ระดับ ตัวรถมีความสูงจากพื้นดิน 150 มม. ขณะที่ความสูงจากพื้นถึงเบาะรถอยู่ที่ 800 มม.  มีระบบกันสะเทือนติดตั้ง ยางเรเดียลขนาด 19 นิ้วด้านหน้าและด้านหลัง 17 นิ้ว

ในขณะที่สเปคของเครื่องยนต์มีความจุอยู่ที่ 399 ซีซี 2 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 46 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที และทอร์คหรือว่าแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 38 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด และที่สำคัญก็คือตัวรถนั้นมีระบบ Assist and slipper clutch ป้องกันท้ายปัดขณะลดเกียร์แบบรวบหลายเกียร์ มาให้สำหรับสายโหดให้สนุกกับการขับขี่และปลอดภัย

ถ้าเปรียบกับตัวที่ขายอยู่ในบ้านเรา Honda CB500X ที่ใช้เพลตฟอร์มเครื่องยนต์เดียวกันแต่มีความจุมากกว่าที่ 471 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 47 แรงม้า ที่ 8,600 รอบ/นาที และ 43 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ใต้ท้องรถสูง 165 มม. เบาะสูง 830 มม. จะว่าไปแล้วพร้อมลุยมากกว่า CB400X ค่อนข้างมาก แต่ก็นั่นแหละมันคืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่มีความต้องการหรือการใช้งานที่ต่างกัน

Honda CB400X 2020 นั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สีให้เลือกได้แก่สี Matte Ballistic Black สำดำ และ Pearl Glare White สีขาว และมีการเปลี่ยนแปลงสีของตัวเฟรมรถใหม่เป็นสีแดง ซึ่งให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมาจับคู่กับสีสันใหม่เหล่านี้

ยามาฮ่า แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด

ฉลองผู้นำรถออโตเมติกไฮบริดยอดขายสูงสุดอันดับ 1 จัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจลูกค้าตอบโจทย์ชีวิตวิถีใหม่ 🎉

ลูกค้าที่ซื้อยามาฮ่า แกรนด์ ฟีลาโน่ ไฮบริด ใหม่
รับฟรี! หมวกกันน็อกสุดเท่ พร้อมผ้าบัฟสไตล์ New Normal
รวมมูลค่า 1,200 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 30 ก.ย. 63
หรือจนกว่าของจะหมด ได้ที่ Yamaha Square ทั่วประเทศ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
https://bit.ly/Promotion_Yamaha_Grand_Filano_Hybrid_2020

“ธนกร” ประเดิมแชมป์ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ 2020

“หยก” ธนกร หลักหาญ นักบิดดาวรุ่งจากโครงการ เรซ ทู เดอะ ดรีม ของ เอ.พี. ฮอนด้า ผงาดประเดิมแชมป์สนามแรก ศึกฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ 2020 ท่ามกลางเวทเรซสุดเดือด หลังควบรถแข่ง Honda NSF250 หมายเลข 20 บิดเข้าเส้นชัยแบบม้วนเดียวจบ ขณะที่ วัชรินทร์ ทับทิมอ่อน หมายเลข 19 และ ชานน อินทร์ต๊ะ หมายเลข 7 ฮึดสู้ไม่ถอยได้ฉลองชัยบนโพเดี้ยม ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ รายการฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ ฤดูกาล 2020 หนึ่งในบันไดปั้นนักบิดไทยสู่โมโตจีพี ได้ฤกษ์เปิดฉากเกมดวลความเร็วสนามแรกแบบนิวนอร์มอล ซึ่งไม่อนุญาตให้มีผู้ชมในสนาม แต่สามารถร่วมเชียร์ผ่านการถ่ายทอดสดทางออนไลน์ จัดร่วมในรายการโออาร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ 2020 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม ที่ผ่านมา

รอบชิงชนะเลิศเรซแรกจัดขึ้นในช่วงเย็นของวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ออกสตาร์ทเวลา 15.15 น. เรซนี้เกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างแข่งและต้องใช้เวลาในการเคลียร์แทร็ก สุดท้ายทีมงานตัดสินใจให้ยุติการแข่งขันและไม่มีการเก็บคะแนนในเรซนี้

ขณะที่เรซที่สองมีขึ้นต่อเนื่องในเช้าวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม เหล่านักบิดดาวรุ่ง อายุ 13-18 ปี จากโครงการ เรซ ทู เดอะ ดรีม ของ เอ.พี. ฮอนด้า พร้อมประจำการบนรถแข่งสมรรถนะสูง Honda NSF250 สเปกเดียวกับรุ่นโมโตทรีในระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ กริดสตาร์ทแรกเป็นของ ธนกร หลักหาญ หมายเลข 20 ขนาบข้างด้วยดาวรุ่งจาก เอ.พี. ฮอนด้า อะคาเดมี่ ที่เลื่อนชั้นขึ้นมาในปีนี้ ได้แก่ ธนัช ละอองปลิว หมายเลข 13 และ จักรีภัทร พฤฒิสาร หมายเลข 3 ในกริดที่ 2 และ 3 ตามลำดับสำหรับผลการแข่งขันท่ามกลางสายฝนแบบเวทเรซ หลังดวลความเร็ว 15 รอบ ปรากฏว่า “หยก” ธนกร ประเดิมแชมป์เรซนี้ไปครอง หลังบิดนำม้วนเดียวจบ รับธงหมากรุกก่อนใคร ด้วยเวลา 30 นาที 40.693 วินาที อันดับที่ 2 เป็นของ วัชรินทร์ ทับทิมอ่อน หมายเลข 19 โชว์ฟอร์มร้อนแรงไล่แซงคู่แข่งจากกริดที่ 10 ตามหลังแชมป์ 4.771 วินาที และอันดับที่ 3 เป็น ชานน อินทร์ต๊ะ หมายเลข 7 ที่ฮึดสู้จากกริดที่ 5 ได้ฉลองพื้นที่บนโพเดี้ยมที่สนามช้างฯ ด้วยเช่นกัน

ศึกปั้นนักบิดไทยสู่เวทีโมโตจีพี รายการฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ 2020 สนามถัดไปมีคิวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-6 กันยายนนี้ บนสังเวียนระดับโลกเช่นเดิม ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ แฟนมอเตอร์สปอร์ตชาวไทยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” และการแข่งขันฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเลนต์ คัพ ตลอดปี 2020 ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ เรซ ทู เดอะ ดรีม fb.com/aphondaracingth

2020 KTM 125SX

ฝั่งอเมริกายังคงเป็นตลาดหลักที่พอมีกลุ่มเล่นรถโมโตครอสเครื่องยนต์สองจังหวะจำนวนมาก หลายค่ายผู้ผลิตตยังคงสถานการณ์ทำตลาดไว้เหมือนเดิม เช่นเดียวกับที่ KTM ได้เปิดตัว 2021 KTM125SX เพื่อรักษาฐานการตลาดในอเมริกา และแน่นอนว่า นี่ก็คืออานิสสงค์สำหรับส่วนอื่นๆของโลกที่ยังคง ถวิลหามนต์สเน่ห์ของรถโมโตครอสเครื่องยนต์สองจังหวะ

ซึ่งในกลุ่มรถโมโตครอสแบบ full size bikes พิกัดเดียวกัน กล่าวได้ว่า KTM125SX เป็นรุ่นที่มีความกะทัดรัด และน้ำหนักเบามากที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยเฉพาะรถในระดับ compettive 125cc 2T engine หรือรถแข่งพิกัด 125 ซีซี ด้วยกันนั้นองค์ประกอบในส่วนของแชสซีส์พร้อมส่วนควบต่างๆของ KTM125SX นั้น มีน้ำหนักที่เบาเป็นพิเศษและด้วยโครงสร้างแชสซีส์ที่เบากะทัดรัดจึงมีส่วนสำคัญให้นักแข่งหรือผู้ขับขี่สามารถควบคุมจังหวะการขับขี่ได้อย่างคล่องตัวเฉียบคมในทุกจังหวะ จนสามารถที่จะเค้นเอาสมรรถนะของกำลังเครื่องยนต์ที่มีออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นี่คือตัวแข่งเครื่องยนต์สองจังหวะที่ทรงประสิทธิภาพ ที่พร้อมมีส่วนสำคัญในการพัฒนานักแข่งในระดับวัยรุ่นได้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับมืออาชีพด้วยสมรรถนะอันทรงประสิทธิภาพของตัวแข่งโมโตครอส อย่าง KTM125SX

ด้วย know how ล่าสุดทางด้านวิศวกรรม ของ KTM ที่ได้พัฒนาเครื่องยนต์สองจังหวะของ 125SX ให้มีกำลังเครื่องยนต์ที่ดุดันเปี่ยมประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งกำลังในแต่ละรอบของการทำงานของเครื่องยนต์นั้นสามารถส่งต่อกำลังได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ขับขี่สามารถควบคุมได้ง่ายและเค้นกำลังสูงสุดออกมาได้ตามต้องการในแต่ละจังหวะการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์ขนาดกะทัดรัด ทนทาน และมีกำลังที่โดดเด่นมากที่สุดในพิกัดเดียวกัน ทำให้ KTM125SX นี้ เป็นรถแข่งที่พร้อมจะทำความเร็วต่อรอบได้ดียิ่งขึ้นและนำมาซึ่งผลงานในสนามที่ดีกว่าเดิม เฟรมของ 125SX นี้ยังคงเอกลัษณ์เช่นที่ผ่านมาด้วยโครงสร้าง hydroformed chromium molybdenum steel tubes ที่ใช้หุ่นยนต์ในการเชื่อมต่อชิ้นส่วนได้อย่างสวยงามแม่นยำ และสามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้ในระดับสูง

นอกจากความแข็งแกร่ง เบาแล้วเฟรมยังมีความเที่ยงตรงแม่นยำในมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด และด้วยความแข็งแกร่งของโครงสร้างเฟรม จึงมีส่วนทำให้การควบคุมรถเป็นไปได้อย่างมั่นคง สามารถรักษาความเร็วไว้ได้อย่างสม่ำเสมอในทุกจังหวะการขับขี่ แล้วเมื่อมีการติดตั้งองค์ประกอบ “ชั้นดี” เข้าไปประกอบร่างกับเฟรมชั้นยอด จึงทำให้ ประสิทธิภาพต่างๆ ที่ได้รับนั้น ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ ระบบกันสะเทือน ที่มีความนุ่มนวล รองรับแรงกระแทกได้อย่างดี ซับเฟรมอลูมิเนียมน้ำหนักเบา บังโคลนหลังที่มีความแข็งแรงมั่นคง พักเท้าแบบ no dirt ที่สามารถลดหรือสลัดบการยึดติดของเศษดินโคลนได้ดี พร้อมทั้งสามารถเลื่อนกลับสู่ตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น

ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้ล้วนมีน้ำหนักเบาแข็งแรง หรือแม้แต่เบาะนั่งที่ออกแบบมิติของเบาะได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งมีการออกแบบชุดคลุมเบาะที่มีแถบซิลิโคลนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะ มีส่วนเสริมให้ผู้ขับขี่มีความมั่นคงในทุกจังหวะการขับขี่มากยิ่งขึ้น สำหรับสเปคพื้นฐาน ของ 2021 KTM 125SX มีดังนี้

สำหรับสเปคพื้นฐาน ของ 2021 KTM 125SX มีดังนี้

ENGINE
TRANSMISSION: 6-speed
STARTER: Kickstarter
STROKE: 54.5 mm
BORE: 54 mm
CLUTCH: Multi-plate clutch, Brembo hydraulics
DISPLACEMENT: 124.8 cm³
EMS: Kokusan
CHASSIS
WEIGHT (WITHOUT FUEL): 87.5 kg
TANK CAPACITY (APPROX.): 7.5 l
FRONT BRAKE DISC DIAMETER: 260 mm
REAR BRAKE DISC DIAMETER: 220 mm
FRONT BRAKE: Disc brake
REAR BRAKE: Disc brake
CHAIN: 5/8 x 1/4”
FRAME DESIGN :Central double-cradle-type 25CrMo4 steel
FRONT SUSPENSION: WP XACT-USD, Ø 48 mm
GROUND CLEARANCE: 375 mm
REAR SUSPENSION: WP XACT Monoshock with linkage
SEAT HEIGHT: 850 mm
STEERING HEAD ANGLE: 63.9 °
SUSPENSION TRAVEL (FRONT): 310 mm
SUSPENSION TRAVEL (REAR): 300 mm

New Yamaha Tenere700 Rally Edition

ในบ้านเราเพิ่งจะเปิดตัวขาย Tenere700 ตามหลังยุโรปไปได้ไม่นาน ทางฝั่งยุโรปก็ส่งเวอร์ชั่นล่าสุดออกมาเป็นทางเลือกเพิ่มเติมด้วย Tenere700 Rally Edition ที่มาพร้อมกับ โทนสีอันเป็นสัญลักษณ์ที่คุ้นเคยกันดีสำหรับคนที่ติดตามผลงานของ Yamaha ในรายการแรลลี่ดาการ์ และนี่คือ Iconic Dakar heritage colours ที่ย้อนไปถึง Tenere โมเดลแรกซึ่งผลิตออกมาจำหน่ายในปี 1983 ที่มาด้วยโทนสีน้ำเงินเหลืองพร้อมลวดลาย speed block อันเป็นเอกลักษณ์ของ Yamaha

ก่อนจะถึงคราวกำเนิดของ Tenere นั้น ต้องย้อนไปในปี 1976 ที่ Yamaha ได้เปิดตัวรถในสไตล์ Dual purpose อย่าง XT500 เครื่องยนต์สี่จังหวะสูบเดียว มีคาแรคเตอร์ไปในทางรถเอ็นดูโร่ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีในยุโรป จากนั้นรถรุ่นนี้ก็เริ่มปรากฏในสังเวียนการแข่งขันเมื่อผู้ใช้นำไปลงแข่งขัน อย่างนักขี่ชาวฝรั่งเศส ได้นำไปลงแข่งแรลลี่ จากนั้นในระหว่างช่วงเดือนธันวาคม ปี 1978 รถรุ่นนี้ก็เป็นจำนวนหนึ่งใน 182 คันที่ลงแข่งดาการ์แรลลี่ และนับจากนั้นมา XT500 ก็กลายเป็นรถที่ขายดีมากที่สุดรุ่นหนึ่งในยุโรป ควบคู่กับความสำเร็จของการคว้าชัยชนะใน DakarRally ด้วยกระแสความสำเร็จในฐานะรถแข่งแรลลี่นี้เองจึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างรถในแบบแอดเวนเจอร์แท้ๆออกมาสู่ตลาด ด้วยการมีถังเชื้อเพลิงที่มีความจุมากพอสำหรับการเดินทางไกล ระบบกันสะเทือนที่มีระยะยุบตัวมากพอสำหรับรองรับทุกสภาพเส้นทางพร้อมกับระบบกันสะเทือนหลังแบบโช้คอัพเดี่ยวโมโนครอส และนี่คือรถโปรดักชั่นในประเภทแอดเวนเจอร์รุ่นแรกของ Yamaha มาในชื่อ XT600Z Tenere ที่ผลิตออกมาในปี 1983 และนับตั้งแต่ผลิตออกมาในฐานะรถ โปรดักชั่นแล้ว XT600 Z Tenere นี้ ยังได้ถูกนำไปใช้เป็นรถแข่งโดยทีมแข่งอิสระต่างๆอีกด้วย

หลังจากที่ Tenere700 เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 2019 ก็กลายเป็นรถรุ่นหนึ่งที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้ทั่วโลกด้วยเครื่องยนต์ที่เน้นเรื่องแรงบิดและมีพละกำลังที่ดี จาก CP2 engine ซึ่งมีความจุ 689 ซีซี พร้อมตอบสนองการใช้งานในแบบออฟโรด และมีคุณสมบัติรองรับการเดินทางไกล ร่วมด้วยการตอบสนองที่สะดวกสบายขณะขับขี่บนทางไฮเวย์ ที่ผู้ขับขี่จะได้รับจาก Tenere700 และเพื่อเพิ่มทางเลือก จึงได้ส่งเวอร์ชั่นล่าสุด Tenere700 Rally Edition ที่มาพร้อมกับโทนสีน้ำเงินเหลือง พร้อมลวดลาย speedblock ตามแบบฉบับของตัวแข่งแรลลี่ ในปี 83-84 จากสังเวียน Dakar Rally เราคงจะไม่พูดถึงสเปคพื้นฐานของ Tenere700 ที่เป็นพื้นฐานเดียวกับ Tenere700 Rally Edition แต่จะกล่าวถึงเฉพาะองค์ประกอบเพิ่มเติมที่ทาง Yamaha บอกว่า เป็น high specification เหนือกว่ารถเวอร์ชั่นสแตนดาร์ด ที่มีการติดตั้งชิ้นส่วนเพิ่มเติมเพื่อยกระดับการป้องกันตัวรถ อาทิ chassis protection ที่คอยป้องกันตัวรถขณะนำไปขับขี่ในเส้นทางออฟโรด ด้วยแผ่นอลูมิเนียมที่มีความหนา 4 มม. ซึ่งติดตั้งมาจากโรงงาน หรือแม้แต่ heavy duty skid plate ที่เป็นการ์ดคอยปกป้องการกระแทกเครื่องยนต์ และป้องกันการกระแทกที่บริเวณชิ้นส่วนของเฟรมด้านล่าง รวมทั้ง aluminium radiator protector ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันความเสียหายของชิ้นส่วนหม้อน้ำ และยังรวมถึงชิ้นส่วน aluminium chain guard ที่ชิ้นส่วนเหล่านี้ออกมาเพื่อเพิ่มการป้องกันโครงสร้างตัวรถจากการกระแทกหรือขูดขีดจากสิ่งต่างๆระหว่างการขับขี่ในเส้นทางออฟโรดนั่นเอง

มาที่ส่วนของเบาะนั่งได้ปรับมาเป็นเบาะนั่งที่เหมาะกับการใช้งานในแบบแรลลี่ ด้วย one-piece rally seat ที่เป็นเบาะแบบชิ้นเดียวซึ่งมีความสูงเพิ่มจากเดิม 20 มม. ทำให้ตำแหน่งเบาะนั่งสูงอยู่ที่ 895 มม. ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขยับปรับเปลี่ยนช่วงขาได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนไหวในการปรับเปลี่ยนจากการนั่งขี่มาเป็นยืนขี่ระหว่างตะลุยไปบนทางออฟโรด พร้อมกันนี้ยังมี grip pads ซึ่งเป็นแผ่นยางพิเศษที่ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานกับ Tenere700 Rally Edition ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้สะดวกขึ้น โดยด้านในของช่วงขาจะสามารถยึดเกาะกับรถได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับชุดแฮนเดิ้ลบาร์ที่มาแบบออฟโรดสไตล์ที่ปรับองศาให้เหมาะสมกับการใช้งานกับ off road handlebar grips และรายละเอียดอื่นๆ ของ Tenere700 Rally Edition มีข้อมูลดังนี้

Engine type : liquid-cooled, 4-stroke,
4-valves, DOHC, 2-Cylinder
Displacement : 689cm³
Bore x stroke : 80.0mm x 68.6mm
Compression ratio : 11.5:1
Maximum power : 54.0kW@9000rpm
Maximum Torque : 68.0Nm@6500rpm
Lubrication system : Wet sump
Clutch Type : Wet, Multiple Disc
Ignition system : TCI
Starter system : Electric
Transmission system : Constant Mesh, 6-speed
Final transmission : Chain
Carburettor : Fuel Injection
Frame : Steel tube backbone, Double cradle
Front suspension system : Upside down
telescopic fork
Rear suspension system : Swingarm, (Link type suspension)
Front travel : 210mm
Rear Travel : 200mm
Front brake : Hydraulic dual disc, Ø 282mm
Rear brake : Hydraulic single disc, Ø 245mm
Front tyre : 90/90 R21 M/C 54V M+S – Spoke wheels with Pirelli Scorpion Rally STR
Rear tyre : 150/70 R18 M/C 70V M+S – Spoke wheels with Pirelli Scorpion Rally STR
Overall length : 2,370mm
Overall width : 910mm
Overall height : 1,455mm
Seat height : 895mm
Wheel base : 1,595mm
Minimum ground clearance : 240mm
Wet weight (including full oil and fuel tank) : 204kg
Fuel tank capacity : 16L

New Honda Forza 350 Test Ride

ฮอนด้า ฟอร์ซา 350 รุ่นใหม่ (Honda Forza 350) พร้อมอัพเกรดเครื่องยนต์ใหม่หมด ออพชั่นแน่นขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมคืออัตราเร่งสุดจี๊ดจ๊าด หล่อแบบมีเขี้ยวเล็บ

รถบิ๊กสกู๊ตเตอร์รุ่นยอดนิยมในบ้านเรา รุ่นใหม่นี้นอกจากรูปลักษณ์จะถูกเหลาให้มีเส้นสายที่คมชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่า การออกแบบช่องอากาศด้านข้างแฟริ่งให้ไหลผ่านและช่วยในการทรงตัวที่ดีขึ้น รวมไปถึงมุมเทลที่ปรับใหม่ให้การเข้าโค้งง่ายดายแน่นอน New Honda Forza 350 รุ่นใหม่ จะมีความกระฉับกระเฉง และคล่องตัวเพิ่มมากขึ้นในส่วนชิลด์หน้ายังคงเป็นการปรับด้วยระบบไฟฟ้าเพิ่มความสูงจากเดิม 110 มม. เป็น 150 มม. ปรับได้ที่สวิตช์แฮนด์ด้านซ้าย และตัวรถมาพร้อม Smart key ที่ใช้งานได้สะดวกสามารถบิดเพื่อเปิดระบบและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เลยโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ ในส่วนช่องสัมภาระใต้เบาะขนาดใหญ่ รุ่นนี้สามารถเก็บหมวกกันน็อคได้พร้อมกันถึง 2 ใบ

ลื่นขึ้น แรงขึ้น ด้านขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์ eSP+ แบบ 4 วาล์ว ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI 4 จังหวะ แบบซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบ Honda Selectable Tourque Control ป้องกันล้อหมุนฟรีท้ายสไลด์ไม่ให้เสียการทรงตัวให้แรงม้าเพิ่มขึ้น 4 ตัว New Honda Forza 350 มาพร้อมกับวงล้อหน้าขนาด 15 นิ้ว และล้อหลังขนาด 14 นิ้ว โช้คอัพด้านหน้าแบบเทเลสโคปิกจะมีขนาด 33 มม. เท่านั้น บางลงกว่าโมเดลเดิมที่มีขนาด 35 มม. ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบทวินโช้คที่สามารถปรับระยะพรีโหลดได้ถึง 7 ระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานระบบดิสก์เบรกหน้า/หลัง ที่มาพร้อมกับ ABS แบบ 2 channel เช่นเดียวกับรถบิ๊กไบค์ ในขณะที่หน้าจอแสดงผลนั้นเป็นแบบดิจิตอลผสมกับอนาล็อค ซึ่งให้ความสดใหม่และโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม สะดวกสบายกับ In-console USB Charger & Bottle Holder ที่เก็บของคอนโซลหน้าขนาดใหญ่ พร้อมที่วางขวดน้ำในตัว รองรับไลฟ์สไตล์ดิจิตอลด้วยที่ชาร์ทไฟสำรองอเนกประสงค์แบบ USB Charger Type C สีที่เปิดตัวกันในปีนี้นั้นจะมี สีน้ำเงิน-ดำ สีดำ, สีแดง-ดำ และ สีขาว-น้ำเงิน ในราคาเปิดตัวที่ 173,500 บาท

ความคิดเห็นนักทดสอบ
จตุรงค์ หมื่นทิพย์
ได้ลองขับขี่แล้วววว…กลุ่มแรกของประเทศไทยเลย
มีความหรู พรีเมี่ยม แต่ซ่อนเขี้ยวเล็บที่แหลมคม อัตราเร่งม้าดีดเร้าใจตั้งแต่ออกตัว เพราะใส่ม้าเพิ่มมาให้อีก 4 ตัว อัพไซส์ลูกสูบจาก 72 มม. เป็น 77 มม. ความจุเป็น 330 ซีซี หัวเว้า 4 วาล์ว พร้อมค่าสปริงใหม่ ก้านข้อเหวียงใหญ่ เครื่องยนต์นิ่งเงียบลดอาการสั่นด้วยการเสริมเพลาบาร์ล้านซ์เซอร์ที่ข้อเหวี่ยง ทำให้รอบเดินเบาพลาสติกไม่มีกระพรือให้รำคาญ
ท่านั่งไม่ต่างจากตัวเดิม วิ่งฉลุยลดการปะทะลมด้วยวินชิลด์ทรงสูง 150 มม. กรองอากาศขนาดใหญ่เปิดคันเร่งรอบสูงไม่ต้องกังวลเรื่องการดูดอากาศเข้าไปเผาไหม้ เรือนลิ้นเร่งแบบยิงตรง เห็นว่าหม้อน้ำย้ายไปข้างหน้าเพื่อให้ลมผ่านได้ดีและเสริมพัดลมไฟฟ้าระบายความร้อนอีกตัว แหม…แบบนี้ก็เย็นสบายเลยสิชุดหลังทดอัตรากำลังส่งเฟืองท้ายปรับใหม่ เม็ดแรงเหวี่ยงเพิ่มน้ำหนักเป็น 21 กรัม ต้นจัด ปลายไหล สายพานหน้ากว้างและยาวขึ้น ทำงานฉับไวด้วยชุดคลัทช์ 5 แผ่น (จาก 3 แผ่น) ดิสก์เบรก ABS 2 Channels แยกการทำงานหน้า/หลัง สั่งหยุดหนึบๆ ระบบแทร็คชั่นสั่งทำงานเร็วเมื่อล้อหลังสัมผัสกับฝุ่นทราย หินกรวด หรือน้ำ
สรุปโดยรวมๆ แล้ว มีอัตราเร่งที่ฉับไวติดมือมากขึ้น เครื่องยนต์นิ่ง เงียบ ราคาแพงกว่า ตัว 300 นิดหน่อย แต่รับรองว่าอร่อยเหาะแน่นอน