บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สีใหม่สุดเร้าใจ

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR เติมเต็มทุกการผจญภัย 

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับนักบิดชาวไทยสายผจญภัยอีกครั้ง เปิดตัวสีใหม่สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ด้วยสีตัวถังภายนอกสีน้ำเงิน Racing Blue Metallic และยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่แท้จริงของตระกูลไดนามิกโรดสเตอร์ ในกลุ่มแอดเวนเจอร์ สปอร์ต พร้อมสะกดทุกสายตาบนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังคงนำเสนอความสปอร์ตซึ่งมาพร้อมกับความสามารถอันหลากหลายและฟีเจอร์ทันสมัยต่าง ๆ พร้อมมอบสมรรถนะในการขับขี่ระยะไกลที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปบนถนนอันคดเคี้ยวหรือท่องเที่ยวไปในเมือง

มร. ชิวาภาดา เรย์ ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การเพิ่มตัวเลือกสีใหม่สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ช่วยยกระดับรูปลักษณ์แบบไดนามิก และเสริมมาดแบบใหม่ให้กับมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตผจญภัยรุ่นนี้ พร้อมผสานความสปอร์ตและสมรรถนะแบบทัวริ่งไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วยถ่ายทอดความรู้สึกอิสระและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ให้กับนักบิดในการขับขี่ทุกเส้นทาง บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR นำเสนอคุณลักษณะเฉพาะในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง มาพร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นและเทคโนโลยีล่าสุดที่ได้รับการต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นนักบิดที่มีประสบการณ์หรือมือใหม่ เราขอเชิญชวนแฟน ๆ ทุกท่านให้มาสัมผัสประสบการณ์สุดยอดการผจญภัยในการขับขี่และสมรรถนะอันทรงพลังของมอเตอร์ไซค์ที่น่าตื่นเต้นรุ่นนี้ ซึ่งผสมผสานความคล่องตัว ความสะดวกสบาย และสไตล์เข้ากับตัวเลือกสีใหม่ที่โดดเด่น”

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic                               

ราคาจำหน่าย: 599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR นับเป็นที่สุดของมอเตอร์ไซค์ในตระกูลแอดเวนเจอร์ สปอร์ต อย่างแท้จริง ด้วยสมรรถนะโฉบเฉี่ยว ตำแหน่งการขับขี่ี่แบบนั่งตรงสไตล์ GS ความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะไกล ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และรูปลักษณ์ที่สื่อถึงความทรงพลัง เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ ความโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังอยู่ที่การสืบทอดดีไซน์และคอนเซปต์ของมอเตอร์ไซค์ในตระกูล XR ที่ผสานความสปอร์ตและสมรรถนะแบบทัวริ่งเข้าไว้ได้อย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีในการขับขี่ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) และระบบ Keyless Ride ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนในมอเตอร์ไซค์ระดับกลาง

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งพละกำลัง 73 กิโลวัตต์ (99 แรงม้า) ที่ 8,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิด 88 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาที ให้ความเร็วสูงสุดมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดดเด่นด้วยขนาดของเครื่องยนต์ 895 ซีซี พร้อมองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศา และระบบเก็บเสียงแบบใหม่ มอบเสียงทรงพลังและเร้าใจยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมระบบคลัทช์แบบ anti-hopping และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) จากการชะลอตัวหรือลดเกียร์ เพื่อมอบความปลอดภัยยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ขับขี่ มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงไร้สารตะกั่วค่าออกเทน 91 ขึ้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สร้างความสนุกเร้าใจในการขับขี่ด้วยโหมดการขับขี่ ‘Rain’ และ ‘Road’ รวมทั้ง Riding Modes Pro ประกอบด้วย ‘Dynamic’ และ ‘Dynamic Pro’ เพื่อยกระดับความสปอร์ตให้เร้าใจยิ่งขึ้น ระบบ ABS Pro ช่วยให้ควบคุมมอเตอร์ไซค์ได้อย่างแม่นยำในทุกสถานการณ์การขับขี่ พร้อมระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ระบบ Dynamic ESA และ ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (RDC) ในขณะที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติยังช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาความเร็วรถให้คงที่ได้ นอกจากนั้น ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Gear Shift Assistant Pro ยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้เกือบทุกช่วงน้ำหนักบรรทุกและช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์โดยไม่ต้องควบคุมคลัตช์ ระบบทำความร้อนที่แฮนด์ยังช่วยป้องกันมือชาและความเมื่อยล้าเมื่อขับขี่ไปในในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมถังน้ำมันขนาด 15.5 ลิตร โดยถังน้ำมันของรุ่นนี้มีน้ำหนักเบาและผ่านกระบวนการเชื่อมที่นำมาใช้ในการผลิตมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรก ขณะที่โครงสร้างการยึดเหล็กกล้าส่วนท้ายรถก็ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานเป็นครั้งแรกในมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เช่นกัน จึงทำให้ส่วนท้ายรถมีรูปลักษณ์ที่เพรียวและสั้นยิ่งขึ้น นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ซึ่งมีระยะสปริงที่ค่อนข้างยาวขึ้น ช่วยมอบความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหลากหลายกว่าในสไตล์แบบทัวริ่ง

ระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) พร้อมระบบ Headlight Pro นอกจากจะสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ยิ่งขึ้นแล้ว ยังนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นในมอเตอร์ไซค์ขนาดมิดไซส์ ทำให้การขับขี่เวลากลางคืนมีความอุ่นใจยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าส่องสว่างตามการเลี้ยวโค้ง และหลอดไฟทั้งหมดเป็นแบบ LED ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับมอเตอร์ไซค์ในตระกูล F-Series ทุกรุ่น บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมตำแหน่งที่นั่งซึ่งมอบทั้งความสปอร์ตและความสบายสำหรับการขับขี่แบบทัวริ่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ระยะไกล ชุดแฟริ่งด้านหน้าที่มาพร้อมกระจกกันลมปรับระดับได้มอบทั้งลุคสปอร์ตและการป้องกันให้แก่ผู้ขับขี่

นอกจากนี้ในรุ่นนี้ ยังมาพร้อมโซ่ M Endurance ด้วยคุณสมบัติการหล่อลื่นและความทนทานต่อการสึกหรอที่ยอดเยี่ยม โซ่ M Endurance ช่วยมอบความสะดวกสบายด้านการบำรุงรักษามากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการทำความสะอาดที่ยุ่งยากและหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาน้ำมันหล่อลื่นกระเด็นหากใช้โซ่ธรรมดา โซ่ M Endurance จึงมอบทั้งความสะดวกสบายและความทนทานในการใช้งานสูงสุด

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังมีหน้าจอ TFT สีขนาด 6.5 นิ้วและระบบเชื่อมต่อ BMW ConnectedRide เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยให้นักบิดสามารถคุยโทรศัพท์ ฟังเพลง หรือใช้งานระบบนำทางได้อย่างสะดวกในขณะขับขี่ ทั้งนี้ มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีวางจำหน่ายแล้วในสีน้ำเงิน Racing Blue Metallic        

“ไทยฮอนด้า” ชูโรง “โมโตจีพี ไทยแลนด์” “ก้อง-สมเกียรติ” เดินหน้าล่าแชมป์โฮมเรซ

“ก้อง-สมเกียรติ”รับเกียรติสูงสุด “จันทรา สแตนด์” ปีที่ 3 ติดต่อกัน

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย เป็นตัวชูโรงในศึก โมโตจีพี 2024 สนามที่ 18 รายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” หลังแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมอย่างเป็นทางการ นำทัพโดย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ที่ประกาศล่าแชมป์โฮมเรซ พร้อมได้รับเกียรติสูงสุดนักแข่งไทยคนเดียวที่มีสแตนด์เชียร์ใน เวิลด์กรังด์ปรีซ์ เป็นของตัวเอง คือ “จันทรา สแตนด์” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมชวนแฟนชาวไทยร่วมลุ้นในศึกมอเตอร์สปอร์ตยักษ์ใหญ่ของโลก โมโตจีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2024 ที่เตรียมระเบิดความมันส์สนามที่ 18 รายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ ระหว่างวันที่ 25-27 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ท่ามกลางการรอคอยของแฟนความเร็วจากทั่วโลก

“ไทยฮอนด้า” ยังคงเป็นตัวชูโรงสำหรับการแข่งขัน ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ด้วยการนำของนักบิดประวัติศาสตร์ของไทยอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เจ้าของ 2 ชัยชนะ และ 6 โพเดียมในคึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ รวมถึง “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ดาวรุ่งชาวไทยที่ขยับขึ้นไปแข่งขันใน โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นฤดูกาลแรก

โดยได้มีการเปิดขายบัตรเข้าชมการแข่งขันเป็นวันแรก ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขัน “พีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” ได้จัดให้มี “ฮอนด้า สแตนด์” สำหรับกองเชียร์มอเตอร์สปอร์ต บริเวณโค้ง 10 และโค้ง 11 เพื่อส่งกำลังใจเชียร์นักแข่งฮอนด้า ทั้งนักบิดฮอนด้าใน โมโตจีพีอย่าง “ลูก้า มารินี” และ “โจอัน เมียร์” ในทีม เรปโซล ฮอนด้า รวมถึง “โยฮันน์ ซาโก” และ “ทาคาอากิ นาคากามิ” ในสังกัด แอลซีอาร์ ฮอนด้า และ ที่สำคัญคือนักบิดไทยที่จะลงชิงชัยในโฮมเรซ

ดร. อารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ผมอยากจะขอเชิญแฟนชาวไทยเข้าไปชมการแข่งขันเยอะๆ ครับ ไปชมความภาคภูมิใจของคนไทย นักแข่งที่สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการมอเตอร์สปอร์ตไทยอย่าง “ก้อง-สมเกียรติ” ให้คว้าชัยในบ้านเกิด และ “ก๊องส์-ธัชกร” ให้สร้างผลงานที่ดีในโฮมเรซ”

ด้าน “ก้อง-สมเกียรติ” กล่าวว่า “สำหรับในปีนี้รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ครับ ที่จะได้กลับมาแข่งที่บ้านเราอีกครั้ง ปีที่แล้วเราคว้าตำแหน่งที่ 3 ได้ขึ้นโพเดียม แต่ในปีนี้ผมก็หวังที่จะชนะให้ได้ และจะได้ร้องเพลงชาติไทยในสนามบ้านเกิดให้ได้ อยากเชิญแฟนชาวไทยไปชมในสนามกันเยอะๆ ครับ”

ส่วน “ก๊องส์-ธัชกร” เปิดเผยว่า “ทุกครั้งที่ลงแข่งในเมืองไทย ผมจะตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งครับ ภูมิใจที่ได้แข่งในบ้านเกิด จะเก็บข้อผิดพลาด เพื่อทำผลงานให้ดีขึ้น เพื่อมอบของขวัญให้แฟนชาวไทยครับ”

นอกจากนี้ จะยังมีนักบิดเลือดใหม่ของภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ลงแข่งขันในโฮมเรซกับรายการ “อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” ได้แก่ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง หมายเลข 5, “จิมมี่” บูรพา วันมูล หมายเลข 10 และ “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ หมายเลข 20 เพื่อลงอวดผลงานในบ้านเกิดต่อหน้าแฟนชาวไทยอีกด้วย

สำหรับ “ลูกค้าฮอนด้า” ที่ซื้อบัตรเข้าชมทุกประเภท รวมถึง “ฮอนด้า สแตนด์” และ “สมเกียรติ สแตนด์” จะได้รับส่วนลดพิเศษ 20% เพียงแค่นำกุญแจรถจักรยานยนต์ฮอนด้า แสดงต่อพนักงานขายบัตร ณ จุดจำหน่ายบัตร Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อรับส่วนลดในการซื้อบัตรทันที 20% และพิเศษสำหรับ ลูกค้าที่ถือบัตร “ฮอนด้า สแตนด์” จะได้รับชุด Cheering Kit ก่อนขึ้นสแตนด์เชียร์ในวันงาน ทุกที่นั่ง เพื่อความสนุกและบรรยากาศในการเชียร์นักแข่งไทยไปด้วยกันอีกด้วย

ทั้งนี้ ศึก “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคมนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ส่งกำลังใจเชียร์พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าทุกคน ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

#ThaiHonda #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RoadToMotoGP #MotoGP #Moto2 #SC35 #Kong #IdemitsuHondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #HondaTeamAsia #IdemitsuAsiaTalentCup #BW10 #KS20 #TP5 #ThaiGP2024

พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่! MotoGP สนามประเทศไทยแถลงใหญ่

กระหึ่มขายบัตรวันแรก ตั้งเป้า “PT Grand Prix of Thailand 2024”

สนามที่ดีที่สุด-ประทับใจที่สุด ประจำฤดูกาล สู่ฐานแฟนความเร็ว 800 ล้านคนทั่วโลก

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดแถลงข่าวการจัดการแข่งขันและเปิดจำหน่ายบัตร ศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 18 พร้อมเปิดตัวไตเติ้ล สปอนเซอร์ใหม่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ PT Maxnitron และยังมีธุรกิจอื่นในเครือ เช่น แบรนด์ร้านกาแฟ พันธุ์ไทย, คอฟฟี่เวิล์ด รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs ภายใต้ชื่อรายการ “PT Grand Prix of Thailand 2024” เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ระดับเวิลด์คลาส นำเสนออัตลักษณ์ความงดงามแบบไทย พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ต เฟสติวัล เต็มรูปแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ โดยจะชิงชัยที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่าง 25-27 ตุลาคม 2567 ถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ไปกว่า 200 ประเทศทั่วโลก สู่ผู้ชม 800 ล้านคน โดยหลังเปิดจำหน่ายบัตรแกรนด์ สแตนด์ Sold Out ด้วยเวลา 03.12 นาที

วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ การกีฬาแห่งประเทศไทย กรุงเทพ : ดร.พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, น้ำแร่ธรรมชาติ ตรา ช้าง, บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด ( ดูคาติ ไทยแลนด์ ), สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต รวมทั้งทัพสื่อมวลชนหลายร้อยคนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

ล่าสุดเป็นการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขันวันแรก โดยปีนี้ปรับเวลาการจัดจำหน่ายให้เร็วขึ้นกว่าทุกปีและมีการปรับผังที่นั่ง เพิ่มประเภทสแตนด์ หรือ อัฒจันทร์ เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ชมกระจายตัวสู่รอบสนาม มีการเพิ่มกิจกรรมความสนุก ลุ้นรางวัล ของที่ระลึกมากมาย หลังเปิดจำหน่ายบัตรแกรนด์ สแตนด์ Sold Out ด้วยเวลา 03.12 นาที

ดร.พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทยและคนไทย ถือว่าตลอด 4 ปี ของการจัดการแข่งขันศึกรถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง MotoGP บนผืนแผ่นดินไทย ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างภาพจำ “โมโตจีพี วิถีไทย” สื่อสารถึงความเป็นไทยที่เต็มไปด้วยความงดงาม อ่อนช้อย ศิลปวัฒนธรรม สู่มหกรรมกีฬาแห่งความสุข สร้างความประทับใจ มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้แก่ผู้ชม ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายหนึ่ง ในแผนที่มอเตอร์สปอร์ต ในหัวใจแฟนความเร็วทั่วโลกที่อยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต

“การจัดโมโตจีพีในประเทศไทยเป็น Mega Event ฟันเฟืองสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามนโยบาย Sport Tourism ในปีที่ผ่านมามียอดผู้ชมการแข่งขันสูงถึง 179,811 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากถึง 11% สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากกว่า 4,493 ล้านบาท จากการใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารเครื่องดื่ม ค่าของที่ระลึก ฯลฯ “

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดการแข่งขันโมโตจีพีในประเทศไทยในปีนี้นั้น กระแสค่อนข้างแรง จึงเปิดจำหน่ายบัตรเร็วขึ้นกว่าทุกปี รวมทั้งภารกิจของคณะผู้จัดฯ ยากขึ้นทุกปีเช่นกัน เนื่องจากได้สร้างมาตรฐานไว้สูงมาก ตั้งแต่การจัดงานในครั้งแรก โดยพันธกิจสำคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย คือการพัฒนานักกีฬาไทย เพื่อยกระดับขึ้นไปเทียบเท่าระดับสากล ปีที่ผ่านมา “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา สร้างประวัติศาสตร์คว้าโพเดียม โมโต 2 สุดยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ สร้างความภูมิใจให้คนทั้งประเทศ และในปีนี้มีนักแข่งสายเลือดไทยทั้ง “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” ในรุ่นโมโต2 และ “ก๊อง-ธัชกร บัวศรี” ในรุ่นโมโต3 ที่ลงทำการแข่งขันตลอดฤดูกาลและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างมาก

นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจังหวัดบุรีรัมย์ใช้กีฬาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างแท้จริง โดยการจัดการแข่งขันโมโตจีพีในปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดการสร้างงานของคนในพื้นที่กว่า 6,426 ตำแหน่ง สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้แก่พี่น้องในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง สำหรับปีนี้ จังหวัดพร้อม 100% แน่นอนในการรองรับนักท่องเที่ยว นักแข่ง ทีมแข่ง สื่อมวลชน รวมทั้งบุคลากรฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมกว่า 2 แสนคน ตลอด 3 วัน ปรับปรุงและพัฒนาทุกส่วน เพื่อให้มอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหนึ่งปีมีครั้ง สนามเดียวในโลกที่ “ชัตเติ้ลแต๋น” สินทรัพย์และภูมิปัญญาไทยของพี่น้องเกษตรกร จะได้อวดโฉมรับส่งผู้มาเยี่ยมเยือนจากทั่วโลก

มร.เฟร์ราน จุงก้า ผู้อำนวยการอาวุโสด้านผู้สนับสนุนระดับโลก ดอร์น่าสปอร์ต กล่าวว่า ดอร์น่า สปอร์ต มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เข้าสู่การเป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันโมโตจีพี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริมโมโตจีพีประเทศไทยที่แสนพิเศษนี้ให้พิเศษขึ้นไปอีก ในปีนี้ผมมั่นใจว่าการแข่งขันสนามประเทศไทยที่จังหวัดบุรีรัมย์ จะเป็นสุดสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยม สนุก เข้มข้น เร้าใจ ทั้งยังมีกิจกรรมที่รอสร้างความประทับใจกับแฟนโมโตจีพีที่เข้ามาชมในสนามมากมาย

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า PTG มีความยินดีและภูมิใจอย่างมากที่ได้เข้ามาเป็นครอบครัว ThaiGP หนึ่งในกรังด์ปรีซ์ที่ดีที่สุดสนามหนึ่งของโลก ด้วยฝีมือคนไทย ยิ่งใหญ่ อลังการ สมบูรณ์แบบ โดยคว้าโอกาสสนับสนุนต่อเนื่องถึง 3 ปี ตั้งแต่ 2024-2026 โอกาสนี้จึงได้มอบสิทธิ์ในการซื้อบัตรราคาพิเศษ สำหรับ สมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25% นอกจากนี้ยังสามารถรับส่วนลด 20% เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือ บัตร PT Max Card ณ จุดจำหน่ายบัตร รวมทั้งจัดเตรียมกิจกรรมสุดพิเศษและยิ่งใหญ่ จากสถานีบริการน้ำมัน พีที และธุรกิจรในเครือ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟพันธุ์ไทย, คอฟฟี่เวิล์ด รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs และอื่นๆอีกมากมายไว้บริการในวันแข่งขัน

บัตรเข้าชม โมโตจีพี 2024 เป็นบัตรชมงานแบบ 3 วัน แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.แกรนด์ สแตนด์ 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 3,750 บาท 2. ไซด์ สแตนด์ 2,000 บาท (ราคาสบายกระเป๋า) หักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท 3.ไรเดอร์ สแตนด์ สำหรับกองเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์, จันทรา สแตนด์ สำหรับแฟน ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ราคา 3,000 บาท หลังหักส่วนลดสูงสุดเหลือเพียง 2,250 บาท พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักแข่งที่ชื่นชอบ

และ 4. แบรนด์ สแตนด์ ( Brand Stand) ในปีนี้พิเศษสุด มีการปรับผังที่นั่ง เพิ่มประเภทสแตนด์ หรือ อัฒจันทร์ เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ชมกระจายตัวสู่รอบสนาม โดยจัดให้มีสแตนด์สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นน้ำ พร้อมรับของรางวัลจากผู้สนับสนุน และรับสิทธิ์ลุ้นรางวัลจากผู้สนับสนุนมากมายได้แก่ ฮอนด้า สแตนด์, ยามาฮ่า สแตนด์ ราคา 2,000 บาท ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท ส่วน “ดูคาติ สแตนด์“ รับส่วนลดสูงสุด 20% จากราคา 2,000 บาท เหลือเพียง 1,600 บาท

ราคาจำหน่ายบัตรในประเทศไทย จัดว่าถูกและคุ้มค่าที่สุด สนามเดียวในโลก เนื่องจากทุกภาคส่วนจัดเต็มมหกรรมความบันเทิงทั้งในและนอกสนาม คอนเสิร์ต มวย ช้อป ชิม สำหรับแฟน ๆ สามารถซื้อบัตรชม PT Grand Prix of Thailand 2024 ได้แบบสบายกระเป๋า ด้วยส่วนลดสุดปัง สมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25% นอกจากนี้ยังสามารถรับส่วนลด 20% เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือ บัตร PT Max Card หรือใช้สิทธิ์ส่วนลดจากผู้สนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญแจรถจักรยานยนต์ Honda, กุญแจรถจักรยานยนต์ YAMAHA ส่วนกุญแจรถจักรยานยนต์ DUCATI ใช้เป็นส่วนลด 20% ได้เฉพาะสแตนด์ดูคาติเท่านั้น (สงวนสิทธิ์เลือกใช้ส่วนลดได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง)

ข่าวดีสำหรับ “ยามาฮ่า สแตนด์” ซื้อบัตรทุกที่นั่ง ลุ้นรับ รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า R15M Connected-ABS รุ่นปี 2024 จำนวน 1 คัน มูลค่า 138,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม www.yamaha-motor.co.th และ “ฮอนด้า สแตนด์” จะได้รับ Cheering kit มูลค่ากว่า 800 บาททุกที่นั่ง ประกอบด้วย เสื้อยืด Collection ก้อง สมเกียรติ, หมวก, กระเป๋า, กระบองลม และพัด ส่วน “ดูคาติ สแตนด์ ” ได้รับ Ducati Fan Kits มูลค่า 500 บาท, หมวกดูคาติ, สายคล้องคอ Ducati Tribuna, กระบองลม

ซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ allticket.com ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram หรือรับข่าวสารผ่านช่องทางไลน์ โดยเพิ่มเพื่อน Line ID : @changcircuit

ครั้งแรกในไทย! เปิดตัวบิ๊กสกู๊ตเตอร์ ZONTES 350E & 350D

ZONTES 350E & 350D  แรงสุดในคลาสกับเทคโนโลยีสุดล้ำในราคาที่คาดไม่ถึง

สะเทือนวงการสองล้อกันอีกครั้ง เมื่อ บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์จากยุโรปที่ ประสบความสำเร็จกับ แบรนด์แลมเบรตต้ามาแล้ว ได้ทำการเปิดตัวแบรนด์ในเครือเพิ่มเติม กับรถจักรยานยนต์ชื่อดังในตลาดโลก อย่างแบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) อย่างเป็นทางการ พร้อมการเปิดตัว 2 โมเดลใหม่ล่าสุดที่เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ รุ่น 350E และรุ่น 350D กับราคาสุดเร้าใจที่ใครๆต้องร้องว้าว!

แบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) ก่อตั้งเมื่อปี 2003 หรือกว่า 21 ปีมาแล้ว เป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์สัญชาติจีน ที่มีดีกรีไม่ธรรมดา เพราะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการยานยนต์ระดับโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ทำให้ ZONTES ได้กลายเป็นชื่อที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยในปัจจุบัน ZONTES มีจำหน่ายไปแล้วกว่า 71 ประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศฝรั่งเศสเยอรมนีสวิตเซอร์แลนด์สเปนและ อิตาลี เป็นต้น 

สำหรับการเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ มาพร้อมกับ 2 โมเดลใหม่ ที่เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็น Segment ที่กำลังมาแรงในตลาดบ้านเรา กับรถสกู๊ตเตอร์ในคลาส 350 ซีซี  อย่างรุ่น 350E และ 350D โดยจุดเด่นของทั้งสองรุ่นนี้ กับพื้นฐานเครื่องยนต์ที่ให้มาเหมือนกัน ในเครื่องยนต์ทรงพลัง ขนาด 349 ซีซี 1 สูบ 4 วาล์ว เทคโนโลยีหัวฉีดจากแบรนด์สัญชาติเยอรมัน BOSCH ที่ช่วยควบคุมการจ่ายน้ำมันในโหมดขับขี่ ECO และ Sport  กับไฮไลท์ในคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ที่ให้ความเร็วมาจัดจ้าน ด้วยพละกำลังสูงสุดที่ 36 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที และให้พละกำลังแรงบิดสูงสุดที่ 38 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที เรียกได้ว่าให้มาเต็มซีซี แรงที่สุดในคลาส!  

นอกจากนี้ ทั้งรุ่น 350E และ 350D ยังมาพร้อมความล้ำสมัยกับหน้าจอแสดงผลแบบ TFT ที่มีความละเอียดสูง ให้ภาพคมชัดและสีสันสดใส ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆ บนหน้าจอเป็นเรื่องง่าย โดยหน้าจอ TFT นี้สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างครบครัน เช่น ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ระดับน้ำมัน ระดับแบตเตอรี่ ระยะทริปการเดินทาง และการแจ้งเตือนต่างๆ ผู้ขับขี่ยังสามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลได้ถึง 4 รูปแบบตามความต้องการ พร้อมเซ็นเซอร์วัดแสงที่สามารถปรับความสว่างของหน้าจอ รวมไปถึงการปรับหน้าจออัตโนมัติเป็น Bright mode ในเวลากลางวัน และ Dark Mode ในเวลากลางคืน

จัดเต็มด้านเทคโนโลยีความล้ำสมัย ที่โดดเด่นเหนือใครในคลาส 350 ซีซี ด้วยการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ผ่านการเชื่อมต่อได้ถึง 3 ช่องทาง

  1. เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ  สำหรับการแสดงสายเรียกเข้าบนหน้าจอแสดงผล และสามารถกดรับสายได้ที่ปุ่ม [MOD] และกดวางสายได้ด้วยปุ่ม [SET] บนสวิตซ์แฮนด์ทางด้านซ้าย
  2. เชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่น “ZONTES Intelligence  ที่ต้องมีการลงทะเบียนสำหรับเจ้าของรถ ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อดูสถานะ ข้อมูลต่างๆของตัวรถ รวมไปถึงการใช้ล็อค/ปลดล็อครถแทนกุญแจได้
  3. เชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่น “Carbit Ride สำหรับการใช้แผนที่นำทาง ,เปิดเพลง และไฮไลท์กับฟังก์ชั่น Mirror screen หรือการสะท้อนภาพหน้าจอจากสมาร์ทโฟนเข้าไปโชว์ในหน้าจอแสดงผล TFT  ที่สามารถเปิด Google Map และ ยูทูปได้!

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ กับเทคโนโลยีที่มีมาให้ของ ZONTES 350E และ 350D กับอีกหนึ่งความพิเศษของกุญแจรีโมท เวอร์ชั่น 3.0 Keyless ที่มาพร้อม IP67 หรือมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถทนทานต่อการแช่น้ำที่ความลึกระดับไม่เกิน 1 เมตร เป็นเวลาไม่เกิน 30 นาทีได้ ซึ่งสำหรับการขับขี่ที่โดนฝน ก็เรียกได้ว่าสามารถทนทานได้สบายๆ  แถมยังมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามสะดุดตา กับดีไซน์ที่สามารถนำมาใส่สายนาฬิกา เพื่อความสะดวกต่อการพกพา  โดยการทำงานของตัว 3.0 Keyless นั้น เพียงแค่ผู้ขับขี่พกพาติดตัว ในระยะ 1.5 เมตรจากตัวรถ ก็สามารถกดปุ่มสตาร์ทได้ทันที  และเมื่อผู้ขับขี่นำกุญแจเดินออกห่างจากตัวรถเกินระยะ 1.5 เมตร ตัวรถก็จะทำการล็อคให้อัตโนมัติ  นอกจากนี้ ยังมีความพิเศษ กรณีแบตเตอรี่ของกุญแจ Keyless หมด ผู้ขับขี่ก็ยังสามารถสตาร์ทรถใช้งานได้ ด้วยการนำ กุญแจ Keyless มาแนบกับจุด ที่มีสัญลักษณ์ IMMO (Immobilizer) ที่อยู่บริเวณช่องเก็บของทางด้านขวา

รุ่น 350E : สไตล์ Luxury ที่ครบครันด้วยฟังก์ชันทันสมัย

ZONTES 350E เป็นรุ่นที่ออกแบบมาในสไตล์ Luxury ด้วยดีไซน์ที่หรูหราและทันสมัย ออกแบบมาให้ซัพพอร์ตผู้ขับขี่ในทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการเดินทางในเมืองและการเดินทางไกลที่ให้ความสะดวกสบายที่มากกว่า กับการออกแบบท่านั่งที่เน้นความสบายและรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว

–        ระบบส่องสว่าง Full LED: ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ 6 ดวง ที่มีความสว่างและช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ทั้งกลางวันและกลางคืน กับดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไฟท้ายดีไซน์แยกพาร์ท ซ้าย-ขวา

–        ชิลด์หน้าขนาดใหญ่ สามารถปรับระดับขณะขับขี่ได้ ด้วยระบบไฟฟ้า ตอบโจทย์สำหรับการเดินทาง

–        Fast charging USB ports: ช่องชาร์จเร็วทั้งหมด 3 ช่อง ที่บริเวณช่องเก็บของด้านซ้าย แบบพอร์ตคู่ Type A + Type C และอีกตำแหน่งแบบ Type A ที่บริเวณใต้หน้าจอแสดงผล

–        แฮนด์ปรับระดับได้ : แฮนด์สามารถปรับระดับได้ เพื่อซัพพอร์ตในทุกสรีระของผู้ขับขี่

–        ถังน้ำมันขนาดใหญ่จุใจ ถึง 16 ลิตร

–        เบาะนั่งขนาดใหญ่ สัมผัสนุ่ม นั่งสบาย ให้อารมณ์ระดับโซฟา

–        พื้นที่เก็บสัมภาระใต้เบาะขนาดใหญ่ สามารถใส่หมวกกันน็อคแบบ Full Face ไซส์ XXl ได้ถึง 2 ใบ

รุ่น 350E มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Light Grey, Dark Grey, Extra Black, และ Ruby Red

รุ่น 350D: สไตล์ City ที่เน้นความคล่องตัวและทันสมัย

ZONTES 350D เป็นรุ่นที่ออกแบบมาในสไตล์ City Use ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและให้ความคล่องตัวสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง โดยเฉพาะการขับขี่ในพื้นที่การจราจรติดขัด

–      ระบบส่องสว่าง Full LED: ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ 4 ดวง กับดีไซน์ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว พร้อมไฟท้ายดีไซน์แยกพาร์ท ซ้าย-ขวา

–      ชิลด์หน้าดีไซน์สปอร์ต สามารถปรับระดับขณะขับขี่ได้ ด้วยระบบไฟฟ้า

–      Fast charging USB ports: ช่องชาร์จเร็วบริเวณช่องเก็บของด้านซ้าย แบบพอร์ตคู่ Type A และ Type C

–      ถังน้ำมันขนาดใหญ่ 12 ลิตร

–      เบาะนั่งกว้างสัมผัสสบาย ดีไซน์สปอร์ตรับกับตัวรถ

–      พื้นที่เก็บสัมภาระใต้เบาะ สามารถเก็บหมวกกันน็อคแบบ Full Face ได้ถึง 1 ใบ

รุ่น 350D มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Green Turquoise, Light Grey, และ Extra Black

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นเด็ดอีกเพียบที่จัดเต็มมาให้ ทั้งในรุ่น 350E และ 350D

–      ระบบเบรก Dual channel ABS : เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยระบบเบรก ABS ที่มีมาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน

–      เบรกหน้าแบบ Radial Mount พร้อมปั๊มเบรกแบรนด์ J.Juan สัญชาติสเปน

–    ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง: โช๊คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคและโช๊คอัพหลังแบบสปริง สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ 5 ระดับ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการทำงานของโช๊คอัพให้เหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุกและสภาพถนนต่างๆ ได้

–      ระบบ TCS (Traction Control System) หรือระบบควบคุมการลื่นไถล ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่

–      ก้านเบรกสามารถปรับระดับได้ เพื่อรองรับกับทุกสรีระของผู้ขับขี่

–      ระบบมือเบรก (Brake handle with parking function) ช่วยป้องกันการลื่นไถล กรณีจอดรถชั่วคราวบนทางลาด และมีสัญญาณเตือนให้ กรณีลืมปลดล็อคมือเบรกขณะขับขี่

–      เสริมความปลอดภัยและป้องกันการโจรกรรม เมื่อดับเครื่องแล้วหักแฮนด์ไปทางด้านซ้าย ระบบจะทำการล็อคแฮนด์ให้อัตโนมัติ

–      ระบบตรวจวัดลมยาง : ระบบความปลอดภัยที่ใช้ชิปจากเยอรมนีในการตรวจวัดแรงดันลมยาง และตรวจวัดอุณหภูมิยาง ให้ความแม่นยำสูง เสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่

–      พักเท้าผู้ซ้อนแบบกดเปิด : ใช้งานสะดวกสบาย เพียงกดเปิด หรือใช้เท้าสะกิดเบาๆ ก็สามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ซ้อน

–      ที่จับท้ายกันตก ทำจากวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยด์ ให้ความแข็งแรงทนทาน พร้อมยางรองด้านใต้ เพื่อสัมผัสที่จับกระชับมั่นใจให้กับผู้ซ้อน

เปิดราคาช็อกไพรส์ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง!

เพื่อเป็นการฉลองการเปิดตัว ZONTES ในประเทศไทย โดย บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอราคาช็อกไพรส์ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง กับราคาส่วนลดพิเศษช่วงเปิดตัวเท่านั้น!

รุ่น 350E: ราคาส่วนลดพิเศษที่ 149,000 บาท

(จากราคาปกติที่ 159,000 บาท รับ Voucher 10,000 บาทเป็นส่วนลดพิเศษในช่วงเปิดตัว!)

รุ่น 350D: ราคาส่วนลดพิเศษที่ 141,000 บาท

(จากราคาปกติที่ 149,000 บาท รับ Voucher 8,000 บาทเป็นส่วนลดพิเศษในช่วงเปิดตัว!)

ผู้ที่สนใจสามารถจองออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ booking.zontes.co.th เพื่อรับข้อเสนอพิเศษนี้

คุณกวิน ร่วมใจพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัวครั้งนี้ว่า เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอแบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) กับการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะเราเล็งเห็นถึงความน่าสนใจในจุดเด่นที่แบรนด์มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล พร้อมการนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งการมาของซอนเทสในครั้งนี้  พร้อมกับโมเดลใหม่ถึง รุ่น สไตล์ สำหรับเป็นทางเลือกให้กับผู้ขับขี่ และทั้ง รุ่นนี้ เราเตรียมพร้อมสำหรับการวางจำหน่ายทันที หลังจากเปิดตัว โดยจะจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายในเครือข่ายของไดนามิคฯ  ที่ปัจจุบันมีแล้วกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ  พร้อมให้ความมั่นใจกับลูกค้า ด้วยการรับประกันเครื่องยนต์ ให้นานถึง ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร!

การมาของ ZONTES 350E และ 350D ในครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ด้วยคุณภาพของทั้งสองโมเดลและฟังก์ชันบวกกับเทคโนโลยีที่ให้มาชนิดที่ว่าอัดแน่นเกินราคาค่าตัว! ส่วนใครที่สนใจก็สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.zontes.co.th

“ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ยกทัพ Honda CBR สู้ศึกเอเชีย โร้ด เรซซิ่ง สนาม 3 ญี่ปุ่น

ทัพนักบิด “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” พร้อมยอดรถแข่ง Honda CBR Series พร้อมเต็มร้อย นำทัพโดย “ชิพ-นครินทร์” หมายเลข 41 สังกัด “ฮอนด้า เอเชีย ดรีม เรซซิ่ง วิท แอสติโม” ที่ล่าสุดมีคะแนนสะสม 38 คะแนน รั้งท็อป 5 ของตารางแชมป์เปี้ยนชิพ และ “แชมป์-ภาสวิชญ์” หมายเลข 52 สังกัด “แอสติโม เอสไอ เรซซิ่ง วิท ไทยฮอนด้า” หมายเลข 52 มีคะแนนสะสม 12 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับที่ 12 ในรุ่นใหญ่ที่เร็วที่สุดของรายการอย่าง “เอเชีย ซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี” (ASB1000) ด้วยรถแข่ง Honda CBR1000RR-R และ “มิกซ์-ธนัช” หมายเลข 31 มี 35 คะแนน รั้งท็อป 4 คะแนนสะสมของเอเชีย และ “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” หมายเลข 85 ซึ่งมี 28 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 7 ของตารางใน “ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี” (SS600) ด้วยรถแข่ง Honda CBR600RR ในศึก FIM Asia Road Racing Championship 2024 สนามที่ 3 ที่สนามโมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน นี้

ทั้งนี้ โปรแกรมการแข่งขันศึก FIM Asia Road Racing Championship 2024 สนามที่ 3 โมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น จะลงซ้อมในวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน นี้ และควอลิฟายเพื่อหาอันดับการออกสตาร์ตในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 8 จากนั้นดวลกันเรซที่ 1 ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก่อนจะมาปิดท้ายด้วยการแข่งขัน เรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน นี้

Italjet เปิดตัว Dragster Gresini Edition อย่างเป็นทางการ

หลังจากที่ทาง Italjet ได้ส่งรถมอบรถสกู๊ตเตอร์รุ่น Dragster ประจำตัวของ Marc Marquez ให้กับทาง Gresini Racing เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงคราวเปิดตัวเวอร์ชั่นที่จำหน่ายด้วยชื่อ Gresini Racing Dragster Limited Edition ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 50 คัน กับค่าตัวในยุโรป 9,499 ยูโร

ทิม ไกเซอร์” บิด CRF450R คว้าดับเบิ้ลโพเดียม ลุ้นแชมป์ฤดูกาล ศึก MXGP 2024 ที่เยอรมนี

“ทิม ไกเซอร์” จาก Team HRC บิดยอดรถแข่งทางฝุ่น Honda CRF450R ทำผลงานต่อเนื่อง คว้าดับเบิ้ลโพเดียม เก็บคะแนนสะสมลุ้นแชมป์ประจำฤดูกาลนี้ ในการแข่งขัน MX-GP 2024 สนามที่ 8 รายการ MXGP of Germany ที่ Teutschenthal ประเทศเยอรมนี เมื่อสุดสัปดาห์ผ่านมา

การแข่งขันเรซที่ 1 สภาพสนามสายฝนเทลงมาก่อนการแข่งขัน “ทิม ไกเซอร์” หมายเลข 243 ทะยานขึ้นมาอยู่ในกลุ่มนำทันทีต่อสู้กับคู่แข่งตลอดเกม เกิดอาการบาดเจ็บอาร์มปั๊มในระหว่างเรซ สามารถทำผลงานคว้าโพเดียมอันดับที่ 3 มาครองได้สำเร็จ

.การแข่งขันในเรซที่ 2 เริ่มต้นอย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย “ทิม ไกเซอร์” ยกระดับผลงานบิดรั้งในกลุ่มนำก่อนที่จะขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 และขึ้นโพเดียมในอันดับที่ 2 จบการแข่งขัน เก็บคะแนนสะสมเพิ่มอีก 42 แต้ม รั้งอันดับที่ 2 ของตารางแชมป์เปี้ยนชิพโดยห่างจากผู้นำเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น ซึ่งทำให้การไล่ล่าแชมป์ประจำซีชั่น 2024 เข้มข้นอย่างต่อเนื่อง

ฮอนด้า เอ.ที. และ CUB House กับประสบการณ์การขับขี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ ‘MINI TRACK 2024’ ครั้งแรก

ไทยฮอนด้า จัดกิจกรรม ‘Honda Mini Track 2024’ พาเจ้าของรถจักรยานยนต์ฮอนด้าสายสปอร์ตในพิกัด 150 ซีซี ขึ้นไป เริ่มตั้งแต่รุ่น Honda CBR150R ถึงรถสปอร์ตของฮอนด้าในคลาสมิดเดิลเวท มาสัมผัสประสบการณ์การขับขี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทั้งสัมผัสการขับขี่ ‘Honda E-Clutch’ ระบบคลัตช์ไฟฟ้าอัจฉริยะบนสนามแข่ง นอกจากรถสปอร์ต ยังเป็นครั้งแรกของรถฮอนด้าเอ.ที. 125 ซีซี – 350 ซีซี อย่างรุ่น Honda Giorno+ และ Lead125 ไปจนถึง Forza350 อีกทั้ง Iconic Models จาก CUB House อย่าง Honda Monkey มาร่วมเปิดประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่งจริงเป็นครั้งแรก ณ สนามพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จังหวัดชลบุรี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

‘Honda Mini Track 2024’ ตอบรับไลฟสไตล์ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีผู้ที่สนใจเข้าร่วมกว่า 100 คน ได้มาเปิดประสบการณ์การขับขี่ พร้อมสัมผัสความสนุกเร้าใจในสนามแข่งขันจริง ผ่านการเรียนรู้ทักษะการควบคุมรถตั้งแต่ระดับพื้นฐานสำหรับมือใหม่ โดยมีนักแข่งมืออาชีพจากทีม Honda Racing Thailand มาให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด พร้อมกับฝึกสอนเสริมทักษะการขับขี่ในสนามเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย
กิจกรรม Honda Mini Track ยังมีให้ลูกค้าสายสปอร์ต และสายรถเอ.ที. ได้เข้าร่วมเปิดรับประสบการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เตรียมตัวให้พร้อม รอติดตามรายละเอียดการจัดกิจกรรมครั้งต่อไป

CF Moto เปิดตัว 450 CL-C จิ๊กโก๋สุดเก๋า

สไตล์ BOBBER เน้นเบาะนั่งเดี่ยว โชว์สัดส่วนบังโคลนท้าย เครื่องยนต์พิกัด 450 ซีซี แบบสูบคู่ ระบบเบรกเป็นดิกส์ หน้า-หลัง สำหรับคนที่ถูกใจกับเจ้า 450 CL-C ก็ต้องลุ้นว่าจะเข้ามาลุยตลาดในไทยไหม

โรยัล เอ็นฟิลด์ เพิ่มสีสันใหม่ในรุ่น Hunter 350 และ Meteor 350 .

Hunter 350 มาพร้อมสีสันใหม่ 2 เฉดสีสุดจี๊ด Dapper Orange และ Dapper Green เพิ่มความสดใสให้กับผู้ขับขี่ ค่าตัว เริ่มต้นที่ 133,900 .-

Meteor 350 มาพร้อมกับรุ่นใหม่ล่าสุด Aurora ซึ่งแบ่งเป็นเฉดสีดำ น้ำเงิน และเขียว ที่เพิ่มเติมจากรุ่น Fireball, Stellar และ Supernova ที่มีอยู่เดิม โดย Meteor 350 รุ่น Aurora ค่าตัวเริ่มต้นที่ 172,900 .-
.

“ไอ-มอเตอร์” เขย่าวงการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า เปิดตัว THUNDER : The Ultimate EV Bike

ที่สุดของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหนึ่งเดียว พร้อมบุกตลาดอาเซียน MOU ผู้แทนจำหน่าย 5 ประเทศ หวังกวาดยอดขายทะลุ 12,000 คัน หรือประมาณ 770 ล้านบาท I-MOTOR EV BIKE (17)

บริษัท ไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของไทย ภายใต้แบรนด์ “ไอ-มอเตอร์” เปิดตัว THUNDER : The Ultimate EV Bike สุดยอดนวัตกรรมรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างอัจฉริยะ “MPF Mark II” ที่แข็งแกร่ง เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ในทุกสภาพถนน เทียบเท่ากับรถมอเตอร์ไซค์น้ำมัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยขุมพลังมอเตอร์ 3,000 วัตต์ ที่จะพาคุณเดินทางไปได้ไกลกว่า 110 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทำความเร็วสูงสุด 80 กม./ชม. ปลอดภัยทุกการขับขี่ หยุดรถอย่างมั่นใจด้วยระบบเบรก CBS Proactive Suspension (Combined Breaking System) ตั้งเป้ายอดขาย 770 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าบุกตลาดอาเซียน สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว และศรีลังกา เพื่อปฏิวัติวงการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหนึ่งเดียวในไทย และอาเซียนที่ได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับสากล

นายปรีชา ประเสริฐถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เปิดเผยว่า ไอ-มอเตอร์ฯ เราเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอันดับ 1 ของไทย ภายใต้แบรนด์ “ไอ-มอเตอร์” มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบรนด์แรกของคนไทย ที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตอันเป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมยานยนต์หนึ่งเดียวในประเทศไทยและอาเซียน โดยมีบริษัทแม่ คือ บริษัท นิวสมไทยมอเตอร์เวอร์ค จำกัด

ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีในการผลิตชิ้นส่วนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์รวมถึงมอเตอร์ไซค์แบรนด์ญี่ปุ่นมามากกว่า 60 ปี และบริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด ผู้พัฒนาและผลิตซอฟต์แวร์ติดตั้งใน ไอ-มอเตอร์ รวมถึงในอุตสาหกรรมอากาศยานและยานยนต์มายาวนานกว่า 40 ปี ทำให้กลุ่มบริษัทพันธมิตรในเครือมีความพร้อมทั้งในด้าน Know-How, ทีม R&D ที่มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง, ทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้อย่างมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เราจะปฏิวัติวงการ “ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่มีจำหน่ายอยู่ในประเทศไทยและอาเซียน มีสมรรถนะในการขับขี่เทียบเท่ามอเตอร์ไซค์น้ำมัน พร้อมมาตรฐานการผลิต ชิ้นส่วน บริการหลังการขายพร้อมอะไหล่มาตรฐานที่ใช้ทดแทนกันได้ และความปลอดภัยตามมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ในระดับสากล ด้วยราคาที่เหมาะสมเข้าถึงผู้ขับขี่ทุกกลุ่มซึ่งจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้มีผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในตลาดมากยิ่งขึ้น”นายปรีชา กล่าวอีกว่า ในปีนี้เราจะบุกตลาดอาเซียนเต็มรูปแบบ โดยมีการเซ็นสัญญากับผู้แทนจำหน่ายในประเทศสิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว และศรีลังกา และตั้งเป้าว่าภายใน 2 ปี เราจะวิจัยและพัฒนามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดอย่างน้อย 2-3 รุ่น และในปลายนี้เราเตรียมส่งรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า “ไอ-มอเตอร์” ออกจำหน่ายในประเทศกลุ่มยุโรปอีกด้วย

พร้อมกันนี้ เรายังเดินหน้าบุกตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด THUNDER : The Ultimate EV Bike สุดยอดนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยเราได้ออกแบบและพัฒนาโครงสร้างรถให้มีจุดศูนย์ถ่วง และการกระจายน้ำหนักของตัวรถอย่างมีเสถียรภาพ พร้อมโครงสร้าง “MPF Mark II” ที่แข็งแกร่ง ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ สามารถขับขี่ได้ทุกสภาพถนน เทียบเท่ากับมอเตอร์ไซต์ที่ใช้น้ำมัน ชาร์จแบตเตอร์รี่เร็วขึ้นกว่า 3 เท่า มีให้เลือก 2 รุ่น คือ THUNDER ราคาเริ่มต้น 59,000 บาท และ รุ่น THUNDER Croz ราคาเริ่มต้น 64,500 บาท โดยเรามีการรับประกันโครงสร้าง 10 ปี ,แบตเตอรี่ 5 ปี ,Body Parts 3 ปี ,ECU และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ปี ,หน้าจอและชาร์จเจอร์ 1 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร พร้อมบริการหลังการขายด้วยทีมช่างมืออาชีพรับประกันอะไหล่แท้และราคาเดียวกันทั่วประเทศ นายคมค์ปภัส จารุวิสินวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไอ-มอเตอร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดของบริษัทฯ ว่า ไอ-มอเตอร์ มีเป้าหมายที่ต้องการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าให้มีสมรรถนะเทียบเท่ากับรถมอเตอร์ไซค์น้ำมัน โดยให้ความสำคัญใน 3 ส่วนหลัก คือ

1. ผลิตภัณฑ์ ที่ได้การรับรอง และเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล เช่น UNR136, R78, E-Mark, ISO 9001-2015 และการรับรองจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ใช้โลโก้และคำว่า “Made in Thailand” ได้เป็นรายแรก และรายเดียวของไทย รวมถึงงานดีไซน์ที่เน้นความแตกต่างและสีสันที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์การขับขี่ในชีวิตประจำวัน เดินทางท่องเที่ยว และผู้ประกอบการที่ใช้ขนส่ง-บรรทุกสินค้าได้อย่างมั่นใจ

2. พันธมิตรทางธุรกิจ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับตัวแทนจำหน่าย และซัพพลายเออร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการให้ความสำคัญและความร่วมมือในการพัฒนาเพื่อความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน

3. ลูกค้า “Family Marketing” คือ กลยุทธ์ที่ ไอ-มอเตอร์ เลือกใช้ โดยเริ่มต้นตั้งแต่การผลิตสินค้าดีที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมบริการหลังการขายมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและความประทับใจ สร้างการบอกต่อในกลุ่มผู้ใช้ด้วยกันเอง

นายคมค์ปภัส กล่าวอีกว่า เรามุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานสากล เพื่อตอบโจทย์ทุกการใช้งาน รวมถึงบริการหลังการขายด้วยทีมงานมืออาชีพ เพื่อสร้างประสบการณ์ และความประทับใจในสินค้าและบริการ เพราะเราเชื่อว่า “หากเราสามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีบริการหลังการขายที่ดี ลูกค้าก็จะบอกต่อและทำให้เกิดฐานลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี”

“ในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 12,000 คัน หรือ ประมาณ 770 ล้านบาท โดยจะแบ่งเป็นตลาดพรีเมียมประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ตลาดแมส 80 เปอร์เซ็นต์ และมีสัดส่วนขายในประเทศประมาณ 85% และส่งออกไปต่างประเทศอีก 15%” นายคมค์ปภัส กล่าวสรุปในตอนท้าย

 

ผู้ที่สนใจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ “ไอ-มอเตอร์” หรือ สนใจเป็นตัวแทนจำหน่าย สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-855-396-070 ​หรือติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่

www.imotorthailand.com หรือ www.facebook.com/imotorthailandbkk

PTG สะเทือนวงการมอเตอร์สปอร์ต! ทุ่ม 300 ล้าน ผงาดคว้าสิทธิ์ไตเติ้ลสปอนเซอร์ “ThaiGP” 3 ปีรวด

ภายใต้ชื่อ “PT Grand Prix of Thailand” ยาวถึงปี 2026 พร้อมเผยเตรียมเปิดขายบัตรกลางมิ.ย.นี้

แฟนมอเตอร์สปอร์ตได้เฮกันอีกยาว กลายเป็น“ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์” ชั่วข้ามคืน สำหรับศึกสองล้อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก รายการ “โมโตจีพี” ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 25-27 ต.ค.นี้ ที่ จ.บุรีรัมย์  ข่าวใหญ่ไทยแลนด์ก้าวสำคัญครั้งใหญ่ของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)    ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมัน PT ผงาดคว้าสิทธิ์เป็นไตเติ้ลสปอนเซอร์ของรายการต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ 2024-2026 เชื่อโมโตจีพี ฝีมือคนไทย จะสร้างปรากฏการณ์ความประทับใจมากขึ้น ยิ่งใหญ่ อลังการยิ่งกว่าที่เคยแน่นอน

ความเคลื่อนไหวของการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ ชิงแชมป์โลก รายการ โมโตจีพี” สนามประเทศไทย ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค.2567 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ เตรียมแถลงข่าวเปิดตัวไตเติ้ล สปอนเซอร์ อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งเตรียมเปิดขายบัตรกลาง มิ.ย.นี้

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชนหรือ PTG  รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ PT Maxnitron และยังมีธุรกิจอื่นในเครือ เช่น แบรนด์ร้านกาแฟ พันธุ์ไทย, คอฟฟี่เวิล์ด รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs  สร้างปรากฎการณ์ สะเทือนวงการมอเตอร์สปอร์ต กับการจรดปากกาเซ็นต์สัญญาในฐานะไตเติ้ล สปอนเซอร์ กรังด์ปรีซ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะระเบิดศึกบนแผ่นดินไทยโมโตจีพี ซีรีส์การแข่งขันสองล้อที่ดีที่สุด แข่งขันกว่า 20 สนาม ใน 5 ทวีป รายการมอเตอร์สปอร์ตอันดับหนึ่งของโลกที่มีผู้ติดตามชมทั่วโลก

ทั้งนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวการแถลงข่าวและเปิดจำหน่ายบัตร โมโตจีพี สนามประเทศไทย ประจำปี 2567 ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ภายในงานจะมีการเปิดตัวไตเติ้ลสปอนเซอร์ใหม่อย่างสุดยิ่งใหญ่ อลังการ โดยมี Dorna Sports เจ้าของลิขสิทธิ์ บินลัดฟ้ามาร่วมแสดงความยินดี พร้อมผนึกกำลังกับตัวแทนภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ “PT Grand Prix of Thailand” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ นำเสนออัตลักษณ์ความงดงามแบบไทย รองรับผู้ชมในสนามหลายแสนคน ถ่ายทอดสดความยิ่งใหญ่ 200 ประเทศทั่วโลก สู่ผู้ชม 800 ล้านคน ตั้งเป้าเป็นโมโตจีพีที่ดีที่สุด และน่าประทับใจที่สุดเท่าที่เคยมีมา