“ยามาฮ่า” เก็บข้อมูลสำคัญหลัง “เทสต์บาเลนเซีย” ก่อนลุยศึก โมโตจีพี สนาม 8 แอสเซ่น สุดสัปดาห์นี้

“กวาร์ตาราโร-รินส์” หวังยกระดับในสนามโปรด

“มอนสเตอร์ ยามาฮ่า” ยอดทีมในศึก โมโตจีพี เดินหน้าพัฒนารถแข่ง YZR-M1 อย่างหนัก ในภารกิจคัมแบ็กแถวหน้าของโลก ล่าสุดเก็บข้อมูลสำคัญในการทดสอบแบบส่วนตัวที่ บาเลนเซีย ก่อนดวลสนาม 8 ดัตช์ ทีที สุดสัปดาห์นี้ ขณะคู่หูนักบิดของทีมอย่าง ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร และ อเล็กซ์ รินส์ หวังยกระดับผลงานในสนามโปรดอย่าง ทีที เซอร์กิต แอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์

การแข่งขัน โมโตจีพี เวิลด์ แชมเปียนชิพ 2024 เตรียมดวลความเร็วสนาม 8 รายการ ดัตช์ทีที ระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายนนี้ หลังเว้นวรรคนานถึง 3 สัปดาห์ ท่ามกลางการเฝ้ารอของแฟนมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก

ขณะที่ “เอลดิอาโบล” ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร อดีตแชมป์โลกชาวฝรั่งเศส และทีมเมทชาวสแปนิชอย่าง อเล็กซ์ รินส์ ก็ใช้เวลาช่วงพัก 3 สัปดาห์ กับการทำงานอย่างหนักร่วมกับ มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ ยามาฮ่า โมโตจีพี รวมถึงทีมทดสอบของ ยามาฮ่า ซึ่งผ่านโปรแกรมการเทสต์แบบส่วนตัวที่ บาเลนเซีย เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนเข้าสู่การแข่งขันสุดสัปดาห์นี้

มัสซิโม เมเรกัลลี ผู้อำนวยการทีมกล่าวว่า “สภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้การทดสอบของเราไม่เป็นไปตามแผนในปีนี้ แต่ท้ายที่สุดเราก็สามารถจัดการงานที่ต้องทำได้ หลังผ่านแทร็กเดย์ของ มอนสเตอร์ อีเนอร์จี้ แทร็กเดย์ ออฟ เลเจนด์ พวกเราใช้ บาเลนเซีย เพื่อทดสอบเพิ่มเติม สำหรับเก็บข้อมูลที่สดใหม่เพื่อ 2 สนามต่อไป ก่อนจะพักครึ่งฤดูกาลช่วงซัมเมอร์ จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าพยากรณ์อากาศที่ แอสเซ่น จะออกมาค่อนข้างดีในการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเรา เพราะจะทำให้ทุกช่วงเวลาที่อยู่ในสนามเกิดประโยชน์ที่สุด”

ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร กล่าวว่า “แอสเซ่น คือหนึ่งในสนามโปรดของผม หวังว่าเราจะผ่านเข้าสู่ Q2 ได้แบบโดยตรงจากการซ้อมในวันศุกร์ การทดสอบแบบส่วนตัวระหว่างการแข่งขัน ดัตช์ จีพี และ อิตาเลียน จีพี เป็นไปในทิศทางบวก ดังนั้น เราหวังว่าจะสามารถต่อสู้เพื่อตำแหน่งที่ดีกว่า”

ด้าน อเล็กซ์ รินส์ ทีมเมทเผยว่า “ผมมีโอกาสได้ไปเยือนฐานของ ยามาฮ่า มอเตอร์ ยุโรป เรารู้สึกดีกับการที่พนักงานทุกคนให้ความสนใจและทุ่มเท เป็นการปลุกเร้าที่ดีก่อนเข้าสู่การแข่งขัน 2 รายการนี้ (ดัตช์ทีที และ เยอรมัน จีพี) หลังผ่าน 3 สัปดาห์ที่รัดตัว (การทดสอบ) ผมตื่นเต้นสุดๆ ที่จะได้เริ่มต้นสุดสัปดาห์ที่ แอสเซ่น ซึ่งเป็นสนามที่ดีจริงๆ สำหรับผมที่ตั้งตารอให้ถึงการแข่งขันที่นี่ และเพลิดเพลินไปกับสนามแข่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแห่งหนึ่ง”

ทั้งนี้ ศึก ดัตช์ ทีที จะเข้าสู่การซ้อมวันแรกในวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ ก่อนจะควอลิฟายและดวลความเร็วรอบ “สปรินต์” ในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ ส่วนการแข่งขันรอบ “เมน กรังด์ปรีซ์” จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายนนี้ 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ่ายทอดสดทาง PPTVHD36 และ SPOTV

—————————–
#60ปีไทยยามาฮ่ามอเตอร์ #ดีใจที่ได้เจอ
#YamahaSocietyThailand #RevsYourHeart #ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด #YamahaBeyondTheLimits
#YamahaRacing #YamahaWorldChampion #YamahaNumber1RacingTeam
#YamahaMotoGP24
#YamahaFactoryRacingTeam #MonsterEnergyYamahaMotoGPteam
#FQ20 #AR42

ไทยฮอนด้า ร่วมกับ มโนยนต์ชัย เดินหน้าสร้างระบบ EV Ecosystem ใช้ BENLY e: ขนส่งใจกลางกรุง

 เตรียมรองรับการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย ร่วมมือกับ บริษัท มโนยนต์ชัย จำกัด กลุ่มธุรกิจการค้าของกลุ่มมโนยนต์ที่ดำเนินธุรกิจด้านชิ้นส่วนอะไหล่ ร่วมสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ในประเทศไทย ด้วยการนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Honda BENLY e: มาใช้ในการดำเนินงานขนส่งชิ้นส่วนอะไหล่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่สิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน
มร.ยูอิจิ ชิมิซุ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ไทยฮอนด้า มีความตั้งใจที่จะขยายระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า EV Ecosystem ในประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยการขยายสู่กลุ่มธุรกิจใหม่อย่างกลุ่มบริษัทมโนยนต์ชัย ที่ได้นำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้ดำเนินงานขนส่งชิ้นส่วนอะไหล่ในย่านวรจักร พื้นที่ธุรกิจเก่าแก่ใจกลางกรุงเทพ ฯ เป็นการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าในเขตการค้า อีกทั้ง ยังมีแผนที่จะขยายสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ Honda e:Swap ตรงบริเวณบริษัทมโนยนต์ชัยให้เป็นสถานีหลักในการสับเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ เพื่อรองรับการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย”
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ กลุ่มบริษัทมโนยนต์ชัย ได้ทำการเช่ารถจักรยานยนต์ Honda BENLY e: เป็นจำนวน 10 คัน เพื่อมาใช้ในการดำเนินงานแทนรถสันดาป โดยเริ่มนำร่องทดลองใช้งานควบคู่ไปกับการช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม และเตรียมรองรับการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Honda รุ่น BENLY e: รองรับเทคโนโลยีการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (SWAP) ทำความเร็วสูงสุด 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถวิ่งได้ในระยะทาง 78 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Honda BENLY e: ได้ที่
เว็บไซต์ : www.thaihonda.co.th
เฟซบุ๊กรถจักรยานยนต์ฮอนด้า : www.facebook.com/hondamotorcyclethailand
#EVisHonda #BENLYe #HondaEV #HondaMotorcycleEV
#HondaBENLYe #HondaeSwap
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #Thaihonda #ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou

“ฮอนด้า ชวนเชียร์นักบิดไทย คว้าชัย ThaiGP 2024” ร่วมสัมผัสประสบการณ์เชียร์

“สมเกียรติ สแตนด์” เคียงคู่ “ฮอนด้า สแตนด์” พร้อมรับคอลเลกชั่นเชียร์ทุกที่นั่ง
“ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ไม่เคยหยุดเดินหน้า สานฝัน “คนไทย” สู่เวทีระดับโลก” ความนิยมของ “กีฬามอเตอร์สปอร์ต” ในประเทศไทย พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ปัจจัยสำคัญคือ การมี “ฮีโร่นักแข่งไทย” ผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตไทยที่ทำได้กับการแข่งขันระดับโลก ที่ทำให้เราได้เฮและลุ้นกันติดจอไปกับ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ใน โมโตทู เวิลด์ แชมปี้ยนชิพ
ความสำเร็จเหล่านี้ ล้วนมีเบื้องหลังที่เข้มข้นมากมาย การสร้างนักกีฬาหนึ่งคนเพื่อก้าวสู่ระดับสูงสุดของโลกไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะใน “กีฬาความเร็ว” ที่ต้องสร้างพื้นฐานกันตั้งแต่ยังเด็ก พร้อมกับศูนย์ฝึกที่ได้มาตรฐาน บรรดาแชมป์โลกในระดับเวิล์ดกรังด์ปรีซ์ที่แฟนทั่วโลกรู้จักกัน ล้วนผ่านการเป็น “เด็กฝึก” ในอะคาเดมีมาแล้วทั้งนั้น และโครงสร้างเหล่านี้ ก็ทำให้ “อุตสาหกรรมมอเตอร์สปอร์ต” ในยุโรปมีความแข็งแกร่งอย่างมาก
“ไทยฮอนด้า” ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย สร้างโร้ดแม็ป “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” อย่างชัดเจนจากโครงสร้างที่ได้มาตรฐานในทุกขั้นตอนทุกระดับ รวมทั้งวิทยาศาสตร์การกีฬา นับตั้งแต่ “ฮอนด้า อะคาเดมี่ ไทยแลนด์” สำหรับนักแข่งอายุ 9-14 ปี เพื่อเรียนรู้พัฒนาทักษะการขับขี่ และความแข็งแกร่งของร่างกาย ถ่ายทอดประสบการณ์จากทีมโค้ชนักแข่ง “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ที่มากประสบการณ์จากการแข่งขันระดับแนวหน้า ก่อนก้าวสู่ความท้าทายในการแข่งขันรายการ “ฮอนด้า ไทยแลนด์ ทาเลนท์ คัพ” เมื่อเติบโตขึ้นมีอายุระหว่าง 15-20 ปี และเด็กที่มีฝีมือจะถูกคัดเลือกไปแข่งขันที่รายการ “เอเชีย ทาเลนท์ คัพ” ก่อนจะผลักดันสู่ ซีอีวี โมโตทรี จูเนียร์ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งมีปลายทางที่การแข่งขันระดับโลกเวิลด์กรังด์ปรีซ์ ในรุ่นโมโตทรี (Moto3), โมโตทู (Moto2) และจุดสูงสุดคือ โมโตจีพี (MotoGP)
ผลผลิตปัจจุบัน “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา คือ “ฮีโร่นักแข่งไทย” ผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการมอเตอร์สปอร์ตไทยคนแรกของไทยที่คว้าชัยชนะและโพเดียมที่ทำได้กับการแข่งขันระดับ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งดวลความเร็วอยู่ในรุ่น โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
ระหว่างเส้นทาง 6 ปี “ก้อง-สมเกียรติ” ต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้พร้อมทั้งด้านร่างกาย, จิตใจ และทักษะทุกด้าน เพราะไม่ง่ายเลยที่นักบิดจากเอเชีย จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกับสนามแข่งในยุโรป ซึ่งแตกต่างจากสนามในไทยและเอเชียอย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับ “นักบิดสเปน-อิตาลี” ที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ทั้งสภาพอากาศ และแข่งในสนามเหล่านั้นมาตั้งแต่เด็ก จึงเห็นได้ชัดว่า “นักบิดจากเอเชีย” มีความเสียเปรียบในจุดนี้พอสมควร
อย่างไรก็ดี ในปี 2022 “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ได้ตอกย้ำความสำเร็จ “ก้อง-สมเกียรติ” สร้างประวัติศาสตร์ภาคภูมิใจของประเทศไทยบนเวทีโลกด้วยคว้าชัยชนะครั้งแรกใน โมโตทู ที่ อินโดนีเซีย ซึ่งในปีนั้นเองเขาคว้ามาได้ทั้งสิ้น 4 โพเดียม ก่อนจะยกระดับตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนรั้งอันดับ 6 บนตารางแชมเปี้ยนชิพ โมโตทู 2023
แต่ทุกอย่างไม่ใช่งานง่าย… ฤดูกาล 2024 นักบิดแถวหน้าหลายคนเจอปัญหาในการปรับตัว เมื่อเปลี่ยนยางผู้สนับสนุน แน่นอนว่า “ก้อง-สมเกียรติ” ยอดนักบิดไทยเจ้าของรถแข่งหมายเลข 35 จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ยังคงทุ่มเทและพยายามอย่างเต็มที่ รวมถึงการทำงานของทีมช่างที่ต้องหาข้อมูลเซ็ตติ้งร่วมกันอย่างหนัก เพื่อส่งสัญญาณที่ดีในการสู้ศึกทำผลงานที่ดีที่สุดตอบแทนกำลังใจของแฟนๆ ที่เชื่อมั่นส่งแรงใจเชียร์ตลอดมา และรวมทั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโฮมเรซ ThaiGP2024 ที่จะถึงนี้
ขณะเดียวกันในฤดูกาล 2024 นี้ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ยังคงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทยที่มีนักบิดไทยลงแข่งขันแบบเต็มฤดูกาล 2 คลาสใน เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ โดยมี “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ดาวรุ่งชาวไทยอีกคน ที่ถูกผลักดันขึ้นสู่การแข่งขันระดับ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ เป็นปีแรก ในรุ่น “โมโตทรี” ด้วยรถแข่งหมายเลข 5 จาก ฮอนด้า ทีม เอเชีย หลังสั่งสมประสบการณ์จากรายการ “จูเนียร์จีพี” และ “โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” ซึ่งขณะนี้ยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อเรียนรู้การเดินทางในศึกระดับ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์
“ไทยฮอนด้า” ยังคงมุ่งทำตามโร้ดแม็ป ไม่ปล่อยให้ไลน์อัพในระดับ “จูเนียร์” ว่างลง หลังจากที่ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร เด็กฝึกชาวไทยวัย 17 ปี ได้รับคัดเลือกเข้าสู่ “จูเนียร์ ทาเลนต์ ทีม” ของ ฮอนด้า ทีม เอเชีย ในปี 2024 โดย “ข้าวกล้อง” กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์งานแข่งขันระดับจูเนียร์ ทั้งในรายการ “จูเนียร์จีพี” และ “โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” เพื่อเดินตามรอยของนักบิดรุ่นพี่ ในการก้าวขึ้นสู่ “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” ต่อไป
พร้อมกันนี้ “ไทยฮอนด้า” ยกระดับนักบิดสู่ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง สร้าง “The Next Successor To Become The World Class Riders” ส่ง 3 นักบิดดาวรุ่งไทยอย่าง “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง หมายเลข 5 พร้อมด้วย “จิมมี่” บูรพา วันมูล หมายเลข 10 และ “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ หมายเลข 20 เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ มุ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปูทางสู่ระดับโลกตามรอยรุ่นพี่ ที่กำลังลงประชันฝีมือในการแข่งขันรายการ “อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” ซึ่งจัดโดยดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ และผู้จัดการแข่งขัน รถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือโมโตจีพี เพื่อเปิดโอกาสให้นักบิดเยาวชนที่มีความสามารถมากที่สุดในเอเชียและโอเชียเนียได้ลงแข่ง และเรียนรู้บนเส้นทางสู่ MotoGP™ ด้วยรถแข่ง Honda NSF250R Moto3 ซึ่งสิ่งนี้ก็จะเกิดขึ้นในสนามโฮมเรซฤดูกาล 2024 นี้เช่นกัน
ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” สร้างนักบิดระดับเยาวชนฝีมือดีและมีวินัยมากมาย ป้อนเข้าสู่ไลน์อัพในแต่ละระดับของการแข่งขัน…และนี่คือโมเดลสำคัญ ที่จะสานฝันคนไทยให้เป็นจริง กับการมี “ฮีโร่นักแข่งไทย” ในกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับเวิลด์คลาสอย่างแท้จริง!
เมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี้… ทุกความทุ่มเท… “ฮอนด้า ชวนเชียร์นักบิดไทย คว้าชัย ThaiGP 2024” ในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก ประจำปี 2567 “PT Grand Prix of Thailand 2024” ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 25-27 ตุลาคม 2567 นี้ สามารถจับจองที่นั่ง “จันทรา สแตนด์” พร้อมรับ คอลเลกชั่นพิเศษ ก้อง สมเกียรติ หรือ “ฮอนด้า สแตนด์” เพื่อรวมส่งกำลังใจให้นักบิดไทยทำผลงานดีที่สุดไปด้วยกัน พร้อมรับ Cheering Kit พิเศษมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท“ ประกอบด้วย เสื้อยืด Collection ก้อง สมเกียรติ, หมวก, กระเป๋า, กระบองลม และพัด ทุกที่นั่ง
แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ส่งกำลังใจเชียร์พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าทุกคน ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

“ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” เดินหน้าเก็บประสบการณ์

“ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” เตรียมลุยศึก “โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ” สนาม 4 แอสเซ่น

“ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร นักบิดดาวรุ่งชาวไทยวัย 17 จากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” พร้อมเต็มร้อย เดินหน้าเก็บประสบการณ์ในศึกดาวรุ่งชิงแชมป์โลก “เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ 2024” สนาม 4 ระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายนนี้ ในสังเวียน โมโตจีพี อย่าง ทีที เซอร์กิต แอสเซ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์

“ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” ลงแข่งขันรายการนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ปูทางสู่เรซระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ในอนาคต โดยหลังผ่าน 3 สนามแรกที่ เซอร์กิโต เด เฆเรซ ประเทศสเปน, เลอมองส์ ประเทศฝรั่งเศส และล่าสุดที่ มูเจลโล ในประเทศอิตาลี นักบิดดาวรุ่งชาวไทยเก็บมาได้ 5 คะแนน จากการคว้าอันดับ 11 เรซแรกที่ เฆเรซ ถือเป็นการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วกับการแข่งขันระดับโลก

โดยสุดสัปดาห์นี้จะมีขึ้นภายใต้การเป็นซัพพอร์ตเรซของ โมโตจีพี ทำให้มีนักแข่งไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ลงแข่งขันพร้อมกันถึง 3 คน ได้แก่ “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” ในศึก เรดบูล โมโตจีพี รุกกีส์ คัพ รวมถึงรุ่นพี่อย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ใน โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ และ “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ใน โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ

ทั้งนี้ “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” มีคิวลงซ้อมอย่างเป็นทางการและควอลิฟายเพื่อจัดอันดับสตาร์ตในวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ ก่อนจะดวลความเร็วเรซแรกในวันเสาร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ 21.50 น. ตามเวลาประเทศไทย ส่วนเรซที่ 2 จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายนนี้ 20.20 น. ถ่ายทอดสดทาง https://www.facebook.com/redbullrookiescup

#ThaiHonda #JP20 #JuniorGP #RookiesCup #Motorsport #HondaMotorSport #RoadToMotoGP #RaceToTheDream #HondaRacingThailand

“ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” ผ่านสนามสุดหิน “จูเนียร์จีพี” สนาม 4 ที่ โปรตุเกส

 “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” ยกระดับผลงานต่อเนื่อง

“ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร ดาวรุ่งชาวไทยจากโครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ยกระดับผลงานต่อเนื่อง ไล่บี้กลุ่มกลางเก็บประสบการณ์ลับฝีมือในศึก “ดาวรุ่งชิงแชมป์โลก” รายการ จูเนียร์จีพี 2024 สนาม 4 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ดวลความเร็วในสนามสุดหินที่ได้สมญานนามว่า รถไฟเหาะตีลังกา อย่าง อัลการ์ฟ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมืองปอร์ติเมา ประเทศโปรตุเกส ชิงชัยทั้งสิ้น 2 เรซ

เกมเรซแรกนักบิดดาวรุ่งชาวไทย “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร เจ้าของรถแข่งหมายเลข 20 จากสังกัด ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ ได้เริ่มเกมจากกริดที่ 29 และไล่บี้อย่างหนักกับนักบิดทั้งหมด 7 คน ในกลุ่มกลาง ก่อนจะเข้าป้ายในอันดับ 22 ด้วยเวลารวม 27 นาที 41.593 วินาที

ส่วนเรซที่ 2 “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” ได้เริ่มเกมจากกริดที่ 28 ซึ่งยังถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก โดยดาวรุ่งชาวไทยทำผลงานได้ดีขึ้น ขยับขึ้นมาเข้าเส้นชัยในอันดับ 20 ด้วยเวลา 27 นาที 59.579 วินาที

ผ่านการแข่งขัน 4 สนามแรก “ข้าวกล้อง-จักรีภัทร” นักบิดชาวไทยยกระดับความเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสนามถัดไปของศึก เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2024 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 กันยายนนี้ ที่ เซอร์กิโต เด เฮเรซ-อังเคล นิเอ็ตโต ประเทศสเปน

แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ส่งกำลังใจเชียร์พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าทุกคน ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

#ThaiHonda #JuniorGP #JP20 #RookiesCup #Motorsport #RaceToTheDream #HondaMotorSport #HondaRacingThailand

ไทยฮอนด้า ร่วมส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ในงานนิทรรศการครบรอบ 20 ปี กับ กปถ. กรมการขนส่งทางบก

ไทยฮอนด้า ผู้นำด้านการขับขี่ปลอดภัยของเมืองไทย

ไทยฮอนด้า ผู้นำด้านการขับขี่ปลอดภัยของเมืองไทย นำโดย ดร. อารักษ์ พรประภา ประธานบริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “โครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อการพัฒนากรอบการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเผยแพร่ความรู้ผ่านนิทรรศการ 20 ปี กับกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนกรมการขนส่งทางบก” ชวนประชาชนเรียนรู้ความปลอดภัยทางถนน พลังขับเคลื่อนสู่ถนนปลอดภัยทั่วไทยอย่างยั่งยืน Driven sustainable road safety across Thailand ณ ศูนย์การค้าสามย่าน มิตรทาวน์ ชั้น 1 เมื่อเร็วๆ นี้
โดยภายในงาน ได้มีการจัดบูธนิทรรศการ กิจกรรมต่างๆ รวมถึงงานสัมมนาเชิงวิชาการ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยทางไทยฮอนด้าได้นำเครื่อง Honda APT : Accident Prediction Training โปรแกรมสำหรับฝึกทักษะในการคาดการณ์ล่วงหน้าและอุบัติเหตุ และเครื่อง Riding Trainer เครื่องจำลองการขับขี่จริงบนท้องถนน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยบนท้องถนน และความมุ่งมั่นในการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในประเทศไทยให้น้อยลงมากที่สุด ผ่านการให้ความรู้ทักษะการขับขี่ที่ถูกต้อง เป็นการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนแก่ประชาชน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายหลักของประเทศไทยที่ให้มีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนต่ำกว่า 12 คนต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2570 ตามแผนแม่บทด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศต่อไป
ติดตามกิจกรรมต่างๆ ของฮอนด้าขับขี่ปลอดภัย ได้ที่
เฟซบุ๊ก : facebook.com/HondaSafetyThailand
เว็บไซต์ : hondasafety.thaihonda.co.th
และฝึกคาดการณ์อุบัติเหตุ ช่วยการตัดสินใจอย่างแม่นยำขณะใช้รถใช้ถนนได้ที่ : hondasafetyAPT.com
#HondaSafetyThailand #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #Honda #HondaMotorcycle

ยกระดับความมันส์! ศึก Plan-B Media BRIC Superbike สนาม 3 กระหึ่มสังเวียน โมโตจีพี 5-7 ก.ค.นี้

ศึก Plan-B Media BRIC Superbike สนาม 3 5-7 ก.ค.นี้

สุดยอดมอเตอร์สปอร์ต 2 ล้อ อันดับ 1 ของไทย “แพลน บี มีเดีย บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ 2024” เตรียมกระหึ่มคันเร่ง สนามที่ 3 ของฤดูกาล ต้นเดือนกรกฎาคมนี้ กองทัพนักบิดไทยพร้อมชิงชัย บนเซอร์กิตระดับเวิลด์คลาสที่รองรับศึก “โมโตจีพี” อย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ซึ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปรับความยากและท้าทายของแทร็ก เพิ่มความสูง “ขอบเคิร์บ” โค้ง 1, 4 และโค้ง 8 สไตล์ “มิซาโน เคิร์บ” ขณะที่ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ ลุ้นคว้าชัย 3 สนามติด สร้างโอกาสคว้าแชมป์ประเทศไทย ด้านคู่แข่งคนสำคัญท้าชนหวังยื้อถึง “ชิงดำ”

การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย รายการ แพลน บี มีเดีย บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2024 สนาม 3 มีคิวดวลความเร็วระหว่างวันที่ 5-7 กรกฎาคม 2567 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยนับเป็นการก้าวเข้าสู่ครึ่งฤดูกาลหลังในการลุ้นแชมป์ประจำปีอย่างเป็นทางการ

ศึก แพลน บี มีเดีย บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2024 ได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จนถูกยกให้เป็นศึกมอเตอร์สปอร์ต 2 ล้อเบอร์หนึ่งของไทย และเดินหน้าต่อเนื่อง เพื่อยกระดับเป็น “ศูนย์กลางของอาเซียน” ซึ่งในปีนี้ยังมีการลุ้นแชมป์ประจำปีที่เข้มข้นในทุกคลาส จากนักบิดแถวหน้าและทีมแข่งระดับคุณภาพของเมืองไทย ที่ร่วมไล่ล่าความสำเร็จ

สถานการณ์ลุ้นแชมป์ในรุ่นใหญ่สุดของเมืองไทยอย่าง ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี ยังคงเข้มข้นอย่างต่อเนื่อง โดย “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ อดีตนักบิดเวิลด์ซูเปอร์สปอร์ต ยังคงรั้งจ่าฝูงหลังคว้าชัยชนะ 2 สนามแรก แต่ก็ยังมีคู่แข่งคนสำคัญอย่าง “บอล” จักกฤษณ์ แสวงสวาท จาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม และ “ซีเค” ชัยวิชิต นิสกุล นักบิดแถวหน้าของไทยอีกคนจาก คอร์ มอเตอร์สปอร์ต ไทยแลนด์ เป็นตัวพลิกเกมที่ประมาทไม่ได้

นายตนัยศิริ ชาญวิทยารมณ์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ฝ่ายจัดการแข่งขันกล่าวว่า “ในปี 2024 เปิดฤดูกาลอย่างสนุก เรามีโอกาสที่จะเห็นการคว้าแชมป์ประจำปีในแต่ละรุ่นจากทั้งนักแข่งมากฝีมือ ดีกรีระดับอินเตอร์ และนักแข่งดาวรุ่งหน้าใหม่ที่ขึ้นมายืนโพเดียมได้สำเร็จ และด้วยตารางแข่งขันที่ต้องลุ้นแชมป์ประจำปีอีก 3 เรซ โดยแบ่งเป็น สนามที่ 3 จำนวน 1 เรซและสนามที่ 4 ดวลกัน 2 เรซ ก็ยังคงทำให้อาจมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปีนี้ก็ได้”

“นอกจากนี้ ความสำคัญของสนามนี้คือเป็นหนึ่งในการซ้อมใหญ่ เพื่อรองรับการแข่งขัน โมโตจีพี 2024 รายการ PT Grand Prix of Thailand ซึ่งจะมีความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ของสนามคือ การเพิ่มความสูงของขอบเคิร์บในโค้ง 1, โค้ง 4 และ โค้ง 8 ที่มีความสูงมากขึ้นมาจากเดิม 5 เซนติเมตร (มิซาโน เคิร์บ) นั่นจะทำให้นักแข่งต้องระมัดระวังมากขึ้นในจุดดังกล่าว ซึ่งการปีนขอบเคิร์บจะไม่ได้ช่วยสร้างความเร็วอีกต่อไป”

“ความท้าทายนี้ จะทำให้นักแข่งต้องหาวิธีสร้างความเร็วในรูปแบบที่แตกต่าง และผู้ชมจะได้ดูการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น นั่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนของการลุ้นแชมป์ก็ได้ ส่วนการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย “แพลน บี มีเดีย บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์” เป็นช่วงเวลาที่แฟนชาวไทยต้องคอยจับตาเกมชิงไหวชิงพริบในครั้งนี้ให้ดี เพราะมีอาจมีจุดเปลี่ยนสำคัญของการลุ้นแชมป์ประจำปี ซึ่งเราถ่ายทอดสดการแข่งขันให้รับชมอย่างเต็มอิ่มเช่นเคย” นายตนัยศิริ ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ การลุ้นแชมป์ประจำปีในรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี, ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี, ซูเปอร์สปอร์ต 400 ซีซี และ สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี ก็ยังคงขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ซึ่งสนามที่ 3 ในวันที่ 5-7 กรกฎาคมนี้ จะเป็นจุดชี้วัดสถานการณ์ในโค้งสุดท้ายได้เป็นอย่างดี

สำหรับการแข่งขัน แพลน บี มีเดีย บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ 2024 สนาม 3 จะเข้าสู่โปรแกรมการซ้อมอย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม ก่อนจะจับเวลารอบควอลิฟายในวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม และดวลความเร็วรอบชนะเลิศในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2567

ร่วมเชียร์และลุ้นแชมป์ประเทศไทย โดยซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันได้ที่จุดจำหน่ายบัตรหน้าทางขึ้น Grandstand สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่นั่งแกรนด์แสตนด์ ราคา 100 บาท / 1 วัน (จำหน่ายบัตรวันเสาร์-อาทิตย์ 6-7 กรกฎาคม 2567)

พิเศษ ! เพียงซื้อบัตรชมการแข่งขัน Plan-B Media BRIC Superbike มีสิทธิ์ลุ้นรับบัตร VIP โค้ง 12 และบัตร Paddock Pass ชมการแข่งขันโมโตจีพี 2024 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจ Chang Circuit Buriram, BRIC Superbike และยูทูบ Chang International Circuit

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สีใหม่สุดเร้าใจ

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR เติมเต็มทุกการผจญภัย 

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับนักบิดชาวไทยสายผจญภัยอีกครั้ง เปิดตัวสีใหม่สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ด้วยสีตัวถังภายนอกสีน้ำเงิน Racing Blue Metallic และยังคงรักษาเอกลักษณ์ที่แท้จริงของตระกูลไดนามิกโรดสเตอร์ ในกลุ่มแอดเวนเจอร์ สปอร์ต พร้อมสะกดทุกสายตาบนท้องถนน บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังคงนำเสนอความสปอร์ตซึ่งมาพร้อมกับความสามารถอันหลากหลายและฟีเจอร์ทันสมัยต่าง ๆ พร้อมมอบสมรรถนะในการขับขี่ระยะไกลที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเดินทางไปบนถนนอันคดเคี้ยวหรือท่องเที่ยวไปในเมือง

มร. ชิวาภาดา เรย์ ผู้อำนวยการ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และผู้นำเข้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “การเพิ่มตัวเลือกสีใหม่สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ช่วยยกระดับรูปลักษณ์แบบไดนามิก และเสริมมาดแบบใหม่ให้กับมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตผจญภัยรุ่นนี้ พร้อมผสานความสปอร์ตและสมรรถนะแบบทัวริ่งไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วยถ่ายทอดความรู้สึกอิสระและไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ให้กับนักบิดในการขับขี่ทุกเส้นทาง บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR นำเสนอคุณลักษณะเฉพาะในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง มาพร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นและเทคโนโลยีล่าสุดที่ได้รับการต่อยอดจากรุ่นก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นนักบิดที่มีประสบการณ์หรือมือใหม่ เราขอเชิญชวนแฟน ๆ ทุกท่านให้มาสัมผัสประสบการณ์สุดยอดการผจญภัยในการขับขี่และสมรรถนะอันทรงพลังของมอเตอร์ไซค์ที่น่าตื่นเต้นรุ่นนี้ ซึ่งผสมผสานความคล่องตัว ความสะดวกสบาย และสไตล์เข้ากับตัวเลือกสีใหม่ที่โดดเด่น”

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic                               

ราคาจำหน่าย: 599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR นับเป็นที่สุดของมอเตอร์ไซค์ในตระกูลแอดเวนเจอร์ สปอร์ต อย่างแท้จริง ด้วยสมรรถนะโฉบเฉี่ยว ตำแหน่งการขับขี่ี่แบบนั่งตรงสไตล์ GS ความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะไกล ทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และรูปลักษณ์ที่สื่อถึงความทรงพลัง เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้ ความโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังอยู่ที่การสืบทอดดีไซน์และคอนเซปต์ของมอเตอร์ไซค์ในตระกูล XR ที่ผสานความสปอร์ตและสมรรถนะแบบทัวริ่งเข้าไว้ได้อย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีในการขับขี่ที่ล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) และระบบ Keyless Ride ซึ่งล้วนเป็นคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนในมอเตอร์ไซค์ระดับกลาง

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งพละกำลัง 73 กิโลวัตต์ (99 แรงม้า) ที่ 8,500 รอบต่อนาที ให้แรงบิด 88 นิวตันเมตร ที่ 6,750 รอบต่อนาที ให้ความเร็วสูงสุดมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดดเด่นด้วยขนาดของเครื่องยนต์ 895 ซีซี พร้อมองศาการจุดระเบิดที่ 270/450 องศา และระบบเก็บเสียงแบบใหม่ มอบเสียงทรงพลังและเร้าใจยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมระบบคลัทช์แบบ anti-hopping และระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) จากการชะลอตัวหรือลดเกียร์ เพื่อมอบความปลอดภัยยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ขับขี่ มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงไร้สารตะกั่วค่าออกเทน 91 ขึ้นไป

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR สร้างความสนุกเร้าใจในการขับขี่ด้วยโหมดการขับขี่ ‘Rain’ และ ‘Road’ รวมทั้ง Riding Modes Pro ประกอบด้วย ‘Dynamic’ และ ‘Dynamic Pro’ เพื่อยกระดับความสปอร์ตให้เร้าใจยิ่งขึ้น ระบบ ABS Pro ช่วยให้ควบคุมมอเตอร์ไซค์ได้อย่างแม่นยำในทุกสถานการณ์การขับขี่ พร้อมระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ระบบ Dynamic Brake Control (DBC) ระบบ Dynamic ESA และ ระบบตรวจสอบความดันลมยาง (RDC) ในขณะที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติยังช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาความเร็วรถให้คงที่ได้ นอกจากนั้น ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Gear Shift Assistant Pro ยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้เกือบทุกช่วงน้ำหนักบรรทุกและช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์โดยไม่ต้องควบคุมคลัตช์ ระบบทำความร้อนที่แฮนด์ยังช่วยป้องกันมือชาและความเมื่อยล้าเมื่อขับขี่ไปในในสภาพอากาศที่หนาวเย็น

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมถังน้ำมันขนาด 15.5 ลิตร โดยถังน้ำมันของรุ่นนี้มีน้ำหนักเบาและผ่านกระบวนการเชื่อมที่นำมาใช้ในการผลิตมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรก ขณะที่โครงสร้างการยึดเหล็กกล้าส่วนท้ายรถก็ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานเป็นครั้งแรกในมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้เช่นกัน จึงทำให้ส่วนท้ายรถมีรูปลักษณ์ที่เพรียวและสั้นยิ่งขึ้น นอกจากนั้น บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ซึ่งมีระยะสปริงที่ค่อนข้างยาวขึ้น ช่วยมอบความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหลากหลายกว่าในสไตล์แบบทัวริ่ง

ระบบไฟหน้า LED ที่ปรับองศาตามการเลี้ยวโค้ง (Adaptive Cornering Light) พร้อมระบบ Headlight Pro นอกจากจะสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ขับขี่ยิ่งขึ้นแล้ว ยังนับว่าเป็นฟีเจอร์ที่โดดเด่นในมอเตอร์ไซค์ขนาดมิดไซส์ ทำให้การขับขี่เวลากลางคืนมีความอุ่นใจยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าส่องสว่างตามการเลี้ยวโค้ง และหลอดไฟทั้งหมดเป็นแบบ LED ที่ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับมอเตอร์ไซค์ในตระกูล F-Series ทุกรุ่น บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR มาพร้อมตำแหน่งที่นั่งซึ่งมอบทั้งความสปอร์ตและความสบายสำหรับการขับขี่แบบทัวริ่งเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ระยะไกล ชุดแฟริ่งด้านหน้าที่มาพร้อมกระจกกันลมปรับระดับได้มอบทั้งลุคสปอร์ตและการป้องกันให้แก่ผู้ขับขี่

นอกจากนี้ในรุ่นนี้ ยังมาพร้อมโซ่ M Endurance ด้วยคุณสมบัติการหล่อลื่นและความทนทานต่อการสึกหรอที่ยอดเยี่ยม โซ่ M Endurance ช่วยมอบความสะดวกสบายด้านการบำรุงรักษามากยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการทำความสะอาดที่ยุ่งยากและหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากต้องเผชิญปัญหาน้ำมันหล่อลื่นกระเด็นหากใช้โซ่ธรรมดา โซ่ M Endurance จึงมอบทั้งความสะดวกสบายและความทนทานในการใช้งานสูงสุด

บีเอ็มดับเบิลยู F 900 XR ยังมีหน้าจอ TFT สีขนาด 6.5 นิ้วและระบบเชื่อมต่อ BMW ConnectedRide เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยให้นักบิดสามารถคุยโทรศัพท์ ฟังเพลง หรือใช้งานระบบนำทางได้อย่างสะดวกในขณะขับขี่ ทั้งนี้ มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีวางจำหน่ายแล้วในสีน้ำเงิน Racing Blue Metallic        

“ไทยฮอนด้า” ชูโรง “โมโตจีพี ไทยแลนด์” “ก้อง-สมเกียรติ” เดินหน้าล่าแชมป์โฮมเรซ

“ก้อง-สมเกียรติ”รับเกียรติสูงสุด “จันทรา สแตนด์” ปีที่ 3 ติดต่อกัน

“ไทยฮอนด้า” ผู้นำวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย เป็นตัวชูโรงในศึก โมโตจีพี 2024 สนามที่ 18 รายการ “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” หลังแถลงข่าวเปิดขายบัตรเข้าชมอย่างเป็นทางการ นำทัพโดย “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักบิดประวัติศาสตร์ของวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ที่ประกาศล่าแชมป์โฮมเรซ พร้อมได้รับเกียรติสูงสุดนักแข่งไทยคนเดียวที่มีสแตนด์เชียร์ใน เวิลด์กรังด์ปรีซ์ เป็นของตัวเอง คือ “จันทรา สแตนด์” เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน พร้อมชวนแฟนชาวไทยร่วมลุ้นในศึกมอเตอร์สปอร์ตยักษ์ใหญ่ของโลก โมโตจีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2024 ที่เตรียมระเบิดความมันส์สนามที่ 18 รายการ พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์ ระหว่างวันที่ 25-27 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ท่ามกลางการรอคอยของแฟนความเร็วจากทั่วโลก

“ไทยฮอนด้า” ยังคงเป็นตัวชูโรงสำหรับการแข่งขัน ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ด้วยการนำของนักบิดประวัติศาสตร์ของไทยอย่าง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เจ้าของ 2 ชัยชนะ และ 6 โพเดียมในคึก โมโตทู เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ รวมถึง “ก๊องส์” ธัชกร บัวศรี ดาวรุ่งชาวไทยที่ขยับขึ้นไปแข่งขันใน โมโตทรี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ เป็นฤดูกาลแรก

โดยได้มีการเปิดขายบัตรเข้าชมการแข่งขันเป็นวันแรก ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขัน “พีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” ได้จัดให้มี “ฮอนด้า สแตนด์” สำหรับกองเชียร์มอเตอร์สปอร์ต บริเวณโค้ง 10 และโค้ง 11 เพื่อส่งกำลังใจเชียร์นักแข่งฮอนด้า ทั้งนักบิดฮอนด้าใน โมโตจีพีอย่าง “ลูก้า มารินี” และ “โจอัน เมียร์” ในทีม เรปโซล ฮอนด้า รวมถึง “โยฮันน์ ซาโก” และ “ทาคาอากิ นาคากามิ” ในสังกัด แอลซีอาร์ ฮอนด้า และ ที่สำคัญคือนักบิดไทยที่จะลงชิงชัยในโฮมเรซ

ดร. อารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ผมอยากจะขอเชิญแฟนชาวไทยเข้าไปชมการแข่งขันเยอะๆ ครับ ไปชมความภาคภูมิใจของคนไทย นักแข่งที่สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการมอเตอร์สปอร์ตไทยอย่าง “ก้อง-สมเกียรติ” ให้คว้าชัยในบ้านเกิด และ “ก๊องส์-ธัชกร” ให้สร้างผลงานที่ดีในโฮมเรซ”

ด้าน “ก้อง-สมเกียรติ” กล่าวว่า “สำหรับในปีนี้รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ครับ ที่จะได้กลับมาแข่งที่บ้านเราอีกครั้ง ปีที่แล้วเราคว้าตำแหน่งที่ 3 ได้ขึ้นโพเดียม แต่ในปีนี้ผมก็หวังที่จะชนะให้ได้ และจะได้ร้องเพลงชาติไทยในสนามบ้านเกิดให้ได้ อยากเชิญแฟนชาวไทยไปชมในสนามกันเยอะๆ ครับ”

ส่วน “ก๊องส์-ธัชกร” เปิดเผยว่า “ทุกครั้งที่ลงแข่งในเมืองไทย ผมจะตื่นเต้นมากขึ้นกว่าเดิมทุกครั้งครับ ภูมิใจที่ได้แข่งในบ้านเกิด จะเก็บข้อผิดพลาด เพื่อทำผลงานให้ดีขึ้น เพื่อมอบของขวัญให้แฟนชาวไทยครับ”

นอกจากนี้ จะยังมีนักบิดเลือดใหม่ของภายใต้โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” ลงแข่งขันในโฮมเรซกับรายการ “อิเดมิตซึ เอเชีย ทาเลนต์ คัพ 2024” ได้แก่ “ออสติน” ธนฉรรต ประทุมทอง หมายเลข 5, “จิมมี่” บูรพา วันมูล หมายเลข 10 และ “ไม้คิว” เกียรติศักดิ์ สิงหพงษ์ หมายเลข 20 เพื่อลงอวดผลงานในบ้านเกิดต่อหน้าแฟนชาวไทยอีกด้วย

สำหรับ “ลูกค้าฮอนด้า” ที่ซื้อบัตรเข้าชมทุกประเภท รวมถึง “ฮอนด้า สแตนด์” และ “สมเกียรติ สแตนด์” จะได้รับส่วนลดพิเศษ 20% เพียงแค่นำกุญแจรถจักรยานยนต์ฮอนด้า แสดงต่อพนักงานขายบัตร ณ จุดจำหน่ายบัตร Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อรับส่วนลดในการซื้อบัตรทันที 20% และพิเศษสำหรับ ลูกค้าที่ถือบัตร “ฮอนด้า สแตนด์” จะได้รับชุด Cheering Kit ก่อนขึ้นสแตนด์เชียร์ในวันงาน ทุกที่นั่ง เพื่อความสนุกและบรรยากาศในการเชียร์นักแข่งไทยไปด้วยกันอีกด้วย

ทั้งนี้ ศึก “พีที กรังด์ปรีซ์ ออฟ ไทยแลนด์” จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 ตุลาคมนี้ ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์

แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตชาวไทย ส่งกำลังใจเชียร์พร้อมติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวนักบิดฮอนด้าทุกคน ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ : Race to The Dream

#ThaiHonda #HondaRacingThailand #RaceToTheDream #RoadToMotoGP #MotoGP #Moto2 #SC35 #Kong #IdemitsuHondaTeamAsia #Moto3 #TB5 #Gonz #HondaTeamAsia #IdemitsuAsiaTalentCup #BW10 #KS20 #TP5 #ThaiGP2024

พร้อมสร้างปรากฏการณ์ใหม่! MotoGP สนามประเทศไทยแถลงใหญ่

กระหึ่มขายบัตรวันแรก ตั้งเป้า “PT Grand Prix of Thailand 2024”

สนามที่ดีที่สุด-ประทับใจที่สุด ประจำฤดูกาล สู่ฐานแฟนความเร็ว 800 ล้านคนทั่วโลก

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดแถลงข่าวการจัดการแข่งขันและเปิดจำหน่ายบัตร ศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือ MotoGP ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 18 พร้อมเปิดตัวไตเติ้ล สปอนเซอร์ใหม่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG รู้จักกันดีในฐานะเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน PT, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ PT Maxnitron และยังมีธุรกิจอื่นในเครือ เช่น แบรนด์ร้านกาแฟ พันธุ์ไทย, คอฟฟี่เวิล์ด รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs ภายใต้ชื่อรายการ “PT Grand Prix of Thailand 2024” เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ระดับเวิลด์คลาส นำเสนออัตลักษณ์ความงดงามแบบไทย พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ต เฟสติวัล เต็มรูปแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ โดยจะชิงชัยที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ระหว่าง 25-27 ตุลาคม 2567 ถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ไปกว่า 200 ประเทศทั่วโลก สู่ผู้ชม 800 ล้านคน โดยหลังเปิดจำหน่ายบัตรแกรนด์ สแตนด์ Sold Out ด้วยเวลา 03.12 นาที

วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ การกีฬาแห่งประเทศไทย กรุงเทพ : ดร.พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยตัวแทนผู้สนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชน นำโดย การกีฬาแห่งประเทศไทย, จังหวัดบุรีรัมย์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กรมการขนส่งทางบก, บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG, น้ำแร่ธรรมชาติ ตรา ช้าง, บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด ( ดูคาติ ไทยแลนด์ ), สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต รวมทั้งทัพสื่อมวลชนหลายร้อยคนและผู้สนับสนุนร่วมงานมากมาย

ล่าสุดเป็นการเปิดจำหน่ายบัตรชมการแข่งขันวันแรก โดยปีนี้ปรับเวลาการจัดจำหน่ายให้เร็วขึ้นกว่าทุกปีและมีการปรับผังที่นั่ง เพิ่มประเภทสแตนด์ หรือ อัฒจันทร์ เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ชมกระจายตัวสู่รอบสนาม มีการเพิ่มกิจกรรมความสนุก ลุ้นรางวัล ของที่ระลึกมากมาย หลังเปิดจำหน่ายบัตรแกรนด์ สแตนด์ Sold Out ด้วยเวลา 03.12 นาที

ดร.พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทยและคนไทย ถือว่าตลอด 4 ปี ของการจัดการแข่งขันศึกรถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง MotoGP บนผืนแผ่นดินไทย ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างภาพจำ “โมโตจีพี วิถีไทย” สื่อสารถึงความเป็นไทยที่เต็มไปด้วยความงดงาม อ่อนช้อย ศิลปวัฒนธรรม สู่มหกรรมกีฬาแห่งความสุข สร้างความประทับใจ มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้แก่ผู้ชม ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายหนึ่ง ในแผนที่มอเตอร์สปอร์ต ในหัวใจแฟนความเร็วทั่วโลกที่อยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต

“การจัดโมโตจีพีในประเทศไทยเป็น Mega Event ฟันเฟืองสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตามนโยบาย Sport Tourism ในปีที่ผ่านมามียอดผู้ชมการแข่งขันสูงถึง 179,811 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากถึง 11% สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากกว่า 4,493 ล้านบาท จากการใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารเครื่องดื่ม ค่าของที่ระลึก ฯลฯ “

ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดการแข่งขันโมโตจีพีในประเทศไทยในปีนี้นั้น กระแสค่อนข้างแรง จึงเปิดจำหน่ายบัตรเร็วขึ้นกว่าทุกปี รวมทั้งภารกิจของคณะผู้จัดฯ ยากขึ้นทุกปีเช่นกัน เนื่องจากได้สร้างมาตรฐานไว้สูงมาก ตั้งแต่การจัดงานในครั้งแรก โดยพันธกิจสำคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย คือการพัฒนานักกีฬาไทย เพื่อยกระดับขึ้นไปเทียบเท่าระดับสากล ปีที่ผ่านมา “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา สร้างประวัติศาสตร์คว้าโพเดียม โมโต 2 สุดยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ สร้างความภูมิใจให้คนทั้งประเทศ และในปีนี้มีนักแข่งสายเลือดไทยทั้ง “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” ในรุ่นโมโต2 และ “ก๊อง-ธัชกร บัวศรี” ในรุ่นโมโต3 ที่ลงทำการแข่งขันตลอดฤดูกาลและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างมาก

นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจังหวัดบุรีรัมย์ใช้กีฬาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างแท้จริง โดยการจัดการแข่งขันโมโตจีพีในปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดการสร้างงานของคนในพื้นที่กว่า 6,426 ตำแหน่ง สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้แก่พี่น้องในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง สำหรับปีนี้ จังหวัดพร้อม 100% แน่นอนในการรองรับนักท่องเที่ยว นักแข่ง ทีมแข่ง สื่อมวลชน รวมทั้งบุคลากรฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมกว่า 2 แสนคน ตลอด 3 วัน ปรับปรุงและพัฒนาทุกส่วน เพื่อให้มอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหนึ่งปีมีครั้ง สนามเดียวในโลกที่ “ชัตเติ้ลแต๋น” สินทรัพย์และภูมิปัญญาไทยของพี่น้องเกษตรกร จะได้อวดโฉมรับส่งผู้มาเยี่ยมเยือนจากทั่วโลก

มร.เฟร์ราน จุงก้า ผู้อำนวยการอาวุโสด้านผู้สนับสนุนระดับโลก ดอร์น่าสปอร์ต กล่าวว่า ดอร์น่า สปอร์ต มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เข้าสู่การเป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขันโมโตจีพี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริมโมโตจีพีประเทศไทยที่แสนพิเศษนี้ให้พิเศษขึ้นไปอีก ในปีนี้ผมมั่นใจว่าการแข่งขันสนามประเทศไทยที่จังหวัดบุรีรัมย์ จะเป็นสุดสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยม สนุก เข้มข้น เร้าใจ ทั้งยังมีกิจกรรมที่รอสร้างความประทับใจกับแฟนโมโตจีพีที่เข้ามาชมในสนามมากมาย

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า PTG มีความยินดีและภูมิใจอย่างมากที่ได้เข้ามาเป็นครอบครัว ThaiGP หนึ่งในกรังด์ปรีซ์ที่ดีที่สุดสนามหนึ่งของโลก ด้วยฝีมือคนไทย ยิ่งใหญ่ อลังการ สมบูรณ์แบบ โดยคว้าโอกาสสนับสนุนต่อเนื่องถึง 3 ปี ตั้งแต่ 2024-2026 โอกาสนี้จึงได้มอบสิทธิ์ในการซื้อบัตรราคาพิเศษ สำหรับ สมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25% นอกจากนี้ยังสามารถรับส่วนลด 20% เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือ บัตร PT Max Card ณ จุดจำหน่ายบัตร รวมทั้งจัดเตรียมกิจกรรมสุดพิเศษและยิ่งใหญ่ จากสถานีบริการน้ำมัน พีที และธุรกิจรในเครือ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟพันธุ์ไทย, คอฟฟี่เวิล์ด รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs และอื่นๆอีกมากมายไว้บริการในวันแข่งขัน

บัตรเข้าชม โมโตจีพี 2024 เป็นบัตรชมงานแบบ 3 วัน แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1.แกรนด์ สแตนด์ 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 3,750 บาท 2. ไซด์ สแตนด์ 2,000 บาท (ราคาสบายกระเป๋า) หักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท 3.ไรเดอร์ สแตนด์ สำหรับกองเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์, จันทรา สแตนด์ สำหรับแฟน ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ราคา 3,000 บาท หลังหักส่วนลดสูงสุดเหลือเพียง 2,250 บาท พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักแข่งที่ชื่นชอบ

และ 4. แบรนด์ สแตนด์ ( Brand Stand) ในปีนี้พิเศษสุด มีการปรับผังที่นั่ง เพิ่มประเภทสแตนด์ หรือ อัฒจันทร์ เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ชมกระจายตัวสู่รอบสนาม โดยจัดให้มีสแตนด์สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นน้ำ พร้อมรับของรางวัลจากผู้สนับสนุน และรับสิทธิ์ลุ้นรางวัลจากผู้สนับสนุนมากมายได้แก่ ฮอนด้า สแตนด์, ยามาฮ่า สแตนด์ ราคา 2,000 บาท ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท ส่วน “ดูคาติ สแตนด์“ รับส่วนลดสูงสุด 20% จากราคา 2,000 บาท เหลือเพียง 1,600 บาท

ราคาจำหน่ายบัตรในประเทศไทย จัดว่าถูกและคุ้มค่าที่สุด สนามเดียวในโลก เนื่องจากทุกภาคส่วนจัดเต็มมหกรรมความบันเทิงทั้งในและนอกสนาม คอนเสิร์ต มวย ช้อป ชิม สำหรับแฟน ๆ สามารถซื้อบัตรชม PT Grand Prix of Thailand 2024 ได้แบบสบายกระเป๋า ด้วยส่วนลดสุดปัง สมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25% นอกจากนี้ยังสามารถรับส่วนลด 20% เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือ บัตร PT Max Card หรือใช้สิทธิ์ส่วนลดจากผู้สนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญแจรถจักรยานยนต์ Honda, กุญแจรถจักรยานยนต์ YAMAHA ส่วนกุญแจรถจักรยานยนต์ DUCATI ใช้เป็นส่วนลด 20% ได้เฉพาะสแตนด์ดูคาติเท่านั้น (สงวนสิทธิ์เลือกใช้ส่วนลดได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง)

ข่าวดีสำหรับ “ยามาฮ่า สแตนด์” ซื้อบัตรทุกที่นั่ง ลุ้นรับ รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า R15M Connected-ABS รุ่นปี 2024 จำนวน 1 คัน มูลค่า 138,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติม www.yamaha-motor.co.th และ “ฮอนด้า สแตนด์” จะได้รับ Cheering kit มูลค่ากว่า 800 บาททุกที่นั่ง ประกอบด้วย เสื้อยืด Collection ก้อง สมเกียรติ, หมวก, กระเป๋า, กระบองลม และพัด ส่วน “ดูคาติ สแตนด์ ” ได้รับ Ducati Fan Kits มูลค่า 500 บาท, หมวกดูคาติ, สายคล้องคอ Ducati Tribuna, กระบองลม

ซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ allticket.com ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แฟนเพจ Chang Circuit Buriram หรือรับข่าวสารผ่านช่องทางไลน์ โดยเพิ่มเพื่อน Line ID : @changcircuit

ครั้งแรกในไทย! เปิดตัวบิ๊กสกู๊ตเตอร์ ZONTES 350E & 350D

ZONTES 350E & 350D  แรงสุดในคลาสกับเทคโนโลยีสุดล้ำในราคาที่คาดไม่ถึง

สะเทือนวงการสองล้อกันอีกครั้ง เมื่อ บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์จากยุโรปที่ ประสบความสำเร็จกับ แบรนด์แลมเบรตต้ามาแล้ว ได้ทำการเปิดตัวแบรนด์ในเครือเพิ่มเติม กับรถจักรยานยนต์ชื่อดังในตลาดโลก อย่างแบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) อย่างเป็นทางการ พร้อมการเปิดตัว 2 โมเดลใหม่ล่าสุดที่เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ได้แก่ รุ่น 350E และรุ่น 350D กับราคาสุดเร้าใจที่ใครๆต้องร้องว้าว!

แบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) ก่อตั้งเมื่อปี 2003 หรือกว่า 21 ปีมาแล้ว เป็นแบรนด์รถจักรยานยนต์สัญชาติจีน ที่มีดีกรีไม่ธรรมดา เพราะกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในวงการยานยนต์ระดับโลก ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ทำให้ ZONTES ได้กลายเป็นชื่อที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยในปัจจุบัน ZONTES มีจำหน่ายไปแล้วกว่า 71 ประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศฝรั่งเศสเยอรมนีสวิตเซอร์แลนด์สเปนและ อิตาลี เป็นต้น 

สำหรับการเข้าสู่ตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ มาพร้อมกับ 2 โมเดลใหม่ ที่เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็น Segment ที่กำลังมาแรงในตลาดบ้านเรา กับรถสกู๊ตเตอร์ในคลาส 350 ซีซี  อย่างรุ่น 350E และ 350D โดยจุดเด่นของทั้งสองรุ่นนี้ กับพื้นฐานเครื่องยนต์ที่ให้มาเหมือนกัน ในเครื่องยนต์ทรงพลัง ขนาด 349 ซีซี 1 สูบ 4 วาล์ว เทคโนโลยีหัวฉีดจากแบรนด์สัญชาติเยอรมัน BOSCH ที่ช่วยควบคุมการจ่ายน้ำมันในโหมดขับขี่ ECO และ Sport  กับไฮไลท์ในคาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ที่ให้ความเร็วมาจัดจ้าน ด้วยพละกำลังสูงสุดที่ 36 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที และให้พละกำลังแรงบิดสูงสุดที่ 38 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบต่อนาที เรียกได้ว่าให้มาเต็มซีซี แรงที่สุดในคลาส!  

นอกจากนี้ ทั้งรุ่น 350E และ 350D ยังมาพร้อมความล้ำสมัยกับหน้าจอแสดงผลแบบ TFT ที่มีความละเอียดสูง ให้ภาพคมชัดและสีสันสดใส ทำให้การอ่านข้อมูลต่างๆ บนหน้าจอเป็นเรื่องง่าย โดยหน้าจอ TFT นี้สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างครบครัน เช่น ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ระดับน้ำมัน ระดับแบตเตอรี่ ระยะทริปการเดินทาง และการแจ้งเตือนต่างๆ ผู้ขับขี่ยังสามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลได้ถึง 4 รูปแบบตามความต้องการ พร้อมเซ็นเซอร์วัดแสงที่สามารถปรับความสว่างของหน้าจอ รวมไปถึงการปรับหน้าจออัตโนมัติเป็น Bright mode ในเวลากลางวัน และ Dark Mode ในเวลากลางคืน

จัดเต็มด้านเทคโนโลยีความล้ำสมัย ที่โดดเด่นเหนือใครในคลาส 350 ซีซี ด้วยการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ผ่านการเชื่อมต่อได้ถึง 3 ช่องทาง

  1. เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ  สำหรับการแสดงสายเรียกเข้าบนหน้าจอแสดงผล และสามารถกดรับสายได้ที่ปุ่ม [MOD] และกดวางสายได้ด้วยปุ่ม [SET] บนสวิตซ์แฮนด์ทางด้านซ้าย
  2. เชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่น “ZONTES Intelligence  ที่ต้องมีการลงทะเบียนสำหรับเจ้าของรถ ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อดูสถานะ ข้อมูลต่างๆของตัวรถ รวมไปถึงการใช้ล็อค/ปลดล็อครถแทนกุญแจได้
  3. เชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่น “Carbit Ride สำหรับการใช้แผนที่นำทาง ,เปิดเพลง และไฮไลท์กับฟังก์ชั่น Mirror screen หรือการสะท้อนภาพหน้าจอจากสมาร์ทโฟนเข้าไปโชว์ในหน้าจอแสดงผล TFT  ที่สามารถเปิด Google Map และ ยูทูปได้!

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ กับเทคโนโลยีที่มีมาให้ของ ZONTES 350E และ 350D กับอีกหนึ่งความพิเศษของกุญแจรีโมท เวอร์ชั่น 3.0 Keyless ที่มาพร้อม IP67 หรือมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่นสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถทนทานต่อการแช่น้ำที่ความลึกระดับไม่เกิน 1 เมตร เป็นเวลาไม่เกิน 30 นาทีได้ ซึ่งสำหรับการขับขี่ที่โดนฝน ก็เรียกได้ว่าสามารถทนทานได้สบายๆ  แถมยังมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามสะดุดตา กับดีไซน์ที่สามารถนำมาใส่สายนาฬิกา เพื่อความสะดวกต่อการพกพา  โดยการทำงานของตัว 3.0 Keyless นั้น เพียงแค่ผู้ขับขี่พกพาติดตัว ในระยะ 1.5 เมตรจากตัวรถ ก็สามารถกดปุ่มสตาร์ทได้ทันที  และเมื่อผู้ขับขี่นำกุญแจเดินออกห่างจากตัวรถเกินระยะ 1.5 เมตร ตัวรถก็จะทำการล็อคให้อัตโนมัติ  นอกจากนี้ ยังมีความพิเศษ กรณีแบตเตอรี่ของกุญแจ Keyless หมด ผู้ขับขี่ก็ยังสามารถสตาร์ทรถใช้งานได้ ด้วยการนำ กุญแจ Keyless มาแนบกับจุด ที่มีสัญลักษณ์ IMMO (Immobilizer) ที่อยู่บริเวณช่องเก็บของทางด้านขวา

รุ่น 350E : สไตล์ Luxury ที่ครบครันด้วยฟังก์ชันทันสมัย

ZONTES 350E เป็นรุ่นที่ออกแบบมาในสไตล์ Luxury ด้วยดีไซน์ที่หรูหราและทันสมัย ออกแบบมาให้ซัพพอร์ตผู้ขับขี่ในทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งการเดินทางในเมืองและการเดินทางไกลที่ให้ความสะดวกสบายที่มากกว่า กับการออกแบบท่านั่งที่เน้นความสบายและรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว

–        ระบบส่องสว่าง Full LED: ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ 6 ดวง ที่มีความสว่างและช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ทั้งกลางวันและกลางคืน กับดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไฟท้ายดีไซน์แยกพาร์ท ซ้าย-ขวา

–        ชิลด์หน้าขนาดใหญ่ สามารถปรับระดับขณะขับขี่ได้ ด้วยระบบไฟฟ้า ตอบโจทย์สำหรับการเดินทาง

–        Fast charging USB ports: ช่องชาร์จเร็วทั้งหมด 3 ช่อง ที่บริเวณช่องเก็บของด้านซ้าย แบบพอร์ตคู่ Type A + Type C และอีกตำแหน่งแบบ Type A ที่บริเวณใต้หน้าจอแสดงผล

–        แฮนด์ปรับระดับได้ : แฮนด์สามารถปรับระดับได้ เพื่อซัพพอร์ตในทุกสรีระของผู้ขับขี่

–        ถังน้ำมันขนาดใหญ่จุใจ ถึง 16 ลิตร

–        เบาะนั่งขนาดใหญ่ สัมผัสนุ่ม นั่งสบาย ให้อารมณ์ระดับโซฟา

–        พื้นที่เก็บสัมภาระใต้เบาะขนาดใหญ่ สามารถใส่หมวกกันน็อคแบบ Full Face ไซส์ XXl ได้ถึง 2 ใบ

รุ่น 350E มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Light Grey, Dark Grey, Extra Black, และ Ruby Red

รุ่น 350D: สไตล์ City ที่เน้นความคล่องตัวและทันสมัย

ZONTES 350D เป็นรุ่นที่ออกแบบมาในสไตล์ City Use ด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวและให้ความคล่องตัวสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง โดยเฉพาะการขับขี่ในพื้นที่การจราจรติดขัด

–      ระบบส่องสว่าง Full LED: ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ 4 ดวง กับดีไซน์ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว พร้อมไฟท้ายดีไซน์แยกพาร์ท ซ้าย-ขวา

–      ชิลด์หน้าดีไซน์สปอร์ต สามารถปรับระดับขณะขับขี่ได้ ด้วยระบบไฟฟ้า

–      Fast charging USB ports: ช่องชาร์จเร็วบริเวณช่องเก็บของด้านซ้าย แบบพอร์ตคู่ Type A และ Type C

–      ถังน้ำมันขนาดใหญ่ 12 ลิตร

–      เบาะนั่งกว้างสัมผัสสบาย ดีไซน์สปอร์ตรับกับตัวรถ

–      พื้นที่เก็บสัมภาระใต้เบาะ สามารถเก็บหมวกกันน็อคแบบ Full Face ได้ถึง 1 ใบ

รุ่น 350D มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Green Turquoise, Light Grey, และ Extra Black

นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นเด็ดอีกเพียบที่จัดเต็มมาให้ ทั้งในรุ่น 350E และ 350D

–      ระบบเบรก Dual channel ABS : เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ด้วยระบบเบรก ABS ที่มีมาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน

–      เบรกหน้าแบบ Radial Mount พร้อมปั๊มเบรกแบรนด์ J.Juan สัญชาติสเปน

–    ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง: โช๊คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคและโช๊คอัพหลังแบบสปริง สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ 5 ระดับ ทำให้ผู้ขับขี่สามารถปรับการทำงานของโช๊คอัพให้เหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุกและสภาพถนนต่างๆ ได้

–      ระบบ TCS (Traction Control System) หรือระบบควบคุมการลื่นไถล ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่

–      ก้านเบรกสามารถปรับระดับได้ เพื่อรองรับกับทุกสรีระของผู้ขับขี่

–      ระบบมือเบรก (Brake handle with parking function) ช่วยป้องกันการลื่นไถล กรณีจอดรถชั่วคราวบนทางลาด และมีสัญญาณเตือนให้ กรณีลืมปลดล็อคมือเบรกขณะขับขี่

–      เสริมความปลอดภัยและป้องกันการโจรกรรม เมื่อดับเครื่องแล้วหักแฮนด์ไปทางด้านซ้าย ระบบจะทำการล็อคแฮนด์ให้อัตโนมัติ

–      ระบบตรวจวัดลมยาง : ระบบความปลอดภัยที่ใช้ชิปจากเยอรมนีในการตรวจวัดแรงดันลมยาง และตรวจวัดอุณหภูมิยาง ให้ความแม่นยำสูง เสริมความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่

–      พักเท้าผู้ซ้อนแบบกดเปิด : ใช้งานสะดวกสบาย เพียงกดเปิด หรือใช้เท้าสะกิดเบาๆ ก็สามารถเปิดได้อย่างง่ายดาย มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ซ้อน

–      ที่จับท้ายกันตก ทำจากวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยด์ ให้ความแข็งแรงทนทาน พร้อมยางรองด้านใต้ เพื่อสัมผัสที่จับกระชับมั่นใจให้กับผู้ซ้อน

เปิดราคาช็อกไพรส์ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง!

เพื่อเป็นการฉลองการเปิดตัว ZONTES ในประเทศไทย โดย บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอราคาช็อกไพรส์ที่หลายๆ คนคาดไม่ถึง กับราคาส่วนลดพิเศษช่วงเปิดตัวเท่านั้น!

รุ่น 350E: ราคาส่วนลดพิเศษที่ 149,000 บาท

(จากราคาปกติที่ 159,000 บาท รับ Voucher 10,000 บาทเป็นส่วนลดพิเศษในช่วงเปิดตัว!)

รุ่น 350D: ราคาส่วนลดพิเศษที่ 141,000 บาท

(จากราคาปกติที่ 149,000 บาท รับ Voucher 8,000 บาทเป็นส่วนลดพิเศษในช่วงเปิดตัว!)

ผู้ที่สนใจสามารถจองออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ booking.zontes.co.th เพื่อรับข้อเสนอพิเศษนี้

คุณกวิน ร่วมใจพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไดนามิค มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัวครั้งนี้ว่า เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอแบรนด์ ZONTES (ซอนเทส) กับการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพราะเราเล็งเห็นถึงความน่าสนใจในจุดเด่นที่แบรนด์มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล พร้อมการนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งการมาของซอนเทสในครั้งนี้  พร้อมกับโมเดลใหม่ถึง รุ่น สไตล์ สำหรับเป็นทางเลือกให้กับผู้ขับขี่ และทั้ง รุ่นนี้ เราเตรียมพร้อมสำหรับการวางจำหน่ายทันที หลังจากเปิดตัว โดยจะจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายในเครือข่ายของไดนามิคฯ  ที่ปัจจุบันมีแล้วกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ  พร้อมให้ความมั่นใจกับลูกค้า ด้วยการรับประกันเครื่องยนต์ ให้นานถึง ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร!

การมาของ ZONTES 350E และ 350D ในครั้งนี้ ต้องบอกว่าเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ด้วยคุณภาพของทั้งสองโมเดลและฟังก์ชันบวกกับเทคโนโลยีที่ให้มาชนิดที่ว่าอัดแน่นเกินราคาค่าตัว! ส่วนใครที่สนใจก็สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.zontes.co.th

“ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” ยกทัพ Honda CBR สู้ศึกเอเชีย โร้ด เรซซิ่ง สนาม 3 ญี่ปุ่น

ทัพนักบิด “ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์” พร้อมยอดรถแข่ง Honda CBR Series พร้อมเต็มร้อย นำทัพโดย “ชิพ-นครินทร์” หมายเลข 41 สังกัด “ฮอนด้า เอเชีย ดรีม เรซซิ่ง วิท แอสติโม” ที่ล่าสุดมีคะแนนสะสม 38 คะแนน รั้งท็อป 5 ของตารางแชมป์เปี้ยนชิพ และ “แชมป์-ภาสวิชญ์” หมายเลข 52 สังกัด “แอสติโม เอสไอ เรซซิ่ง วิท ไทยฮอนด้า” หมายเลข 52 มีคะแนนสะสม 12 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับที่ 12 ในรุ่นใหญ่ที่เร็วที่สุดของรายการอย่าง “เอเชีย ซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี” (ASB1000) ด้วยรถแข่ง Honda CBR1000RR-R และ “มิกซ์-ธนัช” หมายเลข 31 มี 35 คะแนน รั้งท็อป 4 คะแนนสะสมของเอเชีย และ “ไม้คิว-เกียรติศักดิ์” หมายเลข 85 ซึ่งมี 28 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 7 ของตารางใน “ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี” (SS600) ด้วยรถแข่ง Honda CBR600RR ในศึก FIM Asia Road Racing Championship 2024 สนามที่ 3 ที่สนามโมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน นี้

ทั้งนี้ โปรแกรมการแข่งขันศึก FIM Asia Road Racing Championship 2024 สนามที่ 3 โมบิลิตี้ รีสอร์ต โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น จะลงซ้อมในวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน นี้ และควอลิฟายเพื่อหาอันดับการออกสตาร์ตในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 8 จากนั้นดวลกันเรซที่ 1 ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก่อนจะมาปิดท้ายด้วยการแข่งขัน เรซที่ 2 ในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน นี้