2015 RM-Z450 อัพเกรดโช้คหน้าและโหมดช่วยสตาร์ท
สีเหลืองที่ทรงเสน่ห์ของรถวิบากเป็นภาพติดตามานานกับตระกูล RM สืบต่อความโดดเด่นมาเป็น RM-Z ในเวอร์ชั่น 4 จังหวะ สมรรถนะเพื่อการแข่งขันที่ไม่เป็นรองใคร เพียงแค่มันไม่ได้รับความสนใจที่จะปรับปรุงรูปโฉมที่ใช้มาหลายปีต่อเนื่อง สำหรับปี 2015 RM-Z450 ก็ยังคงเส้นสายโครงร่างหลักๆ ไว้อย่างเดิม จัดเพิ่มเข้ามาด้วยเทคโนโลยีของระบบกันสะเทือน ระบบช่วยสตาร์ท เครื่องยนต์เก็บรายละเอียดใหม่และได้แก้ไขเฟรมเพื่อการขับขี่ที่ดีมากยิ่งขึ้น
เป็นรถโมโตครอสที่มีความโดดเด่นในตัวเองอยู่หลายอย่าง แต่การพัฒนาที่ดูจะเชื่องช้าและรูปร่างหน้าตาที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนแก้เลี่ยนกันบ้างเลยนี่ทำให้ RM-Z เป็นรถที่ดูชินตา (แม้ว่าจริงๆ แล้วจะยังไม่เชย) แต่ความน่าสนใจจากรูปลักษณ์ภายนอกนั้นต้องยอมรับว่าขาดความน่าสนใจน่าค้นหาไปพอสมควร ทั้งที่ในความจริงแล้วได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในสองส่วนหลักคือระบบโครงสร้างกันสะเทือนและระบบเครื่องยนต์มาอย่างต่อเนื่องโดยนักแข่งระดับโลกทั้งทางฝั่งอเมริกา ยุโรป หรือแม้แต่ญี่ปุ่นเอง ทำให้สมรรถนะความแรงและระบบรองรับของ RM-Z ไม่เป็นสองรองใครยังเกาะกระแสได้แบบเท่าทัน ที่เหลือยังขัดตากันแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น




เรื่องใหญ่ในระบบแชสซี
ข้ามเรื่องหน้าตากันไปได้เลยสำหรับ RM-Z450 ปี 2015 ว่ากันที่รายละเอียดล้วนๆ ด้วยการปรับปรุงเฟรมเสียใหม่เป้าหมายให้การควบคุมโดยเฉพาะการเลี้ยวที่ดีอยู่แล้ว ดียิ่งขึ้นไปอีกกับการปรับมุมของเฟรมให้รับกับการเอียงรถเพื่อเลี้ยวทุกองศา แข็งแกร่งขึ้นแต่ลดน้ำหนักลงได้ 4% ทว่ามีอีกส่วนที่น่าสนใจกว่าก็คือกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับที่ถึงเวลาจัดวางเทคโนโลยีให้เท่าทัน KXF และ CRF ซึ่งล้ำหน้าไปก่อนแล้วกับระบบโช้คหน้าที่ใช้อากาศแทนสปริง สำหรับ RM-Z450 เป็นผลงานของ Showa SFF AIR FORK ขนาด 49 ซีซี ที่ซับซ้อนด้วยวาล์วอากาศถึง 3 จุด (ในโช้คด้านขวา) สำหรับห้องอัดอากาศ 3 ห้อง เพื่อการปรับความแข็งอ่อนแทนการทำงานของสปริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังต้องเรียนรู้เพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบข้อดีของการใช้อากาศแทนสปริงก็คือน้ำหนักที่เบากว่า ปรับค่าการทำงานโดยไม่ต้องถอดชิ้นส่วนให้ยุ่งยาก
ทีเด็ดในระบบเครื่องยนต์
ดูเหมือนไม่มีมากมายแต่ก็มีการแจ้งรายละเอียดเรื่องการปรับปรุงมาหลายจุดเหมือนกัน เริ่มจากการแก้ไขเฟืองเกียร์ต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับระบบลดกำลังอัดขณะสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อช่วยลดความยุ่งยากของการถีบคันสตาร์ทยาวๆ ให้เครื่องยนต์ติดได้ง่ายขึ้น ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำออกแบบข้อต่อท่อทางเดินน้ำหล่อเย็นที่วางหลังแผงหม้อน้ำด้านขวาจากทรงตัวที T ให้เป็นทรงตัววาย Y เพื่อการหมุนเวียนถ่ายเทของน้ำระหว่างแผงระบายความร้อนทั้งสองได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแก้ไขรูปทรงของฝาครอบปั๊มน้ำด้วย ลึกเข้าไปในชุดเกียร์ได้มีการแก้ไขลูกเบี้ยวสำหรับเปลี่ยนเกียร์ให้ทำงานได้ราบรื่น เปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลยิ่งขึ้น ส่วนความแรงของเครื่องยนต์แบบสำเร็จรูปก็ยังคงมีให้เลือกถึง 3 แบบจากคัปเลอร์ที่ใช้มาตลอด สิ่งใหม่ในปีนี้สำหรับ RM-Z450 ก็คือระบบช่วยในการออกสตาร์ท ซูซูกิเรียกระบบนี้ของตัวเองว่า Suzuki Holeshot Assist Control (S-HAC) โดยจะมีลูกเล่นให้เลือกถึง 3 โหมดสำหรับการออกสตาร์ทในพื้น 3 แบบ ด้วยการกดปุ่มที่สวิทช์บนแฮนด์ด้านซ้ายเพียงปุ่มเดียว ขอบคุณเสี่ยต่อเจ้าของรถที่อนุญาตให้ทีมงานของเราได้ถ่ายทำกันอย่างเต็มที่ ขอบคุณพี่น้อยบ้านข้าวสารสำหรับสนามในการถ่ายทำและการต้อนรับที่ประทับใจเสมอ ขอบคุณชุดนักทดสอบจากร้านเดิร์ทช็อพ แล้วพบกันใหม่กับการรีวิวรถวิบากสไตล์ไรดิ้งแมกกาซีน สาระเพื่อความสะใจในฉบับหน้า
ข้อมูลเทคนิค 2015 RM-Z450
เครื่องยนต์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ,
4 จังหวะสูบเดียว DOHC 4 วาล์ว
ปริมาตรกระบอกสูบ 449cc
ลูกสูบ x ระยะชัก 96.0 x 62.1 มม.
ระบบเชื้อเพลิง หัวฉีด
อัตราส่วนการอัด 12.5:1
ระบบจุดระเบิด CDI
ระบบส่งกำลัง เกียร์ 5 สปีด คลัทช์แบบหลายแผ่น
ระบบขับเคลื่อน โซ่ 520
โช้คหน้า หัวกลับ SHOWA SFF AIR FORK
โช้คหลัง โช้คเดี่ยวพร้อมกระเดื่อง ปรับได้เต็มรูปแบบ
ยางหน้า 80/100-21
ยางหลัง 110/90-19
เบรกหน้า ดิสก์เบรกคาลิเปอร์ลูกสูบคู่
เบรกหลัง ดิสก์เบรกคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว
ยาว 2,190 มม.
กว้าง 830 มม.
สูง 1,270 มม.
ฐานล้อ 1,495 มม.
สูงจากพื้น 325 มม.
สูงถึงเบาะ 955 มม.
น้ำหนัก 112 กก.
ถังน้ำมันจุ 6.2 ลิตร

ความเห็นนักทดสอบ
“มิติตัวรถของ 450F สมัยนี้แทบไม่ต่างจาก 250F สักเท่าไร การควบคุมผมว่าเป็นรถที่เลี้ยวได้นิ่งมากนะครับ ทั้งบนพื้นราบและการเลี้ยวในแบงค์ ทรงตัวได้ดี เก็บมุมเลี้ยวได้แคบครับ ยิ่งการเลี้ยวแบงค์นี่แทบจะไม่เหลือความเทอะทะในบอดี้นี้เอาไว้เลย โช้คอัพหน้าตัวใหม่ SFF AIR FORK นี่ผมว่าก็มาคาแรคเตอร์เดียวกันกับโช้คที่ใช้อากาศแทนสปริงของทุกรุ่น คือแข็งค่อนไปทางกระด้าง เดิมๆ มานี่ไม่ต้องถามหาเรื่องการเก็บรายละเอียดแบบว่าเล็กๆ น้อยๆ แต่จะดีมากๆ กับการรับแรงกด กระแทกจากการโดดสูงๆ หรือชนหน้าเนินแรงๆ มันหนึบและแน่นแบบไม่ต้องกังวลอะไรเลย โช้คหลังทำงานได้สัมพันธ์ครับ จะรู้สึกถึงความนุ่มนวลได้มากกว่าแม้ว่าจะขี่ได้ไม่เร็วจากสภาพสนามที่บังคับอยู่แต่ก็นุ่มหนึบและมั่นคงครับ ระบบหัวฉีดที่ได้รับการพัฒนามาจนสมบูรณ์มันทำให้การควบคุมคันเร่งง่ายดาย อารมณ์ดุเดือดของเค้าจริงๆ นี่จะมาในรอบกลางถึงกลายอยู่แล้วในรถขนาดนี้ แต่ว่าในรอบต่ำก็มีแรงบิดให้ใช้ได้ไม่ขาดตอน เป็นรถที่ขี่ไม่ยากในการควบคุมกำลังของมัน บวกกับการทรงตัวที่ผมว่ามันนิ่งมันแน่นแล้วเนี่ย มันทำให้เป็นรถที่ขี่ง่าย มั่นใจที่จะขี่ครับ ระบบ S-HAC ช่วยในการออกตัวทำงานได้อย่างน่าประทับใจนะครับ ใช้งานได้ง่ายด้วยวิธีเดียวกันกับค่ายอื่นๆ เสียดายที่ก่อนไปไม่มีเวลาค้นข้อมูลว่ามีโหมดให้เลือกด้วย แต่เท่าที่ลองดูแล้วเปรียบเทียบระหว่างการเปิดใช้กับไม่ได้เปิดใช้แล้วมันแตกต่างกันชัดมาก โดยเฉพาะการออกสตาร์ทด้วยรอบเครื่องแบบล้นๆ มันทำให้ความแรงขนาด 450 ซีซี ปั่นฟรีลงพื้นนั้นคุมง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องกังวลหน้าจะยกท้ายจะดิ้น อร่อยเต็มคันเร่งกันไปเลยครับ”
เอ.พี.ฮอนด้า คว้ารางวัล Asia Responsible Entrepreneurship Awards 2016
คุณจุฑามาศ อินปริงกานันท์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจเพื่อสังคม ส่วนงานการสื่อสารผู้จำหน่าย บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย รับมอบรางวัล Asia Responsible Entrepreneurship Awards (AREA) 2016 สาขา Health Promotion จากสถาบัน Enterprise Asia ในฐานะองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิตในประเทศไทยอย่างครบวงจรและต่อเนื่อง โดยมีตันศรี ดร.ฟง ฉาน ออน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ ประเทศมาเลเซีย ให้เกียรติเป็นผู้มอบ ณ รีสอร์ตเวิลด์ เซนโตซ่า ประเทศสิงค์โปร์ เมื่อเร็วๆนี้
Riding Magaze February 2014 Vol.19 No.221
Ducati Diavel Carbon Red
การปรับเปลี่ยนของยุคใหม่ๆ ที่มีเทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่ล้ำนำสมัย ไม่ว่าจะในเรื่องของสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ช่วยให้การขับขี่สนุกสนานเร้าใจ และยังมีดีออกแบบดีไซน์ที่โดดเด่น ในการดึงดูดความสนในของผู้ที่ชื่นชอบในความสวยงาม
ค่ายความแรงจากแดนมะกาโรนีรถแต่ละคันต่างก็มีเอกลักษณ์ เรียกได้ว่าความสวย ความเท่ห์ และความเร้าใจของรถจักรยานยนต์ Ducati มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนา จากรถสไตล์คลาสสิค สปอร์ต เน็คเก็ด ทัวร์ริ่ง มาจนถึง DAIVEL ซึ่งเป็นรถที่มีการดีไซน์แปลกตาไปจากสปอร์ตทั่วไปDucati Diavel Carbon Red รุ่นใหญ่ในระดับพี่บิ๊กของรถจักรยานยนต์สไตล์เน็กเก็ด เป็นที่หลงใหลของนักบิดอีกหลายๆ คน กับเจ้าเน็กเก็ดบิ๊กบึ้ม Diavel กับรูปร่างน่าตาที่ดุดันตั้งแต่ด้านหน้าปีกข้างที่มีช่องแอร์โร่ฟิลสำหรับการดักลมระบายความร้อน การนำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้เพิ่มความเท่ และมาพร้อมกับออพชั่นตั้งแต่ภายนอกยันไปถึงภายใน
ปรับเปลี่ยนกันตั้งแต่สรีระท่านั่งให้ความสบายกับเบาะที่ใหญ่และปาดเว้าลึกให้ต่ำลงมาเหยียดเท้าไปง่าย พร้อมกับแผงเรือนไมล์จอแ LCD อ่านค่าแบบ ดิจิตอลแฮนด์อลูมินัม ที่มีดีไซน์โดดเด่นยกสูงขึ้นมา ชุดปั๊มแรงดันดิสก์เบรกแท้งของดูคาติแต่ใช้ก้านแต่งของ rizoma ปลอกแฮนด์แบบสปอร์ต กระจกมองข้างติดตั้งที่ปลายแฮนด์ โช้คอัพหน้าหัวกลับ Upside Dowm แกนโคสติ้ง ทวินดิสก์เบรกหน้า คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ brembo เรเดียลเม้าท์ วงล้อแม็กอลูมินัมแบบสปอร์ต ช่วงหลังสวิงอาร์มเดี่ยวและเพิ่มความนิ่มนวลด้วย ระบบซับเพนชั่นหลังเดี่ยวที่ซ่อนจุดยึดอยู่ด้านใต้วางแนวนอน ไฟท้ายและไปเลี้ยวแยกส่วนและเครื่องยนต์ 1200 ซีซี 4 จังหวะ 2 สูบ แบบ L-Twinเสริมสมรรถนะความดุดันให้ขี่มันยิ่งขึ้นกับชุดท่อไอเสีย 2-1-2 ปลายเคฟล่าร์ TERMIGNONI เรียกได้ว่าหล่อแบบสุดๆ กับพี่ใหญ่
TORNADO TNT25 STYLE UP. RIDE DESIGN.
ออกมาตอกย้ำและสะเทือนวงการอีกครั้งกับรถจักรยานยนต์ค่ายน้องใหม่ Benelli เจ้าแห่งรถเปลือยมาแรงส่งโมเดลใหม่ TNT25 เน็คเก็ดสปอร์ต ลุยสำหรับการใช้งานที่คล่องตัวในเมือง กับรูปลักษณ์ใหม่พร้อมออพชั่นสุดเท่ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับรถสไตล์เน็คเก็ดไบค์ ในรุ่น 600 ซีซีและ 300 ซีซี ล่าสุดเผยโฉมใหม่น้องเล็กตระกูล TNT Series ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Benelli กับโมเดลรถเปลือยที่เน้นการใช้งานที่คล่องตัวสีสันโดดเด่น
เน้นสมรรถนะการขับขี่เร้าใจ ตอบสนองฉับไว เร่งติดมือ
TNT25 ใหม่ล่าสุดมาพร้อมกับ เฟรมแบบไดมอนสตีลเหล็กกลมเชื่อมสไตล์อิตาลีที่ช่วยกระจายแรงบิดทรงเลขาคณิต เครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 249 ซีซี แบบสูบเดียว 4 จังหวะ 4 วาล์ว DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด EFI โดยอ่านค่าด้วยกล่อง ECU เพื่อความแม่นยำให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ระบบคลัทช์เปียกแบบมัลติเพลทหลายแผ่นเรียงซ้อนกัน เพื่อความนิ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ กำลังอัด 11.2:1 ให้แรงบิดสูงสุด 21 นิวตัน-เมตร ที่ 7,500รอบ/นาที พร้อมกับความเร้าใจด้วยชุดเกียร์ 6 สปีดปราดเปรียว โฉบเฉี่ยว คล่องตัว ควบคุมง่ายจุดแข็งที่ทำให้ Benelli สามารถขึ้นมาได้รับความนิยมก็คือความเป็นเน็คเก็ดพันธุ์แท้ ท่านั่งที่ดูสมาร์ท ยืดอกหลังตรง เบาะปาดแต่งขอบให้นั่งได้แนบสนิท ควบคุมบังคับด้วยแฮนด์บาร์ พักเท้าสปอร์ตเกียร์โยง ช่วงหน้าโช้คหัวกลับ Up Sidedown แกน 41 มม. ซึ่ง Benelli เป็นค่ายรถจักรยายนต์เดียวที่เสริมสมรรถนะด้วยโช้คหัวกลับในรถที่มีซีซีต่ำกว่า 600 ซีซี วงล้อแม็กอลูมินัมที่มีหน้ากว้างบีบเบ่งให้ยางขนาดใหญ่หน้า 110/70-17 หลัง 140/70-17 โช้คอัพหลังเดี่ยวขยับปรับตำแหน่งเข้าสู่จุดศูนย์กลางของตัวรถเพื่อให้การทรงตัวที่เป็นเยี่ยม
รูปลักษณ์โดดเด่น เน็คเก็ดสปอร์ต
ตระกูล TNT SERIESสีสันเป็นอีกจุดที่สามารถดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี สีแดง โดดเด่นสะดุดตา ไฟหน้าไดมอนเชฟส่องสว่างด้วยหลอดไฮโดรเจนคู่ เรือนไมล์ดิจิตอล พร้อมฟังก์ชั่นบอกเลขระยะทาง ความเร็ว ระดับน้ำมัน และที่สำคัญมีไฟบอกตำแหน่งเกียร์มาให้ด้วย ส่วนความเร็วต่อรอบแบบอะนาล็อค ชุดครอบถังน้ำมันวัสดุ ABS ที่มีความเหนียวทนทาน ด้านล่างเคราริ่งอันเดอร์เอ็นจิ้นเสริมเพื่อความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น บั้นท้ายก็สปอร์ตมีมือจับที่ดีไซน์เข้ารับกับมุมเหลี่ยมของช่วงท้ายดูแล้วกลมกลืน ไฟท้ายให้ความรู้สึกปราดเปรียว ส่องสว่างเห็นชัดด้วยหลอดไฟ LED
ความคิดเห็นนักทดสอบ
ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายสำหรับ TNT25 ใหม่รุ่นนี้ และเชื่อว่าหลายๆ คน ที่เห็นครั้งแรกคงคิดเหมือนกัน มันจะแรงรึเปล่า การทรงตัวดีจะนิ่งไหม…ผมมีคำตอบให้รูปทรงถ้ามองเผินๆ ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับตัว TNT300 กับไฟหน้า แต่มองลึกๆ เข้าไปจะเห็นถึงความแตกต่าง ด้วยการใช้เฟรมที่เปลี่ยนจุดยึดเครื่องใหม่ ตำแหน่งของโช้คอัพหลังที่ไปอยู่กึ่งกลางแทน ความโฉบเฉี่ยวที่กะทัดรัดมากขึ้น มีการเสริมเคราริ่งอันเดอร์เอ็นจิ้นดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น สมรรถนะของเครื่องยนต์ยังลังเลก่อนที่จะได้สัมผัสจริงๆ จังๆ การได้คร่อมครั้งแรก รู้สึกว่ามันกระชับเพรียว ไม่สูงมากจนเกินไป แฮนด์จับได้ถนัดมือไม่กว้างมากจนเกินไป ทำให้การเลี้ยวที่ง่ายและคล่องเมื่อต้องการซิกแซก สำหรับเครื่องยนต์ในช่วงต้นๆ จะค่อนข้างมาเร็วและหมดเร็ว แต่ตั้งแต่เกียร์ 4-6 จะสามารถลากได้ยาวๆ เลยและกำลังของเครื่องยนต์ที่มรอบส่งได้อย่างต่อเนื่องถึงแม้จะท็อปสปีดได้ถึง 147 กม./ชม. เครื่องยนต์ยังไม่มีอาการตึงหรือส่งเสียงลั่นเหมือนต้องการที่จะไปต่อได้อีก การทรงตัวในโค้งความเร็ว ตรงนรี้ด้วยจุดด้อยของ Benelli ที่มีน้ำหนักที่มากกว่าค่ายอื่น แต่กลับเป็นจุดเด่นที่ทำให้รถนิ่งเมื่อมีความเร็วอยู่ในโค้ง รวมไปถึงวงล้อแม็กที่มีหน้ากว้างทำให้หน้ายางสัมผัสพื้นถนนได้เต็มจึงสามารถเลี้ยวได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ความนิ่มนวลการเลี้ยวทั้งโค้งแคบและโค้งกว้างกับโช้คอัพหลังที่ปรับตำแหน่งมาอยู่กึ่งกลางช่วยลดอาการแกว่งหรือย้วยไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนโช้คอัพหน้า ที่เป็นแบบหัวกลับช่วยซึมซัแรงกระแทกบนพื้นขรุขระและหลุม เท่าที่ได้สัมผัสแล้วยังไม่เจออาการแกว่งหรือส่ายจนเสียการทรงตัว ระบบเบรก ดิสก์หน้าเดี่ยวคาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่กับจานดิสก์ขนาดใหญ่ให้การตอบสนองที่ฉับไวทั้งการชะลอหรือหยุดกะทันหัน และส่วนที่ติดตั้งมาเพื่อการใช้งานที่สะดวกอย่างเรือนไมล์ ที่มีฟังก์ชั่นครบครันไม่ต่างกับซูเปอร์ไบค์รุ่นใหญ่ สวิตช์การทำงานของไฟเลี้ยวและสตาร์ทก็อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้ง่าย ต้องเลยบอกเลยอย่ามองแต่เพียงภายนอกหรือตัดสินใจแค่แบรนด์ ถ้าได้สัมผัสแล้วคุณอาจจะชอบหรือลืมค่ายอื่นไปเลย กับของดีราคาไม่แพง
Yamaha MT-03 The Dark knight Of Street
วงการรถจักรยานยนต์กลับมาคึกคักอย่างรวดเร็วเมื่อรถสายพันธุ์สปอร์ตได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เพียงสไตล์สปอร์ตเพียงอย่างเดียวยังพาเพื่อนคู่หูมาด้วยกับความเท่ คมเข้ม ดุดัน ด้วยสไตล์ของรถเปลือย เน็คเก็ดไบค์Yamaha MT-03 TheDark knight Of Street อีกหนึ่งในตระกูล MT Series รถสไตล์เน็คเก็ดสปอร์ต “อัศวินแห่งรัตติกาล สัญชาตญาณตระกูล MT ซีรี่ส์”ที่แฝงความเร้าใจด้วยเครื่องยนต์สปอร์ต ซึ่งเป็นแฝดคนละฝากับ YZF-R3 ด้วยสัดส่วนที่พอเหมาะกำลังดี มาพร้อมกับสมรรถนะความแรงเหนือระดับจากสนามแข่ง รูปลักษณ์สปอร์ตถอดเปลือกเปลือยโชว์เทคโนโลยี ดูบึกบึ้น แข็งแกร่ง ท่วงท่านั่งที่สมาร์ท หลังตรง หน้าเชิด และการควบคุมที่คล่องตัว
MT-03 The Dark knight Of Street จะใช้เฟรมแบบไดมอนด์ที่มีน้ำหนักเบาขณะที่ยังรักษาความสมดุลของความแข็งแรงทนทานไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม การปรับเปลี่ยนตำแหน่งของแฮนด์ที่ใช้แผงคอแบบตุ๊กตาจับยึดกับแฮนด์เดิ้ลบาร์ ที่ไม่กว้างมากนัก เพื่อการควบคุมบังคับที่เบาแรงและไม่ทิ้งน้ำหนักลงข้างหน้ามากเหมือนกับสปอร์ต ไฟหน้าโคมเดี่ยวหลอดไฮโลเจน (H4) ส่องสว่างมองได้ชัดเจนพร้อมไฟเดย์ไลท์ ชุดเรือนไมล์แบบมัลติฟังก์ชั่น ทางด้านซ้ายจะเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์แบบอะนาล็อค และทางด้านขวาจะเป็นมาตรความเร็วดิจิตอล ตรงกลางจะเป็นหลอดไฟเตือนจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของรุ่น YZF-R1 และ YZR-M1เครื่องยนต์ ขนาดปริมาตร 321 ซีซี 2 สูบ 4 วาล์วต่อสูบ ถ่ายทอดแรงม้าออกมาได้สูงถึง 42 แรงม้า ถือว่ามากสุดในรถพิกัด 300 ซีซี ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด กระบอกสูบ DiASil ที่เป็นอลูมินัมหล่อขึ้นรูประบายความร้อนเป็นเยี่ยม และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องให้ใช้ได้นาน เพลาลูกเบี้ยวแบบขับทางตรง DOHC ที่ให้ความสมดุลคงที่ในระยะหมุนรอบต่อนาทีในระดับอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงข้อเหวี่ยงที่ให้ความสมดุลเต็มสมรรถนะทุกช่วงความเร็ว กับเครื่องยนต์แบบ 2 สูบ ก้านสูบชุบคาร์บอน โดยวิธีการผ่านกระบวนความร้อนเคลือบคาร์บอนที่ผิวโลหะเพิ่มความแข็งแรงในการใช้งาน ซึ่งมันเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับสุดยอดซูเปอรไบค์ YZF-R1
ระบบระบายความร้อนถูกออกแบบมาไม่ซับซ้อนโดยวางท่อในทิศทางระบายความร้อนให้น้อยที่สุด ลดจำนวนท่อแต่ใช้ปั๊มน้ำในฝาครอบห้องข้อเหวี่ยงทำให้ตำแหน่งเทอร์โมสตัทเป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุด ระบบเบรก จัดมาให้เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจมากยิ่งขึ้น ด้วยระบบเบรก ABS หน้าหลัง ดิสก์หน้าเบรกคาลิเปอร์แบบลูกสูบคู่พร้อมกับจานดิสก์ที่มีโฟล์ทติ้งแบบให้ตัวได้ วงล้อแม็กอลูมินัม 17 นิ้ว หน้าหลัง รัดมากับยางหน้ากว้างให้การยึดกะพื้นถนนได้เป็นเยี่ยม กระบอกโช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค แกน 41 มม. แผงคอแบบตุ๊กตายึดกับแฮนด์เดิ้ลบาร์ พักเท้าดีไซน์สปอร์ตให้ท่วงท่าการนั่งกระชับคล่องตัว โช้คอัพหลังเดี่ยว ดิสก์เบรกหลังลูกสูบเดี่ยวด้วยสไตล์ของรถเน็คเก็ดไบค์ แบบ X-Movement ที่เน้นการขับขี่ที่สะดวกคล่องตัว เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมือง การตอบสนองความต้องการที่จะเดินคันเร่งเพื่อแซงหรือทำความเร็วสามารถสั่งได้ ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ที่มีความจัดจ้าน และท่วงท่านั่งควบคุมที่เสมือนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ คันเร่งที่เบามือ ระบบคลัทช์ที่ใช้งานได้อย่างรวดเร็วตอบสนองทันใจ เรือนไมล์อ่านค่าได้ง่าย บอกตำแหน่งเกียร์ และจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่รอบสูงทำให้กำลังรอบของเครื่องยนต์ทำงานได้อย่างสมดุล สำหรับการขับขี่เดินทางไกลอาจจะติดขัดในเรื่องแรงลมที่เข้ามาปะทะโดยตรงกับผู้ขับขี่ ด้วยการเปลือยโล่งของตัวรถทำให้ผู้ขับขี่ต้องเกร็งแขนเพื่อโต้แรงลมด้วยความเร็วที่สูงถึงจะเป็นรถจักรยานยนต์สไตล์เน็คเก็ดแต่สมรรถนะเครื่องยนต์เป็นแบบสปอร์ตทำให้การขับขี่เร้าใจ
เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 2 สูบแถวเรียง DOHC 4 วาล์ว/สูบ
qq ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ 321 ซีซี
อัตราส่วนกำลังอัด 11.2 : 1
กระบอกสูบ x ระยะชัก 68.0 x 44.1 มม.
ระบบหล่อลื่น แบบเปียก
ระบบจ่ายน้ำมัน ระบบหัวฉีด
ระบบจุดระเบิด T.C.I.
ระบบคลัตช์ แบบเปียก ชนิดหลายแผ่น
ระบบเกียร์ แบบเฟืองขบกันคงที่ 6 ระดับ (แฮนด์คลัทช์)
ระบบสตาร์ท สตาร์ทไฟฟ้า
น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันแก๊สโซฮอล์ค่าออกเทน 91 ขึ้นไป หรือ E20
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 14 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง 1.8 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง 0.94 ลิตร
ความจุหม้อน้ำ 2.1 ลิตร (มีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง)
ความจุถังพักหม้อน้ำ 0.25 ลิตร
หัวเทียน เอ็น.จี.เค / ซี.อาร์.8 อี. (NGK / CR8E)
โครงรถ
ชนิดของโครงรถ แบบไดมอน
มุมคาสเตอร์/ระยะเทล 25? / 95 มม.
กว้าง x ยาว x สูง 745 x 2,090 x 1,035 มม.
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 780 มม.
ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่อง 160 มม.
ช่วงศูนย์กลางระหว่างล้อ 1,380 มม.
น้ำหนักรวม(น้ำมันเครื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิง) 169 ก.ก.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 2,700 มม.
ระบบกันสะเทือน
หน้า เทเลสโกปิค
หลัง สวิงอาร์ม
ระบบเบรก
หน้า – หลัง ดิสก์เบรก แบบ ABS ( Anti-lock Brake System )
ยางหน้า 110/70-17M/C (54S)
หลัง 140/70-17M/C (66S)
หน้า-หลัง ล้อแม็ก
ระบบไฟ
ไฟหน้า 12 โวลท์ H4 / 60 / 55 วัตต์
แบตเตอรี่ 12 V, 7 Ah / GTZ8V (MF)
RC390 จงลืมสปอร์ตเล็กทุกรุ่นที่เคยขี่มา ถ้าคิดจะขี่มัน
ตลาดรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ได้ส่งผลดีเฉพาะกลุ่มไบค์ที่เป็น “บิ๊ก” จริงๆ เท่านั้น แต่มันยังเป็นการปลุกความนิยมของรถสไตล์เรซซิ่งสปอร์ตทุกพิกัดให้กลับมาคึกคักตามไปด้วย แน่นอนว่าก่อนจะไต่ระดับการขับขี่ถึงรถซีซีสูงอย่างบิ๊กไบค์ กลุ่มผู้ใช้รถเล็กย่อมต้องการบันไดในการไต่ระดับจากความแรงระดับเริ่มต้นที่จะต่อยอดจากพิกัด 250 ซีซี ที่ติดเพดานรถเมืองไทยมานาน เรากำลังพูดถึงรถสปอร์ตในพิกัด 300 ซีซี ที่มีการผลิตจำหน่ายแทบจะครบค่ายบิ๊กแดนซามูไร แต่ครั้งนี้เราขอนอกใจมาลองของดีเมืองฝรั่งกับสปอร์ตซีซีล้นบนมิติล้ำ RC390
เปิดตัวจำหน่ายให้วาดลวดลายบนถนนเมืองไทยไปหลายเดือนแล้วกับ RC390 แต่กับการแข่งขันมันกลับกลายเป็นประเด็นให้ถกในวงประชุมว่า ด้วยซีซีเครื่องยนต์ที่ให้มาล้นเกินหน้าพรรคพวกเขาขนาดนี้จะเอามันไปแข่งกับใครดี ถ้าตีเกินมันคือรถ 400 ซีซี แต่มันก็ยังมีเลข 3 นำหน้า แถมมาด้วยเครื่องยนต์สูบเดียวที่อาจจะเสียเปรียบสูบคู่ในบางมิติ ก็ว่ากันไปกับเรื่องการแข่งขันในสนาม ส่วนเรื่องการใช้งานทั่วไปไม่ใช่ปัญหา เพราะมันคือรถสปอร์ตที่สามารถจดทะเบียนได้อย่างถูกกฎหมายใครๆ ก็สามารถนำมันมาขับขี่ใช้งานบนท้องถนนได้ปกติ…จริงมั๊ย หลังการทดสอบนี้บอกตรงๆ ว่าทีมงานของเราชักลังเลว่ามันเหมาะกับการขี่บนถนนจริงๆ หรือ เพราะอะไรมาติดตามกันได้เลยครับ






375 ซีซี 43 แรงม้า
เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะสูบเดียว 4 วาล์วกับระบบขับวาล์วที่เคทีเอ็มเรียกว่า “ทวิน โอเวอร์เฮด แคมชาฟท์” ปริมาตรประบอกสูบจริงๆเพียงแค่ 375 ซีซี ในบอดี้เครื่องยนต์ที่กระทัดรัดและหนักเพียง 36 กก.เท่านั้น มีการติดตั้งบาลานเซอร์กันสั่นให้กับเครื่องยนต์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ สตาร์ทไฟฟ้าอย่างเดียวไม่มีทางเลือกอื่น ใช้ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงในการจัดระเบียบไอดี
เฟรมส้มสื่อความแสบ
โชว์ความเป็นเอกลักษณ์ด้วยเฟรมเหล็กถักเคลือบด้วยสีประจำค่าย นอกจากเรื่องน้ำหนักและความแข็งแรงแล้วในส่วนองศาคอของเฟรมตัวนี้ยังตั้งใจให้ RC390 มีความสั้นกระชับ ทั้งในส่วนมุมเลี้ยว ระยะห่างฐานล้อ และความสูงจากพื้นถึงตัวรถ หวังผลเลิศในการตอบสนองการบังคับเลี้ยวที่ฉับไว ร่วมกับแผงคออลูมินัมที่วางตำแหน่งแฮนด์ “เสียบ” ไว้กับแผงคอบน โช้คหน้าหัวกลับจัดเต็มด้วยขนาดเดียวกับซูเปอร์ไบค์ร่วมค่ายคือ 43 มม. ส่วนด้านท้ายเป็นสวิงอาร์มอัลลอยน้ำหนักเบาทรงไม่แปลกตาแต่ลวดลายด้านข้างชวนแปลกใจ ทำงานกับโช้คหลังเดี่ยวไม่ใช้กระเดื่องด้วยความมั่นใจในการปรับเซ็ตของโช้คที่
การันตีเรื่องการทรงตัวที่ดีมาจากโรงงาน ทั้งหน้าและหลังเป็นงานจากค่าย WP ระบบเบรกเป็นดิสก์ทั้งหน้าและหลังติดตั้งระบบ ABS มาให้พร้อม ซึ่งฟังก์ชั่น ABS นี้ผู้ใช้สามารถสั่งให้ทำงานหรือไม่ก็ได้ เน้นประสิทธิภาพด้วยคาลิเปอร์ 4 ลูกสูบที่ล้อหน้า ล้อแม็ก 17 นิ้วหน้าและหลังพร้อมกับยางขนาดใหญ่พิเศษในสเป็คแก้มเตี้ยรองรับการขี่ในสนามได้อย่างตั้งใจ
ดีไซน์หลุดกรอบ
การออกแบบรูปทรงภายนอกตั้งใจให้สัมพันธ์กับตำแหน่งท่านั่งโดยตรง ไม่ใช่แค่ให้เหมือนแต่ยังเป็นตำแหน่งเดียวกับรถแข่ง ทั้งแฮนด์และพักเท้าที่จะทำให้เจ้าของนำรถเดิมๆ ถอยห้างไปพลิ้วในสนามจนเข่าเช็ดพื้นโดยไม่ต้องปรับอะไรเลย เกือบจะดูไม่น่าสนใจถ้าไม่พิจารณาก็คือเบาะที่มาพร้อมไอเดียการสร้างเบาะหลังให้เป็นส่วนท้ายสไตล์รถแข่งแบบไม่ต้องดัดแปลงหรือถอดย้ายอะไรเลย ตั้งแต่ส่วนของเบาะที่ต่อกับถังน้ำมันไปยันปลายแหลมของตูดมดเป็นวัสดุที่ทำจากฟองน้ำให้มีความนุ่มนวลเมื่อนั่งลงไป แปลกใหม่ถูกใจสายเซอร์กิตที่บางเวลาต้องดูแลคนรู้ใจแบบใกล้ชิด
รถถนนรถแข่งแบ่งกันได้
ถึงหน้าตาและส่วนควบคุมหลายอย่างจะเน้นไปทางรถสนาม แต่หลายส่วนการใช้งานยังเผื่อสำหรับความสะดวกสบายบนท้องถนนมาด้วย เช่นการติดตั้งพักเท้าผู้ซ้อนท้าย เรือนไมล์ดิจิตอล LCD ขนานแท้ไม่มีเข็มให้ดู แสดงและแจ้งการปรับตั้งทุกอย่างในที่เดียว มีชิพท์ไลท์เตือนเปลี่ยนเกียร์ด้วยไฟสีแดงแบบรถแข่ง ไฟหน้าและไฟท้ายดีไซน์ล้ำยุค กระจกมองข้างทรงแอโร่ลู่ลมพร้อมไฟเลี้ยว รับกับแฟริ่งและวินด์ชิลด์ที่ออกจะมีเหลี่ยมสันมากไปนิดแต่บิดไม่ต้านลมแน่นอน


ขุนศึก 3 สนาม
ทีมงานไรดิ้งเราได้มีโอกาสสัมผัสกับ RC390 ถึง 3 ครั้งกับการขับขี่ 3 สนาม 3 รูปแบบที่แตกต่าง โดยได้รับการสมยอมจากเจ้าของรถใจดี เอกราช สัตยธาดากูล มือใหม่สายหมอบที่มีเหตุผลส่วนตัวในการเลือกและตัดสินใจครอบครองรถคันนี้ ขอบคุณสนามแข่งรถโบนันซ่าสปีดเวย์ สนามแข่งรถไทยแลนด์เซอร์กิต สนามแข่งรถแก่งกระจานเซอร์กิต ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำ และเครื่องดื่ม GSD ร่วมสนับสนุนการทดสอบครั้งนี้
ข้อมูลเทคนิค RC390
เครื่องยนต์ 1 สูบ 4 จังหวะ
ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ 373.2 ลูกบากศ์เซ็นติเมตร
กระบอกสูบ 89 มม.
ระยะชัก 60 มม.
แรงม้า 32 kW (43 hp)
สตาร์ท ไฟฟ้า
เกียร์ 6 สปีด
ระบบหล่อลื่น แบบเปียก
อัตราทดขั้นต้น 30 : 80
อัตราทดขั้นสุดท้าย 15 : 45
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น
จุดระเบิด อิเล็คทรอนิกส์ ดิจิตอล
เฟรม เหล็กเคลือบพาวเดอร์โค้ท
โช้คหน้า WP หัวกลับ
โช้คหลัง WP โมโนโช้ค
ช่วงยุบโช้คหน้า 125 มม.
ช่วงยุบโช้คหลัง 150 มม.
เบรกหน้า ดิสก์เบรกจานเดี่ยว 300 มม.
คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ
เบรกหลัง ดิสก์เบรกจานเดี่ยว 230 มม.
คาลิเปอร์ 1 ลูกสูบ
โซ่ 5/8 x 1/4¼” X-Ring
มุมคอ 66.5 องศา
ระยะฐานล้อ 1,340 มม.
สูงถึงพื้น 178.5 มม.
สูงถึงเบาะ 820 มม.
ถังน้ำมันจุ 10 ลิตร
น้ำหนักไม่รวมเชื้อเพลิง 147 กก.
ราคา 298,000 บาท

ความเห็นนักทดสอบ : จตุรงค์ หมื่นทิพย์
“ต้องบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกกับค่ายยุโรปเคทีเอ็ม ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความดิบที่มาพร้อมกับความแรงที่น่าทึ่ง แรกสัมผัสเมื่อได้คร่อม มันเหมือนกับรถโมเดลโชว์ เพราะว่าไม่รู้สึกถึงความนิ่มนวลเมื่อทิ้งน้ำหนักลงที่ตัวรถ แข็งทื่อจริงๆ เป็นรถที่ออกแบบในรูปแบบของรถสปอร์ต แฮนด์จับโช้คที่กดหน้าต่ำและมันกว้างพอสมควร มันเก้ๆ กังๆ ยังไงบอกไม่ถูก แต่พอได้ลงสัมผัสกับพื้นแทร็คมันส่งพลังออกมาได้น่าประทับใจกับเครื่องยนต์ 390 ซีซี สูบเดี่ยว ถึงแม้ว่าจะยังไม่ค่อยมั่นใจกับโช้คสักเท่าไหร่ ระบบเบรก ABS สามารถปิดหรือเปิดใช้ได้ตามรูปแบบของการขับขี่ รอบเครื่องที่ต้องกรอคันเร่งให้อยู่ที่ประมาณ 7,000 รอบ/นาที ขึ้นไป มันจะตอบสนองการทำงานได้อย่างฉับพลัน การพลิกเลี้ยวที่ต้องฝืนกับความรู้สึกแต่มันสามารถที่จะโหนลงไปได้แทบหมดหน้ายางและเดินคันเร่งออกจากโค้งได้อย่างไม่มีอาการสับหรือส่ายให้เสียการทรงตัว และที่ตอบสนองได้เด่นชัดคือ การยกคันเร่งพลิกรถบิดออกเร็ว พอปรับคนกับรถเข้ากันลงล็อคก็เริ่มเร่งสปีดขี่กันเต็มๆถือได้ว่า RC390 เป็นรถที่มีความดิบโดยแท้แต่สามารถควบคุมได้ เพียงต้องทำความรู้จักกับมันสักพักใหญ่ๆ กับการทำงานของช่วงล่างที่คุณอาจไม่คุ้นเคย แต่มันให้ความเร้าใจอย่างไม่น่าเชื่อ”

ความเห็นนักทดสอบ : เขมรัฐ สุธรรมวาท
“มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรถพิกัด 300 ซีซี ที่มีขายในเมืองไทย ลืมมันให้หมด! ผมต้องเรียนรู้ใหม่และมุ่งสมาธิไปกับการขับขี่เจ้า RC390 อย่างจริงจังตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส มิติของมันให้ความรู้สึกทื่อมากเมื่อแรกสัมผัส เบาะสูงแฮนด์ต่ำ กว้างและตรงจนคิดถึงแฮนด์ทรงวิบากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เสียงเครื่องฟังแปร่งๆ ลองเร่งเครื่องในเกียร์ว่างมีอาการสั่นขึ้นมาให้รู้สึกชัดเลย เอาน่า…ออกไปขี่น่าจะเจออะไรดีๆ คลัทช์แข็งน่าดูเพราะเป็นคลัทช์สายนะครับไม่ใช่น้ำมัน แต่ออกตัวแล้วชอบการตอบสนองที่ดุดันเอาเรื่อง ชักจะเข้าท่า ถึงโค้งยกคันเร่งลดความเร็วเพื่อจับไลน์แล้วเปิดคันเร่งอีกครั้ง อ้าว…รอบตกกำลังหาย ยังไงกันล่ะเนี่ย? บอกตรงๆ ว่างงกับคาแรคเตอร์ของมันมากครับ เรี่ยวแรงกำลังให้มาในรอบต้นแล้วข้ามไปหารอบปลายโดยปล่อยรอบกลางให้หายไปซะงั้น คือตอนออกตัวไม่ต้องกลัวใคร แต่พอลอยตัวออกไปได้ก็หิ้วรอบให้ตลอดโค้งก็แล้วกัน ที่เขากล้าทำรอบแบบนี้ออกมาเพราะค่ายนี้มั่นใจในระบบรองรับและมุมเลี้ยวของ RC390 มากๆประมาณว่ายัดรอบพร้อมความเร็วเข้าโค้งไปเถอะรถมันเกาะโค้งและเลี้ยวได้ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง หลังจากทำความคุ้นเคยกันจนพอคุยกันรู้เรื่องแล้ว เราจะสั่งการบังคับทิศทางและสั่งเร่งสั่งหยุดโดยที่มีความรู้สึกตอบสนองกลับมาถึงคนขี่น้อยมาก เป็นรถที่ทรงตัวนิ่งมาก ท่าทางการขับขี่เหมาะกับการเป็นรถแข่งมากกว่ารถใช้งานครับ ผมได้ลองขี่ที่โบนันซ่ากับไทยแลนด์เซอร์กิต ผมว่าสนามสั้นโค้งแคบยิงออกเร็วๆ มันโดดเด่นมากครับ”
ความเห็นเจ้าของรถ
: เอกราช สัตยธาดากูล
“ผมดูจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลักครับ เห็นแล้วมันจึ๊ก! มันใช่เลยครับ ไม่มีการค้นหาข้อมูลเลยครับ เห็นรุ่นน้องลงในเฟซบุคก็เลยไปดู ก็จองเลย ครั้งแรกที่ได้ขี่ก็ที่สนามโบนันซ่ารู้สึกเลยว่ามันเป็นรถที่ขี่ค่อนข้างยากนะครับ ครั้งแรกนี่จัดว่ายากทีเดียว พอขี่ไปสักระยะเริ่มจะควบคุมมันได้แล้ว จัดว่าประทับใจเลยครับ ด้วยสมรรถนะของมันด้วยเพราะว่าปกติก็ขี่รถตลาดทั่วไป เป็นรถคันแรกที่ซื้อมาขี่ในสนามก็ชอบครับ”
Yamaha Exciter 150
รถครอบครัวกึ่งสปอร์ตที่บรรจุเทคโนโลยีและสมรรถนะจากรถสปอร์ตเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม แรง เท่ สง่างาม สมฉายาราชาแห่งท้องถนน!ตามมาติดๆ กับขวัญใจนักบิดอีกหนุ่งรุ่นของค่ายยามาฮ่า แม้ว่าจะเปิดตัวไปพร้อมกันแต่การมาถึงพร้อมวางจำหน่ายของ Yamaha Exciter 150 ได้คิวทีหลังพี่ใหญ่อย่าง YZF-R3 ด้วยความที่เป็นรถคนละสไตล์จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับห้วงเวลาในการรอคอยที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย รวมถึงการนำรถทดสอบตัวจริงมาให้สื่อมวลชนได้ทำการหาข้อมูลสื่อสู่ผู้ใช้ นิตยสารไรดิ้งได้รับความไว้วางใจอีกครั้งในการเฟ้นหาสมรรถนะของ Yamaha Exciter 150 รถครอบครัวกึ่งสปอร์ตที่จัดเต็มทุกด้านเพื่อครอบครองความเป็นราชาแห่งท้องถนน ดังสโลแกน The Street King เครื่องยนต์ 150 ซีซี แรงสุดในสไตล์ครอบครัวกึ่งสปอร์ต

แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะทำให้มันถูกจัดอยู่ในประเภทรถครอบครัวกึ่งสปอร์ต แต่ภายใต้แฟริ่งที่ปิดคลุมนั้นมันคือเครื่องยนต์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะสไตล์รถสปอร์ตด้วยรูปแบบ 4 จังหวะ 1 สูบ SOHC 4 วาล์ว เทคโนโลยีเดียวกับที่เคยสร้างความประทับใจใน YZF-R15 มาแล้ว จัดการไอดีเข้าสู่เครี่องยนต์ด้วยระบบหัวฉีดที่ทรงประสิทธิภาพทั้งสะอาดและประหยัด การเคลื่อนที่ขึ้นและลงของลูกสูบถูกวางในมุมเยื้องศูนย์เพื่อลดแรงเสียดทานกับผนังกระบอกสูบที่มีความแข็งแกร่งจากเทคโนโลยีไดอะซิล ผสานการทำงานกับลูกสูบฟอร์ซที่มีน้ำหนักเบา เพลาข้อเหวี่ยงมีการเสริมบาลานเซอร์เพื่อช่วยกำจัดความสั่นสะเทือนให้หมดไป ชุดคลัทช์ตัดต่อกำลังขนาดใหญ่ เกียร์ 5 ระดับแบบสปอร์ตแท้ การสตาร์ททำได้สองแบบทั้งสตาร์ทไฟฟ้าและสตาร์ทเท้าที่นุ่มนวลเพราะมีระบบช่วยลดแรงอัด การระบายความร้อนเต็มระบบด้วยทางเดินน้ำหล่อเย็นวนรอบทั้งเสื้อสูบและฝาสูบ พร้อมพัดลมไฟฟ้าเป็นกำลังเสริมขณะขับขี่ด้วยความเร็วต่ำทำให้รักษากำลังเครื่องยนต์ให้คงที่ตลอดเวลา
โครงสร้างแกร่ง
กันสะเทือนสุดเซฟ
ภายใต้การออกแบบรูปโฉมสุดเฉี่ยวคือการเลือกใช้เฟรมโครงสร้างแบบ Backbone ที่มีขนาดกะทัดรัดแต่แข็งแกร่ง รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ดีและมีความยืดหยุ่นในตัว ปลายสุดของหัวและท้ายได้ทำการติดตั้งระบบกันสะเทือนที่ทำงานสอดคล้องกันอย่างดี ด้วยโช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิกนุ่มนวลด้วยช่วงยุบถึง 100 มม. ส่วนโช้คหลังเลือกใช้แบบโมโนโช้ค โช้คหลังตัวเดียววางบนสวิงอาร์มที่ทำให้สมดุลของรถอยู่ในจุดศูนย์กลาง ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบังคับเลี้ยวและสามารถทรงตัวขณะรถเอียงในโค้งได้ดีกว่า ระบบเบรกมั่นใจด้วยการใช้ดิสก์เบรกคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยวทั้งหน้าและหลัง วงล้ออลูมินัมอัลลอยด้านหน้ามาแบบมาตรฐาน แต่ความสะดุดตามันมาอยู่ที่ล้อและยางภายใต้ซุ้มล้อหลังที่จัดวงล้อแม็กหน้ากว้าง 3.5 นิ้ว พร้อมกับยางขนาด 120/70-17 ทำให้มุมมองจากด้านท้ายของเอ็กซ์ไซเตอร์ดุดันมันเต็มอารมณ์สปอร์ตจริงๆ




ฟังก์ชั่นล้ำสมัยใช้งานได้ครอบคลุม
รายละเอียดอื่นๆ ในตัวรถนั้นไม่มีอั้นเรื่องเทคโนโลยี โดดเด่นเหนือใครด้วยไฟหรี่รูปทรงกลมกลืนกับหน้ารถติดสว่างด้วยหลอด LED ที่เห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันและยิ่งโดดเด่นในเวลากลางคืน เช่นเดียวกับไฟท้ายที่ใช้การออกแบบรูปทรงที่สะดุดตาพร้อมใช้หลอดแบบ LED เช่นกัน ไฟหน้าโคมใหญ่ชัดใสด้วยหลอดฮาโลเจน หน้าปัดเรือนไมล์เป็นอีกจุดที่แสดงผลได้อย่างครอบคลุมในรูปแบบที่จะพบได้เฉพาะในรถสปอร์ต นั่นก็คือไมล์วัดรอบที่จัดวางอย่างโดดเด่น ส่วนความเร็วจะถูกแจ้งผ่านหน้าจอดิจิตอลด้วยตัวเลขขนาดใหญ่ พร้อมตัวเลขแจ้งตำแหน่งเกียร์ ส่วนฟังก์ชั่นระยะทางที่นอกจากจะบันทึกระยะทางรวมแล้ว ยังมีโหมดบันทึกระยะทางย่อยได้อีก 2 โหมด (TRIP 1 , TRIP 2) หรือจะเลือกให้ทำหน้าที่คำนวณอัตราสิ้นเปลืองขณะขับขี่ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีระบบสวิตช์กุญแจนิรภัยที่ล็อครถได้อย่างปลอดภัยพร้อมกับใช้เปิดเบาะในที่เดียวกัน




รถสปอร์ตกับการทดสอบ
ในสนามแข่ง
เมื่อมีโอกาสที่จะได้ทดสอบรถจักรยานยนต์สักคัน ทีมงานไรดิ้งย่อมต้องหาสถานที่ที่จะสามารถอธิบายความสามารถของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ แม้ว่า Yamaha Exciter 150 จะเป็นรถครอบครัวกึ่งสปอร์ต แต่ถ้ามาพิจารณาถึงรายละเอียดกันดีๆ จะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นรถ “ครอบครัว” แค่เพียงหน้าตาเท่านั้น สเป็คหลายอย่างมันเร้าเหลือเกินให้ทีมงานของเรานำมาพิสูจน์สมรรถนะในด้าน “สปอร์ต” กันที่สนามแข่งรถแก่งกระจานเซอร์กิต จังหวัดเพชรบุรี เราใช้เวลาในการค้นหาข้อมูลที่จะเป็นฐานในการอ้างอิงบทความตลอดทั้งวันโดยการทำงานอย่างหนักของนักทดสอบและทีมงาน เพื่อให้ได้ผลของการรีวิวดังที่ท่านผู้อ่านจะได้ทราบจากความเห็นนักทดสอบทั้งสอง และการรีวิวในรูปแบบคลิปวิดีโอทาง youtube ให้ติดตามกันอีกหนึ่งช่องทาง
Yamaha Exciter 150 จำหน่ายทั่วประเทศที่โชว์รูมยามาฮ่า
สแควร์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ราคาแนะนำ 62,000 บาท สอบถามรายละเอียดได้ที่ Yamaha Call Center โทร 0-2263-9999 หรือที่ www.yamaha-motor.co.th และติดตามความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าทางสื่อออนไลน์ ที่ www.facebook.com/yamahasociety และที่ Instagram:@yamahasociety

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดี่ยว SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ 149 ซีซี
อัตราส่วนกำลังอัด 10.4 : 1
กระบอกสูบ x ระยะชัก 57.0 x 58.7 มม.
ระบบหล่อลื่น แบบเปียก
ระบบจ่ายน้ำมัน ระบบหัวฉีด
ระบบจุดระเบิด ที.ซี.ไอ.
ระบบคลัตช์ แบบเปียก ชนิดหลายแผ่น
ระบบเกียร์ คอนสแตนท์เมช ระบบเกียร์ 5 ระดับ
ระบบสตาร์ท สตาร์ทมือและสตาร์ทเท้า
น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันแก๊สโซฮอล์, E20 หรือเบนซินค่าออกเทน 91 ขึ้นไป
ความจุน้ำมันเชื้อเพลิง 4.2 ลิตร
ความจุน้ำมันเครื่อง ไม่มีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง 0.95 ลิตร
มีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง 1.00 ลิตร
ความจุหม้อน้ำ 0.48 ลิตร
ความจุถังพักหม้อน้ำ 0.28 ลิตร
หัวเทียน เอ็น.จี.เค / ซี.อาร์.8 อี. (NGK / CR8E)
ชนิดของโครงรถ แบบแบ็คโบน
มุมคาสเตอร์/ระยะเทล 26° / 81 มม.
กว้าง x ยาว x สูง 670 x 1,970 x 1,080 มม.
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ 780 มม.
ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่อง 135 มม.
ช่วงศูนย์กลางระหว่างล้อ 1,290 มม.
น้ำหนักพร้อมขับขี่ 116 กก.
รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 1,990 มม.
กันสะเทือนหน้า เทเลสโกปิค
กันสะเทือนหลัง สวิงอาร์ม (แขนยึดโช๊คอัพหลัง)
เบรกหน้า ดิสก์เบรก
เบรกหลัง ดิสก์เบรก
ยางหน้า 70/90-17M/C 38P
ยางหลัง 120/70-17M/C 58P
ล้อ แม็ก B151
ไฟหน้า 12 โวลท์ 35/35 วัตต์ x 1
แบตเตอรี่ 12 V, 3 Ah / GTZ4V (MF)
ความเห็นนักทดสอบ
เขมรัฐ สุธรรมวาท
“ดูเป็นรถครอบครัวกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งบึกบึนมากครับ จากแฟริ่งหน้าที่ดูใหญ่โต ยิ่งด้านท้ายกับงานช่วงล่าง ขนาดยางและบังโคลนหลังที่ออกแบบมาอย่างเกินนิยามคำว่ารถครอบครัวไปไกลแล้ว ลูกเล่นของไฟหรี่ข้างหน้าถือว่าทันยุคทันสมัยการสตาร์ทเครื่องยนต์ที่มีปุ่มสตาร์ทไฟฟ้ามาให้ก็ดูสบายดี ผมลองใช้คันสตาร์ทที่สำรองมาให้ใช้ยามฉุกเฉินก็พบว่าระบบลดกำลังอัดขณะสตาร์ททำงานอย่างได้ผลดี แรงต้านการกดคันสตาร์ทน้อยมาก เครื่องยนต์สตาร์ทติดได้ง่ายๆ เลยครับ ความสูงขณะคร่อมขี่ไม่มีปัญหากับความสูง 165 วางเท้าสองข้างบนพื้นได้เกือบเต็ม เมื่อนั่งบนเบาะแล้วเอื้อมมือไปจับแฮนด์ ความรู้สึกคุ้นๆ มันแทรกเข้ามาทันที อึม…ผมว่ามุมมองจากคนขี่มันคือสปอร์ค 135 แบบคุ้นๆ เลยล่ะ บีบคลัทช์เพื่อเข้าเกียร์ (รุ่นนี้ระบบเครื่องยนต์เป็นสปอร์ตที่ต้องควบคุมเองทุกอย่างนะครับ) รถเคลื่อนออกไปช้าๆ การบังคับเลี้ยวยิ่งงมั่นใจว่าอารมณ์เดียวกับสปาร์ค 135 เลย
ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับความคุ้นเคย การโลดแล่นพลิกพลิ้วไปตามโค้งในสนามเริ่มชัดเจนถึงการทรงตัวรถที่โดดเด่นมา กันสะเทือนเดิมๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนแต่กลับเอาได้อยู่รับได้หมดกับทุกจุดของการเลี้ยวในสนาม มั่นใจที่จะเร่งเมื่อไรก็ได้ ถึงขนาดเราขี่กันโดยเอียงรถเข้าโค้งด้วยการยกเท้าด้านในแล้วปล่อยให้พักเท้าครูดไปกับพื้นโดยที่รถไม่เสียการทรงตัวใดๆ เป็นการจัดช่วงล่างด้วยการให้ยางมาโอเวอร์ก็จริง แต่กันสะเทือนก็ทำงานได้ไม่น้อยหน้ากันมันจึงเกิดเป็นความมั่นใจสุดๆ ทำให้สนุกสุดๆ เช่นกันเมื่อกดคันเร่งเต็มๆ ช่วงโค้งลงเขาแบบไฮสปีดเครื่องยนต์เป็นอีกหนึ่งจุดของการตอบสนองที่ตอบได้ว่าโดดเด่นและแตกต่างจากพิกัด 135 มากมาย การออกตัวทำได้ดีในระดับหนึ่งแต่เกียร์ 1-2-3 การเร่งรอบเครื่องยนต์จากรอบกลางไต่ระดับไปถึงเรดไลน์ได้ปรู๊ดปร้าดมาก แต่เมื่อขยับความเร็วปลายในช่วงเกียร์ 4 และ 5 รอบจะมาหน่วงอยู่หลัง 8000 rpm นานหน่อย ประมาณว่าต้องรอไหลรับความเร็วปลายแบบใจเย็นเล็กน้อย อีกส่วนความชอบส่วนตัวของผมคือระบบคลัทช์และเกียร์ คลัทช์ทำงานได้แม่นยำมาก ไม่อืดอาด และไม่หนักแรงบีบเกินไป สอดคล้องกับการชิพเกียร์ที่นุ่มและแม่นยำเช่นกัน Exciter 150 สำหรับผมมันคือรถสปอร์ตครับ การตอบสนองของเครื่องยนต์ การทำงานของระบบรองรับ ความนิ่งในการเลี้ยวความเร็วสูง เบรกคุณภาพดี ทุกอย่างเหนือชั้นกว่าการใช้งานในระดับรถครอบครัวไปอีกขั้นแล้ว มันจะทำให้คุณสนุกเหมือนกับการได้ใช้งานรถสปอร์ตในชีวิตประจำวัน เพราะมันคือครอบครัวที่ตอบสนองแบบรถสปอร์ต ยามาฮ่า เอ็กไซเตอร์ ครับ”
จตุรงค์ หมื่นทิพย์
“ขอย้อนไปหน่อยกับการเปิดตัวครั้งแรก สิ่งที่เห็นมันคือรถซูเปอร์สปอร์ตในรูปทรงของรถแฟมิลี่ กับการดีไซน์ชุดบังลมหน้าให้ดูเพรียวและมีไฟหรี่ LED เพิ่มความหรูหรามาด้วยเรียกได้ว่าเข้ารับกับกระแสรถยุคใหม่ เห็นแล้วต้องเข้าไปจดจ้องมองมุมมิติต่างๆ อย่างชัดเจน มันน่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้ของยุคนี้ได้เลย ก่อนหน้านี้ได้ขับขี่ทางไกลมาแล้ว เครื่องยนต์ 150 ซีซี กับรถแฟมิลี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจี๊ดเหมือนกับที่คิดไว้เท่าไหร่ ให้รอบเครื่องยนต์ที่กว้างลากกันได้ยาว แต่มันมีระบบแฮนด์คลัทช์มาเพื่อให้การขับขี่ที่ต้องการเร่งรีบในจังหวะแซง หรือทำความเร็วอย่างเร่งด่วนก็พอที่จะช่วยให้กำลังปี๊ดป๊าดขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งเมื่อปรับจากการขับขี่บนท้องถนนเข้ามาสู่แทร็คในรูปแบบเซอร์กิต ระบบการทำงานของทุกส่วนได้ใช้งานอย่างเต็มที่เรียกได้ว่าล้นเกินธรรมดา ท่วงท่านั่งที่ให้ความสบาย ระยะแฮนด์กับเบาะนั่งที่ไม่ห่างมากการก้มหมอบทำได้ง่าย ฟิลลิ่งจะคล้ายๆกับ SPARK135 การพลิกเลี้ยวคล่องจนหลายครั้งที่พักเท้าลงไปครูดกับพื้นแทร็คมีเสียงให้ได้สะดุ้ง พักเท้าก็ออกแบบให้พับได้ด้วยสปริงซึ่งเพิ่มเรื่องของความปลอดภัย เวลาที่อาจไปสะกิดก้อนหินใหญ่ก็จะทำให้รถไม่เสียการทรงตัว ในส่วนโช้คอัพกับรถสแตนดาร์ดให้ความรู้สึกที่ไม่ขัดขืนหรือดื้อ ประกอบกับยางหลังที่ให้มาใหญ่ซะขนาดนั้น หน้ายางที่กว้างการเลี้ยวที่แคบไม่ต้องไปกังวลกับมันมากมายไปได้สบายๆ ไม่ต่างกับรถซูเปอร์ไบค์เลย อย่างที่บอกกับเครื่องยนต์ที่มีระบบแฮนด์คลัทช์ การใช้งานแต่ละครั้งให้ความรู้สึกไหลลื่นของเกียร์ที่มันสามารถรีดเร่งและลดได้อย่างนิ่มนวล ด้วยรอบที่เดินอย่างต่อเนื่องประมาณ 5-6,000 รอบ/นาที โดยที่รอบสูงสุด 10,000 รอบ/นาที เพียงพอสำหรับเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี เดิมๆ ซึ่งตอบสนองการขับขี่บนท้องถนนได้ด้วยย่านกำลังที่ราบเรียบและง่ายต่อการควบคุม และเพิ่มอรรถรสให้เร้าใจเมื่อเข้าสู่การขับขี่ในแทร็คเพียงลูกเล่นของระบบแฮนด์คลัทช์ที่กระชากได้ดั่งใจ ถึงจะช้า…แต่มาเต็มแบบสปอร์ต”
KEEWAY Superlight 200S
รถสไตล์ครุยเซอร์พันธุ์ดุดัน สีสันเฉียบคม ด้วยสีดำด้านทั้งคัน บ่งบอกถึงบุคลิกผู้ขับขี่ที่ต้องการความโดดเด่น และคมเข้ม เอาใจคอรถครุยเซอร์ที่ชอบความดุดันเร้าใจในสไตล์ที่เป็นคุณ รุ่นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากรถสไตล์สปอร์ตเตอร์ จึงทำให้ ดีไซน์ของ KEEWAY ถูกนำมาย่อส่วน และปรากฏตรงหน้าคุณ ด้วยดีไซน์เฉพาะตัวของ KEEWAY Superlight 200s
จากเวอร์ชั่น KEEWAY Superlight 200 ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มของรถคลาสสิคถูกปรับเสริมเติมแต่งด้วยดีไซน์ใหม่ เป็น KEEWAY Superlight 200S เพิ่มความเป็นสปอร์ตให้มีความโดดเด่นสะดุดตาและน่าขับขี่มากยิ่งขึ้น ด้วยชุดการควบคุมที่เน้นถึงความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ แฮนด์เดฟ ปรับองศาเข้าหาตัวเพื่อให้ท่านั่งและการบังคับได้ง่ายและดูสง่าผ่าเผย มาพร้อมกับความเท่ในแบบคลาสสิคสไตล์ด้วย กระจกมองหลัง ถูกติดตั้งอยู่ที่ปลายแฮนด์ ให้อารมณ์การขับขี่แบบสบาย ๆ หรือในแบบดุดัน 2 รูปแบบเฉพาะตัว ด้วยท่านั่งขับขี่ที่สามารถวางเท้า เหยียดยาว โดยไม่ทำให้คุณเมื่อยในขณะขับขี่ทางไกล ไฟหน้าหัวกลม เรือนไมล์สไตล์คัสตอมเปลือยคู่ อ่านค่าแบบอนาล็อคที่บอกความเร็ว และรอบของเครื่องยนต์ ที่ยังคงมีเสน่ห์ในแบบของรถคลาสสิคระบบกันสะเทือน โช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค ดิสก์เบรกหน้ากับคาลิเปอร์ลูกสูบคู่ วงล้อแม็กแบบสปอร์ต โช้คอัพหลังคู่ แบบโปรเกสซีฟ สปริงห่าง และสปริงถี่ ดรัมเบรกหลัง ในส่วนของเครื่องยนต์สมรรถนะเครื่องยนต์เหนือชั้น ด้วยขุมกำลังที่เกินตัว โดยใช้เครื่องยนต์ 1 สูบ 200 ซีซี 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศและน้ำมันจากชุดออยคูลเลอร์ ระบบเกียร์ 5 สปีด ระบบสตาร์ท 2 แบบ ทั้งสตาร์ทไฟฟ้า และสตาร์ทเท้า ถังน้ำมันความจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 15 ลิตร และมีเกจ์วัดระดับน้ำมันฝังติดที่ด้านบน ท่อไอเสียสูบเดี่ยวแยกปลายเป็นสองท่อเพิ่มความ ดุดันสไตล์ของรถครุยเซอร์ด้วยสีดำด้าน
ราคาสบายกระเป๋า 59,000 บาท กับรถครุยเซอร์ขนาดย่อม รูปโฉมที่มีความดุดัน บ่งบอกถึงความมีรสนิยมในการขับขี่ ที่ดูคมเข้ม ไม่เป็นรองใคร สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ โชว์รูม KEEWAY โทร 0-2951-0722, 0-2613-9727
ยามาฮ่า สานต่อเกม Moto Challenge 2016 ปีที่ 2 พร้อมยกระดับนักบิดอาชีวะพัฒนาสู่การเป็นนักแข่งมืออาชีพ
นายสมเกียรติ พูลขวัญ (คนที่ 4 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหาร และนายธีระพงษ์ โอภาสกรกุล (คนที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส ฝ่ายสนับสนุนการขาย และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ร่วมถ่ายภาพกับ ดร.กรณ์พงศ์ ดอกบัว (คนกลาง) อุปนายกสมาคมฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยเทคโนโลยี และอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย พร้อมนักแข่งซึ่งเป็นนักศึกษาจากสถาบันอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Yamaha Moto Challenge 2016 โดยในครั้งนี้ยามาฮ่าจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อเป็นแนวทางมุ่งสู่วิชาชีพทางด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต และในปีนี้มีทีมจากสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนให้การตอบรับเข้าร่วมทำการแข่งขันเกือบ 30 สถาบัน สำหรับการแข่งขัน Yamaha Moto Challenge 2016 สนามที่ 1 นี้ จัดขึ้น ณ สนามไทยแลนด์ เซอร์กิต นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อเร็วๆ นี้