Benelli TRK 502

รถจักรยานยนต์สัญชาติอิตาลีได้เปิดไลน์รถประเภท Adventure tourer ขนาดกลางออกสู่ตลาด เตรียมแผนการตั้งแต่ปี 2015 จนมีสเปคและภาพของรถออกมาสู่โลกออนไลน์ ก่อนที่จะมาเผยโฉมอย่างเป็นทางการในปี 2016 จากงาน EICMA ที่ประเทศอิตาลี ด้วยไลน์การผลิตของ Benelli ที่ผ่านมา ทำให้ middleweight adventure tourer ที่ว่ากันว่า เป็น all new segment ที่มีการระบุในเอกสารประกอบในการเปิดตัวว่าคุณสมบัติของความเป็น full fledged sports tourer กล่าวคือ มีความพร้อมรองรับในการขับขี่สไตล์ sports tourer ภายใต้ชื่อรหัสรุ่นว่า TRK502 

ด้วยมิติของรถ 2,380x912x1,465 มม. (ยxกxส) ที่ว่างตำแหน่งเบาะนั่งสูง 815 มม. พร้อมด้วยระยะห่างจากพื้นหรือ ground clearance ที่ 230 มม. ช่วยทำให้ตำแหน่งมองเห็นของผู้ขับขี่ขณะขับขี่สามารถมองได้ทั่วถึงและได้รับความสบายในแบบรถทัวร์ริ่ง ซึ่งความจุของถังเชื้อเพลิงขนาด 20 ลิตร จึงเพียงพอตอบสนองการขับขี่ในสไตล์นี้ นี่คือสายพันธ์ุที่แตกต่างไปจากไลน์การผลิตปกติของ Benelli ที่เคยผลิตออกมาก่อนหน้านี้ ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์ขนาดกลางที่ใช้ร่วมกันกับรุ่น Leoncino Scrambler ที่เป็นเครื่องแบบ สองสูบแถวเรียง หรือ inline twin cylinder ขนาด 499.6 ซีซี ที่ให้พลังขับเคลื่อนระดับ 47แรงม้า ที่ 8,500 รอบต่อนาที พร้อมด้วยแรงบิดในระดับ 45 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ ต่อนาที พร้อมด้วยชุดเกียร์บ๊อกซ์แบบ 6 สปีด ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองการขับขี่ในแบบรถ adventure tourer ที่พร้อมฝ่าฟันในทุกสภาพเส้นทางการขับขี่

สำหรับท่านชื่นชอบเจ้า benelli TRK 520 ไม่ต้องรอคอย เพราะทางบริษํท เบเนลลี่ คีเวย์ ประเทศไทย เตรียมแผนเเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพื่อตอบสนองความต่องการคอ Adventure tourer เมืองไทย คาดว่าจะเริ่มจำหน่ายภายในเดือนกรกฎาคมนี้ หากมีโอกาสทางไรดิ้งจะนำเอาข้อมูลเชิงลึกของการทดสอบ มาถ่ายทอดให้กับแฟนๆไรดิ้งอย่างจุใจ

ENGINE, POWER & TORQUE
Displacement 499.6 cc
Maximum Power 47 BHP @ 8500 rpm
Maximum Torque 45 NM @ 4500 rpm
Engine Description In-line twin-cylinder, 4-stroke,
4-valves per cylinder, DOHC
Cooling Liquid-cooled
Fuel System Electronic fuel injection with throttle body 37mm
Lubrication Wet sump
Compression Ratio 11.5:1
Bore 69 mm
Stroke 66.8 mm
No. of Cylinders 2
TRANSMISSION
No. of Gears 6
Clutch Wet clutch
Final Drive Chain drive
BRAKES
Front Brake 320mm twin floating discs with 4-piston calliper
Rear Brake 260mm single disc with 2-piston calliper
Anti-lock Braking System (ABS)
SUSPENSION
Front Suspension Upside-down forks, adjustable, 50mm
Rear Suspension Swingarm with central shock absorber
(spring preload adjustable)
Front Wheel Travel 150 mm
Rear Wheel Travel 144 mm
WHEELS & TYRES
Front Tyre 120/70 ZR17
Rear Tyre 160/60 ZR17
Front Wheel 17” x MT 3.5” DOT
Rear Wheel 17” x MT 4.5” DOT
Wheel Type Aluminium alloy
DIMENSIONS, WEIGHT & CAPACITIES
Overall Length 2380 mm
Overall Width 912 mm
Overall Height 1465 mm
Seat Height 815 mm
Ground Clearance 230 mm
Wheelbase 1535 mm
Kerb/Wet Weight 210 kg
Fuel Tank Capacity 20 litres
Reserve Fuel Capacity 3 litres
Oil tank capacity 4 litres

All FINO SPORTY ON THE ROAD

จะมองมุมไหนก็โดนใจสุดๆกับรถจักรยานยนต์ออโตเมติกแฟชั่นสุดสวยจากค่าย ยามาฮ่า หาเทรนด์ใหม่ให้ผู้ใช้ตลอดเวลา และไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักแต่งรถยุคนี้เพราะว่าอุปกรณ์ของแต่งทั้งหลายสามารถหาได้ง่าย แต่ใครจะสามารถออกไอเดียได้โดดเด่นกว่ากันนั้นมันอีกเรื่อง อย่างเจ้า FINO คันนี้ ถูกปรับแต่งเพิ่มออพชั่นด้วยของแต่งเทรนด์ใหม่ล้วนๆ ทั้งสมรรถนะที่ดีขึ้น และความสวยงามที่เตะตาบนท้องถนนจัดแต่งมาแบบเห็นแล้วอยากได้ขี่ไปโฉบสาวสักรอบ ลวดลายสีสันเน้นความเป็นสปอร์ตคมเข้ม ด้วยพื้นดำด้านตัดด้วยลายข้างสีส้มและสีเทา ด้วยรูปทรงของตัวรถที่ออกแบบใหม่ จิวเวอรี่ลุค ทำให้มุมมองต่างๆ มีความโค้งมนรับกันตลอดทั้งคัน เรียกได้ว่าหล่อ เท่ ไม่ซ้ำใคร

ปรับลุคใหม่ด้วยของเล่นเทรนด์ใหม่ เพิ่มสมรรถนะการควบคุมที่สนุกสนานมากยิ่งขึ้นด้วยโช้คอัพหน้าคู่ใหม่ เทคโนโลยีล้ำสมัยกับระบบการทำงานแบบหัวกลับ Upside Down แกนเพิ่มสารหล่อลื่นช่วยการยุบตัวได้ดีของเล่นสุดฮอตจาก โช้คอัพ Gazi วงล้อเปลี่ยนลายเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยแม็กขนาด 12 นิ้ว หน้ากว้าง 10 ก้าน รัดขอบด้วยยางเรเดียล ระบบดิสก์เบรกใช้จานดิสก์สร้างขนาด 200 มม. แบบให้ตัวด้วย โฟลท์ติ้งอลูมินัม 8 ตัว คาลิเปอร์เบรกสไตล์ของรถสกู๊ตเตอร์ลูกสูบคู่ สายไล่น้ำมันแบบถักย้ำด้วยหัวสแตนเลสแบบวงแหวน ส่วนเบรกหลังแบบดรัมเบรกปรับเปลี่ยนขารั้งใหม่อลูมินัมแยกชิ้นช่วงบนควบคุมบังคับด้วยแฮนด์บาร์กว้างสวมด้วยปลอกแฮนด์อลูมินัมก้านเบรกแบบปรับระดับ กระจกมองข้างทรงเหลี่ยม เบาะนั่งปาดเรียบๆ ในส่วนของฟุตบอร์ดเสริมออพชั่นด้วยชุดพักเท้าโครงเหล็กดัด พักเท้าแบบพับขึ้นช่วงหลังจัดมาเต็มๆ กับระบบรองรับด้วยโช้คอัพเดี่ยว ทำงานสองระบบ ทั้งแก๊สและน้ำมัน พร้อมกับแท้งค์แก๊สแบบบิ้วท์อิน ที่สามารถปรับความหนืดได้ และยกสูงขึ้นด้วยสเปเซอร์อลูมินัม และเครื่องยนต์เสริมออพชั่นการดูดอากาศเพิ่มด้วยตัวกรองต่อยื่นออกมาด้านนอกปลายอลูมินัมเทรนด์ใหม่มาแรง ส่วนทางด้านขวา ท่อไอเสียสแตนเลสสวมด้วยปลายสแตนเลสชุบรุ้ง

เบียดทุกกระแสความเท่ด้วยไอเดียแบบสปอร์ตยอดนิยม ทั้งสีสันและออพชั่นที่ลงตัว…นี่ล่ะ All Feeling All Fino

2018 Honda CRF450R

เป็นครั้งแรกของ CRF450R ที่จะติดตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยระบบสตาร์ทไฟฟ้านี้จะใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดน้ำหนักเบาพิเศษ “ultra lightweight lithium ion battery” และยังลดน้ำหนักด้วยการถอดคันสตาร์ทออกนั่นคือไฮไลท์ของการอัพเกรด MXer ในระดับเรือธงอย่าง CRF450R สำหรับปี 2018 พร้อมทั้งได้รับการเซ็ทติ้งระบบกันสะเทือน หน้า-หลังใหม่ เพื่อให้สามารถควบคุมได้คล่องแคล่วรวดเร็วยิ่งขึ้น และที่น่าสนใจก็คือการเปลี่ยนแปลงมิติโครงสร้างแชสซีส์เดิมจากโมเดล 2017 ใหม่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบแปดปีนับตั้งแต่มีการออกแบบมิติของตัวรถ CRF450R เพื่อให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงจากเดิมพร้อมกันนี้ในส่วนของกันสะเทือนหน้าได้ติดตั้งชุดฟอร์คหน้าที่อัพเกรดเป็นชุดที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจากการพัฒนาใหม่เป็นแบบที่เรียกว่าพร้อมแข่ง “race-ready” กับชุดกันสะเทือนหน้าที่ปรับใหม่ Showa steel spring front fork ขนาด 49 มม. ที่พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ Absolute Holeshot ที่น่าจะกล่าวได้ว่าโมเดลล่าสุดของ MXer เรือธงอย่าง CRF450R นี้เน้นสมรรถนะในการออกตัวมากยิ่งกว่าโมเดลที่ผ่านมา จากพื้นฐานของโมเดลปี 2017 นั้น ทางฮอนด้าให้องค์ความรู้และข้อมูลของ HRC ในการพัฒนา CRF450R ใหม่ให้มีกำลังเครื่องยนต์สูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 11% และสามารถเพิ่มแรงบิดได้มากขึ้นในแต่รอบความเร็วการทำงานของเครื่องยนต์

นอกจากนี้ในส่วนของตัวแข่งเอ็นดูโร่พร้อมแข่งอย่าง CRF450RX ที่เป็นพื้นฐานสเปคเดียวกับ CRF450R นั้น แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนในส่วนของระบบกันสะเทือนเป็น enduro-spec suspension หรือระบบกันสะเทือนเฉพาะสำหรับการแข่งขันในแบบเอ็นดูโร่ รวมทั้งการปรับเซ็ท ค่าของ PGM-FI และ EMSB(engine mode select button), พร้อมถังเชื้อเพลิงขนาด 8.5 ลิตร และใช้ วงล้อหลังขนาด 18 นิ้ว รวมทั้งยังติดตั้งระบบสตาร์ทไฟฟ้าและขาตั้งข้างมาพร้อมโดยในส่วนของแบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไออนที่นำมาใช้นี้สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ 600 กรัม โดยทั้ง CRF450R และ CRF450X จะพร้อมถึงตัวแทนจำหน่ายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมาพร้อมกับ MXer พร้อมแข่งอย่าง CRF150R ที่ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับนักแข่งในระดับเยาวชน ซึ่งจะเปิดเผยไลน์ละเอียดเพิ่มเติมของไลน์การผลิตโมเดล 2018 อย่างเป็นทางการเพิ่มเติมเมื่อรถพร้อมส่งถึงผู้แทนจำหน่าย

2017 KTM 390 Duke (SPECS REVIEW)

เจ้า KTM 390 DUKE ถูกยกให้เป็นรถมอเตอร์ไซค์เน็กเก็ดไบค์ที่มีการออกแบบ สมรรถนะ และการใช้งานที่ดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าจะเป็นรถสูบเดียวที่มีขนาดลูกสูบที่ใหญ่โตมโหฬาร และแรงกระแทกจากลูกสูบจนทำให้เครื่องยนต์ของ KTM มีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว จนกลายเป็นเสน่ห์ที่แฟนๆ ค่ายส้มจี๊ดหลงรัก

รูปโฉมภายนอกของเจ้า 2017 KTM 390 DUKE มีกลิ่นอายของความเป็นรถสตั้นท์สูงมาก ด้วย Trellis Frame หรือเฟรมแบบถัก โชว์โครงสร้างตามแบบฉบับรถสปอร์ตเปลือย ไฟหน้าเป็น LED 6 ดวงแบ่งข้างล่ะ 3 ดวง ดีไซน์ดุดัน หน้าจอแสดงผลเป็นแบบดิจิตอล TFT ถังน้ำมันขนาด 13.4 ลิตร คันเร่งเป็นแบบ Ride By Wire หรือคันเร่งไฟฟ้า

เครื่องยนต์ 4จังหวะขนาด 373.2 ซีซี 1 ลูกสูบ 4 วาล์ว ขนาดของลูกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 89 x 60 มม. ให้แรงบิดสูงสุดที่ 37 นิวตันเมตร แรงม้าที่ 43.4 แรงม้า ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด ใช้คลัทช์แบบ antihopping ของ PASCระบบกันสะเทือนหน้า WP อัพไซด์ดาวน์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 43 มม. ที่สามารถยุบและยืดตัวได้ถึง 142 มม. กันสะเทือนหลังเป็นแบบโมโนโช้คของ WP มีระยะยุบตัวและยืดตัวที่ 150 มม. ระบบเบรกหน้าดิสก์เดี่ยว ขนาด 320 มม. ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์แบบ 4 ลูกสูบ ระบบเบรกหลังเป็นแบบ floating disc ขนาด 230 มม. ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์แบบ 1 ลูกสูบ และมีระบบ ABS ของ Bosch รุ่น Bosch 9MB two-Channel ABS เลือกใช้โซ่จาก X-Ring วงเลี้ยวอยู่ที่ 66 องศา น้ำหนักของรถอยู่ที่ 149 กิโลกรัม

ซึ่งเป็นรถเน็กเก็ดไบค์ที่ถูกออกแบบให้มีความกะทัดรัด ปราดเปรียว คล่องตัว ขับขี่สนุกเร้าใจ และมาพร้อมกับออพชั่นระดับชั้นนำมากมาย สนนราคาค่าตัวของ 2017 KTM 390 DUKE อยู่ที่ 4,599 ปอนด์ หรือราวๆ 202,000 บาท

2017 KX250F

ใช้มาจนคุ้มเหลือเกินกับร่างเดิมของ KX250F โดยเฉพาะในส่วนของเฟรมที่ยังคงใช้งานได้ดี แต่ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อให้เกิดการพัฒนา ดังนั้นในรุ่นปี 2017 KX250F จึงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงใหม่หมดจดทั้งร่าง และเมื่อได้ลองขับขี่จะพบว่าตั๊กแตนสลาตันโฉมใหม่นี้ได้ทิ้งคาแรคเตอร์เดิมไปจนหมดสิ้น

ความตื่นเต้นเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นมีมาก แต่กว่าจะได้สัมผัสตัวจริงเป็นๆ ของ KX250F ปี 2017 บรรดาสิงห์โมโตครอสชาวไทยก็เป็นอะไรที่หลายคนลังเล หรือบางคนนอกใจไปเลยก็มี เนื่องจากขั้นตอนการนำเข้าและส่งถึงมือลูกค้านั้นมันกินเวลายาวนานกว่าทุกปีที่ผ่านมาเกือบครึ่งปี คอลัมน์ MX Sample ก็เลยต้องดึงเวลารอเพื่อพบเจอและสัมผัส เมื่อได้ทดลองขับขี่ก็พบว่าคุ้มค่ากับเรื่องราวที่จะนำมาบอกเล่ากันจริงๆ

เปลี่ยนเฟรมเปลี่ยนความรู้สึก
ความเปลี่ยนแปลงแรกที่จะสัมผัสได้จากการคร่อมขี่ก็คือเฟรมใหม่ที่เปลี่ยนความรู้สึกตั้งแต่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องขี่รถออกไป แค่ขึ้นไปคร่อมบนรถจะพบว่าความกว้างบริเวณถังน้ำมันนั้นถูกบีบให้เล็กแคบกว่ารุ่นก่อนมากมาย รวมถึงคอเฟรมที่ต่ำลงทำให้รู้สึกว่าแฮนด์นั้นสูงโด่งขึ้นมา ด้วยความต่ำของเฟรมทำให้ระดับของเบาะนั้นแทบจะขนานไปกับพื้นทำให้การขยับตัวหน้าหลังไม่ยากอีกต่อไป เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องสังเกตก็ชัดเจนขึ้นมาทันที การเปลี่ยนแปลงของเฟรมและส่วนประกอบอื่นหลายจุดทำให้ KX250F ปี 2017 นั้นเบากว่าปีก่อนถึง 1.7 กิโลกรัม แน่นอนว่ามันส่งผลต่อการขับขี่โดยตรง อีกจุดเด่นในส่วนของการปรับแฮนด์และพักเท้าก็ยังคงได้รับการใส่ใจ

เครื่องยนต์ลดความห้าว
KX250F เป็นโมโตครอสรุ่นเดียวที่ใช้ระบบ 2 หัวฉีด และเลื่องลือในเรื่องความจัดจ้านของพละกำลัง ในปี 2017 ก็ยังคงเป็น 2 หัวฉีด แต่เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงภายในและส่วนประกอบอื่นๆ อย่างมากมาย ทำให้นิสัยใจคอที่เคยโหดห้าวได้ถูกปรับเปลี่ยนให้ลดความก้าวร้าวไปพอสมควร เน้นการให้กำลังที่ควบคุมง่ายที่รอบต่ำถึงปานกลางด้วยแรงขับที่ไม่น่าตกใจ แต่ยังคงให้ทางเลือกสำหรับการปรับเปลี่ยนย่านกำลังด้วยคัปเลอร์ (ปลั๊กเสียบ) สำเร็จรูป 3 โหมดที่คุ้นเคยเหมือนเดิม พร้อมระบบลันช์คอนโทรลช่วยในการออกสตาร์ท ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ไฟฟ้าหาที่วางใหม่ทำให้ส่วนห้องเครื่องดูเล็กและโปร่งโล่งกว่าเดิม

กันสะเทือนลดตามน้ำหนัก
ยังคงเป็น Showa SFF โช้คหน้าสปริงและน้ำมันแยกข้างกันแต่เป็นการพัฒนาล่าสุด ในปี 2017 นี้ได้ลดความแข็งของสปริงให้มีความนุ่มนวลกว่าเดิม คนขี่น้ำหนักไม่ถึง 70 กก. แทบจะลงตัวทั้งโช้คหน้าและหลัง ด้วยระบบเดิมที่คุ้นเคยกันดีไม่มีอะไรพิเศษ เหตุผลหนึ่งของการลดความแข็งสปริงน่าจะมาจากน้ำหนักตัวรถที่เบาลง กับมิติของรถที่ต้องใช้การขับขี่ที่แตกต่างจากเดิม

พลาสติกใหม่
เป็นรูปแบบที่เห็นมาแล้วจาก KX450F ปี 2016 เพื่อความสะดวกในการขยับเคลื่อนตัวชิ้นกลางจึงเน้นรอยต่อน้อยจุด ป้ายเบอร์หน้านอกจากเว้าเยอะแล้วยังมีมุมนูนออกมาด้วย บังโคลนหน้าและหลังเน้นกว้างและหนา โดยเฉพาะด้านท้ายมองดูละม้ายของรถเล็ก KX85 ยุค ’90 กลางๆ อย่างบอกไม่ถูก แน่นอนสีสันยังคงเป็นสีเดียว เขียวประจำค่ายไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าราคาจะปรับลดลงแต่ก็ยังคงเป็นโมโตครอสที่ราคาขายสูงกว่าค่ายอื่นอยู่ดี ต้องขอขอบคุณเจ้าของรถ เสี่ยหลัวร้อยเอ็ด คุณวิริช ธนะแพสย์ สำหรับการให้โอกาสได้ทดลองขับขี่รีวิว ขอบคุณศรีสกลมอเตอร์สปอร์ตสำหรับการประสานงาน ชุดนักทดสอบจากร้านเดิร์ทช็อพ เครื่องดื่ม GSD เพิ่มความสดชื่นทุกการเดินทาง และขาดไม่ได้ผู้สนับสนุนคอลัมน์ดีๆ วงล้อ YOKO และน้ำมันเครื่อง GPR

คอเฟรมกดลงต่ำกับถังน้ำมันที่โผ่ลมาแค่ฝา

ดูเอาเองว่าเฟรมใหม่มันบีบได้แคบขนาดไหน

ขายในไทยได้รูกรองข้างเดียว

ลันช์คอนโทรลช่วยออกตัวยังมีมาให้

โช้คอัพเจ้าเดิมที่เพิ่มคือนุ่มมากขึ้น

เบาะกับถังจะราบเป็นระนาบเดียว

เครื่องยนต์ปรับใหม่ละมุนละไมขึ้น

ดิสก์หน้า 270 มม.ไม่มีการ์ด

ข้อมูลเทคนิค
เครื่องยนต์ 249 ซีซี 4 จังหวะ 1 สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC
กระบอกสูบ 77 มม.
ระยะชัก 53.6 มม.
อัตราส่วนการอัด 13.7 : 1
ระบบเชื้อเพลิง 2 หัวฉีด DFI 43 mm. Keihin
สตาร์ท เท้า
ระบบหล่อลื่น กึ่งแห้ง
เกียร์ 5 สปีด
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่น
ระบบจุดระเบิด Digital DC-CDI
ขับเคลื่อน โซ่ 520 สเตอร์ 13/50
เฟรม อลูมินัม
แรค/เทรล 28.5 องศา / 5.0 นิ้ว
โช้คหน้า Showa SFF 48 mm. ปรับพรีโหลด,
คอมเพรสชั่น 22 คลิก,รีบาวด์ 20 คลิก
โช้คหลัง โช้คเดี่ยว Showa ปรับคอมเพรสชั่นความเร็วสูง 4 รอบและ
ความเร็วต่ำ 19 คลิก,รีบาวด์ 22 คลิกและปรับความแข็งของสปริง
เบรกหน้า ดิสก์เบรกจานเดี่ยว 270 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบคู่
เบรกหลัง ดิสก์เบรกจานเดี่ยว 240 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว
ยางหน้า 80/100-21
ยางหลัง 100/90-19
ถังน้ำมันจุ 6.4 ลิตร
ยาว 2,169 มม.
กว้าง 820 มม.
สูง 1,264 มม.
สูงจากพื้น 320 มม.
ระยะฐานล้อ 1,475 มม.
สูงถึงเบาะ 340 มม.
น้ำหนัก 104.5 กก.

ความเห็นนักทดสอบ / เขมรัฐ สุธรรมวาท
“เหวอครับ! … เหวอคืออาการประหลาดใจทำอะไรไม่ถูก มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ กับการขี่ KX250F ปี 2017 เป็นครั้งแรก ขึ้นไปคร่อมรถก่อน แฮนด์รุ่นเดิมทรงเก่าคุ้นกันดี แต่ที่ไม่คุ้นเลยคือคอเฟรมที่พาเอาถังน้ำมันลงไปอยู่ต่ำกว่าเดิมมาก ยังกะรถ 85 ซีซี เริ่มขี่ด้วยการสตาร์ทเครื่องยนต์ กดกระแทกไม่ติดครับ ต้องกดแบบเนือยๆ หน่อย ติดง่ายๆ เลย บีบคลัทช์ เข้าเกียร์ ขี่ออกไปด้วยท่ายืนแล้วต้องก้มมองเข่าตัวเอง มันจะแคบอะไรขนาดนี้ ช่วงกลางของตัวรถที่เข่าสัมผัสนั้นแคบบางกว่าปี 2016 มากมายก่ายกองครับ เฟรมใหม่ KX250F ปี 2017 รีดมาได้แคบมากจริงๆ มิติของรถที่ต่างจากเดิมมากๆ ทำให้ต้องหาสมดุลในการขี่กันใหม่เลยทีเดียวครับ แค่เรื่องเลี้ยวนี้ต้องลองกันอยู่นานเพราะแฮนด์สูง เบาะต่ำ พอนั่งเลี้ยวได้แล้ว ลองยืนเลี้ยวโค้งกว้าง เอ…ทำไมรถมันดิ้นง่ายจังหว่า? ลองลุยระนาดดู …อื้อหือ รถในหว่างขามันหายไปไหน? ท้ายก็ดิ้นซะอีก เอ๊ะ…หรือว่าเราจะยังไม่คุ้นกับรถ เดี๋ยวๆ รอเสี่ยหลัวเจ้าของรถมาขี่ไกด์ดีกว่า ก็ยืนดูเสี่ยหลัวขี่ครับ ผลก็คือลุยระนาดไม่รอดเหมือนกัน อ้าว…เราไม่ได้เป็นคนเดียวนี่นา ลองใหม่อีกทีด้วยการปรับท่าขี่ใหม่ เลี้ยวแคบและแบงค์แบบลีนเอาท์ นั่งกลางๆ ไม่ต้องสวมหน้ามาก ยืนขี่ค่อนไปข้างหลังอีกหน่อยยันแขนกับขาไปข้างหน้าอีกนิด อึมดีขึ้น…และดียิ่งขึ้นเมื่อลองเปลี่ยนปลั๊กไฟจุดระเบิดเป็นสีขาว เรียกกำลังเครื่องยนต์ให้ตอบสนองเร็วขึ้น ช่วยให้การใช้คันเร่งคุมรถง่ายขึ้น ซึ่งกำลังของเครื่องยนต์นั้นลดความดุเดือดลงไปชัดเจน เช่นเดียวกับกันสะเทือนที่ส่วนตัวแล้วผมชอบมาก ความแข็งสปริงมันเหมือนทำมาเพื่อน้ำหนักมาตรฐานคนเอเชีย ทำให้ KX250F ปี 2017 เป็นรถที่ขี่ง่ายไม่กระด้าง ที่ต้องปรับตัวก็เห็นจะเป็นเรื่องมิติรถที่มีผลต่อการควบคุม ซึ่งพอคุ้นแล้วจะสนุกกับความเล็กและเบาของมันมากมายครับ
ถึงจะเป็นรถที่จำหน่ายช้ากว่าค่ายอื่น การตัดสินใจซื้อ KX250F ปี 2017 ตอนกลางปีก็ไม่มีอะไรต้องลังเล เพราะเฟรมนี้ก็ต้องใช้ไปอย่างน้อยอีก 4 ปี แต่ที่เหมาะมากคือกันสะเทือนที่พอดี เรื่องความแรงของเครื่องยนต์เพิ่มง่ายกว่าจากระบบหัวฉีด เป็นมิติใหม่ของ KX250F ที่ไม่เหมือนใครในตอนนี้ครับ”

KTM Enduro Factory Racing Team

หนึ่งในผู้ผลิตที่เล็งถึงความสำคัญของการแข่งขันรถจักรยานยนต์วิบากประเภทต่างๆแล้วคงไม่มีค่ายใดทุ่มเทมากไปกว่า KTM ที่ครองตลาดในกลุ่มรถวิบากค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในภาคพื้นยุโรป

ดังนั้นทุกเกมการแข่งขันจึงมีความสำคัญสำหรับ KTM ในการที่จะทดสอบศักยภาพของผลิตภัณฑ์ของตนเอง และหนึ่งในการแข่งขันระดับโลกอย่าง Enduro World Championship จึงเป็นอีกสังเวียนแห่งความท้าทายที่แฟคทอรี่ทีมอย่าง KTM Enduro Factory Racing Team จะส่งสี่นักแข่งลงชิงชัย โดยในรุ่น EnduroGP จะมีอดีตแชมป์โลกสามสมัยอย่าง Christophe Nambotin ที่จะลงชิงชัยด้วย KTM 300EXC กับ Nathan Watson ที่จะนำ KTM 350EXC-F ลงชิงชัย ส่วนในรุ่นรองลงมาอย่าง Enduro2 นั้น จะมี Daniel Sanders ที่จะใช้ KTM 250 EXC และ Josep Garcia ที่จะใช้ KTM 250 EXC-F ในการแข่งขัน

 

แม้ว่ารถแข่งทั้งสี่คันจะเป็น workbikes หรือ รถแข่งโรงงานที่แม้จะมีพื้นฐานมาจากรถสแตนดาร์ดที่จำหน่ายทั่วไป แต่ด้วยแนวความคิดในการแข่งขันของ KTM นั้นก็คือ การแชร์เทคโนโลยีและประสบการณ์จากการแข่งขันให้ผู้ใช้หรือทีมแข่งทั่วไปได้มีโอกาสสัมผัสสมรรถนะที่ใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับนักแข่งในแฟคทอรี่ทีม ด้วยอุปกรณ์หรือชุดคิทโรงงาน KTM Power part ที่เปิดจำหน่ายสำหรับผู้ที่สนใจ ในไรดิ้งฉบับนี้เราได้นำภาพ KTM Enduro Workbikes มาฝากกัน ที่แม้ว่าจะเป็นสเปคพื้นฐานกับรถสแตนดาร์ดแต่ก็มีการปรับแต่งด้วยชุดคิท power part อาทิ ท่อสูตร Akrapovic , ระบบกันสะเทือน WP ที่มีการเสริมชิ้นส่วนพิเศษหรือปรับแต่งบางส่วน , ระบบเบรก Brembo , รวมทั้งชุดพลาสติกหรือการ์ดป้องกันต่างๆที่สามารถหาได้จากแคตตาล๊อก Power part ของ KTM

HONDA X-ADV แอดเวนเจอร์สายพันธุ์ใหม่ ที่เร้าใจได้อีกขั้น พร้อมความสะดวกของเกียร์ DCT เพื่อนักขี่ที่ต้องการความแตกต่าง

ด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ของฮอนด้า ที่พัฒนาไปอีกขั้นในความชาญฉลาดจนสามารถที่จะติดตั้งระบบการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการทำงานของระบบคลัทช์แบบใหม่ที่คอยตัดต่อกำลังให้มีความต่อเนื่องนุ่มนวลโดยที่ไม่ต้องมีการสั่งจากผู้ขับขี่ คือระบบ Dual Clutch Transmission ตัวย่อคือ DCT นั่นเอง

เป็นระบบที่ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ของรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ยกระดับขึ้นไปเหมือนกับระบบเกียร์ออโตเมติกของรถยนต์ด้วยการกดสั่งงานเพียงครั้งเดียว กลไกของระบบ DCT จะจัดการเปลี่ยนเกียร์ให้ทั้งขึ้นและลง ส่งความเร็วอย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุดในจังหวะการเพิ่มเกียร์สูงขึ้น และค่อยๆ ทดแรงบิดของเครื่องยนต์ออกมาเป็นเอนจิ้นเบรกอย่างนุ่มนวลในขณะลดเกียร์ต่ำลง ซึ่งนอกจากจะปล่อยให้รถคำนวณการใช้เกียร์เองแล้ว ยังสามารถสั่งเปลี่ยนเกียร์ได้ง่ายๆ ด้วยการใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ได้ทุกขณะที่ต้องการได้อีกด้วย ซึ่งเทคโนโลยีของเกียร์ DCT นี้ได้บรรจุอยู่ในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์หลากรุ่นหลายสไตล์และเพื่อให้สื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ได้เข้าถึงการทำงานของระบบเกียร์ DCT จึงได้มีการเชิญร่วมทดลองขับขี่รถฮอนด้าบิ๊กไบค์ถึง 4 รุ่นที่มีการติดตั้งระบบเกียร์แสนพิเศษนี้ นั่นคือ VFR1200X , CRF1000L , NC750X และรุ่นที่โดดเด่นที่สุดของงานก็คือ X-ADV แอดเวนเจอร์รูปแบบใหม่ที่เพิ่งปรากฏโฉมตัวจริงเป็นๆ ในงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนลมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ก็นำมาให้สื่อมวลชนได้ทดลองกับขี่กันด้วย โดยใช้สนามชั่วคราวริมทะเลสาบเรือนแพ ชานเมืองกรุงเทพฯ เป็นสนามทดลองด้วยรูปแบบของทางดิน 100% ซึ่งโฟกัสที่โดดเด่นของการขับขี่ทดสอบในวันนั้น คงจะหนีไม่พ้น X-ADV ที่ทุกคนจะได้สัมผัสเป็นครั้งแรก

X-ADV Engine
เครื่องยนต์ของ X-ADV เป็นแบบ 4 จังหวะ 2 สูบ SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ละลูกสูบมีขนาดความโต 77 มม. เคลื่อนที่ขึ้นและลงในกระบอกสูบด้วยระยะชัก 80 มม.ปริมาตรกระบอกสูบรวม 745 ซีซี ให้อัตราส่วนกำลังอัด 10.7:1 จ่ายเชื้อเพลิงสู่ห้องเผาไหม้ด้วยระบบหัวฉีด PGM-Fi ให้กำลังงานสูงสุด 68Nm ที่ 4,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 40.3kW ที่ 6,250 รอบต่อนาที เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องครั้งละ 4.1 ลิตร

X-ADV Transmission
ระบบส่งกำลังเป็นจุดเด่นที่ถูกกล่าวถึงมากพอๆ กับเครื่องยนต์ ด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีของระบบส่งกำลังแบบคลัทช์คู่ Dual Clutch Transmission ทำให้การขับเคลื่อนเกียร์ทั้ง 6 สปีดของ X-ADV นั้นสามารถทำได้ด้วยการสั่งงานครั้งแรกเพียงครั้งเดียว หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะอยู่ในเกียร์ว่างแล้ว เพียงกดปุ่ม D ที่ด้านขวาของแฮนด์ระบบจะเชื่อมต่อกำลังขับเคลื่อนพร้อมขับล้อ บิดคันเร่งรถจะทะยานออกไปและเมื่อถึงรอบที่กำหนดระบบจะเปลี่ยนเกียร์เพิ่มสูงตามความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นอย่างแม่นยำและแทบไม่มีจังหวะกระตุกของการตัดต่อกำลังให้รู้สึก ขณะที่หากความเร็วของรถต่ำลงระบบจะลดเกียร์ลงมาเพื่อให้สัมพันธ์กับการขับขี่โดยอัตโนมัติ หากต้องการอัตราเร่งที่กระฉับกระเฉงกว่าเดิมก็สามารถจะเพิ่มความเข้มข้นของกำลังด้วยการกดปุ่มสู่โหมด S ก็จะพบกับความจัดจ้านของเครื่องยนต์ที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด และในโหมด S นี้ ก็ยังมีให้เลือกความแรงอีก 3 ระดับ เอาให้จุใจกันไปเลย ท่านที่คุ้นเคยกับระบบเกียร์ออโตเมติกในรถยนต์คงจะเข้าใจได้ไม่ยาก เรียกว่า DCT ทำให้เกียร์ของ X-ADV กลายเป็นเกียร์ออโตเมติกไปแล้วก็ว่าได้ ทำให้ X-ADV เป็นรถบิ๊กไบค์ที่ไม่มีทั้งมือคลัทช์และคันเกียร์ที่เท้าซ้ายความพิเศษของเกียร์ DCT ที่นอกจากจะเปลี่ยนเกียร์ให้เองแล้ว หากต้องการจะควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ ด้วยการกดปุ่มที่สวิทช์ด้านซ้ายของแฮนด์ นิ้วชี้กดปุ่ม + เป็นการเพิ่มเกียร์สูงขึ้น นิ้วโป้งกดปุ่ม – เป็นการลดเกียร์ต่ำลง โดยที่ไม่ต้องยกคันเร่ง เอ็นจิ้นเบรกยังมีและมีการซับแรงให้เรียบร้อย ล้อหลังไม่ล็อคหรือกระตุกแรง ส่วนการเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นการส่งต่อสุดแนบเนียนแทบไม่สูญเสียกำลังใดๆ เลย
X-ADV Suspension
เป็นบิ๊กสกู๊ตเตอร์ที่จัดหนักกับช่วงล่างเพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์แอนเวนเจอร์ ด้วยการติดตั้งโช้คอัพหน้าหัวกลับขนาด 41 มม. ที่สามารถปรับประดับความเร็วในการคืนตัว (Tension)ได้ถึง 3 ¼ รอบ (สแตนดาร์ดปรับมาที่คลายออก 2 รอบ) โช้คอัพหลังเดี่ยวพร้อมกระเดื่องโปรลิงค์ปรับความแข็งของสปริงได้มากถึง 10 ระดับ (สแตนดาร์ดปรับมาที่ระดับ 4 จาก S) ช่วงยุบจะมากกว่าบิ๊กสกู๊ตเตอร์ทั่วไปเพื่อความมั่นใจในการรูดและลุย เบรกหน้ามาเต็มด้วยทวินดิสก์เบรกขนาดใหญ่สไตล์เรซซิ่งเซอร์กิต คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังเป็นดิสก์เบรกจานเดี่ยวที่มีกลไกของระบบปาร์คกิ้งล็อคกันรถไหลเมื่อจอดในพื้นที่ลาดเอียงมาให้ด้วย ดิสก์เบรกทั้งหน้าและหลังติดตั้งระบบ ABS มาให้ทำงานแบบเต็มเวลา ยางหน้า 120/70 R17 ยางหลัง 160/60 R15 ใหญ่โตมโหฬารเพื่อรองรับแรงบิดมหาศาลจากเครื่องยนต์
X-ADV Dimension
น้ำหนักตัว 238 กก.เฟรมทำด้วยเหล็ก ความยาว 2,245 มม. ความกว้าง 910 มม. และความสูง 1,375 มม. ความสูงถึงเบาะ 820 มม. ถือว่าไม่น้อย ท้องรถห่างจากพื้น 162 มม. คาสเตอร์ 27 องศา ระยะเทรล 104 มม. ถังน้ำมันจุไม่มากไปแต่ไปได้ไกลมากแค่ 13.1 ลิตร เพราะอัตราบริโภคเชื้อเพลิงในคู่มือแจ้งไว้ที่ 27.5 กม./ลิตร สบายๆ
X-ADVenture
สู่ความเป็นตัวลุยสายแอดเวนเจอร์ที่เต็มตัวยิ่งขึ้นด้วยหลายจุดรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นวงล้อซี่ลวดแบบยิงขอบสำหรับใช้กับยางจุ๊บเลส แฮนด์บาร์ทรงกว้างพร้อมการ์ดแฮนด์ แผ่นบังลมหน้าขนาดใหญ่ที่ปรับระดับได้ตามความพอใจ แยกการเปิดเบาะและฝาถังทำให้เติมน้ำมันได้โดยไม่ต้องเปิดเบาให้ยุ่งยาก ใต้เบาะมีช่องเก็บสัมภาระอเนกประสงค์ใส่หมวกกันน็อคเต็มใบได้ 1 ใบ พร้อมช่องเสียบชาร์ตไฟสำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้า ท่อไอเสียปลายยกสูง กรองอากาศพร้อมลุยน้ำท่วม การขับล้อด้วยโซ่ที่ทำให้ไปได้ทุกสภาพแม้จะเปียกลื่นเลอะเทอะก็ตาม การ์ดอลูมินัมกันแคร้งด้านหน้า ไฟหน้าและไฟท้าย LED ที่จับขนาดใหญ่ที่ท้ายรถ สั่งงานทั้งคันด้วยระบบกุญแจสมาร์ทคีย์ ไม่ต่องเสียบแค่พกติดตัวไปก็ได้ไปไหนไปกัน

แผ่นบังลมขนาดใหญ่ปรับได้ด้วยมือเปล่า

โช้คหน้าปรับความหนืดได้ที่ปลายบนด้านขวา

สมาร์ทคีย์ไม่มีที่เสียบกุญแจแค่หมุนเอา

แฮนด์การ์ดอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ

นอกจากสัญญาณไฟ ด้านซ้ายยังมีสวิทช์เปลี่ยนเกียร์ในโหมดแมนนวล

สวิทช์สตาร์ทเครื่องและเข้าเกียร์ N-D-S อยู่ด้านขวา

เติมน้ำมันไม่ต้องเปิดเบาะ

พักเท้าคนซ้อนกว้างใหญ่พับเก็บกลมกลืน

ใต้เบาะใส่หมวกได้หนึ่งใบกับมีช่องเสียบชาร์ตไฟฟ้า

สวิงอาร์มยาวพิเศษกับระบบขับแบบใช้โซ่

กันแคร้งอลูมินัมป้องกันเบื้องล่าง

ดิสก์เบรกหลังเดี่ยวพร้อมระบบปาร์คกิ้งล็อค

บั้นท้ายไล่ระดับกับดีไซน์ล้ำสมัย


นับเป็นตัวเลือกใหม่ของนักขับขี่ที่ต้องการความสะดวกสบายในการควบคุม ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ภาพลักษณ์ใหม่ดีไซน์ล้ำ พร้อมเทคโนโลยีล่าสุดที่จะยังไม่เชยไปอีกหลายปี ด้วยราคา 415,000 บาท สอบถามรายละเอียดการจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ฮอนด้าบิ๊กวิงทุกสาขาทั่วประเทศ

 

Yamaha SR Black Sheep Street Bobber

YAMAHA SR นับตั้งแต่ปี 1978 และยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงโมเดลในรุ่นปัจจุบันที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ ซึ่งทำให้กระแสความนิยมของ SR แพร่หลายเพิ่มขึ้นเพราะใครก็สามารถที่จะจับจองเป็นเจ้าของ YAMAHA SR ได้แล้ว ที่สำคัญกับตัวรถของ SR ที่ถือได้ว่ามีเรื่องราวการปรับแต่งควบคู่มาพร้อมๆไลน์การผลิต ด้วยการนำเสนอไอเดียการปรับแต่ง

สำหรับเจ้าแกะดำกับ YAMAHA SR 400 ผ่านการปรับแต่งในสไตล์ Street Bobber ดีไซน์เท่ๆ แนวๆ ของไอเดียเทรนด์นี้ที่นำเสนอความดิบๆ เข้มๆ โดยมีการตัดเฟรมส่วนท้ายออกพร้อมปรับแต่งให้ตัวเฟรมมีความแข็งแรงก็จะทำสีเป็นสีดำเพื่อให้เข้ากับเทรนด์คอนเซ็ปต์ของตัวรถ ชุดถังน้ำมันแต่งพร้อมด้วยชุดเบาะแต่งแบบหนังหุ้มสีน้ำตาลที่มีการเดินลวดลายของเส้นด้ายแบบเพิ่มชุดกระเป๋าหนังทางด้านหน้าของตัวรถ ไฟหน้า SR ทำสีโครมไฟเป็นสีดำ ออกขายึดไฟหน้าขึ้นมาใหม่ ไฟเลี้ยวหน้า-หลังเปลี่ยนเอาไฟเลี้ยวสไตล์ CUSTOM มาติดตั้งใช้งาน ชุดไฟท้ายแต่ง บังโคลนหน้า-หลังปรับแต่งใหม่ให้มีขนาดกะทัดรัดเข้ากับตัวรถ ชุดแฮนด์บาร์ทรงต่ำทำสีดำ ติดตั้งเรือนไมล์ความเร็วขนาดเล็กพร้อมด้วยไฟสัญญาณที่ยึดจากตุ๊กตาแฮนด์ ชุดกระจกมองข้างมาไว้ที่ตัวแฮนด์ด้านในโดยตัวกระจกเป็นแบบโครเมี่ยมสามารถปรับเลื่อนระยะกระจกได้ ชุดสวิตช์สไตล์เรโทรมาติดตั้งพร้อมด้วยประกับคันเร่งโครเมี่ยมพร้อมชุดปลอกแฮนด์ที่มาเสริมความกระชับในการขับขี่ รวมถึงชุดพักเท้าที่คงรูปแบบคลาสสิคของ SR เอาไว้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ สูบเดียว ขนาด 400 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ ปรับแต่งด้วยการทำสีเครื่องเป็นสีดำ ควบคุมการจ่ายน้ำมันด้วยระบคาร์บูเรเตอร์ เสริมสมรรถนะของอัตราเร่งด้วยชุดท่อของ SUPERTRAPP ระบบคลัทช์ควบคุมด้วยสายเคเบิ้ลโดยใช้มือคลัทช์แต่งสไตล์เรโทร ชุดเกียร์ 5 ระดับ ขับเคลื่อนด้วยชุดโซ่-สเตอร์ ระบบกันสะเทือนกับโช้คอัพหน้าเทเลสโคปิก สวิงอาร์มโลหะรองรับการทำงานร่วมกับโช้คอัพหลังแบบคู่ซึ่งจัดเอาโช้คแต่งที่สามารถปรับพรีโหลดของสปริงมาได้มาติดตั้ง

ระบบเบรกหน้า-หลังเป็นแบบดรัมเบรกเปลี่ยนเอาชุดมือเบรกแต่งสไตล์เรโทรมาใช้งาน โดยชุดดุมที่เป็นของ SR พร้อมด้วยวงล้อโลหะขนาด 18 นิ้ว ที่ทำสีเป็นสีดำ ยางหน้า-หลัง จัดเอาชุดยาง FIRESTONE DELUXE CHAMPION เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์การปรับแต่งในสไตล์ STREET BOBBER

Honda MSX125SF กับงาน The Clutcher Night Ride Battle

ที่สุดของความฟินส์ กับปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ของ Honda MSX125SF กับงาน The Clutcher Night Ride Battle

บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำรถมินิสปอร์ตไบค์ตัวจริง ล่าสุดจัดงานสุดยิ่งใหญ่ที่รวมพลสาวก MSX ทั่วเมืองไทยมากกว่า 3,000 ชีวิต กับงาน “The Clutcher Night Ride Battle” ภายในงานจัดเต็มความมันส์ให้เหล่าเดอะครัชเชอร์ได้สัมผัสกันด้วยการเนรมิตสนามแข่ง Pinball ยักษ์ สนามแข่ง MSX125SF รูปแบบใหม่ที่ให้สาวกมินิสปอร์ตไบค์ได้มาประลองฝีมือการคอนโทรลขั้นสุดกับ 5 ด่านสุดท้าทาย รถจักรยานยนต์ฮอนด้าจับมือร่วมกับเพจ Modifin Thailand นำเหล่ากูรูและสำนักแต่งชื่อดังมาร่วมกันตกแต่งรถ MSX125SF ในแบบฉบับของแต่ละคนกันถึงในงาน พร้อมส่งท้ายความสนุกให้เหล่าเดอะครัชเชอร์ได้ฟินส์กันสุดกับวงดนตรีดมันส์ ได้แก่ AB Normal, Musketeers, Rap is now & กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ โดยงานจัดขึ้นวันที่ 17 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ณ เมกาบางนา ลานหน้าห้างอิเกีย

คุณมนสิชา สังข์สุวรรณ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 5 ที่ผ่านมา MSX ถือเป็นโมเดลของฮอนด้าที่มีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างดีมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวโฉมแรกในปี 2013 จนถึงโฉมปัจจุบันที่มีการเปิดตัวไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “ฟินส์ไม่มีสะดุด สนุกทุกการคอนโทรล” จนมียอดขายรวมมากกว่า 400,000 คัน”

“การจัดงาน The Clutcher Night Ride Battle ในวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมที่มีต่อรถมินิสปอร์ตในเมืองไทย ต้องขอขอบพระคุณเหล่าเดอะครัชเชอร์จากทั่วเมืองไทยมากกว่า 3,000 ชีวิต ที่มาร่วมงานกันในวันนี้ แน่นอนเดอะครัชเชอร์ทุกท่านจะได้สัมผัสและฟินส์กับกิจกรรมที่ฮอนด้าได้จัดมาเพื่อทุกๆท่านอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น สนามแข่ง Pinball ยักษ์, จุดสำหรับทดลองขับขี่ MSX125SF ABS, โซนจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถ พร้อมรับคำแนะนำการตกแต่งจากกูรูสำนักแต่งชื่อดัง รวมถึงอาหารและดนตรีที่จะทำให้เดอะครัชเชอร์ฟินส์ไปตลอดงานในคำคืนนี้”

งาน “The Clutcher Night Ride Battle” ถูกแบ่งโซนกิจกรรมออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1. Amateur Track สนามที่ทุกคนที่มาร่วมงานสามารถลงทะเบียนเพื่อทดลองสมรรถนะของ MSX125SF 2. Giant Pinball Track สนามแข่งขันpinball ยักษ์ที่ให้ผู้แข่งขันวางแผนการแข่งขันได้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะแบ่งการแข่งขันทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีม 3. Main Stage เวทีคอนเสิร์ตใหญ่ยักษ์ที่พร้อมให้ฟินส์ไปกับวงดนตรีสุดมันส์ 4. MSX125SF Idea Challenge มุมการประกวด MSX125SF ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 20 คัน จากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากทางฮอนด้า และจะถูกคัดเลือกผู้ชนะเพียง 5 คันเท่านั้น ซึ่งทุกคนที่มาร่วมงานจะได้รับสิทธิ์โหวตคนละ 1 สิทธิ์ให้กับรถคันที่เราชื่นชอบได้ด้วยการประกวด MSX125SF ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก 20 คัน จากคณะกรรมการจากทางฮอนด้า และจะถูกคัดเลือกผู้ชนะเพียง 5 คัน 5. Modifin and Modify Zone มุมที่รวบรวม MSX125SF แต่งตัวจริงของเหล่าเซเลบจากเพจ Modifin และมุมสำหรับกูรูแต่งที่จะมาโมดิฟาย MSX125SF ของผู้โชคดีจากกิจกรรมที่ร่วมกันแชร์คลิปของทางเพจ ปิดท้ายกับโซน Outlets มุมร้านค้าของแต่ง MSX และของสะสมมากกว่า 20 ร้านค้าเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ยักษ์ พร้อมให้คุณฟินส์ไปกับ วงดนตรีสุดมันส์อย่าง AB Normal , Musketeers , Rap is Now & กอล์ฟ Fucking Heroเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ยักษ์ พร้อมให้คุณฟินส์ไปกับ วงดนตรีสุดมันส์อย่าง AB Normal , Musketeers , Rap is Now & กอล์ฟ Fucking Heroเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ยักษ์ พร้อมให้คุณฟินส์ไปกับ วงดนตรีสุดมันส์อย่าง AB Normal , Musketeers , Rap is Now & กอล์ฟ Fucking Hero

ภาพบรรยากาศกิจกรรมความมันส์ของงาน “The Clutcher Night Ride Battle” สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/hondamotorcyclethailand/ และสำหรับผู้ที่สนใจ New Honda MSX125SF ปี 2017 โฉมใหม่ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  www.aphonda.co.th

REBLE 300 #2 อัพเกรดเสริมออพชั่น Import

มาต่อกันอีกในสเต็ปที่สองกับการปรับแต่งเพิ่มความโดดเด่นของรถจักรยานยนต์ สปอร์ตครุยเซอร์ REBLE 300 ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์อันทรงพลังแบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะ ที่มีอัตราเร่งที่เร้าใจบิดได้สนุก และท่านั่งสบายๆ การควบคุมคล่องตัวทำให้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่ากับการเปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการได้ไม่นานก็ของแต่งออกมารองรับมากมายซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการคัสตอมตกแต่งเพิ่มเติมความสวยงาม และต้องบอกว่ารถสไตล์ครุยเซอร์ขนาดเล็กนั้นยังไม่มีในบ้านเรา จึงเป็นอีกหนึ่งในการสร้างไอเดียการตกแต่ง นั่นทำให้เราอยากแนะนำหรือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการตกแต่งรถ โดยเน้นที่เป็นอุปกรณ์หาซื้อได้ตามร้านทั่วไป สวยแบบใช้งบที่ไม่มากและมีอุปกรณ์มารองรับที่หาได้ง่าย ไม่ใช่การสร้างชิ้นงานที่อลังการงานสร้างที่ประกวดชิงรางวัล

REBEL300 CUSTOM #2 ต่อจากฉบับที่แล้ว กับการอัพเกรดเสริมด้วยของแต่งที่ไฟหน้าเพิ่มความคลาสสิคครอบสวมด้วยตระแกรงอลูมินัมแบบกรงสีดำสไตล์อเมริกันคัสตอมไบค์ เป็นผลิตภัณฑ์จาก H2C ที่มีจำหน่ายในศูนย์บริการฮอนด้าวิงเซ็นเตอร์ทั่วประเทศ แฮนด์ FAT BAR เสริมความแข็งแกร่งในการควบคุมก็เป็นของ H2C เช่นกัน ปลอกแฮนด์ยางนุ่มๆ บิดสบายมือ ต่อด้วยกระจกปลายแฮนด์ทรงกลมตัวนี้สั่งนำเข้าในราคาพิเศษ ครอบปิดเรือนไมล์อลูมินัม CNC รูปร่างหน้าตาเหมือนมงกุฎ พักเท้าแบบทัวร์ริ่งแผ่นใหญ่วางเท้าได้เต็มทำให้ท่านั่งสบาย และยางกันลื่นด้านข้างถังน้ำมันแบบสปอร์ต ปั๊มเบรกแท้งค์เหลี่ยมเปลี่ยนฝาครอบอลูมินัมลายคลาสสิคหน้าตาของเครื่องยนต์ด้านหน้าจะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วยการ์ดหม้อน้ำอลูมินัมโดดเด่นด้วยความมันวาว ช่วยป้องกันเศษหินต่างๆ และระบบซับเพนชั่นเปลี่ยนเสริมความนิ่มนวลเพิ่มสมรรถนะของการขับขี่ด้วยโช้คอัพหลังคู่ใหม่ระบบแก๊สจากแบรนด์แต่งชื่อดัง Gazi แบบมีซับแท้งค์บิ้วท์อิน ไฟท้ายสั่งนำเข้าจากต่างประเทศแบบตระแกรงเข้าชุดกับไฟหน้า ไฟเลี้ยวคู่หน้าขนาดเล็ก ครอบแกนโช้คช่วงบนอลูมินนัมให้ดูมีขนาดใหญ่บึกบึน และยางครอบกันฝุ่นแบบคลาสสิค ซึ่งโดยรวมๆ แล้วการตกแต่งคัสตอมรถจักรยานยนต์สไตล์นี้จะเน้นการใช้งานเป็นหลัก เสริมอุปกรณ์แต่งเพื่อความเท่ สวยงาม แต่สามารถที่จะใช้งานได้ตามปกติ ความสบายของท่านั่งที่วางเท้าได้เต็ม และการจับที่มั่นคงนิ่มนวล ความปลอดภัยมองเห็นด้านหลังด้วยกระจก ไฟหน้าไฟท้ายถึงจะมีตระแกรงครอบแต่ก็ส่องสว่างได้ชัดเจน

ชุดครอบไฟหน้าจาก H2C

หน้ากากเรือนไมล์จากพนมอะไหล่

กระจกปลายแฮนด์เข้ากันดีกับ Rebel 300

แฮนด์บาร์สีดำชุดแต่งจาก H2C

ฝาปิดกระปุกน้ำมันเบรกแต่ง

ยางกันลายข้างถังป้องกันรอยขีดข่วน

ประกับยึดขาไฟเลี้ยวหน้า

ครอบหม้อน้ำเพิ่มความหรูหรา

พักเท้าขนาดใหญ่เพิ่มความสะดวกสบาย

โช้คอัพหลังแก๊สซี่สำหรับ Rebel 300

ไฟท้ายเข้าชุดกับชุดครอบไฟหน้าสวยลงตัว

ชุดไฟเลี้ยวหน้า-หลังตรีมเดียวกันกับไฟหน้าและไฟท้าย

กระจกปลายแฮนด์ชุดอัพเกรด

ชุดไฟท้ายเลือกสรรอย่างลงตัว

นี่เป็นเพียงการนำเสนอแนะไอเดียการตกแต่งแบบกลางๆ โดยที่สามารถหาซื้อของแต่งเองได้ ราคาก็ไม่แพงมาก และใช้ไอเดียของตัวเองได้ไม่ยาก แต่ถ้ามีงบประมาณที่มากพอในการสร้างชิ้นส่วนงานต่างๆ แบบมาสเตอร์พีซก็สั่งทำได้ตามความต้องการของแต่ละคนยังเหลืออีกหนึ่งสเต็ปในการคัสตอมตกแต่ง REBEL 300 กับออพชั่นต่างๆอีก ที่ได้รับการสนับสนุนจากร้านจำหน่ายอะไหล่แต่ง ต้องติดตามในฉบับหน้าว่าจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไรกับไอเดียการปรับแต่งรถสไตล์ครุยเซอร์ ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่บิดสนุก ให้อัตราเร่งที่เร้าใจ พร้อมพาคุณโลดแล่นไปบนท้องถนนอย่างอิสระ

RACING BOY MT RIM

จัดของเด็ดจัดของโดนมาอีกแล้วสำหรับเรซซิ่งบอย แบรนด์ที่รู้จักกันดีสำหรับอุปกรณ์ตกแต่งแทบจะครบทั้งคัน ซึ่งทุกชิ้นงานที่ประทับโลโก้เรซซิ่งบอยลงไปย่อมมีมาตรฐานของตัวงานที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะกับงานวงล้อรุ่น MT เอาใจขาซิ่งล้อซี่มีให้เลือกครบทุกขนาด

นักบิดชาวไทยรู้จักเรซซิ่งบอยจากวงล้อแม็กมานานมาก แต่ในด้านของวงล้ออลูมินัมนั้น เรซซิ่งบอยก็เป็นหนึ่งของทางเลือกที่น่าสนใจในระดับต้นๆ กับวงล้อรุ่น MT ที่ผลิตจากอลูมินัมซีรีส์ 7 อันเป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าแข็งแกร่งเหมาะสมกับการนำมาทำวงล้อรถจักรยานยนต์ที่สุด ผ่านกรรมวิธีผลิตที่ประณีตก่อนจะบรรจุลงกล่องวางจำหน่าย และเพื่อความมั่นใจทีมงานไรดิ้งเราได้ทำการทดสอบความแข็งแกร่งด้วยรถในประเภทซูเปอร์โมโตรุ่นยอดฮิต กับโจทย์การขับขี่ทดสอบที่ไม่ธรรมดา
วงล้อในการทดสอบของเราเป็นขนาด 3.50 นิ้วที่ล้อหน้า และ 4.25 นิ้วที่ล้อหลัง แกะกล่องออกมาก็นำไปขึ้นแทนล้อเดิมติดรถที่เล็กกว่าได้ทันทีโดยใช้ซี่ลวดชุดเดิมแบบไม่ต้องดัดแปลงอะไร และยังใส่ได้กับยางชุดเดิมได้ด้วย หนึ่งวันของการขับขี่ทั้งในสนามทดสอบเพื่อการใช้งานในช่วงความเร็วทั้งทางตรงและเลี้ยวโค้ง จากนั้นก็เลี้ยวลงทางดินเพื่อรองรับกับแรงกระแทกเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงการรับน้ำหนักจากการโดดเนินจั๊มป์ ละการวิ่งชนตรงๆ กับของแข็งอย่างการขี่ขึ้นและลงบันไดคอนกรีต ซึ่งวงล้อเรซซิ่งบอย เอ็มที ก็ผ่านได้ทุกอุปสรรคโดยไม่บุบสลาย จึงนับว่าเป็นวงล้ออลูมินัมคุณภาพสูงที่มั่นใจได้ทุกเส้นทาง

วงล้ออลูมินัมเรซซิ่งบอย เอ็มที วางจำหน่ายใน 3 สียอดนิยมตลอดกาล สีเงิน สีทอง และสีดำ ที่ไม่ว่าจะใส่กับรถสีอะไรก็เข้ากันอย่างโดดเด่นหรือกลมกลืน รองรับกับการใช้งานของรถในทุกประเภทเพราะมีจำหน่ายมากมายหลายขนาด ตั้งแต่ 12” 14” 16” 17” 18” 19” 21” ทะลายทุกข้อจำกัดของรถทุกยี่ห้อด้วยจำนวนรูซี่ลวดที่มีให้เลือกทั้ง 28, 32, 36 รู ไม่ว่ารถยี่ห้ออะไร ประเภทไหนก็ใช้ได้ แถมราคาจำหน่ายยังเน้นความคุ้มค่า อย่างล้อทดสอบคู่นี้ ขนาด 3.50-17 ราคา 2,200 บาท และล้อหลัง ขนาด 4.25-17 ราคาเพียง 2,500 บาท เท่านั้นสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถคลิกเข้าไปดูได้ที่ HYPERLINK “http://www.racingboythailand.com เฟซ” www.racingboythailand.com เฟซบุค HYPERLINK “http://www.facebook.com/racingthailand หรือโทร 0-2889-6697” www.facebook.com/racingthailand หรือโทร 0-2889-6697 และสามารถซื้อได้ตามร้านจำหน่ายอะไหล่ชั้นนำทั่วประเทศ