ค่ายรถอิตาลีอย่าง Ducati ขยับปรับขบวนทัพรถในไลน์อัพกลุ่ม Nakedbike อย่าง Monster ด้วยการนำเสนอของแรง เวอร์ชั่นพิเศษนำร่องรถซีรี่ส์นี้ออกสู่ตลาด นี่คือการเติบโตหรือการขยายรากฐานของรถตระกูล Monster ไปอีกระดับขั้น ด้วยการส่ง Monster SP ที่อยู่ภายใต้การออกแบบด้วยเงื่อนไขที่เน้นสร้างความสนุกสนานเร้าในให้กับผู้ขับขี่มากกว่าที่เคย จากธรรมชาติดั้งเดิมของรถในกลุ่ม Nakedbike ทางโรงงานโบ โลญญ่า ได้ประเคนเทคโนโลยีและส่วนประกอบใหม่ๆเสริมเข้าไป เพื่อเพิ่มความเป็นสปอร์ตที่มากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่า Monster SP มาพร้อมกับ คำจำกัดความสั้นๆว่า Mad For Fun ที่มาพรอมกับฟิลลิ่งการขี่ในสไตล์สปอร์ต และภาพลักษณ์ที่มีกลิ่นอายจากรถแข่ง MotoGP ของพวกเขา โดย Monster SP จะใช้โทนสีของรถแข่งปี 2022 อย่าง Desmosedici GP พร้อมกับอุปกรณ์ส่วนประกอบที่จะมาเสริมให้มันมีความเป็นรถในแบบ supersport ชั้นนำจะต้องมีติดตั้งมาเป็นชุดมาตรฐานจากโรงงาน
ด้วยคำจำกัดความ Mad for Fun บ่งบอกได้ถึงความปรารถนาของ Ducati ในการที่จะขยายฐานของรถในตระกูล Monster ออกไปให้กว้างมากกว่านิยามความเป็นตัวตนในกลุ่มของรถ Nakedbike ด้วยการส่ง SP version เป็นหัวหอกนำร่องออกมาสู่ตลาด ด้วยการออกแบบให้มันมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น ให้ความสนุกสนานยิ่งขึ้น และรหัส SP นี่เองที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือ ที่สุดของตระกูล Monster หรือก็คือ Top of the range ที่ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีและส่วนประกอบของอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบลงตัวมากที่สุดเท่าที่รถในตระกูลนี้พัฒนาออกมาสู่ตลาด
นับตั้งแต่ปี 2021 ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ๆ ด้วยการออกแบบปรับโฉมให้ Monster เป็นรถที่มีความกะทัดรัด มีความดุดัน มีน้ำหนักที่เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาจากตัวตนดั้งเดิมของรถตระกูล Monster ที่ออกมาสู่ตลาดตั้งแต่ปี 1993 อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ที่เป็นรากฐานของการพัฒนารถในซีรีส์นี้ หนึ่งในนั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสปอร์ต แต่สามารถนำมาใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่บนท้องถนน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เป็นอีกแนวทางของการพัฒนาก็คือการผสมผสานแนวทางของการออกแบบเฟรมที่ต่อยอดมาจากรถในไลน์อัพประเภทSuperbike ของพวกเขา เพื่อตอบโจทย์สนองความต้องการให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยประโยคที่ว่า everything you need to have fun every day แปลแบบง่ายๆก็คือ ทุกสิ่งที่คุณต้องการก็คือการได้สนุกในทุกๆวันกับการขับขี่รถรุ่นนี้นั่นเอง
หัวใจของ Monster นั้นก็คือ เครื่องยนต์ที่ใช้อย่าง Testastretta 11 engine ที่เป็นเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำ liquid-cooled 4-valve twin ที่มีกำลังเครื่องยนต์ 111แรงม้า อย่างที่กล่าวไปแล้วโครงสร้างเฟรมนั้นต่อยอดมาจากรถในกลุ่ม Superbike ดังนั้นที่ส่วนเฟรมช่วงหน้าของ Monster จึงได้รับการปรับแต่งมาจากเฟรมของ Panigale V4 ที่มีน้ำหนักเบาและมีความกะทัดรัด
คงไม่ผิดนักที่จะระบุว่าเจ้า SP นี้ คือการแตกไลน์ใหม่ล่าสุดหรือการยกระดับมาตรฐานของรถตระกุลนี้ ที่ซึ่งจะขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ใหม่ๆ หรือเหล่า new generations of Monsteristi ต่างก็จะต้องชื่นชอบหรือหลงเสน่ห์ของเจ้า SP นี้
เป็นธรรมชาติหรือตัวตนของ Monster SP นั้น ล้วนถึงแต่งแต้มด้วยโทนสีรถแข่งจาก Ducati Lenovo Team อย่าง Desmosedici GP ที่เพิ่งเถลิงบัลลังก์แชมป์โลกในปีที่ผ่านไปมาครอง พร้อมกับการติดตั้งส่วนประกอบที่ล้วนมีผลต่อความแรงสมรรถนะการขับขี่ที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นสปอร์ตให้เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ Ohlins NIX30 fork ที่มาด้วยการอะโนไดซ์สีทองเด่นสะดุดตา หรือการติดตั้งปลายท่อไอเสียซึ่งเป็นท่อสูตรสุดแรงจาก Temignoni ที่เป็นท่อไอเสียมาตรฐานจากโรงงาน หรือแม้แต่เบาะนั่งคุณภาพสูงเฉดสีแดงเด่นสะดุดตา ข๊ะเดียวกันชิ้นส่วนครอบเบาะผู้โดยสารก็ใช้โทนสีแดงพร้อมประทับตราโลโก้ MonsterSP อันเป็นสัญลักษณ์ระบุตัวตนของความเป็นเวอรืชั่นพิเศษ เช่นเดียวกับในส่วนของถังเชื้อเพลิงที่ออกแบบกราฟฟิคลวดลายและติดโลโก้Ducati ที่เป็นกราฟฟิคในสไตล์เดียวกับที่ใช้บน Panigale V4 อีกด้วย
หลายๆส่วนประกอบที่ติดตั้งมาใน Mobster SP นั้นก็เพื่อประโยคที่ว่า greater performance in sporty riding คือเสิรมสร้างพลังขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยมเพื่อตอบสนองฟิลลิ่งการขี่ที่มีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น แน่นอนผู้ขับขี่จะต้องสนุกสนานกับการขี่ในทุกๆวันที่เพิ่มขึ้นกว่ามาตรฐานเดิมของรถในตระกูลนี้ ไม่ว่าประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในเรื่องของการเบรก ความแม่นยำในทุกจังหวะการควบคุมรถ ล้วนถูกนำมาเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนามันออกมาด้วยระบบกันสะเทือนแบบ fully adjustable Ohlins suspension ที่ปรับเซ็ทได้อย่างเต็มรูปแบบ ของผู้เชี่ยวชาญระบบกันสะเทือนชั้นนำนี้ สามารถรถน้ำหนักฟอร์คหน้าให้เบาขึ้นถึง 0.6 กก. ซึ่งเป็นน้ำหนักของฟอร์คหน้าที่เบาที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับรถในตระกูลนี้ ไม่เพียงเท่านั้นนี่คือระบบกันสะเทือนที่เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีอันดับต้นๆเท่าที่จะมีใช้ในรถโปรดักชั่นที่จำหน่ายทั่วไป ซึ่งทางโรงงานโบโลญญ่ายืนยันว่า Monster SP จะเป็นรถที่มีสมดุลในทุกจังหวะการควบคุม บนทุกๆสภาพการขับขี่ทั้งถนนเปิด ทั้งถนนที่มีรูปแบบหลากหลาย รวมทั้งยังมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับนำไปขับขี่บนแทร็คได้อย่างสนุกสนานและเปี่ยมประสิทธิภาพ ยังรวมถึงระบบเบรกที่ได้มีการอัพเกรดมาเป็น Brembo Stylema calipers ที่มาพร้อมกับจานดิสหน้าขนาด 320 มม. ซึ่งนอกจากมันจะให้ประสิทธิภาพการหยุดรถที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังสามารถลดน้ำหนักชิ้นส่วนในระบบเบรกได้มากกว่าเดิมอีกเช่นกัน แม้กระทั่งรายละเอียดในส่วนของชิ้นส่วนอย่างแบตเตอรี่ ก็อัพเกรดมาเป็น lithium-ion battery ซึ่งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักโดยรวมของรถเวอร์ชั่นพิเศานี้สามารถลดลงไปถึง 2 กก. จากโมเดลก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ก็มีการติดตั้งชิ้นส่วนกันสะบัดหรือ steering damper ที่ออกแบบมาช่วยให้ตัวรถมีความมั่นคงในจังหวะการเร่งและเลี้ยวที่ทำได้นิ่งมากขึ้น พร้อมกันนี้ในส่วนของ electronic control ของรถได้อัพเกรดเพิ่มขึ้นจากโมเดลก่อนนี้ ด้วยการเพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่เข้ามา คือ wet riding mode ที่พัฒนามาให้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยเสริมสมรรถนะที่ดีในขณะขับขี่บนพื้นผิวที่เปียกลื่น
ในส่วนของระบบอิเล้คทรอนิคส์นี้กล่าวได้ว่าเป็นระบบที่ทันสมัยและมีมาตรฐานที่สูงเท่าที่จะสามารถติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานติดรถ ซึ่งถือว่าอยู่ในเลเวลที่สูงพอสมควรเมื่อเทียบกับรถในกลุ่มเดียวกันที่มีจำหน่ายในตลาด ซึ่งระบบอิเล็คทรอนิคส์มาตรฐานที่ติดตั้งมาจากโรงงานในฐานะ standard equipment นั้น จะประกอบไปด้วย ABS Cornering, Ducati Traction Control และ Ducati Wheelie Control ซึ่งแต่ละระบบนั้นต่างก็สามารถปรับตั้งค่าการใช้งานที่หลากหลาย และที่พิเศษสำหรับ Monster SP ก็คือ การติดตั้งระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นตัวช่วยด้านความปลอดภัยและความสะดวกในจังหวะการออกตัว ก็คือ Launch Control ที่มักจะมีติดตั้งอยู่ในเฉพาะรถซีรีส์สูงๆเท่านั้น แต่ทางโรงงานโบโลญญ่าได้นำมาติดตั้งกับเจ้า SP นี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์พวก electronic control ที่ได้รับมา ทำให้ Monster SP ได้อัพเกรดปุ้มควบคุมบนแฮนเดิลบาร์ที่จะช่วยในการสั่งงานการปรับตั้งค่า ที่จะแสดงผลผ่านหน้าจอสีแบบ TFT ที่จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงโหมดการขี่ต่างๆ ไม่ว่า sport , touring , wet นอกจากนี้ยังสามารถแจ้งค่าต่างๆโดยจอแสดงผลนี้ได้ออกแบบกราฟฟิคการบอกข้อมูลต่างในแบบเดียวหรือใกล้เคียงกับ Panigale V4 ซึ่งเป็นรถในกลุ่มSuperbikeระดับเรือธงของ Ducati
สเปค ข้อมูลพื้นฐาน
Engine
Type : Testastretta 11°, V2 – 90°, 4 valves per cylinder, desmodromic valvetrain, liquid cooled
Displacement : 937 cc (57 cu in)
Bore x Stroke : 94 mm x 67.5 mm
Compression Ratio : 13.3:1
Power : 111 hp (82 kW) @ 9,250 rpm
Torque : 9.5 kgm (93 Nm, 69 lb ft) @ 6,500 rpm
Fuel Injection : Electronic fuel injection system, Ø 53 mm throttle bodies with Ride-by-Wire system
Exhaust : Pre-muffler and Termignoni type approved twin muffler, catalytic converter and 2 lambda probes
Gearbox : 6 speed with Ducati Quick Shift up/down
Final drive : Chain, front sprocket z15, rear sprocket z43
Clutch : Slipper and self-servo multiplate wet clutch with hydraulic control
Frame : Aluminum alloy Front Frame
Front suspension : Fully adjustable Öhlins NIX 30 Ø 43 mm usd front fork with TiN treatment on inner tube
Front Wheel : Light alloy cast, 3.5″ x 17″
Front Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 120/70 ZR17
Rear suspension : Progressive linkage, fully adjustable Öhlins monoshock, aluminium double-sided swingarm
Rear Wheel : Light alloy cast, 5.5″ x 17″
Rear Tyre : Pirelli Diablo Rosso IV 180/55 ZR17
Wheel Travel (Front/Rear) : 140 mm / 150 mm (5.5 in / 5.9 in)
Front Brake : 2 x Ø 320 mm semi-floating aluminum flange discs, radially mounted Brembo Stylema® monobloc 4-piston callipers, radial master cylinder, Cornering ABS
Rear Brake : Ø 245 mm disc, Brembo 2-piston floating calliper, Cornering ABS
Instrumentation : 4.3″ TFT colour display
Dry Weight : 166 kg (366 lb)
Kerb Weight : 186 kg (410 lb)
Seat Height : 840 mm (33.1 in)
Wheelbase : 1,472 mm (57.9 in)
Rake : 23°
Trail : 87 mm (3.4 in)
Fuel Tank Capacity : 14 l (3.7 US gal)