ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง ยืนยันว่า ยังคงเป็นรถที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการชิงชัยเพื่อลุ้นตำแหน่งแชมป์โลกในระดับ MX2 อีกด้วย นั่นคือสิ่งที่ Honda กล่าวถึง CRF250R โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหาก
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเอง และเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450R
อย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ
Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.
Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.
Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.
เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive) ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ
BRAKE ; Rear 240mm hydraulic wave disc โมเดลปีล่าสุดที่พัฒนาออกมาสู่ตลาดสำหรับปี 2023 แถมยังเปิดตัวมาก่อนถึงช่วงครึ่งปีของปี 2022 อีกต่างหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในส่วนของกลไกชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Mechanically unchanged for 2023 the CRF250R หากย้อนหลังไปห้าปีที่แล้วพวกเขาได้ทำการอัพเดทครั้งใหญ่กับการยกเครื่องขนานใหญ่ให้กับ 2018 CRF250R ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามแพลนจากการพัฒนาที่ทำไปก่อนหน้านี้กับเรือธงอย่าง 2017CRF450R ดังนั้นแนวคิดและคอนเซ็ปท์ต่างๆที่ทำไปเหล่านั้นจึงถูกนำมาปรับใช้กับการพัฒนา 2018 CRF250R ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาตามคำจำกัดความ คือ Absolute Holeshot เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์ใหม่ a brand new DOHC engine และยังรวมถึงระบบกันสะเทือน Showa suspension ของ CRF250R จึงถูกพัฒนาไปในแนวทางเดียวกันนั่นเองและเช่นเดียวกันในโมเดลถัดจากนั้นนับถัดจาก 2018 CRF250R ก็พัฒนาตามหลังในแบบเดียวกับที่ทำกับในรุ่นใหญ่อย่าง CRF450Rอย่างไรก็ตามด้วยแพลนการพัฒนารถดังกล่าว ได้มาถึงโมเดลปี 2022 การตกผลึกของ CRF250R ได้ผลรับออกมา คือ เป็น MXer ขนาดสองแรงครั้ง หรือ 250F ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาผลิตออกมา ซึ่งระบุชัดเจนว่า มันคือ The Strongest Ever ดังนั้นจึงมีการอัพเดทน้อยมากกับ 2023 CRF250R ที่เห็นชัดเจนก็มีกราฟฟิคและลวดลายโลโก้เป็นส่วนหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงจากโมเดลเดิมขณะที่ในส่วนระบบอิเล็คทรอนิคส์นั้นก็มีการติดตั้งมาไม่น้อยหน้ารุ่นใหญ่เช่นกัน โดย HRC Launch Control ก็จะมีอ๊อพชั่นสำหรับใช้ในการออกตัวอยู่สามตัวเลือก คือ
Level 3 – 10,000rpm, muddy conditions/novice.
Level 2 – 11,750rpm, dry conditions/standard.
Level 1 – 13,000rpm, dry conditions/expert.
เช่นเดียว EMSB-Engine Mode Select Button นั้นก็จะมีออกแบบมาให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่และเลเวลของผู้ขับขี่เอง คือ Mode 1 (Standard), Mode 2 (Smooth) และ Mode 3 (Aggressive) ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากคู่มือติดรถ