Skip to content

โมเดลล่าสุดของรถสูตรในพิกัด 250F จากค่าย Honda มาพร้อมกับการอัพเดท ที่ในเอกสารระบุว่าเป็น model updates นั้น สรุปง่ายๆเบื้องต้นคือ เจ้า new CRF250R คันนี้ เป็นโมเดลที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่ผ่านมา โดยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนของแชสซีส์มาจาก 2022 CRF450R ที่ใช้แข่งใน MXGP ผสานกับฝาสูบที่พัฒนาให้ได้แรงบิดที่มากขึ้นในช่วงรอบต่ำ รวมทั้งหม้อน้ำใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อีกทั้งคลัทซ์ได้เปลี่ยนมาเป็นแบบ 9 แผ่น และได้มีการปรับเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับชุดเกียร์บ๊อกซ์ที่มีการปรับเสริมใหม่ในส่วนของอัตราทดที่เหมาะสมลงตัวมากกว่าเดิม

นั่นคือข้อความจั่วหัวในพรารากราฟแรกที่ถอดมาจากเอกสารเกี่ยวกับ 2022 CRF250R ที่กล่าวได้ว่าแม้จะเป็นรุ่นรองจากเรือธงอย่าง 450R แต่ทางค่ายก็ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อย้อนไปปี 2018 ที่ได้ริเริ่มการออกแบบเพื่อเสริมประสิทธิภาพให้กับ CRF250R มากขึ้นด้วยแนวทางการพัฒนาที่เรียกว่า Absolute Holeshot อันสืบเนื่องมาจากผลพวงการพัฒนาที่ต่อยอดจาก 2017 โมเดล ที่ได้พัฒนาเฟรม ซึ่งนับเป็นเจเนอเรชั่นที่ 7 ที่ถูกนำมาใช้ครั้งแรก ก่อนจะมีการปรับมิติและเสริมในส่วนของระบบกันสะเทือน จนทำให้ 2018 โมเดล มีความลงตัวมากขึ้น ทว่าด้วยแนวคิดที่มากไปกว่านั้น ทางวิศวกรจึงได้พยายามที่จะโฟกัสไปที่ระบบอิเล็คทรอนิคส์ โดยเฉพาะการปรับค่าแมปปิ้งของเครื่องยนต์ ให้สามารถเลือกปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ที่สำคัญต้องเอื้อประโยชน์ในส่วนของการออกตัว และนั่นจึงเป็นนิยามของการพัฒนาสู่คำว่า Absolute Holeshot จากนั้นในปีถัดมากับ 2019 โมเดล ก็ได้มีการพัฒนาต่อมาในแบบไมเนอร์เช็นจ์ ปรับในส่วนของช่องทางของพอร์ทไอดีและไอเสีย เพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดที่ดีในรอบต่ำ รวมทั้งปรับเสริมตำแหน่งท่าทางการขับขี่และ เพิ่มประสิทธิภาพของ HRC launch control รวมถึงการปรับในส่วนของระบบเบรก จากนั้นใน 2020 โมเดล ก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่องด้วยการตัดสินใจเปลี่ยนสวิงอาร์มใหม่ รวมทั้งปรับในส่วนของเฟรมด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนนี้ มาจากเรือธงอย่าง 2019 CRF450R มาใช้กับ 2020 CRF250R ควบคู่กับแนวทางในการพัฒนาที่โฟกัสเครื่องยนต์ให้มีการตอบสนองที่ดีขึ้นในช่วงรอบกลาง ขณะที่ในปีที่ผ่านมากับ 2020 โมเดลนั้น ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดในแบบไมเนอร์เช็นจ์ โดยโฟกัสไปที่เรื่องของ “ช่วง” เล็กน้อย ก่อนจะมาสู่โมเดลล่าสุด ตามที่กล่าวถึงตั้งแต่ช่วงพารากราฟแรกนั่นเอง

แม้ว่า 2022 CRF250R จะใช้พื้นฐานแชสซีส์เดียวกับ 2021 CRF450R แต่ก็มีการ”ปรับ” จนสามารถเซฟน้ำหนักเมื่อรวมกับเครื่องยนต์ลงได้รวม 3 กก. มีการเปลี่ยนแปลงมิติตัวรถบางจุดให้มีความเหมาะสม รวมทั้งอัพเกรดในส่วนของระบบกันสะเทือน ด้วยการออกแบบและปรับเปลี่ยน ทำให้เฉพาะในส่วนของเฟรมสามารถลดน้ำหนักลงได้ 700 กรัม เมื่อเทียบกับเฟรมก่อนหน้านี้ ขณะที่ในส่วนของซับเฟรมนั้นสามารถลดน้ำหนักลงได้ 320 กรัม เนื่องจากการ”ปรับ”รายละเอียดโดยรวมของแชสซีส์ มีส่วนช่วยให้แรงบิดแรงเค้นที่เกิดขึ้นขณะขับขี่เมื่อเทียบกับโมเดลก่อนหน้านี้ กล่าวได้ว่า ลดลง 20% นั่นหมายความว่า การปรับในส่วนของแชสซีส์ นี้จะช่วยให้”ช่วงของรถ”ดีขึ้น มีผลให้สามารถทำความเร็วในโค้งได้ดียิ่งขึ้น และจากการปรับในส่วนของแชสซีส์นี้ช่วยให้รถมีการให้ตัวที่ดีในแต่ละจุด ดังนั้นความคล่องตัว ความเฉียบคม และ สมดุล ของตัวรถมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบกันสะเทือน fully adjustable จาก Showa แบบอัพไซด์ดาวน์ Showa USD coil spring fork ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น Showa Factory ที่ซัพพอร์ททีมแข่งในรายการออลเจแปน ที่ได้นำมาทำการปรับแต่งวาล์ว เพื่อเน้นความนุ่มนวลในโค้ง ขณะที่กันสะเทือนหลัง Showa rear shock มีการปรับ main piston valving เพื่อให้มีการตอบสนองที่ดี และเพิ่มการซับแรงสั่นสะเทือนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังใช้สปริงน้ำหนักเบาแบบ lightweight steel ซึ่งช่วยเซฟน้ำหนักไปได้ 120 กรัม

.มาที่ส่วนของเครื่องยนต์นั้นมีการปรับในส่วนของช่องทางเข้าของไอดี และฝาสูบ ที่พยายามออกแบบให้อากาศไหลเวียนผ่านเข้าไปได้สะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาท่อไอเสียแบบปลายเดี่ยวที่ช่วยให้ได้กำลังเพิ่มขึ้น 10% เช่นเดียวกับแรงบิดที่มากขึ้น 15% สำหรับเครื่องยนต์ ขนาด 249.4 ซีซี DOHC เป็นการต่อยอดมาจากเครื่องยนต์ที่พัฒนาให้มีกำลังเครื่องยนต์ที่จัดจ้านจาก 2020 โมเดล ที่เน้นกำลังสูงสุดและเพิ่นแรงบิดในช่วงรอบกลาง จนมาสู่ new CRF250R นี้ ทำให้ภาพรวมของกำลังเครื่องยนต์และแรงบิดนั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม กล่าวคือ ในเกียร์เดียวกันการขับขี่แบบโค้งต่อโค้งนั้นจะได้อัตราเร่งที่เหนือกว่าจากโมเดลที่ผ่านมา และที่ขาดไม่ได้ก็คือระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่เป็นหัวใจสำคัญสำหรับรถจักรยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่ง HRC Launch Control ได้มาพร้อมกับการออกสตาร์ทมาให้สามแบบ คือ Level 3 – 8,250rpm, muddy conditions/novice ; Level 2 – 8,500rpm, dry conditions/standard ; Level 1 – 9,500rpm, dry conditions/expert และเช่นเดียวกับ EMSB-Engine ModesSelect Button จะมีการติดตั้งค่าแมปปิ้งมาให้สามแมปด้วยกัน

ENGINE
Type : Liquid­cooled 4­stroke single DOHC
Displacement : 249.4cc
Bore & Stroke : 79mm x 50.9mm
Compression Ratio : 13.9:1
Oil Capacity : 1.35L
FUEL SYSTEM
Carburation : Fuel injection
Fuel Tank Capacity : 6.3 litres
ELECTRICAL SYSTEM
Starter : Electric
DRIVETRAIN
Clutch Type : Wet multiplate
Transmission Type : Constant mesh
Final Drive : Chain
FRAME
Type : Aluminium twin tube
CHASSIS
Dimensions (L´W´H) : 2,177 x 827 x 1,265mm
Wheelbase : 1,477mm
Caster Angle : 27.32 degrees
Trail : 115mm
Seat Height : 961mm
Ground Clearance : 333mm
Kerb Weight : 104kg
SUSPENSION
Type Front : 49mm Showa (Hitachi Astemo, Ltd) coil­spring USD fork
Type Rear : Showa (Hitachi Astemo, Ltd.) Mono shock with Honda ProLink
WHEELS
Type Front : Aluminium spoke
Type Rear : Aluminium spoke
Tyres Front : 80/100­21 PIRELLI MX32 MIDSOFT
Tyres Rear : 100/90­19 PIRELLI MX32 MIDSOFT
BRAKES
Front : 260mm hydraulic wave disc
Rear : 240mm hydraulic wave disc