Skip to content
YZF-R7 สปอร์ตสองสูบ 74 แรงม้า มาสเตอร์ทอร์ค กระชับ เรียว เพรียว บาง

เชื่อว่าหลายๆ คน คงได้เห็นข้อมูลผ่านตากันไปบ้างแล้วของตัวรถ แต่ผมจะสรุปแบบคร่าวๆ ถึงจุดเด่นของ YZF-R7 ก่อนที่จะให้ความคิดเห็นถึงสมรรถนะการขับขี่บนแทร็คสนามช้างฯภาพลักษณ์ดีไซน์ทันสมัยที่ลงตัวสอดรับผสมผสานความสปอร์ตไบค์ มีความเพรียว ไม่เทอะทะ ที่เป็นเอกลักษณ์ Series-R ดูโฉบเฉียวและลงตัวในการออกแบบ การใช้งานความสะดวกสบาย ที่สำคัญนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน

หลักพลศาสตร์ที่ใส่ใจในการออกแบบตามหลักการใช้งานจริงเพื่อสนองต่อผู้ใช้ที่ชื่นชอบความเป็นรถสปอร์ต แต่สามารถขับขี่ใช้งานได้ทั้งในเมือง และทางหลวงที่ต้องการความเร็ว ตัวเฟรมแข็งแรงน้ำหนักเบา ปรับมุมเคสเตอร์ให้รถสามารถเลี้ยวได้ง่าย การวางเท้าและเข่ากระชับทำให้แนบสนิทกับบอดี้ที่ลงตัว สมบูรณ์แบบในการเป็น R-Series ไม่แพ้รุ่นพี่ในสนามแข่ง

ออพชั่นที่จัดมาให้ลงตัวทั้งระบบการถ่ายเทความร้อน ช่องแรมแอร์ด้านหน้า โช้คอัพหน้า Upside Down ปรับได้เต็มระบบ ดิสก์เบรกหน้าดูโอ้ จานเบรกใหญ่ 289 มม. คาลิเปอร์แบบ 4 พอร์ท ปั๊มบน Brembo โช้คอัพหลัง ปรับได้ 2 ระบบ พรีโหลด  รีบาวด์ 11 ระดับ องศาการจับแฮนด์แบบวีกริบ บอดี้ถังไม่ใหญ่เกินไปสำหรับคนตัวเล็กๆ ยางที่ติดมากับรถ บริดจสโตน แบทแลค S22 ซึ่งเป็นตัวท็อปของยางถนน ยางหน้าแบบ 3 คอมบาวด์ ยางหลัง 5 คอมบาวด์

เครื่องยนต์ 2 สูบ CP2 ความจุ 699 ซีซี ให้พละกำลัง 74 แรงม้า อาจจะดูไม่ได้มากมาย แต่จุดเด่นของเครื่องยนต์ตัวนี้คือ แรงบิดในช่วงต้นและกลาง ซึ่งได้ปรับระบบอีเล็กทรอนิกส์ให้สามารถทำงานได้ฉับไว พร้อมกับเสริมสลิปเปอร์คลัทช์ให้ขี่สนุกและควบคุมรถได้ง่ายเมื่อลดเกียร์ในความเร็ว อีกหนึ่งจุดที่ไม่ได้มีให้แต่เป็นออพชั่นเสริมกับจุดต่อควิกชิพที่รองรับพร้อมติดตั้งได้เลย

ความคิดเห็นหลังการขับขี่

สัมผัสแรกกับการขึ้นไปนั่งคร่อมจัดท่าทางแบบขับขี่ทั่วไป แฮนด์อยู่ใต้แผงคอมันเป็นรถสปอร์ตที่ไม่ก้มมากจนเกินไป มิติดูเหมือนใหญ่แต่มันเพรียวที่สุดในบรรดา R Series ทั้งหมด นั่งกระชับ หนีบรถได้ง่าย เบาะกว้าง ขยับมอบได้สบายๆ ความสูงจากพื้นถึงเบาะไม่มาก ผมสูง 168 ซม. เหยียบได้ครึ่งเท้า พยุงได้สบายๆ เพราะรถไม่หนักมาก

เครื่องยนต์ 2 สูบ แบบคลอสเพน ที่โดดเด่นเรื่องของกำลังแรงบิด ออกตัวเร็ว รอบขึ้นเร็ว และมีรอบเครื่องยนต์ใช้งานได้เหลือเฟือ จะอยู่เกียร์ 3 หรือ 4 กระแทกคันเร่งออกไปได้โดยที่กำลังไม่ตก อัตราทดเกียร์ 2 จะลากได้ยาว น่าจะเน้นสำหรับการใช้งานทั่วไปทำให้รอบไม่ตึงมาก เปิดคันเร่งเร็วๆ หน้าลอยง่ายๆ เลย ขี่ในแทร็คเปียกต้องใช้เอ็นจิ้นเบรกเยอะ สำหรับเครื่อยนต์ตัวนี้เอ็นจิ้นดึงแรงแต่ได้ออพชั่นเสริม สลิปเปอร์คลัทช์ ก็ช่วยได้ในระดับนึง มันไม่ได้ใช้แบบ 100% เพราะวันที่ขับขี่ฝนตกแทร็คลื่น แต่ก็ได้รับความรู้สึกเล็กๆ ว่ามันทำงาน ซึ่งมันก็คงไม่ต่างไปจากรถสปอร์ตทั่วไป ที่เคยสัมผัส ถ้าจะให้ดีไม่ควรยกคันเร่วจนหมดในจังหวะเดียว ค่อยๆ ผ่อนคันเร่งเครื่องยนต์จะสมูทกว่า แล้วก็ค่อยๆ เปิดคันเร่งเพราะประแทกแรง หน้าหงายได้เลย ความเร็วสุดปลายที่ทำได้ 215 กม./ชม. (มันยังไปได้อีกถ้าแทร็คแห้ง) ถ้าติดตั้งควิกชิพเพิ่มคงจะสนุกขึ้น อีกอย่างก็คือ น่าจะมีระบบแทร็คชั่นคอนโทรมาให้อีกตัว รับรองว่าครบเซ็ท ขี่กันมัน

ช่วงล่าง โดยส่วนตัวชอบมากสำหรับรถในคลาสนี้ โช้คอัพหน้า Upside Down ปรับได้เต็มระบบ ไม่ได้มีแค่ความสวย เท่ แต่ยังทำได้ดีบนแทร็คเปียกๆ ด้วยค่าสแตนเดาร์ดเดิมๆ จากไลน์ผลิต เบรกหน้าดิสก์คู่ พร้อมคาลิเปอร์ 4 พอร์ท และใช้ตัวปั๊มบนของ Brembo อันนี้ก็มั่นใจได้ ขนาดแทร็คเปียกชุ่ม ยังกดล้อหลังลอย แต่ต้องจับแฮนด์ให้ดีๆ นะไม่งั้นก็อาจปลิ้นหน้าไถลได้ แต่นั่นก็ได้ตัวช่วยที่ดีด้วย ก็คือ ยางที่มีประสิทธธิภาพด้วยคอมบาวด์ที่แบ่งไว้ ช่วยให้การขับขี่นั่นง่ายขึ้น ขนาดแทร็คเปียกๆ ยังเอียงรถเข้าโค้งได้

กับราคาค่าตัว 339,000 ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ รูปทรงสปอร์ต ไม่เทอะทะ นั่งสบาย ออพชั่นพอตัว อัตราเร่งดี เหมาะสำหรับไรเดอร์ที่ใช้งานทั่วไปก็ได้ หรือมาขี่บนแทร็คก็ได้ เพราะช่วงล่างมันสามารถปรับได้