เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่มีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กับ Yamaha Tenere 700 รถจักรยานยนยนต์ Off-Road Rally เต็มรูปแบบคันแรกของค่ายส้อมเสียงในยุคปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวและจับจองเป็นเจ้าของไปแล้วในงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ปลายปีที่แล้ว และได้เวลาของการส่งมอบให้กับลูกค้า พร้อมกับได้ทดสอบขับขี่กันแล้ว ทีมงานไรดิ้งจึงไม่รอช้าขอลองความมันสักหน่อย
Yamaha Tenere 700 ถูกเติมเต็มด้วยรูปแบบ จากรถจักรยานยนต์แรลลี่ ที่เราเห็นในการแข่งขันระดับโลกอย่าง Darka Rally โดยใช้เครื่องยนต์ขนาด 689 ซีซี Crossplane 2 ลูกสูบเรียง 4 จังหวะ 8 วาล์ว (4 วาล์ว ต่อสูบ) แบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งก็เป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ Yamaha MT-07 ที่เน้นสมรรถนะของแรงบิดสูงในรอบต่ำ 68.0 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที พละกำลังสูงสุด 54 แรงม้า (KW) ที่ 9,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์แบบ 6 สปีด ระบบคลัทซ์มือแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ส่งกำลังสุดท้ายด้วยระบบโซ่
ไฟหน้า 4 ดวง แบบ LED วินชิวด์ทรงสูง แฮนด์เดิ้ลบาร์กว้าง หน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล TFT โครงสร้างตัวรถ Blackbone Double Cradle ระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ Upside-Down ขนาด 43 มม. ระยะยุบตัว 8.3 นิ้ว ระบบกันสะเทือนหลัง Singe Shock ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมินัม สามารถปรับระดับ Preload และ Rebound ได้ ระยะยุบตัว 7.9 นิ้ว ระบบเบรกหน้าคู่ขนาด 282 มม. พร้อมคาลิเปอร์ Brembo ระบบเบรกหลังดิสก์เดี่ยว ขนาด 245 มม. คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ โดยมีระบบเบรก ABS ที่สามารถเลือกเปิดและปิดการทำงานได้อย่างอิสระ วงล้อมีขนาดที่ไม่เท่ากัน โดยวงล้อหน้าจะมีขนาด 21 นิ้ว ตามแนวทางของรถที่ใช้ในการตะลุยทางวิบาก สวมยางขนาด 90/90R21 และวงล้อหลังขนาด 18 นิ้ว สวมยางขนาด 150/70R18 โดยตัวยางจากโรงงานจะเลือกใช้งานยางของแบรนด์ Pirelli Scorpion Rally STR มิติตัวรถมีความยาว 2,365 มม. ความกว้าง 915 มม. ความสูงโดยรวม 1,455 มม. ความสูงเบาะนั่ง 875 มม. ฐานล้อ 1,590 มม. ถังน้ำมันจุได้สูงสุด 16 ลิตร
ความคิดเห็นนักทดสอบ จตุรงค์ หมื่นทิพย์
มันคือรถจักรยานยนต์ที่ออกมาตอบสนองการขับขี่ที่หลากหลายรูปแบบจริงๆ การดีไซน์ขนาดของตัวรถที่เพรียว ดูไม่เทอะทะ เบาะนั่งที่ไม่สูงมาก วงล้อหน้าใหญ่หลังเล็ก และเสริมออพชั่นการ์ดกันล้มพร้อม แลคหลังสำหรับติดตั้งกล่อง สำหรับการผจญภัยโดยไร้ความกังวลสัมผัสแรกของการขึ้นไปคร่อม ท่านั่งกำลังดีกับสรีระของผมกับความสูง 168 ซม. ปลายเท้ายังพอจิกพื้นเอาตัวรอดได้ ถังน้ำมันทำสโล้ปให้รับกับเบาะนั่ง มันสะดวกในการใช้หัวเข่าหนีบรถ น้ำหนักประมาณ 220 กิโลกรัม เอาเรื่องอยู่นะกับขนาดรถเพียง 700 ซีซี แต่พอได้สตาร์ทออกตัวไป รอบเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูงแบบ Crossslane ดุดัน รุนแรง ทำให้รู้สึกถึงการควบคุมที่เบาแรงหักล้างกับน้ำหนัก การบิดกระแทกคันเร่งอย่างรวดเร็วทำเอาท้ายสไลด์ปั่นฝุ่นกระจาย แต่อัตราการทดเกียร์ช่วงต้นเกียร์ 1-2 ลากกันได้ยาว ทำให้ขี่ได้สนุกไม่ต้องกลัวแรงกระชากในการเปลี่ยนเกียร์ กำลังดีไม่มีตกรอบที่ต่อเนื่อง
ระบบช่วงล่าง การใช้วงล้อหน้าใหญ่ 21 นิ้ว สไตล์รถวิบาก มันพร้อมสำหรับการลุยฝ่าอุปสรรค ทางวิบาก ท่อนไม้ ก้อนหิน หรือการโดดเนินได้อย่างไม่ต้องกังวล แต่สำสหรับยางที่ไม่ใช่ดอกลึกคงต้องระวังกันหน่อย โช้คอัพหน้า แบบหัวกลับ ตั้งค่าสแตนดาร์ดก็เอาอยู่สำหรับการรับแรงกระแทกจากการโดด และขึ้นเนินลงหลุม การ์ดกันแคร้งเครื่องยนต์ด้านล่างพร้อมปะทะ ส่วนโช้คอัพหลังเดี่ยวก็เช่นกัน การเปิดคันเร่งในโค้งท้ายสไลด์คงไม่แปลกแต่มันช่วยซับแรงกด และสามารถคอนโทรลกลับเข้าสู่เส้นทางได้มั่นใจ ระบบดิสก์เบรกที่จัดหนักมาให้กับ Brembo คู่หน้า มั่นใจได้กับแบรนด์นี้ แต่ถ้าเจอทรายก็มีอาการแถๆ แถดๆ ออกข้างไปบ้าง ดิสก์เบรกหลังเดี่ยวก็ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แฮนด์เดิ้ลบาร์ ติดตั้งการ์ดมาให้สบายใจได้เมื่อลุยเข้าป่า จอแสดงผลแบบ TFT ธรรมดาๆ อ่านง่ายจอใหญ่
โดยจุดเด่นที่เหนือกว่าก็คือ รูปแบบของตัวรถที่เปิดโอกาสในการใช้งานได้หลากหลายของ Off-Road อย่างเต็มที่ ทั้งทางขรุขระ ทางวิบาก เนิน หลุม ทราย น้ำ และด้วยการใช้ถังน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ถึง 16 ลิตร สามารถเดินทางท่องเที่ยว หรือลุยเข้าป่าลึกได้โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับไบค์เกอร์มือเก๋าๆ ทั้งหลายน่าจะชอบอารมณ์ลุยๆ ที่มีความคล่องตัว แต่ไบค์เกอร์มือใหม่ คงต้องทำความรู้จักกับกำลังเครื่องยนต์ และการควบคุมสักพักรับรองว่าขี่แล้วสนุกแน่นอนส่วนราคาค่าตัวเปิดด้วยตัวสแตนดาร์ด ด้วยราคา 439,000 บาท และออพชั่นเสริม Touratech 493,000 บาท ส่วนตัวท็อปมีเพียง 7 คันเท่านั้น มาพร้อมของแต่ง Touretech เต็มคัน ราคา 575,600 บาท