ยามาฮ่า จัดทริปทดสอบ โชว์สมรรถนะ King of 150 Class

ยามาฮ่า จัดทริปทดสอบ โชว์สมรรถนะ King of 150 Class พร้อมกัน 2 รุ่น ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จัดทัพสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ ยามาฮ่า แอร๊อกซ์ 155 และ ยามาฮ่า เอ็กซ์ไซเตอร์ 150 ตอกย้ำความนิยมของตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติก และรถครอบครัวสไตล์สปอร์ตที่ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยสโลแกน King of 150 class

นางสรวงสุดา มนัสบุญเพิ่มพูล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส ฝ่ายการตลาดกลุ่มรถออโตเมติก และตราสินค้า บริหารลูกค้าสัมพันธ์ ประชาสัมพันธ์ และสื่อดิจิทัล พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด พาสื่อมวลชนชั้นนำของประเทศไทยร่วมทดสอบ รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า แอร็อกซ์ 155 และ ยามาฮ่า เอ็กซ์ไซเตอร์ 150

โดยในครั้งนี้ ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ได้ชวนสื่อมวลชนร่วมสัมผัสสมรรถนะของรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า แอร็อกซ์ 155 และ ยามาฮ่า เอ็กซ์ไซเตอร์ 150 ที่สุดของรถจักรยานยนต์คลาส 150 ซีซี สไตล์สปอร์ต ในแบบสปอร์ตออโตเมติก และแฟมิลี่สปอร์ต ณ อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี ซึ่งได้รับการตอบรับจากสื่อมวลชนที่ร่วมทำการทดสอบอย่างคับคั่งสำหรับ ยามาฮ่า เอ็กซ์ไซเตอร์ 150 ตอบโจทย์การใช้งานด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 150 ซีซี สูบเดี่ยว 4 จังหวะ ระบบ SOHC 4 วาล์ว ภายใต้ดีไซน์ที่ลงตัวตามหลักแอโรไดนามิค เติมเต็มอารมณ์สปอร์ต ใช้งานได้อย่างคล่องตัวด้วยโครงสร้างเฟรมใหม่น้ำหนักเบา ทั้งยังเร้าใจด้วยระบบเกียร์แบบสปอร์ต 5 สปีด พร้อมคลัตช์มือ

โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ LED สว่างชัดทุกการขับขี่พร้อมไฟ HAZARD ที่ลงตัวกับบังลมใหม่ให้ความรู้สึกปราดเปรียวสไตล์สปอร์ต รวมถึงเรือนไมล์สุดไฮเทคที่ให้ความคมชัดทุกมุมมอง ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ทั้งยังล้ำสมัยด้วย Sport Moped ช่วยค้นหารถได้ในระยะ 20 เมตรด้าน ยามาฮ่า แอร็อกซ์ 155 โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มาพร้อมกับความสปอร์ต ด้วยเรือนไมล์ดิจิทัลแบบ NEGATIVE ขนาดใหญ่ 5.8 นิ้ว รวมถึงไฟหน้าคู่แบบ LED ดีไซน์สปอร์ตและช่องต่อชาร์จแบตมือถือหรือไฟสำรอง พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า ให้ความสะดวกสบาย

แรงสุดในคลาส ด้วยเครื่องยนต์บลูคอร์ 155 ซีซี 4 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVA ตอบสนองทุกอัตราเร่ง ทั้งยังประหยัดทุกความเร็ว มาพร้อมกุญแจรีโมทอัจฉริยะ และระบบดับเครื่องยนต์อัจฉริยะเพิ่มความประหยัด ทั้งยังปลอดภัยสูงสุดด้วยระบบเบรก ABS ควบคุมการเบรกป้องกันล้อล๊อคในรุ่น ABS Version

2020 Yamaha WR155 R สายโดด สายดีด

2020 Yamaha WR155 R สายโดด สายดีด พร้อมกับสปีดสุดเร้าใจ
ยามาฮ่าพร้อมลุยสายฝุ่น ตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ที่มีหลากหลายสไตล์ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ กับการขับขี่ที่ตื่นเต้น หลังจากที่ อินโดนีเซีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับนักแข่ง MotoGP มาเวอร์ริค บีญาเลส ก็ได้เวลาของสยามประเทศที่จะได้สัมผัสกับความมันส์กันเร็วๆ นี้

Yamaha WR155R มาพร้อมกับความโดดเด่นของตัวรถที่ถอดดีเอ็นเอมาจากรุ่นพี่สายเอ็นดูโร่ รหัส WR ที่รู้จักทั่วโลกถึงสมรรถนะ และความลงตัว ของดีไซน์ เพรียว กระชับ คล่องตัว ควบคุมง่าย มาดูกันสิว่า WR155R มีฟีเจอร์และอะไรน่าสนใจที่จะกระชากเงินในกระเป๋าคุณได้บ้าง ระบบกันสะเทือนหน้าเทลเลสโคปิคขนาด 41 มม. และมีความยาวมากถึง 899.1 มม. ทำให้การซับแรงกระแทกในเส้นทางที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อนั้น มีความเสถียร ระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นแบบโมโนครอสแบบแก๊ส ที่สามารถปรับระดับพรีโหลดได้ตามสไตล์ของแต่ละคนเลย ส่วนยางจะเป็นแบบเอนกประสงค์ใช้งานได้ทั้งถนนทั่วไป และพร้อมลุยฝุ่น วงล้อซี่แบบอลูมินัม ข้างหน้า 21 นิ้ว หลัง 18 นิ้ว เพื่อให้สายลุยฝ่าอุปสรรคได้เต็มที่

ตัวเฟรมรถจะเป็นแบบ Semi Double Cradle Frame น้ำหนักเบาแต่แข็งแรง ถังน้ำมันจุมาให้มากถึง 8.1 ลิตร ตามสไตล์ของรถเอ็นดูโร่ แหม..ลุยกันได้ทั้งวัน ระบบเบรกจะเป็นแบบดิสก์เบรกจานหน้า 240 มม. ดิสก์ด้านหลังจาน 220 มม. หน้าจอแสดงผลเป็นแบบ LCD Meter แสดงค่าต่างๆ อย่างครบครัน

มาดูที่เครื่องยนต์กันบ้าง มีขนาดปริมาตร 155 ซีซี 1 สูบ 4 จังหวะ SOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีการติดตั้งระบบวาล์วแปรผัน VVA มาให้ด้วย เน้นพละกำลังที่จี๊ดจ๊าด ให้แรงม้าสูงสุดมาอยู่ที่ 16.5 แรงม้า ที่ 10,000 รอบต่อนาที แรงบิดอยู่ที่ 14.3 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที และกำลังอัด 11.6:1 ตรงนี้บอกเลยว่าจุดระเบิดได้เต็มที่สมบูรณ์มากเพราะการสั่งจ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดที่ละเอียด

แต่จะว่าไปแล้วด้วยข้อมูลที่แกะออกมาได้ ก็จะเหมือนกับเครื่องยนต์ลูกเดียวกันกับ MT-15 และ YZF-R15 ที่โดดเด่นเรื่องของพละกำลังแรงบิดที่โดดเด่น

Benelli 752S

รถอีกหนึ่งซีรีส์ของ Benelli ที่เกิดขึ้นมาจากการตีความหมายของคำว่าความเป็นสปอร์ต และความสง่างามที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของ Benelli ในประวัติศาสตร์การก่อนตั้งแบรนด์นี้ขึ้นมา ประวัติศาสตร์ที่เริ่มตั้งแต่การถือกำเนิดใน Pesaro โดยรถในรุ่น 752S นี้ คือการประกาศอย่างเป็นทางการของ Benelli ว่า พวกเขาจะกลับมาทวงบัลลังก์ความเป็นสุดยอดของรถในพิกัด medium-large หรือ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่นั่นเอง พวกเขาตั้งเป้าหมายที่จริงจังกับการที่จะหวนคืนสู่การรุกตลาดของรถจักรยานยนต์ที่มีปริมาตรความจุในพิกัดดังกล่าวอย่างเต็มที่ ด้วยแนวคิดของคำว่า ดุดัน จริงจัง เน็กเก็ดขนานแท้ และพร้อมตอบสนองถึงขีดสุดของความสนุกสนานบนท้องถนน และทุกโค้ง

กะทัดรัด ปราดเปรียว แข็งแกร่ง ทันสมัย คือทิศทางการออกแบบ ของ 752S ที่พร้อมจะกระตุ้นทุกสัญชาตญาณของผู้ขับขี่ ด้วยโครงสร้างเฟรมจากท่อเหล็กและแผ่นเหล็กที่ผสานเป็นโครงข่ายเฟรมในแบบที่เรียกว่า trellis frame พิมพ์นิยมที่คุ้นตาในแบบฉบับของรถจากยุโรป ซึ่ง Benelli เองก็ได้พัฒนามาเป็นพิเศษจนมีความลงตัวเหมาะสมกับรถในสไตล์ naked ที่พร้อมรองรับเครื่องยนต์ใหม่ Benelli four-stroke 750 cc liquid-cooled twin-cylinder engine ที่ให้กำลังสูงสุดในระดับ 76 แรงม้าที่ 8,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 67 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที โดยกำลังและแรงบิดที่มีนี้จะไม่เกินขีดจำกัดในการควบคุมของผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์ไม่มากด้วยการออกแบบให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวลเป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ด้วยการกำหนดจังหวะ Double overhead camshaft timing ที่เหมาะสม โดยเครื่องยนต์เป็นแบบ 4valves ต่อสูบ พร้อมเรือนลิ้นเร่งคู่ double throttle body ที่มาพร้อมกับ electronic fuel injection ให้การจ่ายเชื้อเพลิงอย่างแม่นยำเหมาะสมกับการทำงานของเครื่องยนต์ในแต่ละย่าน

ขณะเดียวกันระบบกันสะเทือนยังมีเสถียรภาพด้วยช่วงหน้า upside-down Marzocchi ขนาดฟอร์ค 50 มม. ที่มาพร้อม adjustable hydraulic brake rebound compression และ spring preload ที่มีความมั่นคงและเปี่ยมประสิทธิภาพ โดยมีระยะยุบตัว 130 มม. ขณะที่ในส่วนของระบบกันสะเทือนหลังนั้น เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง สวิงอาร์ม กับ โช้คหลังเดี่ยว swingarm+adjustable monoshock ที่กำหนดให้สามารถปรับค่า spring preload โดยกันสะเทือนหลังนี้จะมีระยะยุบตัวอยู่ที่ 60 มม.

ทีนี้ก็มาต่อกันที่ระบบความปลอดภัยที่ Benelli เลือกไว้วางใจในสมรรถนะของพลังเบรกจาก Brembo braking system ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ พร้อมรองรับขุมพลังของเครื่องยนต์ที่มีใน 752S โดยในชุดเบรกหน้าจะเป็นจานดิสก์คู่ double 320 mm. semi-floating disc ที่มาพร้อมพลังของคาลิเปอร์แบบ four-piston caliper เรียกว่าจัดเต็มด้วยพลังแบบสี่ลูกสูบกันเลย ส่วนเบรกหลังนั้น เป็นคาลิเปอร์แบบสองลูกสูบ double piston floating caliper ที่มาคู่กับจานดิสก์เบรก ขนาด 260 มม. โดยเบรกนั้นจะติดตั้งบนวงล้ออลูมินัมขนาด 17 นิ้ว ซึ่งยางที่ใช้ก็จะเป็น ยางหน้า 120/70-17 กับ ยางหลัง 180/55-17 โดยจะมีความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 14.5 ลิตร และที่น่าสนใจก็คือจอเรือนไมล์แสดงผลเป็นแบบ TFT ที่จะเป็นแบบ two modes ซึ่งการแสดงผลของหน้าจอ จะปรับเปลี่ยนเองแบบอัตโนมัติ คือ day/night mode เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถอ่านข้อมูลต่างๆ บนจอแสดงผลได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้นในทุกสภาพแสง ส่วนไฟหน้านั้นออกแบบให้มีความโฉบเฉี่ยวทันสมัย อีกทั้งยังเป็นไฟแบบ full-LED อีกด้วย

Forza Super Blue By Modern Parts

ความสะดวกความสบายบนท้องถนนใครว่าจะไม่มีกับรถจักรยานยนต์ FORZA300 แสดงให้เห็นแล้วว่า สมรรถนะของเครื่องยนต์ที่นิ่มนวลขับขี่คล่องตัว ประหยัดน้ำมัน ตำแหน่งท่านั่งที่ให้ความสบาย มีดีไซน์ที่โดดเด่น และฟิคเจอร์สุดล้ำสมัย วินชิลด์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า จนได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

จากการตั้งตารอคอยกันมานานแรมปีกับโฉมใหม่ของบิ๊กสกู๊ตเตอร์รหัส FORZA ของค่ายปีกนก เปิดตัวมาก็เรียกกระแสและโกยรายได้ไปอย่างรวดเร็ว และก็ตามมาด้วยออพชั่นเสริมต่างๆ ที่ผลิตเพื่อซับพอร์ทการตกแต่งความสวยงาม ทำให้เห็น FORZA สวยๆ มากมายบนท้องถนน

สำหรับ FORZA300 คันนี้ สีสันยังคงไม่เปลี่ยน ใช้สีทูโทนสแตนดาร์ดจากโรงงานแบบนี้ก็สวยแล้ว ก็มีการปรับเสริมเติมแต่งให้ดูหล่อมากขึ้น เปลี่ยนจานดิสก์เบรกจาก 256 มม. เพิ่มไดมิเตอร์ให้ใหญ่ขึ้นด้วยขนาด 290 มม. และเป็นแบบให้ตัวได้กับโฟลท์ติ้งอลูมินัม คาลิเปอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ Swits เรเดียลเม้าท์ ขนาด 100 มม. 4 พอร์ท ข้อต่อและสายน้ำมันสแตนเลสถัก Swits ชุดปั๊มแรงดันดิสก์เบรก ซ้าย-ขวา จาก Adelin 19 RCS กระปุกน้ำมัน Soluts เสริมที่วางเท้า CNC อลูมินัมสีน้ำเงินจาก Revolution แร็คท้ายและกันล้มท่อจาก Revolution

สำหรับดิสก์เบรกหลังสร้างขาจับใหม่ใช้คาลิเปอร์ด้วงจาก swits และข้อต่อสายน้ำมันจาก Swits ช่วงหลังเสริมความหนึบและความนิ่มนวลและการซับแรงกระแทกของระบบซับเพนชั่น โช้คอัพหลังถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อรถรุ่นนี้จากแบรนด์ชั้นนำ Gazi มีซับแท้งค์บิ้วท์อินที่สามารถปรับการทำงานได้เต็มระบบ

Honda CB400X 2020

ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรถจักรยานยนต์เอเชีย ค่ายปีกอินทรี Honda ประเทศญี่ปุ่นส่งทัวร์ริ่งแอดเวนเจอร์ CB400X เวอร์ชั่นปี 2020 พร้อมปรับลุคใหม่ลงตลาดอย่างเป็นทางการ สำหรับการผจญภัยครั้งใหม่

ความโดดเด่นมาพร้อมกับไฟ LED ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง วินชิวด์หน้าสามารถรถปรับได้ 2 ระดับเพื่อให้ลมไหลผ่านไม่ปะทะผู้ขับขี่ แผงหน้าปัดจอ LCD ฟูลดิจิตอล แสดงค่าต่างๆ อย่างครบครัน ความลงตัวในสไตล์แอดเวนเจอร์กับท่อไอเสียแบบปลายท่อ 2 รู, ระบบเบรกที่ติดตั้ง ABS แบบ dual channel พิเศษมากยิ่งขึ้น สำหรับเบรกหน้าที่ปรับได้ถึง 5 ระดับ ตัวรถมีความสูงจากพื้นดิน 150 มม. ขณะที่ความสูงจากพื้นถึงเบาะรถอยู่ที่ 800 มม. มีระบบกันสะเทือนติดตั้ง ยางเรเดียลขนาด 19 นิ้วด้านหน้าและด้านหลัง 17 นิ้ว

ในขณะที่สเปคของเครื่องยนต์มีความจุอยู่ที่ 399 ซีซี 2 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด PGM-FI ให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 46 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที และทอร์คหรือว่าแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 38 นิวตันเมตร ที่ 7,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด และที่สำคัญก็คือตัวรถนั้นมีระบบ Assist and slipper clutch ป้องกันท้ายปัดขณะลดเกียร์แบบรวบหลายเกียร์ มาให้สำหรับสายโหดให้สนุกกับการขับขี่และปลอดภัยถ้าเปรียบกับตัวที่ขายอยู่ในบ้านเรา Honda CB500X ที่ใช้เพลตฟอร์มเครื่องยนต์เดียวกันแต่มีความจุมากกว่าที่ 471 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 47 แรงม้า ที่ 8,600 รอบ/นาที และ 43 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที ใต้ท้องรถสูง 165 มม. เบาะสูง 830 มม. จะว่าไปแล้วพร้อมลุยมากกว่า CB400X ค่อนข้างมาก แต่ก็นั่นแหละมันคืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่มีความต้องการหรือการใช้งานที่ต่างกัน

Honda CB400X 2020 นั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สีให้เลือกได้แก่สี Matte Ballistic Black สำดำ และ Pearl Glare White สีขาว

XSR-Swank Rally700

หลายหน่วยงานจำต้องยกเลิกกิจกรรมต่างๆที่มีผู้ร่วมงานจำนวนมากไป หลังจากที่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของ ไวรัส Covid-19 ตามที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ ระหว่างไล่งานเก่าๆเราก็พบว่า มีข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของ Yamaha YardBuilt ที่มักจะมีโปรเจ็คไปร่วมกับงานแสดงรถรวมกลุ่มรถในรูปแบบต่างๆเสมอ เช่นเดียวกับ งาน Reunion2019 กับกิจกรรมส่วนหนึ่งของงานที่ชื่อ SwankRally ซึ่งจัดกันไม่ห่างจากสนามแข่ง Monzaของอิตาลีเท่าไรนัก เอาเป็นว่า เราจะไม่เล่าย้อนหลังใดๆ แต่จะนำรถแต่งโชว์สำหรับงานนี้มาฝากกัน

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือกันของ Yamaha YardBuilt กับ Deus ที่จับมือร่วมงานกันมาตั้งแต่ปี 2012 และล่าสุดในกิจกรรมนี้  Deus ได้รังสรรค์รถที่มีกลิ่นอายออฟโรดขนานแท้ในแบบวินเทจสไตล์“ The Pure Off Road Swank Rally700 ” ด้วยการนำ XSR700 มาทำการปรับแต่งนั่นเอง ด้วยพื้นฐานเครื่องยนต์ ขนาด 689ซีซี.ที่มีพละกำลังมากเพียงพอกับการปรับแต่ง ที่ยัดล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว พร้อมโมดิฟายกันสะเทือนหลังเดี่ยว Ohlins ใส่ยาง Metzeler Karoo rubberที่มีประสิทธิภาพดีพอสำหรับการยึดเกาะในแบบออฟโรด พร้อมการปรับแต่งรายละเอียดมากมาย เพื่อให้บรรลุผลตามแผนที่วางไว้ เอาเป็นว่า มาชมภาพเก็บตกบา

ส่วนของงาน นี้พร้อมกับเจ้า XSR-Swank Rally กันเลยดีกว่า

YamahaDay

ในวันที่ 1 กรกฎาคม ถือเป็นวันครบรอบการก่อตั้ง บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด โดยในปีนี้เป็นการฉลองการก่อตั้งครบรอบปีที่ 65 ทีมงานไรดิ้ง ขอร่วมแสดงความยินดีกับ บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ที่มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรถจักรยานยนต์ให้ผู้ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
#Yamahaday
#YamahaDay2020TH
#65thAnniversary
#Yamaha #RevsYourHeart

Yamaha Brand Day 2020

ยามาฮ่าฉลองครบรอบ 65 ปี ในวันที่ 1 กรกฎาคม ศกนี้ ภายใต้บทบาทของตราสินค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก เติบโตและพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแนวคิดหลักปรัชญา “คันโด” สร้างความพึงพอใจที่เหนือกว่าความคาดหวังของลูกค้าเสมอ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติและเป็นวิถีของแบรนด์ยามาฮ่า โดยสื่อสารผ่าน Global Slogan ด้วยวลี Revs Your Heart “เร่งชีวิตให้เร้าใจ”

สำหรับ บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น มีทิศทางและนโยบายที่ชัดเจนในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ด้วยวิถีอันเป็นเอกลักษณ์ยามาฮ่า 5 ประการ พร้อมกันทั่วโลก ได้แก่ Innovation (ความริเริ่ม), Excitement (ความสนุกสนาน), Confidence (ความมั่นใจ), Emotion (ความดึงดูด) และ Ties (ความผูกพัน) เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของยามาฮ่าที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนนี้เป็นแนวทางปฏิบัติที่พนักงานทุกคนยึดถือปฏิบัติและถ่ายทอดสู่การสร้างสรรค์สินค้า บริการและทุกจุดสัมผัสของยามาฮ่า เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้าและเพื่อความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

โดยนายพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา ไทยยามาฮ่า สามารถคว้าอันดับที่ 2 ของโลก ในการทำ Branding Day ของยามาฮ่า ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างมาก โดยเขามองเห็นถึงความทุ่มเทในการทำ Branding อย่างเป็นระบบ ซึ่งการทำ Branding เชิงระบบหมายความว่า ผู้บริหารมีส่วนร่วม ขับเคลื่อนอย่างมีระบบ มีการจัดการผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้า ผู้จำหน่าย ซัพพลายเออร์ สื่อมวลชน และสังคม โดยมีการบริหารจัดการที่เป็นรูปธรรม แบ่งคนแต่ละกลุ่มแล้วออกแบบโครงการต่างๆ เกี่ยวกับแบรนด์ให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับทราบและมีส่วนร่วม โดยเราได้มีโครงการด้านต่างๆ ที่ทำร่วมกันให้มีปฏิสัมพันธ์ ให้มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่ง Global Branding Committee ก็ให้อิสระแต่ละประเทศสามารถคิดสร้างสรรค์และทำ Branding ได้เอง ซึ่งเราก็มาคิดว่า Branding ในเมืองไทยจะสร้างความแตกต่างอย่างไร เราต้องแตกต่างจากคู่แข่ง แตกต่างในทุกๆ เรื่องที่ลูกค้ามาสัมผัสเรา และก็สามารถให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องมีความผูกพันในเชิงบวกกับแบรนด์เราอย่างไร หลังจากนั้นก็บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ใครที่ดูแลผู้จำหน่ายก็ต้องสร้างระบบมาดูแลผู้จำหน่าย ใครที่ดูแลลูกค้าก็ต้องสร้างระบบขึ้นมาเพื่อดูแลลูกค้า ใครที่ดูแลเรื่องชุมชนก็ต้องมาดูว่าอะไรที่สามารถทำเป็นโครงการต่อเนื่องได้บ้าง เป็นต้น เมื่อเราคิดได้แบบนี้แล้วก็ออกแบบโครงการต่างๆ เพื่อเอาไปประกวดกันทั่วโลกและสุดท้ายเราก็สามารถคว้าอันดับที่ 2 ได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของไทยยามาฮ่าอย่างมาก โดยทางคณะผู้ตัดสินให้เหตุผลว่า ทางเราได้ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการทำ Branding และผู้บริหารมีส่วนร่วมในการเริ่มต้นทุกโครงการ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทยยามาฮ่า อีกทั้งเราทำ Branding โดยไม่ได้คิดถึงแต่เรื่องธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการคิดถึงสังคมด้วย ทำให้การทำ Branding ของเรานั้นทำได้โดดเด่นกว่าของประเทศอื่นอีกด้วย”

ทว่าในปี 2020 ที่ทั่วโลกประสบภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการใช้ชีวิตและสภาพเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี Yamaha ยังสามารถฟันฝ่าวิกฤติและก้าวขึ้นเป็นแบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศญี่ปุ่น (วัดจากยอดขายทั่วโลก โดย Interbrand Co., Ltd. บริษัทสำรวจด้านแบรนด์ที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น)

รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ยามาฮ่าประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผ่านสินค้า บริการ และกิจกรรมต่างๆ มอบความประทับใจและความพึงพอใจสูงสุด เหนือความคาดหวังของลูกค้า เช่น ความสำเร็จของงานบริการหลังการขายที่เรามี “Yamaha Premium Service” ศูนย์บริการระดับพรีเมียมที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้ายามาฮ่า พร้อมด้วยการบริการรูปแบบใหม่ ซึ่งเป็นมิติใหม่ของที่จอดรถจักรยานยนต์ระดับพรีเมียม “Yamaha Premium Parking” ที่เปิดให้บริการสำหรับลูกค้ายามาฮ่าโดยเฉพาะและพร้อมขยายให้ครอบคลุมทุกจุดทั่วกรุงเทพมหานครอีกด้วย

อีกหนึ่งโครงการสำคัญในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 65 ปี คือการสร้างปรากฏการณ์เป็นแบรนด์แรกของโลก ที่รับประกันรถจักรยานยนต์ทั้งคัน 5 ปี หรือ 50,000 กม. (รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 500 ซีซี) พร้อมบริการ Road Side Service ในกรณีที่เกิดปัญหาฉุกเฉินจนไม่สามารถขับขี่ต่อได้ โดยลูกค้ายามาฮ่าทุกคันจะได้รับสิทธิ์การบริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือ 12,000 กม. ตอกย้ำภาพลักษณ์ของสินค้าและบริการที่มีความแตกต่างและยึดถือความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก

นอกเหนือจากการยกระดับสินค้าและบริการแล้วยามาฮ่ายังพร้อมเดินหน้าพัฒนาความรู้ความสามารถของผู้จำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของเทคนิคการขาย การวางกลยุทธ์ทางการตลาด การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยมีสื่อมวลชนเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ด้วยบทบาทของสื่อกลางที่เชื่อมโยงระหว่าง ยามาฮ่ากับลูกค้า ด้วยการยึดหลักปรัชญา “คันโด” เพื่อสร้างความพึ่งพอใจสูงสุดและประสบการณ์อันทรงคุณค่า ให้ลูกค้ามั่นใจและเชื่อมั่นในตราสินค้าและบริการของยามาฮ่าตลอดไป

Yamaha Tricity300 เคาะราคาพร้อมขายที่ยุโรป

เปิดตัวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ต้นปีพร้อมรอวางจำหน่ายมาระยะหนึ่ง ในที่สุดมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทาง Yamaha Europe ก็ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ ของ Tricity300 ออกมาอย่างเป็นทางการ โดย เริ่มต้น ที่ 7,399 ปอนด์ รวมภาษีแล้ว ซึ่งจะประเดิมวางจำหน่ายในประเทศอังกฤษเป็นที่แรกในช่วงเดือน ก.ค.นี้ นอกจากนี้ในยุโรปยังตกลงให้ผู้ที่มีใบขับขี่รถยนต์ในระดับ B-Licence สามารถขี่ all new Tricity นี้ได้อีกด้วย เนื่องจากพิจารณาแล้วเป็นรถที่ขี่สบายควบคุมได้ง่าย

สำหรับ Tricity300นี้ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีของ Yamaha ที่เป็นยานยนต์ในกลุ่ม exclusive Leaning Multi Wheel (LMW) system ที่ออกแบบและพัฒนาให้มีสามล้อ ที่สามารถขับขี่ได้เบาสบาย คล่องตัว พร้อมด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม และด้วยการออกแบบให้มีการกระจายน้ำหนัก 50/50 ระหว่างช่วงหน้าและหลังของรถ จึงช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างธรรมชาติในทุกจังหวะการขับขี่

ซึ่ง Tricity300 โมเดลล่าสุดนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 300ซี.ซี. BLUE CORE Engine แบบ 4จังหวะ 4วาล์ว สูบเดียว SOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่เป็นพื้นฐานเดียวกับที่ใช้ในสปอร์ตสกูตเตอร์อย่างรุ่น XMAX300

สำหรับในประเทศไทยถ้ามีนำเข้ามาเปิดจำหน่าย กอง บก.นิตยสารไรดิ้งเรา จะนำมารีวิวฝากกันโดยละเอียดอีกครั้ง  ก็ลุ้นกันว่า ราคาในเมืองไทยถ้านำเข้ามาจะเคาะที่เท่าไร

Yamaha Tenere ชนะ DesignAward

เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการสำหรับ Yamaha Tenere700 ซึ่งก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างดีสำหรับ นักบิดสาย แอดเวนเจอร์ แน่นอนว่านอกจากเรื่องของคุณภาพ สมรรถนะเป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลกแล้ว ที่กอง บก.ไรดิ้งเราไปเจอข่าวมาก็คือ ในปีนี้การประกาศสองรางวัลชั้นนำในประเภท การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือ Design Award นั้น Tenere700 คือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ ที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้มาสู่ Yamaha

โดยในช่วงต้นปีก่อนที่จะเกิดวิกฤตไวรัส Covid-19 นั้น ที่ประเทศเยอรมัน ได้ประกาศรางวัลที่มีมาตั้งแต่ปี 1953 อย่าง iF Design Award ที่เป็นที่ยอมรับในวงการอุตสาหกรรมภายในเยอรมันและในหลายประเทศ ซึ่งก็เป็นการประเดิม ของ Tenere700 ที่คว้ารางวัลนี้ไปครองด้วยคอนเซ้พท์การออกแบบ Exciting Adventure Ténéré และนับเป็นการคว้ารางวัลนี้เป็นครั้งที่ 7

หลังจากนั้น Tenere700 ยังคงเดินหน้าคว้ารางวัลในระดับนานาชาติด้วยการได้รับรางวัล Red Dot Award ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 9 ที่ผลิตภัณฑ์จากYamaha ได้รับรางวัลนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา โดย รางวัลการออกแบบ Red Dot Award นี้นับเป็นรางวัลการออกแบบในระดับบนานาชาติ ที่วงการออกแบบและอุตสาหกรรมทั่วโลกให้การยอมรับ

สำหรับ Yamaha Tenere700 เป็นรถที่เกิดขึ้นมาจากความสำเร็จในDakar ช่วงปี 80-90 ที่Yamahaร่วมชิงชัยและชนะในรายการแรลลี่สุดโหดนี้ จนนำมาซึ่งการพัฒนารถAdventure Tourer ที่เปี่ยมสมรรถนะนี้ โดยล่าสุด Tenere700 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ แบบ inline-2 ขนาดความจุ 689 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่พร้อมให้คนไทยได้สัมผัสจับจองกันแล้วในวันนี้

New YAMAHA QBIX

New YAMAHA QBIX Digital Automaticสนุกสุด Fun…สีสันสุดเทรนด์
ยามาฮ่า คิวบิกซ์ ใหม่…เป็นอะไรที่สนุกสีสันใหม่ สไตล์แฟชั่น #ของมันต้องมี ออโตเมติคแฟชั่นลุคใหม่ สีสันสุดเทรนด์ ดีไซน์โมเดิร์นพร้อมฟังก์ชั่นสะดวกสบายรอบคัน ขี่สนุกและประหยัดด้วยเครื่องยนต์ BLUE CORE 125 ซีซี.

เรือนไมล์ดิจิตอล FULL LCD
ช่องต่อชาร์จไฟแบบรถยนต์ MOBILE CHARGER SOCKET
ที่เก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 22.5 ลิตร
ไฟหน้า FULL LCD
ล้อแม็ก 12 นิ้ว พร้อมยาง 140* เฉพาะ QBIX ABS และ QBIX S
กุญแจรีโมท
ระบบกุญแจอัจฉริยะ*
เฉพาะรุ่น QBIX ABS
ไฟท้าย FULL LED
ระบบ STOP START SYSTEM ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ
ถังน้ำมัน 4.2 ลิตร
น้ำหนัก QBIX 103.0 กก.

ราคา 54,400 บาท
QBIX S 106.0 กก.
ราคา 56,900 บาท
QBIX ABS 108.0 กก.
ราคา 60,800 บาท

2020 Yamaha MT-03 MT-125 อีกสองสมาชิกจากครอบครัว The Dark Side Of Japan

คอนเซ็ปท์ประจำแก๊งค์สำหรับรถกลุ่มสตรีทไบค์สไตล์เน็กเก็ดที่ Yamaha ระบุสัญชาติว่าเป็น Hyper Naked ที่มาพร้อมกับข้อความที่ว่า The Dark Side Of Japan ซึ่งริเริ่มมาพร้อมกับสปอร์ตโฆษณาไปทั่วทั้งยุโรปก่อนที่จะขยายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ กับการเปิดตัว MT-09 ในปี 2013 ที่ทางค่ายถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการทำตลาดรถในสายสตรีทไบค์อย่างเต็มตัว พร้อมนำเสนอภาพลักษณ์อีกด้านหนึ่งของความดุเดือดรุนแรงของสมรรถนะ

ด้วยการเล่นกับวัฒนธรรมของกลุ่มผู้ใช้รถของญี่ปุ่นบางส่วน ที่สามารถเกี่ยวโยงกับเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้ ที่มีความโดดเด่นทางด้านแรงบิดจนเป็นที่มาของคำว่า “Masters of Torque” กลายมาเป็นรหัสรุ่น MT นับจากจุดนี้เองที่ทำให้ชื่อชั้นของรุ่นในรหัส MT เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน รถในซีรี่ส์นี้มีตั้งแต่ขนาด 125 ซีซี ถึง 1,000 ซีซี โดยในแต่ละรุ่นนั้นต่างก็มาพร้อมกับมาตรฐานที่อาจจะเรียกว่า Hyper Standard หรือรถที่มีความพิเศษเฉพาะจาก Yamaha ซึ่งมาในภาพลักษณ์ของเน็กเก็ดไบค์ โดยที่ผ่านมาในยุโรปได้มีความเคลื่อนไหวต่างๆตลอดเวลาสำหรับรถในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะระยะหลังเริ่มมีเวอร์ชั่นพิเศษที่เน้นสมรรถนะออกมา อย่าง SP Version ที่เพิ่มความเป็นสปอร์ตให้กับ MT-09 และ MT-10 หรือแม้แต่การปรับสไตล์เสริมประสิทธิภาพการขี่ทางไกลในแบบ Tourer Edition ให้กับ MT-10 สลับสับเปลี่ยนกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ตกแต่งต่างๆออกมาอย่างต่อเนื่องให้กับรถในกลุ่มรหัสรุ่น MT นี้

อย่างความเคลื่อนไหวล่าสุดกับการเปิดตัวชิ้นส่วนอะไหล่ตกแต่ง สำหรับ MT ในพิกัดเล็กของซีรี่ส์ อย่าง MT125 กับ MT03 ที่เป็นสองรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวออกมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเพื่อทำตลาดในยุโรป จากนั้นไม่นานในช่วงต้นปีก็ได้ส่ง New Sports Pack ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชุดแต่งด้าน body work ที่จะเป็นการปรับโฉมตัวรถไปให้มีความดุดันเข้มขลังยิ่งขึ้นตามนิยามของการออกแบบ New Sports Pack ที่ออกมานี้ว่า Darker Than Ever ซึ่งส่วนมากจะเป็นชิ้นส่วนสำหรับการตกแต่งในส่วนของ Body Parts ที่จะช่วยเสริมความดุดัน และความแปลกตาทางด้านรูปโฉมที่เด่นสะดุดตาเพิ่มไปจากรถเดิม ส่วนหนึ่งจากความพยายามในการพัฒนา และส่งเสริมความเคลื่อนไหวต่างๆของรถในกลุ่ม Hyper Naked ของ Yamaha จึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตลอดหกปีต่อเนื่องที่ผ่านมานี้ รถในรหัส MT สามารถทำยอดขายในยุโรปได้มากกว่า 240,000 คัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ของกลุ่มผู้ใช้อย่างต่อเนื่อง และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า MT มี ตัวเลือกรุ่น ตั้งแต่ 125-1,000 ซีซี โดยล่าสุด กลุ่มผู้ถือใบอนุญาติขับขี่ระดับ A1 และ A2 คือเป้าหมายของการขยายฐาน ดังนั้น รถในพิกัดขนาดเล็ก อย่าง MT125 และ MT-03 จึงได้รับการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ MT-03 ใหม่ล่าสุดที่ออกมาเมื่อช่วงต้นปีก่อนที่จะเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ซึ่งทุกโรงงานทุกค่ายต่างก็ต้องปิดโรงงานกันถ้วนหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยง ดังนั้น MT-03 จึงเป็นรุ่นล่าสุด ของรหัส MT ที่ถูกส่งออกมาในเวลานี้

ด้วยนิยาม Dark Lightning ที่มาพร้อมกับ New MT-03 น่าจะสื่อว่า นี่คือความโดดเด่นยามค่ำคืน ประดุจสายฟ้า หรือฟ้าแลบแป๊รบปร๊าบในยามราตรี ความโดดเด่นในที่นี้น่าจะสื่อถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับรถในพิกัดเดียวกัน เบา ทรงประสิทธิภาพ ซึ่ง Yamaha มุ่งหวังให้ MT-03 เป็นหนึ่งในรถที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกลุ่มเครื่องยนต์แบบ สองสูบ และแม่นยำเที่ยงตรงในทุกจังหวะของการขับขี่ ด้วยประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมของระบบกันสะเทือน ที่มุ่งเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถรองรับทุกฟิลลิ่งทุกจังหวะการโลดแล่นของผู้ขี่ ในขณะเดียวกันรถรุ่นนี้แม้จะเปี่ยมสมรรถนะ แต่ก็พร้อมสำหรับรองรับการเป็น ตัวเลือกแรกในฐานะ First Full Sized Machine ของนักบิดผู้หญิงที่จะเปิดประสบการณ์ในฐานะไบเกอร์สาวที่เตรียมโลดแล่นไปบนท้องถนนได้อีกด้วย

ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 321 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ จากเครื่องแบบ 2-cylinder engine ที่มาพร้อมกับลูกสูบเบาแข็งแกร่ง lightweight forged pistons และก้านสูบที่ทำงานอย่างเที่ยงตรงช่วยให้การจัดการการส่งกำลังทำได้ดีในรอบต่ำ และดุดันในรอบสูง จึงทำให้ MT-03 เป็นรถที่ขี่สนุกในเมืองและพร้อมพุ่งทะยานบนถนนขณะที่พิกัดเล็กสุดในรหัส MT ที่ออกโมเดลใหม่มาก่อน MT-03 ไม่นานนัก ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ระหว่างช่วงงานจัดแสดงรถในยุโรป ซึ่งก็คือ MT125 ที่มาพร้อมกับนิยามว่า Darkness is the next level ก็คงจะหมายถึงพัฒนาการอีกขั้น ของ MT125 ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมจากโมเดลก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ การปรับช่วง เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่เป้าหมายหลักของรถรุ่นนี้ ก็คือ วัยรุ่น ดังนั้นหัวใจของการพัฒนาก็คือ ทำให้รถรุ่นนี้เป็นรถที่ “ขี่สนุก” และ มีสมรรถนะความเป็นสปอร์ตที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น New MT125 จึงมาพร้อมกับ all new Engine ซึ่งหัวใจสำคัญก็คือ การแชร์เทคโนโลยีที่ได้พัฒนามาก่อนหน้านี้กับรถในกลุ่มสปอร์ตอย่าง YZF-R125 โดยเฉพาะเทคโนโลยีในส่วนของ Variable Valve Actuation (VVA) system ที่เน้นให้มีความเร็วสูงตามแบบรถสปอร์ต แต่ก็ได้ปรับให้สามารถตอบสนองเอกลัษณ์ของรถในรหัส MT นั่นก็คือ การพัฒนาให้มีแรงบิดที่ยอดเยี่ยมในช่วงรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่ต่ำด้วยเช่นกัน สำหรับในเอเชียหรือในประเทศเราเองนั้น พิกัดต่ำสุดที่จำหน่ายในรหัส MT ก็คือ ปริมาตรเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี แต่พื้นฐานก็มาจากเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน

สำหรับ MT125 ได้อัพระบบกันสะเทือนในระดับเดียวกับรถที่มีปริมาตรเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า ด้วยการใช้ชุดฟอร์คหน้าแบบหัวกลับ upside down ที่มีขนาด 41 มม. ซึ่งสามารถรองรับระยะยุบตัวได้ถึง 130 มม. เช่นเดียวกับเฟรมใหม่ New Deltabox frame ที่ปรับให้โครงสร้างตัวรถมีระยะวีลเบสอยู่ที่ 1325 มม. ซึ่งสั้นลงกว่าโมเดลก่อนหน้านี้ 30 มม. พร้อมด้วยชุดสวิงอาร์มใหม่ ซึ่งมีส่วนช่วยให้รถมีประสิทธิภาพในการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็เคาะราคาขายกันตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะส่งชุดแต่งและอะไหล่เพิ่มเติมต่างๆออกมาพร้อมกับ MT-03 นับว่าในยุโรปมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับการเปิดตลาดเจาะกลุ่มผู้ขับขี่ในระดับเริ่มต้น และเยาวชนที่มีใบอนุญาติขับขี่ระดับ A1 และ A2 สำหรับรายละเอียดของทั้งสองโมเดลในพิกัดเล็กสุดจากซีรี่ส์ Hyper Naked รหัส MT จาก Yamaha มีดังนี้

สเปค MT-03
Engine type: liquid-cooled;4-stroke;DOHC;4-valves
Displacement: 321 cm³
Bore x stroke: 68.0 mm x 44.1 mm
Compression ratio: 11.2 : 1
Maximum power: 30.9kW (42.0PS) @ 10750 rpm
Maximum Torque: 29.6Nm 3.0kgf+m) @ 9000 rpm
Lubrication system: Wet sump
Clutch Type: Wet;Multiple Disc
Ignition system: TCI
Starter system: Electric
Transmission system Constant Mesh: 6-speed
Final transmission: Chain
Fuel consumption: 3.81l/100km
CO2 emission: 89g/km
Frame: Diamond
Front travel: 130 mm
Caster Angle: 25º
Trail: 95mm
Front suspension system: Telescopic forks, Ø41.0 mminner tube
Rear suspension system: Swingarm
Rear Travel: 125 mm
Front brake: Hydraulic single disc, Ø298 mm
Rear brake: Hydraulic single disc, Ø220 mm
Front tyre: 110/70-17M/C (54H) Tubeless
Rear tyre: 140/70-17M/C (66H) Tubeless
Overall length: 2090 mm
Overall width: 755 mm
Overall height: 1070 mm
Seat height: 780 mm
Wheel base: 1380 mm
Minimum ground clearance: 160 mm
Wet weight (including full oil and fuel tank): 168 kg
Fuel tank capacity: 14L
Oil tank capacity : 2.40L
สเปค MT125
Engine type: Single cylinder;4-stroke;liquid-cooled;SOHC;4-valves
Displacement: 124cc
Bore x stroke: 52.0 mm x 58.6 mm
Compression ratio: 11.2 : 1
Maximum power: 11.0kW (15.0PS) @ 10,000 rpm
Maximum Torque: 11.5Nm (1.16kg-m) @ 8,000 rpm
Lubrication system: Wet sump
Clutch Type: Wet;Multiple Disc
Ignition system: TCI
Starter system: Electric
Transmission system: Constant Mesh;6-speed
Final transmission: Chain
Fuel consumption: 2.13l/100km
CO2 emission: 49g/km
Carburettor: Electronic Fuel Injection
Frame: Steel Deltabox
Caster Angle: 26º
Trail: 95mm
Front suspension system: Upside-down telescopic fork, Ø41 mm
Rear suspension system: Swingarm
Front travel: 130 mm
Rear Travel 114 mm
Front brake: Hydraulic single disc, Ø292 mm
Rear brake: Hydraulic single disc, Ø220 mm
Front tyre: 100/80-17 M/C 52S
Rear tyre: 140/70-17 M/C 66S
Overall length: 1,960 mm
Overall width: 800 mm
Overall height: 1,065 mm
Seat height: 810 mm
Wheel base: 1,325 mm
Minimum ground clearance: 140 mm
Wet weight (including full oil and fuel tank): 140 kg
Fuel tank capacity: 10litres
Oil tank capacity : 1.05litres