“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา บวก 3แต้ม ที่ Mandalika

การแข่งขันรอบ Main Race ของ MotoGP สนาม 18 ที่ Pertamina Mandalika Circuit อินโดนีเซีย ก้อง สมเกียรติ จันทรา #35 จาก Idemitsu LCR Honda เริ่มการแข่งขันจากกริดที่ 19 และ รักษาความเร็วผ่านช่วงชุลมุน จนผ่านธงตาหมากรุกในอันดับที่ 13 บวกเพิ่มอีก 3 แต้ม
Luca Marini #10 จาก Honda HRC Castrol MotoGP นั้นเริ่มการแข่งขันจากแถว 2 กริดที่ 6 และผ่านเข้าเส้นชัยในอันดับ 5 ส่วน Johan Zarco #5 Castrol LCR Honda เริ่มจากกริดที่ 18 และจบเกมในอันดับที่ 13 ด้าน Joan Mir ไม่จบการแข่งขัน

#MotoGP #IndonesianGP #PertaminaMandalikaCircuit #MainRace #IdemitsuLCRHonda #SC35

Aldeguer แชมป์ IndonesianGP

การแข่งขัน Main Race ของ MotoGP สนาม 18 เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ณ Pertamina Madalika Circuit อินโดนีเซีย Fermin Aldeguer #54 จาก BK8 Gresini Racing เริ่มเกมจากกริดที่ 2 อาศัยจังหวะออกตัวที่ดีขึ้นนำและยืดระยะห่างนำยาวแบบม้วนเดียวจบคว้าแชมป์ไปครอง
.
1. Fermin Aldeguer
2. Pedro Acosta
3. Alex Marquez

#MotoGP
#IndonesianGP
#PertaminaMandalikaCircuit
#MainRace
#BK8GresiniRacing
#FM54

สรยท.เปิดกติกาใหม่ THAILAND CAR OF THE YEAR 2025 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

สรยท. เปิดกติกาคัดเลือกรถยอดเยี่ยมประจำปี 2568 หรือ THAILAND CAR EV & MOTORCYCLE  OF THE YEAR 2025 โดยกติกาใหม่เปิดทางกลุ่มรถยนต์ปรับโฉม (Model Year) เข้าร่วมชิงชัย ภายใต้กฎเหล็กใหม่ 8 ข้อ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดรถในปัจจุบัน และเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับการปรับกฎระเบียบการคัดเลือกรถยอดเยี่ยมประจำปีใหม่ในครั้งนี้ เพื่อสอดคล้องกับบริบทของตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยวัตถุประสงค์ของการปรับกฎระเบียบในครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของตลาดทุกด้าน อาทิ คุณภาพ, สมรรถนะ, ประโยชน์ใช้สอย และมีความคุ้มค่าออกสู่ตลาด เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทย ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นเปลี่ยนโฉม (Model Change) หรือรุ่นปรับโฉม (Minor Change) ดังกล่าว

นายสุรศักดิ์ จรินทร์ทอง นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) เปิดเผยว่า “ในช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์รถยนต์และรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยอย่างชัดเจน โดยรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ 1 รุ่น ผู้ผลิตที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ จะขยายเวลาในการทำตลาดมากขึ้นกว่าปกติ จากเดิมที่มีการเปลี่ยนโฉมทุก 4-5 ปี แต่ปัจจุบันหลายรุ่นถูกขยายการทำตลาดนานขึ้น ส่วนรถจักรยานยนต์จะมีอายุการทำตลาดนานกว่ารถยนต์ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนโฉมออกสู่ตลาด”

“เพื่อเป็นการสนับสนุนในเรื่องของการนำนวัตกรรมและสิ่งที่ดีๆ ที่มีความคุ้มค่ามาสู่ผู้บริโภคชาวไทย โดยรุ่นปรับโฉมของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ในบางรุ่นทำได้ดีมากไม่แพ้กับรถยนต์แบบโมเดลเชนจ์ อาทิ รูปลักษณ์ เครื่องยนต์ และเทคโนโลยี ทางสมาคมฯ จึงเล็งเห็นความตั้งใจในด้านการยกระดับในหลายๆ ด้านของผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จึงได้มีการประชุมกรรมการและทีมทำงานในการปรับกติกาเพื่อคัดเลือกรถที่เข้าเกณฑ์ทั้งในกลุ่มของรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี รถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยมประจำปี และรถจักรยานยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2568 โดยให้ครอบคลุมกับรถที่มีการปรับโฉมซึ่งเปิดตัวในช่วงกรอบเวลาที่กำหนด และถูกผลิตจากโรงงานในประเทศไทยหรือนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน โดยในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการปรับโฉมนั้นจะมีเกณฑ์การพิจารณาแยกต่างหากผ่านทางการพิจารณาตามกรอบของอนุกรรมการที่ดูแล และการปรับเปลี่ยนนั้นจะต้องส่งผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทย” นายสุรศักดิ์ กล่าว

นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับวัตถุประสงค์หลักของการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบการคัดเลือก คือ การส่งเสริมให้ผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้นำผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่เพียบพร้อมด้วยความยอดเยี่ยม ในหลายๆ ด้าน มีคุณภาพ สมรรถนะ และมีความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคชาวไทย ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ในรุ่นเปลี่ยนโฉมและปรับโฉม”

ทางด้าน นายพุทธิ ผาสุข อุปนายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) หรือ Thai Automotive Journalists Association (TAJA) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคัดเลือกและตัดสิน รถยอดเยี่ยมประจำปี 2568 เผยว่า “สำหรับรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ที่มีคุณสมบัติในปีนี้ จะต้องเป็นรถรุ่นใหม่ (New Model) ที่เปิดตัวสู่ตลาดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 30 กันยายน 2568 แต่ปีนี้มีความพิเศษเป็นปีแรกในการนำรถที่มีการปรับโฉมตามอายุตลาด หรือ Minor Change เข้ามาพิจารณาชิงชัยรถยอดเยี่ยมประจำปี 2568 เพิ่มเติม โดยเรียกว่าเป็น “รถโฉมใหม่” (Model year) ตรงนี้สมาคมฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนระเบียบกฎกติกาใหม่ขึ้นมาเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับความร่วมมือจากคณะอนุกรรมการที่มาจากสมาชิกสมาคมฯ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ให้เกียรติสมาคมฯ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการร่างกฎระเบียบกติกาใหม่ให้มีความโปร่งใส รัดกุม และเกิดประโยชน์กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบันให้ได้มากที่สุด”

“การพิจารณารถรุ่นใหม่ (New Model) ยังคงยึดกติกาเดิม แต่เกณฑ์การพิจารณารถโฉมใหม่ (Model Year) ทั้งรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ จะมีหัวข้อในการพิจารณา 8 หัวข้อ แบ่งออกเป็น เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง, ช่วงล่าง และระบบบังคับเลี้ยว, ความปลอดภัย Active Safety, ความปลอดภัย Passive Safety, ดีไซน์ภายนอก, ดีไซน์ภายใน, การส่งเสริมการผลิตในประเทศ และการเพิ่มความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งในกลุ่มรถยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า จะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 65% และรถจักรยานยนต์ ไม่น้อยกว่า 55% ตามตารางเกณฑ์สำหรับการพิจารณา  จากนั้นจึงจะส่งรายชื่อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดให้กับสมาชิก สรยท. เพื่อทำการโหวตคัดเลือกรอบแรกจำนวนกึ่งหนึ่ง เพื่อเข้าสู่การพิจารณารอบสุดท้าย ที่จะเป็นการทดลองขับภาคสนาม ณ สนามทดสอบของศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) จ.ฉะเชิงเทรา ต่อไป

 

CASIO ร่วมบันทึกวาระฉลองครบ 40 ปีของ NISMO ด้วยนาฬิกา EDIFICE NISMO HERITAGE EDITION

วันที่ 19 กันยายน 2568 ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นวันที่ Casio เปิดตัวเรือนเวลา EDIFICE NISMO Heritage Edition ที่จงใจสร้างขึ้นเพื่อร่วมฉลองวาระครบ 40 ปีของ Nissan Motorsports International ซึ่งก็คือ NISMO โดยการนำฝ่ายสร้างสรรค์นาฬิกาสไตล์มอเตอร์สปอร์ตของ Casio อันได้แก่ EDIFICE มาผสานรวมเข้ากับประวัติเรื่องราวอันยาวนานของ NISMO นำมาสู่นาฬิกาที่สะท้อนถึงนวัตกรรมอันยอดเยี่ยม

การเปิดตัวนาฬิการุ่นนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตรงกับฤดูกาลแข่งขันและทันเวลาพอดีกับการแข่งขันยามค่ำคืนอันเป็นตำนานของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะจัดขึ้นในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม

EDIFICE NISMO Heritage Edition

นาฬิการุ่น ECB-S10NIS-7ADR สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันของ NISMO ด้วยธีม 3 สี คือ แดง ขาว และน้ำเงิน ซึ่งชวนให้นึกถึง R91CP รถแข่งในตำนานที่โด่งดังจากการคว้าชัยชนะเป็นครั้งแรกของรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ในการแข่งขัน 24 Hours of Daytona (ทเวนตีโฟร์ อาวร์ส ออฟ เดย์โทนา) เมื่อ ค.ศ. 1992 ส่วนมรดกอื่น ๆ ที่ถูกอนุรักษ์ไว้บนนาฬิการุ่นนี้ก็คือ การใช้ตราสัญลักษณ์ NISMO แบบดั้งเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ ค.ศ. 1984 จนถึง 1997 และการพิมพ์รหัสตัวถังของรถแข่งคันที่คว้าตำแหน่งชนะเลิศพร้อมตราสัญลักษณ์แบบดั้งเดิมลงบนสายของนาฬิกา

นาฬิการุ่นนี้ยึดมั่นในหลักการออกแบบระดับนวัตกรรมของ Casio โดยมาพร้อมฟังก์ชั่นเชื่อมต่อการทำงานกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไฟส่องสว่างชนิด Super Illuminator (ซูเปอร์ อิลลูมิเนเตอร์) ที่ทำให้อ่านค่าได้ในความมืด และกระจกคริสตัลแซพไฟร์ความใสสูงที่ทนทานต่อการเกิดรอยขีดข่วนได้ดี

นาฬิกา EDIFICE NISMO Heritage Edition รุ่น ECB-S10NIS-7ADR ถูกกำหนดราคาจำหน่ายไว้ที่ 16,000 บาท โดยจะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ที่ร้าน G-SHOCK Casio ในประเทศไทย

สามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.casio.com/th/watches/edifice/

Facebook : CASIO Watches Thailand

Line : @casiowatchcmg

IG : casiothailand

 

 

 

โรยัล เอ็นฟีลด์ เปิดตำนานบทใหม่ครั้งแรกในไทย! ส่ง Royal Enfield Classic 650 จุดประกายตำนานคลาสสิก พร้อมขุมพลัง 650 Twin

Royal Enfield (โรยัล เอ็นฟีลด์) ผู้นำระดับโลกในตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc–750cc) ประกาศเปิดตัว Royal Enfield Classic 650 อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ที่ถ่ายทอด DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูล Classic ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ Royal Enfield 650 Twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ในโชว์รูมทั่วประเทศ ราคาเริ่มต้นที่ 249,900 บาท

ตลอดทุกยุคสมัย ‘Classic’ ยังคงเป็นตัวแทนและตอกย้ำ DNA แห่ง Royal Enfield นอกจากจะเป็นรากฐานสำคัญของหลายโมเดลแล้ว Classic ยังเป็นมอเตอร์ไซค์ที่สะท้อนความสง่างามเหนือกาลเวลา เสน่ห์แบบดั้งเดิม และคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ที่มาพร้อมงานประกอบที่ประณีตในทุกรายละเอียด ทำให้ Classic กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมการออกแบบยานยนต์คลาสสิก ทั้งในด้านสุนทรียะและวิศวกรรม

Classic 650 ใหม่ ถ่ายทอดจิตวิญญาณของตระกูล Classic ได้อย่างเด่นชัด แต่ยกระดับขึ้นอีกขั้นด้วยขุมพลัง 650 Twin อันเลื่องชื่อของ Royal Enfield ที่มอบทั้งความนุ่มนวลและพละกำลังในการขับขี่ที่เร้าใจ ตัวรถมีเส้นสายที่สง่างามและคลาสสิก ขี่ง่าย แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมของตระกูล Classic ไว้อย่างครบถ้วน Classic 650 มอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความงามแบบวินเทจ ดูทรงพลังและสง่างาม

นายมาโนช กาจาร์ลาวาร์ หัวหน้าธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของโรยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวว่า “ตลอดเวลาที่โรยัล เอ็นฟีลด์ ทำการตลาดในประเทศไทย รุ่น Classic คือมอเตอร์ไซค์ที่ครองใจนักขับขี่มาโดยตลอด ไม่เพียงสร้างรากฐานให้แบรนด์ แต่ยังปลูกฝังปรัชญา Pure Motorcycling ให้หยั่งรากลึกในสังคมนักขี่ Classic คือสัญลักษณ์ที่ทำให้เรายืนหยัดบน DNA ความเป็นโรยัล เอ็นฟีลด์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง และวันนี้ Classic 650 ก็คือการสานต่อจิตวิญญาณนั้นให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมบนแพลตฟอร์ม 650 Twin ระดับโลก เรารักษาทุกอย่างที่เป็นตัวตนของ Classic ตั้งแต่สไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ งานดีไซน์ที่เหนือกาลเวลา ไปจนถึงความสง่างามบนท้องถนน ผสานกับงานประกอบที่ประณีตและเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นอย่างลงตัว เรามั่นใจว่ามอเตอร์ไซค์รุ่นนี้จะเข้าถึงหัวใจนักขับขี่ชาวไทย และยิ่งเติมเต็มความผูกพันที่มีต่อแบรนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

เสน่ห์ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า (Double the charm)

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Classic คือรากฐานสำคัญของหลายโมเดลจากโรยัล เอ็นฟีลด์ โดยถ่ายทอดทั้งมรดกและแรงบันดาลใจที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การออกแบบของแบรนด์ไว้ครบถ้วน Classic 650 สานต่อดีเอ็นเอนี้อย่างชัดเจน ด้วยโครงสร้างเฟรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับรุ่นในอดีต ตั้งแต่ OG Classic, Thunderbird ไปจนถึง Super Meteor และ Shotgun รุ่นล่าสุด แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะ Classic 650 ก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยเสน่ห์และคาแรกเตอร์ที่เหนือชั้นกว่าเดิม

สมรรถนะที่ยกระดับขึ้นอีกขั้น (Double the capability)

หัวใจสำคัญของ Classic 650 คือเครื่องยนต์ 648 ซีซี parallel twin ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ปรับจูนใหม่เพื่อการตอบสนองที่ดียิ่งขึ้น ให้แรงบิดจัดตั้งแต่รอบต่ำ คันเร่งตอบสนองไว และยังคงสไตล์การขี่ที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์แบบ Classic ระบบเกียร์ที่ปรับจูนมาอย่างประณีต เปลี่ยนเกียร์ได้ลื่นไม่มีสะดุด แชสซีบาลานซ์ลงตัว ช่วยให้มั่นใจแม้บนเส้นทางที่ไม่เรียบ เครื่องยนต์ 650 Twin ที่ขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดรอบต่ำ ทำให้การเร่งแซงทำได้มั่นใจ เติมพลังต่อเนื่องแบบไม่ต้องเค้นหนัก แต่ยังให้ความเร้าใจ
ทุกครั้งที่บิด

คาแรกเตอร์ที่เข้มข้นกว่าเดิม (Double the character) 

แม้ Classic 650 จะสืบทอดสายเลือดเดียวกับตระกูล Classic แต่ตัวรถถูกออกแบบใหม่ให้มีความทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รุ่นนี้ใช้เส้นสายและสัดส่วนตัวรถที่ออกแบบให้รับกับเครื่องยนต์ Twin ที่วางทำมุมเฉียงไปข้างหน้า ทำให้ได้บุคลิกทรงพลังและมีท่าทางที่ดูดุดันขึ้น มาพร้อมบังโคลนสั้นทรงคลาสสิค ยางหน้าหลังไซส์ใหญ่ที่ขึ้นช่วยเสริมสมรรถนะ รวมถึงสัดส่วนตัวรถที่บึกบึนกว่าเดิม สอดรับกับเครื่องยนต์ความจุ 650 ซีซี ได้อย่างลงตัว

Classic 650 ใหม่ ใช้เฟรมหลักร่วมกับ Super Meteor และ Shotgun 650 มาพร้อมเบาะคู่แบบ Dual Seat ที่สามารถถอดเบาะซ้อนท้ายและแร็กออกได้เพื่อเพิ่มรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้น งานดีไซน์ยังคงกลิ่นอายสไตล์อังกฤษยุคหลังสงคราม ด้วยรายละเอียดโครเมียมและอะลูมิเนียมขัดเงาบริเวณโคมไฟหน้าและชุดไฟเลี้ยวด้านหน้า ตัวรถเน้นเส้นสายที่ไหลลื่นตั้งแต่หัวจรดท้าย มาพร้อมถังน้ำมันทรงหยดน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ และชุดฟแบบ ‘nacelle’ ที่ติดตั้งไฟหน้า LED ใหม่ ควบคู่กับไฟ ‘Tiger Lamps’ หรือไฟหรี่คู่ ที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของ Royal Enfield มาตั้งแต่ปี 1954

ท่านั่งในการขับขี่ที่ถูกออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ แฮนด์บาร์วางตำแหน่งได้พอดี จับถนัด และเบาะกว้างนุ่มสบาย ช่วยให้ผู้ขับขี่ผ่อนคลายตลอดการเดินทางไกล ช่วงล่างหน้า–หลังจาก Showa ถูกปรับเซ็ตมาอย่างละเอียด ซับแรงสะเทือนบนถนนได้อย่างนุ่มนวล พร้อมมอบความมั่นใจทั้งในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว และบนทางไกลที่ต้องการความมั่นคง

แผงหน้าปัดออกแบบเรียบง่ายไม่รกสายตา มาพร้อมหน้าจอ LCD ดิจิทัล แสดงข้อมูลครบทั้งมาตรวัดระยะทาง ทริปมิเตอร์ ระดับน้ำมัน เตือนการเข้ารับบริการ ตำแหน่งเกียร์ และนาฬิกา ช่วยให้ผู้ขี่โฟกัสและเพลิดเพลินกับการเดินทางได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้ (Genuine Motorcycle Accessories) ให้เลือกทั้งสไตล์ Classic และ Classic Tourer เพื่อการปรับแต่งรถให้ตรงกับสไตล์ของผู้ขี่มากยิ่งขึ้น Classic 650 คือการผสมผสานเสน่ห์เหนือกาลเวลาของมอเตอร์ไซค์เข้ากับความแม่นยำและความสะดวกสบายของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว

สีสันคลาสสิกกับเส้นสายเหนือกาลเวลา (Classic colours for classic contours) 

Royal Enfield Classic 650 มาพร้อมเฉดสีที่หวนรำลึกถึง Classic 500 อันเป็นที่รักของชาวคลาสสิค เลิฟเวอร์ พร้อมเพิ่มสีใหม่ ได้แก่ Bruntingthorpe Blue, Vallam Red และ Black Chrome ซึ่งแต่ละสีช่วยขับเส้นสายตัวถังที่โค้งสวยสง่างามให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ราคาจำหน่ายเริ่มต้น Bruntingthorpe Blue และ Vallam Red ที่ 249,900 บาท ส่วน Black Chrome อยู่ที่ 259,900 บาท มาพร้อมการรับประกัน 3 ปีแบบไม่จำกัดระยะทาง

ไทยฮอนด้า พาอัพสกิลสายลุย เปิดประสบการณ์ขับขี่สุดท้าทาย ณ จ.ขอนแก่น ในกิจกรรม ‘DIRT Xperience 2025 R.2’

ฮอนด้าบิ๊กไบค์ จัดเต็มอีกครั้งกับกิจกรรม “DIRT Xperience 2025 R.2” พาไบค์เกอร์สายลุย และ ชาว CUB House เปิดประสบการณ์การขับขี่ทางฝุ่นสุดเร้าใจ ณ ภูคำแคมป์ปิ้ง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่วันที่ 20-21 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา โดยในครั้งนี้ มีการจัดติวพื้นฐานการขับขี่โดยครูฝึกมากประสบการณ์จาก Honda Safety Riding รวมถึงโอกาสได้ใกล้ชิด ฝึกอัพสกิลแบบเข้มข้นจากอดีตนักแข่งระดับโปรเพลย์เยอร์
ภายในงานครั้งนี้ เต็มไปด้วยความคึกคักจากเหล่ารถจักรยานยนต์สายลุย ทั้งสาย Adventure และ Enduro ที่ขนโมเดลยอดนิยมมาให้สัมผัสอย่างพร้อมเพรียง กลุ่มแอดเวนเจอร์ยกทัพมาทั้ง Honda CRF1100L, CRF1000L, XL750, X-ADV, NC750X, CB500X และ NX500 ส่วนฝั่ง Enduro ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยไลน์อัปตระกูล CRF Series ครบครัน ทั้ง CRF450L, CRF300L, CRF250L, CRF300 RALLY และ CRF250 RALLY โดยผู้เข้าร่วมจะได้ทดลองขี่บนเส้นทางธรรมชาติสุดเร้าใจ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การขับขี่แนวแอดเวนเจอร์อย่างแท้จริง
และสำหรับชาว CUB House ที่พารถจักรยานยนต์คู่ใจมาร่วมลุยอย่าง Honda CT125 รถสายเทรลรุ่นฮิตมาเติมสีสันให้กับการผจญภัยในงาน DIRT Xperience 2025 นับเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ขับขี่สาย CUB House ได้สัมผัสประสบการณ์ออฟโรดอย่างเต็มรูปแบบ จึงนับเป็นก้าวสำคัญของการต่อยอดคอมมูนิตี้สาย CUB House ให้ก้าวสู่โลกการขับขี่แอดเวนเจอร์อย่างมั่นใจ พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่สนุกสนาน ปลอดภัย และอัดแน่นด้วยการเรียนรู้ในทุกช่วงการขับขี่
ภายในกิจกรรม มีการแบ่งผู้เข้าร่วมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ Rookie สำหรับนักบิดสายเริ่มต้น และ Experience สำหรับผู้ที่มีพื้นฐานและทักษะมาก่อน โดยทุกคนจะได้ฝึกฝนทักษะจากครูฝึกอย่างใกล้ชิดในสนาม ก่อนออกไปทดสอบจริงบนเส้นทางธรรมชาติ
โดยเส้นทางในครั้งนี้ มีการเพิ่มอุปสรรคที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลุยป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้และกอไผ่ การฝ่าดินโคลนลึกที่มีน้ำขังเป็นช่วง ๆ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการควบคุมรถและการทรงตัว นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคอื่น ๆ เช่น การขับบนร่องลึก ขอนไม้ และการข้ามทางน้ำ ที่ท้าทายทั้งร่างกายและทักษะของผู้ขับขี่ มอบความมันส์ สะใจ ให้กับผู้เข้าร่วมเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ ยังมีกิจกรรม “All in Xperience ออลทุกค่าย อินทุกแพสชัน” ชวนผู้ขับขี่จากทุกค่าย ทุกรุ่น ทุกระดับ เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟในทุกกิจกรรมจากฮอนด้าบิ๊กไบค์ พร้อมรับสิทธิพิเศษในการเลือกเช่ารถ ฮอนด้าบิ๊กไบค์ กับ Moto Package สำหรับกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟตลอดทั้งปี
                
#DIRTXPERIENCE #HondaBigBike #HondaBigBikeThailand #ExcitesTheWorld#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda #ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou #CUBHouse #CUBHousebyHonda

NEXZTER BRIC Superbike ดวลเดือด! “แสตมป์” คว้าชัยรุ่นใหญ่ “เบนซ์ เรซซิ่ง” ผงาดแชมป์สนาม 3

“แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ คว้าแชมป์ซูเปอร์ไบค์รุ่นใหญ่ ปิดฉาก NEXZTER BRIC Superbike สนาม 3 อย่างสุดมันส์ ด้าน ”เบนซ์ เรซซิ่ง“ อริย์ธัช วรโรจน์เจริญเดช ปลดล๊อคคว้าแชมป์แรกของปี ในรุ่นซูเปอร์ไบค์ 1000 ซีซี เอสบี2 ไปครอง ก่อนเตรียมมุ่งหน้าสู่สนามตัดสินแชมป์ประจำปี 2 เรซ ในเดือน พ.ย.นี้

การแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์ประเทศไทย รายการ NEXZTER BRIC Superbike Championship (เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ แชมเปียนชิพ) สนามที่ 3 ประจำปี 2025 ระหว่างวันที่ 26-28 ก.ย.ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.ย.2568 เป็นการแข่งขัน รอบชิงชนะเลิศ

เกมในรุ่นใหญ่อย่าง ซูเปอร์ไบค์ 1,000 ซีซี (SB1 Pro) ซึ่งเป็นไฮไลต์ของสุดสัปดาห์นี้ ยังคงเข้มข้นสุดๆ โดยตำแหน่งโพลสนามนี้เป็นของ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ จอมเก๋าจาก อีสต์ เอ็นเจที เรซซิ่ง ทีม ขนาบข้างด้วย “ซุป” อนุชา นาคเจริญศรี จาก โปร ฮอนด้า บริดจสโตน อันเดรียนี เบนดิกซ์ เอเอ็น เรซซิ่ง ทีม และ “บอล” จักรกฤษณ์ แสวงสวาท จาก ไบค์สตอรี พีทีที ลูบริแคนท์ส ยามาฮ่า เรซซิ่ง ทีม ในแถวหน้า ขณะที่ “มิกซ์” ธนัช ละอองปลิว นักบิดดาวรุ่งจาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส ออกตัวจากแถว 2

สถานการณ์ในรุ่นนี้ดุเดือดตั้งแต่ต้นเรซ โดย “มิกซ์” ธนัช เริ่มเกมอย่างดุดัน ก่อนจะขยับแซงขึ้นมารั้งหัวแถวอย่างรวดเร็วเหนือ “แสตมป์” อภิวัฒน์ ตั้งแต่รอบแรกของการแข่งขัน แต่ก็โดนแซงกลับในรอบเดียวกัน อย่างไรก็ดีดาวรุ่งจาก ฮอนด้า แซงขึ้นเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง ก่อนจะพลาดล้มอย่างน่าเสียดายที่โค้ง 1 ในรอบที่ 3

หลังจากนั้น “แสตมป์” อภิวัฒน์ ก็นำโด่งเข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 19 นาที 37.532 วินาที ผงาดคว้าชัยชนะไปครองได้อีกครั้ง โดยมี “บอล” จักรกฤษณ์ เป็นอันดับ 2 ตามหลัง 7.969 วินาที และ ออ ปิตะบุตร จอมเก๋า จาก คอร์ มอเตอร์สปอร์ต ไทยแลนด์ เข้าเส้นชัยอันดับ 3 ตามหลัง 55.847 วินาที

ด้าน “เบนซ์ เรซซิ่ง” อริย์ธัช วรโรจน์เจริญเดช นักบิดคนดังจาก เรปโซล อาร์-ซีรีส์ ทีม ยังคงสร้างผลงานยอดเยี่ยมเช่นเคย บิดเข้าป้ายในอันดับ 4 โอเวอร์ออลล์ และเพียงพอให้คว้าชัยชนะในรุ่น SB2 ไปครองได้สำเร็จ ด้วยเวลา 20 นาที 56.256 วินาที ปลดล๊อคคว้าแชมป์แรกของปีไปได้

ขยับมาดูผลในรุ่น ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี (ST1) ดวลกันทั้งสิ้น 12 รอบสนาม นทีธาร ทองโคตร จาก ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส เจ้าของโพลออกนำม้วนเดียวจบคว้าชัยชนะไปครอง 3 สนามติดต่อกันด้วยเวลา 20 นาที 14.440 วินาที เหนืออันดับ 2 อย่าง ณัฐวุฒิ คำหอม จาก ไบค์ส สตอรี พีทีที ลูบีแคนท์ส ยามาฮ่า เรซซิ่ง ทีม 5.518 วินาที ตามด้วย อภิเดช บุญศรี จาก ฮานูยา เรซซิ่ง ทีม เพิ่มสินทรานสปอร์ต พรเจริญก่อสร้าง ตามหลัง 12.237 วินาที

ขณะที่เกมในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 600 ซีซี (SS1Pro) เป็นหนึ่งในเรซที่มีความพลิกผันอย่างมาก เมื่อนักบิดในกลุ่มหน้าไล่บดกันอย่างสุดมันส์ นำโดย ต่อศักดิ์ นวลสาย จาก ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส ตามด้วย “ไฮเปค” กฤษฎา ธนโชติ ดาวรุ่งจาก อีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง ทีม และ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร พฤฒิสาร จาก อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม คริสมาส แต่กลับต้องชนเข้ากับ “รถน็อครอบ” ส่งผลให้ “ไฮเปค” กฤษฎา  และ “ข้าวกล้อง” จักรีภัทร ต้องออกจากการแข่งขันในช่วง 2 รอบสุดท้าย

โดยชัยชนะตกเป็นของ ต่อศักดิ์ นวลสาย ทื่เข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 20 นาที 25.137 วินาที ตามด้วย โกยุ นาคากาวะ ดาวรุ่งชาวญี่ปุ่นจาก อีสต์ เอ็นเจที พีทีที ลูบริแคนท์ส เรซซิ่ง ทีม อันดับ 2 ตามหลัง 22.931 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ “จิมมี่” บูรพา วันมูล ดาวรุ่งจาก อาซูจิโร่ อู่ช่างต่อลพบุรี ลิควิโมลี ตามหลัง 29.044 วินาที

ขณะที่ นักแสดงหนุ่ม โอม-ภวัต จิตต์สว่างดี จาก ยามาฮ่า ทีเอ็นพี พีทีที ลูบริแคนท์ส ได้อันดับ 7 รุ่น ซูเปอร์สต็อก 1,000 ซีซี (ST3)

ส่วนผลในรุ่น ซูเปอร์สปอร์ต 250 ซีซี (SS1Pro) ชัยชนะตกเป็นของ ศักดิ์ชัย คงดวงดี นักบิดดาวรุ่งจาก ไออาร์ซี ดีไอดี สมาทสปอร์ต สนองไซเคิลเรซ ที่เข้าป้ายเป็นคันแรกด้วยเวลา 19 นาที 10.581 วินาที เหนือ “ฟอง” คณาทัต ใจมั่น จาก ไฮสปีด เรซซิ่ง ทีม อันดับ 2 เพียง 1.168 วินาที ตามด้วย พีระพงษ์ หลุยบุญเป็ง นักบิดจอมเก๋าจาก สปีด800 อันดับ 3 ตามหลัง 1.534 วินาที

สำหรับการแข่งขันในรุ่นเล็กอย่าง สปอร์ต โปรดักชั่น 400 ซีซี ที่มีนักบิดต่างชาติลงแข่งขันและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ชิงชัยกัน 7 รอบสนาม ชัยชนะตกเป็นของ รักชิต ธาวี นักบิดอินเดียจาก เน็กซ์เตอร์ ลิควิ โมลี ยามาฮ่า โมริเท็ค เอวีอาร์พี เรซซิ่ง ด้วยเวลา 13 นาที 9.872 วินาที ทิ้งห่างทีมเมทชาวอินเดียอย่าง ทัสมาย คาเรียปปา ที่ตามเข้าป้ายอันดับ 2 ถึง 8.873 วินาที ส่วนอันดับ 3 ได้แก่ มู่หรง จื่อจ้าว นักบิดชาวจีนจาก ศักดิ์สิริ เรซซิ่ง ทีม บุรีรัมย์ ตามหลัง 14.214 วินาที

ความสำเร็จของการแข่งขัน เน็กซ์เตอร์ บีอาร์ไอซี ซูเปอร์ไบค์ สนามที่ 3 นี้ เรียกได้ว่าทั้งยิ่งใหญ่และเข้มข้น เร้าใจ รวมทั้งการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของ โอม-ภวัต จิตต์สว่างดี พระเอกชื่อดัง ลงทำการแข่งขัน ระดับชิงแชมป์ประเทศไทยเป็นครั้งแรกในชีวิต จุดกระแสแฟนคลับแน่นสนามในกิจกรรมพิตวอล์ค ยืนยันความสำเร็จของคอนเซ็ปต์ “Anyone Can Be A Hero” ใครๆก็เป็นฮีโร่นักบิดได้

แฟนมอเตอร์สปอร์ตเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการแข่งขันสนามตัดสินแชมป์ประจำปี ในสนามที่ 4 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 พ.ย.นี้ โดยในรอบชิงชนะเลิศจะมีการแข่งขันถึง 2 เรซ เพื่อตัดสินว่าใครคือ แชมป์ประเทศไทยตัวจริง ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจ Chang Circuit Buriram และ BRIC Superbike 2025

โรยัล เอ็นฟีลด์ แต่งตั้ง มาโนจ กาจาร์ลาวาร์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าธุรกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เสริมทัพความแข็งแกร่ง

Royal Enfield (โรยัล เอ็นฟีลด์) ผู้นำระดับโลกในตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง (250cc–750cc) เดินหน้าตอกย้ำบทบาทเชิงกลยุทธ์ในระดับสากล ประกาศแต่งตั้ง มาโนจ กาจาร์ลาวาร์ (Manoj Gajarlawar) เข้าดำรงตำแหน่ง หัวหน้าธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Business Head, Asia Pacific) โดยเข้าประจำการที่บริษัทสาขาในกรุงเทพฯ ประเทศไทย และรายงานตรงต่อคุณยาดวินเดอร์ ซิงห์ กูเลเรีย ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ โรยัล เอ็นฟีลด์

การแต่งตั้งเพื่อรับตำแหน่งในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโรยัล เอ็นฟีลด์ ในการเดินหน้าขยายธุรกิจและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดต่างประเทศ โดยมาโนจจะเป็นผู้นำในการกำหนดและดำเนินกลยุทธ์สำคัญที่ครอบคลุมทั้ง การขาย การบริการ หลังการขาย กลยุทธ์โปรโมทผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การประชาสัมพันธ์และการตลาด รวมถึงการสร้างโอกาสใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจเสื้อผ้า (Apparel) อุปกรณ์ตกแต่งแท้ (Genuine Motorcycle Accessories) และธุรกิจต่อยอดอื่นๆ

ในปี 2024 โรยัล เอ็นฟีลด์ สามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยยอดขายทะลุ 1 ล้านคันต่อปีเป็นครั้งแรก และเดินหน้าขยายธุรกิจในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกที่ตอกย้ำการเติบโตถึง 13% เมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) พร้อมทั้งขึ้นแท่นเป็นหนึ่งใน Top 3 แบรนด์ชั้นนำในตลาดมอเตอร์ไซค์ขนาดกลาง ในหลายประเทศหลัก อาทิ ไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และนิวซีแลนด์

โรงงานประกอบ (CKD) แห่งใหม่ในประเทศไทยนับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและซัพพลายเชิงกลยุทธ์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค และตอกย้ำประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการเติบโตระดับเอเชียแปซิฟิ

ยาดวินเดอร์ ซิงห์ กูเลเรีย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ โรยัล เอ็นฟีลด์ กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่พิเศษอย่างยิ่งสำหรับโรยัล เอ็นฟีลด์ การสร้างยอดขายที่ทะลุ 1 ล้านคันเป็นหลักฐานชัดเจนถึงศักยภาพและการยอมรับในระดับโลก การเปิดโรงงานประกอบในประเทศไทยและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คือก้าวย่างสำคัญในการสร้างเส้นทางทางธุรกิจที่มั่นคง การแต่งตั้งมาโนจในบทบาทใหม่นี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กร และสะท้อนถึงความตั้งใจของเราที่จะเดินหน้าสร้างการเติบโตในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืน”

มาโนจ กาจาร์ลาวาร์ ร่วมงานกับโรยัล เอ็นฟีลด์มาตั้งแต่ปี 2008 ด้วยประสบการณ์กว่า 17 ปี ตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญในการดูแลและขับเคลื่อนธุรกิจต่างประเทศครอบคลุม เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา ภูมิภาค SAARC รวมถึงธุรกิจอะไหล่และ REown ตลอดเส้นทางการทำงาน มาโนจได้รับความไว้วางใจให้บริหารและพัฒนาธุรกิจในหลายภูมิภาค และมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ให้กับแบรนด์

การแต่งตั้งในครั้งนี้ตอกย้ำกลยุทธ์ของโรยัล เอ็นฟีลด์ ในการดึงดูดบุคลากรระดับโลกและปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ในตลาดนานาชาติ โรยัล เอ็นฟีลด์ ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์ “Pure Motorcycling” เพื่อเชื่อมโยงผู้ขับขี่ทั่วโลกเข้าด้วยกัน และก้าวสู่การเป็น แบรนด์มอเตอร์ไซค์ขนาดกลางที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด จัดหนักผนึกกำลังการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นผู้สนับสนุน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13

นายพงศธร เอื้อมงคลชัย ประธานกรรมการบริหาร นายภาณุพล กิตติคำรณ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า นายอุกฤษณ์ ภาควิวรรธ รองผู้จัดการใหญ่ด้านวางแผนการค้า และการตลาด บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพร่วมกับ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ในงานแถลงข่าว เปิดตัวผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 โดยมี ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด สนุกไม่ซ้ำใคร สไตล์…ฟาซซิโอ้ ร่วมเป็นผู้สนับสนุนการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 อย่างเป็นทางการ ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยจะจัดการแข่งขึ้นใน 3 จังหวัดได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.ชลบุรี จ.สงขลา และ จ.นครราชสีมา

สำหรับการแข่งขันกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9 – 20 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร จ.ชลบุรี จ.สงขลา และอาเซียนพาราเกมส์ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 26 มกราคม 2569 ที่ จ.นครราชสีมา เป็นเจ้าภาพ

โดยมี ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด สนุกไม่ซ้ำใคร สไตล์…ฟาซซิโอ้ ขอร่วมส่งแรงใจให้ทัพนักกีฬาไทยได้เป็นเจ้าเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ พร้อมกันนี้ยามาฮ่ายังได้สนับสนุนรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด ให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการมอบให้นักกีฬาที่สร้างผลงาน และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย และให้กับผู้โชคดีในกิจกรรมของทางการกีฬาแห่งประเทศไทย+

โดยการแถลงข่าวเปิดตัวผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 มีขึ้น ณ ลานเซ็นทรัลคอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ เมื่อเร็วๆ นี้

#FazzioHybrid #Yamaha #ยามาฮ่า #FAZZIOขี่สนุกสุดยูนีค #FAZZIO #FAZZIOดิวะ #Scooterใหม่ #FAZZIO2025 #ซีเกมส์ #อาเซียนพาราเกมส์

ไทยฮอนด้า มอบหมวกกันน็อก 2,000 ใบ ให้กับภาคีเครือข่ายความปลอดภัย พร้อมจัดเวทีเสวนา “ทำอย่างไร ให้คนไทย สวมหมวกกันน็อก” ร่วมกันส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย จัดพิธีมอบหมวกกันน็อกขนาดเล็กสำหรับเด็กและเยาวชน จำนวน 2,000 ใบ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ให้แก่เครือข่ายด้านความปลอดภัย ทั้ง 8 เครือข่าย ได้แก่ มูลนิธิเมาไม่ขับ, เครือข่ายเป็นหูเป็นตาเพื่อสังคม, สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ, ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย, บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด, มูลนิธิความปลอดภัยทางถนน, แผนงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจร ระดับจังหวัด (สอจร.) และสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย อีกทั้งยังจัดเวทีเสวนา “ทำอย่างไร ให้คนไทย สวมหมวกกันน็อก” เพื่อร่วมกันส่งเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ต่อสังคมไทยต่อไป เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ณ ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพฯ

ดร.อารักษ์ พรประภา ประธาน บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า “ความปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการขับขี่รถจักรยานยนต์ และจุดเริ่มต้นของความปลอดภัยที่ทุกคนสามารถทำได้ทันที คือการสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ไทยฮอนด้าเชื่อว่าการปลูกฝังพฤติกรรมนี้ตั้งแต่วัยเด็กและเยาวชน จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยลดการสูญเสียบนท้องถนนได้อย่างยั่งยืน ในวันนี้ต้องขอขอบคุณภาคีความปลอดภัยทุกเครือข่ายที่ได้เข้ามาร่วมมือ เพื่อผลักดันให้วัฒนธรรมการสวมหมวกกันน็อกเกิดขึ้นจริงในสังคมไทย และช่วยสร้างอนาคตของประเทศให้แข็งแรงบนพื้นฐานของความปลอดภัยที่ยั่งยืน”

สำหรับโครงการฮอนด้าเมืองไทยปลอดภัย ได้จัดตั้งขึ้นมากกว่า 37 ปี เคียงคู่สังคมไทย เพื่อสร้างสร้างสรรค์สังคมแห่งการขับขี่ปลอดภัย สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนในประเทศไทย อีกทั้งในปีนี้ยังเป็นวาระครบรอบ 60 ปี ไทยฮอนด้า โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการสวมหมวกกันน็อก ผ่านการส่งมอบหมวกกันน็อก จำนวน 112,440 ใบ มูลค่า 112 ล้านบาท ให้กับหน่วยงานการศึกษาทั่วประเทศ เพื่อกระจายต่อให้กับเหล่าเยาวชนในพื้นที่

นอกจากพิธีมอบหมวกกันน็อกแล้ว ภายในงานยังมีบรรยายพิเศษ เรื่อง “หลักสูตรการอบรมความปลอดภัยเกี่ยวกับเด็ก” ปลูกฝังให้เยาวชนได้ทราบถึงสาเหตุเชิงลึกเกี่ยวกับการตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางถนนที่ยั่งยืน โดยนักวิชาการสาธารณสุข และเวทีเสวนาในหัวข้อ “ทำอย่างไร ให้คนไทย สวมหมวกกันน็อก” สะท้อนถึงความท้าทายสำคัญของสังคมไทย เพราะปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ยังละเลยการสวมหมวกกันน็อก และมองว่าไม่จำเป็น ทั้งที่ในความเป็นจริง อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา และการไม่สวมหมวกกันน็อกถือเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่นำไปสู่การสูญเสียที่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด การเสวนาครั้งนี้จึงเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนแนวทางรณรงค์ การบังคับใช้กฎหมาย และการปลูกฝังวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยให้หยั่งรากอย่างแท้จริง

 

#HondaSafetyThailand #HaveAGoodRide #ฮอนด้าเมืองไทยขับขี่ปลอดภัย
#ไทยฮอนด้าเพื่อสังคมไทย #SafetyforEveryone
#ไทยฮอนด้า60ปี #ThaiHonda60TH #ไทยฮอนด้าเคียงข้างสัมคมไทย #รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #HondaMotorcycleThailand #ไทยฮอนด้า #ThaiHonda

ไทยฮอนด้า ประกาศผลผู้ชนะการแข่งขันทักษะฝีมือช่างครั้งที่ 29 เตรียมส่งเดอะมาสเตอร์พิชิตแชมป์เอเชีย

ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ฮอนด้าในประเทศไทย ประกาศผลผู้ชนะจากการการแข่งขันทักษะฝีมือช่าง ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 (Thai Honda Technician Skill Contest 2025) ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพฯ โดยเวทีการแข่งขันในปีนี้ถือเป็นครั้งที่ 29 ที่ไทยฮอนด้าจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับทักษะของช่างบริการทั่วประเทศสู่มาตรฐานสากล
สำหรับรางวัลชนะเลิศสุดยอดนายช่างเป็นเดอะมาสเตอร์ (The Master) ของการแข่งขันระดับประเทศครั้งนี้ ทั้งประเภทรถขนาดเล็ก หรือ Commuter และประเภทรถบิ๊กไบค์ หรือ Fun Bike ได้แก่
รางวัลผู้ชนะเลิศการแข่งขันประเภทรถเล็กหรือ Commuter 1 ระดับประเทศ ได้แก่
  • รางวัลชนะเลิศ นายพัฒนศักดิ์ ปานเขียว บริษัท นิยมพานิช จำกัด
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 นายกอเซ็ง เด็ง บริษัท อริยะมอเตอร์ (ปัตตานี) จำกัด
  • รองชนะเลิศอันดับ 2 นายสิทธิโชค เหรียญศรีทองคำ บริษัท ฮอนด้าชุมพร จำกัด
รางวัลผู้ชนะเลิศการแข่งขันประเภทรถเล็กหรือ Commuter 2 ระดับประเทศ ได้แก่
  • รางวัลชนะเลิศ นายคุณาพร กอสินประเสริฐ บจก.เวิลด์สปีด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 นายธีรยุทธ บุตรรักษ์ บริษัท เกียรติสุรนนท์อุบลราชธานี จำกัด
  • รองชนะเลิศอันดับ 2 นายจักราวุธ ศรีโนทัย บริษัท มอเตอร์เวิร์ค จำกัด
รางวัลผู้ชนะเลิศการแข่งขันประเภทรถบิ๊กไบค์ หรือ Fun Bike ได้แก่
  • รางวัลชนะเลิศ นายถวิล เจียงรัมย์ บริษัท บีอาร์วาย บิ๊กไบค์ บุรีรัมย์ จำกัด
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 นายณัฐวุฒิ ลอยสายออ บริษัท เกริกไกรเอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด
  • รองชนะเลิศอันดับ 2 นายณัฏฐ์วัฒน์ สวยกิจ บริษัท โอ.เอ็น. ซิตี้กรุ๊ป จำกัด
หลังจากได้ผู้ชนะตัวแทนระดับประเทศครั้งนี้ รองชนะเลิศอันดับ 1 และ 2 ในทั้งสองประเภทจะเดินทางเป็นตัวแทนประเทศไทย เตรียมโชว์ศักยภาพในการแข่งขันสุดยิ่งใหญ่แห่งเอเชียอย่างการแข่งขัน Honda Asia & Oceania Motorcycle Technician Skill Contest 2026 ณ ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อแสดงศักยภาพและมาตรฐานฝีมือช่างไทยสู่สายตานานาชาติ พร้อมโอกาสก้าวต่อไปสู่เวทีสูงสุดระดับโลกอย่าง Honda Global Motorcycle Technician Contest 2027 ต่อไป
ไทยฮอนด้าขอเชิญชวนทุกคนร่วมส่งแรงเชียร์และเป็นกำลังใจให้ตัวแทนประเทศไทย ในการสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจแก่ฝีมือช่างไทยบนเวทีการแข่งขันระดับเอเชียและระดับโลกต่อไป
#ThaiHondaTechnicianSkillContest2025
#HondaBigBike #HondaBigBikeThailand #ExcitesTheWorld
#รถจักรยานยนต์ฮอนด้า #มอเตอร์ไซค์ฮอนด้า #HondaMotorcycle #ThaiHonda
#ไทยฮอนด้า #HowWeMoveYou

40,000+ นักขับขี่ | 60+ ประเทศ | 1,500 เส้นทาง โรยัล เอ็นฟีลด์ รวมพลคนรักมอเตอร์ไซค์ ในงาน One Ride 2025 พร้อมบิดด้วยกัน ปลอดภัยทุกเส้นทางทั่วโลก

 24 กันยายน 2568: โลกทั้งใบได้รวมเป็นหนึ่งเดียวในกิจกรรม Royal Enfield One Ride ครั้งที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 งานขับขี่ประจำปีสุดไอคอนิกนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ระดับโลกที่เปิดโอกาสให้นักบิดโรยัล เอ็นฟีลด์มารวมตัวกันในวันเดียว เพื่อสัมผัสถึงมิตรภาพและความหลงใหลใน “การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์อย่างแท้จริง” (Pure Motorcycling)

ปีนี้มีนักบิดกว่า 40,000 คน จากกว่า 1,500 เส้นทางทั่วโลก ออกเดินทางพร้อมกัน ทำให้ One Ride เป็นหนึ่งในการเฉลิมฉลองมอเตอร์ไซค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก การขี่เริ่มต้นพร้อมกับแสงแรกของพระอาทิตย์ทางตะวันออก และต่อเนื่องไปจนถึงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางตะวันตก กลายเป็นการเฉลิมฉลองต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ที่ครอบคลุมทุกโซนเวลา

สำหรับประเทศไทย มีผู้เข้าร่วมการเดินทางสุดมันส์นี้ถึง 1,626 คน เฉพาะในกรุงเทพและปริมณฑลก็มีมากถึง 400 คน !!  มารวมตัวกันเพื่อออกเดินทางบนเส้นทางการขับขี่และทำกิจกรรมร่วมกันที่สะท้อนถึงความผูกพัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความรักที่มีต่อการขี่รถมอเตอร์ไซค์ของเหล่านักบิดที่แท้จริง

ทุก ๆ ปี One Ride ได้รวมเอาชุมชนนักบิดและผู้ที่หลงใหลการขี่มอเตอร์ไซค์ไว้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่น้องใหม่ในวงการ ไปจนถึงนักบิดวัยเก๋าผู้มากประสบการณ์เพื่อร่วมเฉลิมฉลอง “ความเป็นตัวของตัวเอง” “การแสดงออกอันเป็นเอกลักษณ์” และ “อิสรภาพบนท้องถนน” ได้สร้างเครือข่ายนักบิดที่แม้จะอยู่ต่างทวีป คนละซีกโลก แต่กลับรู้สึกใกล้ชิดดั่งครอบครัว และก่อเกิดเป็นมิตรภาพที่ยั่งยื

ในปีนี้ หมวกกันน็อคไม่ได้เป็นเพียงอุปกรณ์ป้องกัน แต่ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตน ผ่านการตกแต่งเฉพาะตัว มอเตอร์ไซค์คัสตอมคันโปรด และเครื่องแต่งกายสุดเท่ที่ไม่เหมือนใคร จนกลายเป็นผืนผ้าใบเล่าเรื่องราวและความคิดสร้างสรรค์ของนักบิดแต่ละคน

นอกเหนือจากการเฉลิมฉลองแล้ว One Ride ยังตอกย้ำถึงความรับผิดชอบต่อการขับขี่ปลอดภัย ด้วยเส้นทางที่ถูกคัดสรรอย่างเหมาะสม เคารพต่อชุมชนท้องถิ่น และโครงการดี ๆอย่าง “Helmets for India” เพื่อสร้างความมั่นใจว่านักขับขี่ทุกคนจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย และพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง

งาน One Ride เติบโตอย่างก้าวกระโดดนับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2011 โดยมีผู้เข้าร่วมงานเพียง 14 ประเทศ และ 23 เมืองในอินเดีย แต่ในปี 2024 One Rideประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานถึง 41,730 คน จาก 66 ประเทศ ขณะที่ปี 2025 ยังคงมีผู้เข้าร่วมงานในระดับเดียวกัน โดยมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 40,000 คน จาก 60 ประเทศทั่วโลก

#OneRide2025 | #OneRide | #PureMotorcycling | #RoyalEnfield | #RidePure