ยามาฮ่ากับการล่าแชมป์โลกในปี 2017 ในศึกรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกรายการ MotoGP

ในศึกชิงเจ้าความเร็วปี 2017 ที่กำลังจะระเบิดความมันส์ขึ้นในสนามแรกที่ประเทศกาตาร์ ในวันที่ 26 มีนาคม ที่จะถึงนี้ เรามาดูความเคลื่อนไหวต่างๆ ของทีม Movistar Yamaha MotoGP กันสักนิดดีกว่าครับ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันบ้างในฤดูกาลนี้

เริ่มจากการปล่อยทีเซอร์การเปิดตัวทีม Movistar Yamaha MotoGP ไปก่อนหน้า และในวันที่ 19 มกราคม 2560 ในเวลา 11.30 น.ตามเวลาประเทศสเปน ก็ได้เวลาการเปิดตัวทีมแข่งอย่างเป็นทางการ พร้อมสองนักแข่งทีม นำโดยแชมป์โลก 9 สมัย วาเลนติโน่ รอสซี่ และ ทีมเมทคนใหม่ มาเวริค บีญาเลส พร้อมกับ ยามาฮ่า YZR-M1 เวอร์ชั่นปี 2017 ที่จะใช้ทำการแข่งขันในฤดูกาลนี้ พร้อมกับการตั้งเป้าหมายคว้าแชมป์โลกมาครอง โดยมีผู้บริหารทีม และทีมงานรวมถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ Telefónica ร่วมงานด้วย

ทีม Movistar Yamaha MotoGP ทีมแข่งที่มีแฟนๆ อยู่ทั่วทุกมุมโลก ได้ทำการเปิดตัวทีมสำหรับการแข่งขันโมโตจีพีในฤดูกาล 2017 ขึ้นที่สำนักงานใหญ่ Telefónica ในกรุงมาดริดประเทศสเปน โดยการเปิดตัวมีขึ้นท่ามกลางผู้บริหารทีมพร้อมทีมงานมาร่วมการเปิดตัวกันอย่างพร้อมเพียง โดยสองนักแข่งของทีม วาเลนติโน่ รอสซี่ และ มาเวริค บีญาเลส ได้ขึ้นมาให้สัมภาษณ์บนเวที ก่อนที่จะต่อด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารทีม และร่วมทำการเปิดผ้าคลุม ยามาฮ่า YZR-M1 เวอร์ชั่นปี 2017 โดยรถยามาฮ่า M1 ตัวใหม่นี้ได้รับการพัฒนาในช่วงของการปิดฤดูกาลการแข่งขัน และจะนำรถแข่งตัวใหม่นี้ลงสนามในการทดสอบครั้งแรกใน IRTA MotoGP Test ที่สนามเซปังประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นการซ้อมปรีซีซั่นครั้งแรกของปี 2017 และทุกทีมจะร่วมทำการซ้อมในครั้งนี้ด้วยกัน

และในการซ้อมก่อนเปิดฤดูกาลแข่งขัน มาเวริค บีญาเลส ทำเวลาในการซ้อมมาเป็นอันดับ 1 ในรอบ IRTA MotoGP Test

การทดสอบ IRTA MotoGP Test ของปี 2017 ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งในระหว่างวันที่ 30 มกราคม 2560 ถึง 1 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา ทุกทีมต่างนำรถแข่งในฤดูกาล 2017 มาทำการเปิดตัว และลงซ้อมกันอย่างคึกคัก ทุกค่ายรถจักรยานยนต์ที่ลงทำการแข่งขันในรุ่น MotoGP ทีมวิศวกรแต่ละค่ายต่างรุดเร่งพัฒนารถแข่งของตนให้พร้อมเพื่อให้นักแข่งลงทำการทดสอบ โดยหลังจากจบการซ้อมตลอดทั้ง 3 วันนั้น นักแข่งทีม Movistar Yamaha MotoGP มาเวริค บีญาเลส นำยามาฮ่า YZR-M1 ลงทำการทดสอบอย่างหนัก พร้อมทำเวลาการซ้อมในสนามเซปังเซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย มาเป็นอันดับ 1 ด้วยเวลา 1’59.368 นาที โดยหลังจบการทดสอบรถ มาเวริค บีญาเลส ที่ลงขับขี่ทดสอบรวม 72 รอบ ได้กล่าวว่า “วันนี้ก็คล้ายกับเมื่อวาน ที่เรายังคงทำงานด้วยการโฟกัสไปที่การทดสอบการเพื่อตำแหน่งในการแข่งขัน เราพยายามหลายอย่าง ทั้งการทดสอบเพื่อเน้นทำเบสต์แล็บสลับกับการทดสอบเสมือนแข่งจริงเพื่อพัฒนารถแข่ง ซึ่งผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่สามารถทำเวลาวันนี้ได้อยู่ในระดับ 1 นาที 59 วินาที ซึ่งรถแข่งที่ทดสอบนี้ให้ผลออกมาดีเกินกว่าที่คิด จนผมคิดไปว่าเวลานี้เรามีรถแข่งที่ดีที่สุดจากการทดสอบในครั้งนี้ ซึ่งข้อมูลหลายๆ อย่างจะเป็นส่วนสำคัญให้เรานำไปทดสอบต่อที่ฟิลลิป ไอส์แลนด์”

การทดสอบก่อนการเปิดฤดูกาลใน IRTA MotoGP Test ครั้งที่ 3 เริ่มขึ้นอีกครั้งในระหว่างวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2560 ที่สนามฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ทีมวิศวกรของแต่ละค่ายต่างนำผลการทดสอบที่สนามเซปังเซอร์กิต ไปปรับปรุงรถแข่งให้พร้อมต่อการทดสอบในครั้งที่ 3 นี้ โดยหลังเข้าสู่การซ้อมวันที่สอง มาเวริค บีญาเลส นำยามาฮ่า YZR-M1 หมายเลข 25 ลงทำการขับขี่พร้อมปรับเซ็ทรถแข่งอย่างเต็มที่ และลงขับขี่รวมทั้งหมด 80 รอบสนาม พร้อมทำเวลามาเป็นอันดับที่ 1 ของการซ้อม โดยกดเวลาไว้ที่ 1’28.847 นาที โดย MV25 ได้กล่าวว่า “ในวันนี้เรามุ่งเน้นไปที่การทำตำแหน่งในการแข่งขัน (ทดสอบขี่เน้นทำเวลาเทียบจากการแข่งขันจริง) ซึ่งเราก็สามารถทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เราสามารถก้าวหน้าได้มากเมื่อเทียบกับผลการทดสอบที่ทำได้ในวันแรก ผมรู้สึกสบายกับสนาม และรู้สึกมั่นใจกับความหนึบของยาง แม้ว่าเราจะทำงานได้ดีแต่ก็ยังมีอะไรอีกมากที่ยังจะต้องทำในการทดสอบที่นี่ พวกเรายังจะต้องทดสอบเพื่อที่จะตัดสินใจเลือกแชสซีส์รถแข่งที่มีอีกไม่กี่สเปคที่จะต้องเลือก ซึ่งผมสามารถที่จะไปได้เร็วกับแชสซีส์ทั้งสองสเปคที่จะต้องทดสอบในวันนี้ ซึ่งผมสามารถที่จะคงความเร็วได้อย่างสม่ำเสมอในช่วงระหว่าง 1.29 อ่อน ถึง 1.29 กลาง ดังนั้นในวันพรุ่งนี้เรายังคงมีงานที่จะต้องทำ และหวังว่าจะพัฒนาได้รุดหน้ายิ่งขึ้น” และในการทดสอบวันที่สามที่ออสเตรเลีย มาเวอริค บีณาเลส ก็ยังแรงไม่หยุดลงขับขี่ถึง 101 รอบ พร้อมทำเวลามาเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง โดยกดเวลาไว้ที่ 1’28.549 นาที พร้อมทั้งยังกล่าวว่า “มันคือผลการทดสอบที่เป็นไปในทิศทางที่ดีมากสำหรับเรา ซึ่งเรามาทำการทดสอบพร้อมด้วยชิ้นส่วน และอุปกรณ์หลายอย่างซึ่งเราก็สามารถทำงานได้ลุล่วงตามที่วางแผนไว้ และสามารถช่วยให้เรารู้ว่าจะต้องเตรียมการเซ็ทอัพอะไรสำหรับการเริ่มต้นฤดูกาลที่จะมาถึง เราทำงานกันเยอะมาก และเราก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำได้นี้  โดยเฉพาะการทดสอบในวันนี้เรามุ่งมั่นอยู่ที่การขับขี่ในแบบเสมือนกับการแข่งขันจริงที่จะพยายามยืนระยะการขี่ติดต่อเป็นเวลานานหลายรอบเพื่อเน้นที่อันดับการแข่งขัน ซึ่งผมพอใจกับผลที่ออกมา แต่ก็ยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก อีกทั้งเวลานี้เราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจในส่วนของแฟริ่ง ซึ่งยังคงต้องพัฒนากันต่อไปอีก”

และการทดสอบ IRTA MotoGP Test ในครั้งสุดท้ายที่สนามไนซ์เรซ ประเทศกาต้าร์ ก็มีขึ้นก่อนเปิดฤดูกาลราวๆ สองสัปดาห์ โดยมีขึ้นในระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2560 ซึ่งมาเวริค บีญาเลส ก็สร้างเซอร์ไพรสให้กับแฟนๆ กีฬามอเตอร์สปอร์ต ด้วยการคว้าผู้นำเวลาในการซ้อมได้ถึง 2 วัน โดยวันที่สองของการซ้อม (11 มี.ค.) สามารถทำเวลาไว้ที่ 1’54.455 นาที และในวันสุดท้าย(12 มี.ค.) ลงขับขี่ทั้งหมด 60 รอบสนาม ทำเวลาดีที่สุดมาเป็นอันดับที่ 1 ด้วยเวลา 1’54.330 นาที โดยการแข่งขัน MotoGP 2017 ในสนามแรกที่ประเทศกาต้าร์ จะเริ่มขึ้นในระหว่างวันที่ 23 -26 มีนาคมนี้ 2560 โดยเกมการแข่งขัน MotoGP 2017 นี้ ยามาฮ่าได้ให้การสนับสนุนการถ่ายทอดสดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกในรายการ MotoGP เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยจะถ่ายทอดสดทางช่อง 3SD (ช่อง 28) ไปตลอดทั้งฤดูกาล

2017 Beta Xtrainer

ในประเทศไทย ชื่อของ Beta น่าจะจำกัดอยู่ในวงการไทรอัล ที่บรรดานักแข่งมอเตอร์ไซค์ไต่เขาได้มีการนำเข้ารถแบรนด์นี้เข้ามาใช้ขับขี่กันในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงชื่อรถ Beta จึงน่าจะไม่เป็นที่คุ้นหูกันมากนัก แม้ว่าระยะหลังๆ นี้ค่ายรถนี้จะเริ่มเปิดไลน์การผลิตที่หลากหลายขึ้น แต่ก็ยังคงสถานการณ์ผลิตในรถประเภท “บังโคลนลอย” เป็นหลัก โดยเฉพาะในปี 2016 ที่ผ่านมา

ต้องบอกว่า Beta ประสบความสำเร็จครั้งแรกในเกมการแข่งขัน World Enduro Championship ดังนั้น “ไลน์การผลิตรถในกลุ่มเอ็นดูโร่จึงค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษ” อีกทั้งยังส่งอานิสสงค์ถึงรถในกลุ่ม “ลูกครึ่งกึ่งจริงจัง” อย่าง Xtrainer ที่กล่าวได้ว่าเป็น อัลสปอร์ตหรือแอดเวนเจอร์สปอร์ต สำหรับการขับขี่ทั้งในแบบออฟโรดและบนท้องถนนทั่วไปนั่นเอง

ด้วยนิยามการออกแบบของรถรุ่นนี้ที่ว่า “designed for FUN” คือ ออกแบบมาเพื่อให้เป็นรถที่ขับขี่เพื่อความสนุก ขับขี่ง่าย หลากหลายการใช้งานที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆที่เน้นสมรรถนะในเกมการแข่งขัน ดังนั้นเมื่อเทียบกับรถในซีรี่ส์ RR แล้วจะพบว่า Xtrainer มีมิติของเฟรมที่เล็กกว่า 10% เพื่อให้ขับขี่ได้ง่าย ตำแหน่งเบาะนั่งที่ต่ำกว่าถึง 1 นิ้ว ในส่วนของเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ 300 ซีซี. ออกแบบมาให้มีการส่งกำลังที่นุ่มนวล ไม่กระชากดุดัน สามารถควบคุมได้ง่าย ด้วยระบบการจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด Electronic Oil Injection ช่วยให้มีการจ่ายน้ำมันได้เหมาะสมกับจังหวะการเปิดปิดเรือนลิ้นเร่ง จึงช่วยลดปริมาณควันลงได้มากกว่า 50% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบสองจังหวะทั่วไป แม้ว่าเครื่องยนต์จะออกแบบให้มีความนุ่มนวลไม่กระชากดุดันเช่นในซีรี่ส์ RR แต่ระบบเบรกนั้นติดตั้งมาเป็นสเปคเดียวกัน จึงมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพในการ “เบรก” ได้อย่างเต็มที่

เครื่องยนต์ เครื่องยนต์สูบเดียว
สองจังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
มาพร้อมด้วย BPV power valve system
และสตาร์ทไฟฟ้า
กระบอกสูบxช่วงชัก 72 x 72 มม.
ปริมาตรความจุ 293.1 ซีซี.
อัตราส่วนกำลังอัด 11.3:1
ระบบวาล์วไอเสีย Beta Progressive Valve (BPV)
การจุดระเบิด AC-CDI Kokusan
หัวเทียน NGK GR7CI8
การหล่อลื่น Electronic Oil Injection
( ความจุน้ำมัน 650 ซีซี.)
คาร์บูเรเตอร์ Keihin PWK 36mm
คลัทซ์ แบบเปียกหลายแผ่นซ้อน การส่งกำลัง 6 สปีด
โซ่ O-ring chain
เฟรม Molybdenum steel แบบ Parameter-Style
ฐานล้อ 57.8 นิ้ว
ความสูงเบาะนั่ง 35.8 นิ้ว
ระยะห่างจากพื้น 12.6 นิ้ว
ระยะห่างพักเท้าจากพื้น 15.4 นิ้ว
น้ำหนัก 218 lbs.
ความจุถังเชื้อเพลิง 2.25 US gallons
กันสะเทือนหน้า ฟอร์คหัวกลับ ขนาด 43 มม.
สามารถปรับค่า rebound และ spring preload
กันสะเทือนหลัง Steel body shock
สามารถปรับค่า rebound และ compression
ระยะยุบตัวล้อหน้า 10.6 นิ้ว
ระยะยุบตัวล้อหลัง 10.6 นิ้ว
เบรกหน้า fl oating rotor 260 มม.
เบรกหลัง rotor 240 มม.
ขนาดวงล้อ (หน้า/หลัง) 21 นิ้ว / 18 นิ้ว
ยาง (หน้า/หลัง) Soft Enduro Competition

All New CBR1000RR พร้อมนิกกี้ เฮเด้น อดีตแชมป์ MotoGP ร่วมเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่

บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำสายพันธุ์สปอร์ตตัวจริงด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ได้แก่ All New Honda CBR1000RR และ All New Honda CBR1000RR SP ที่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนโฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “Total Control’” โดดเด่นทั้งในด้านขุมพลังของเครื่องยนต์ที่ถ่ายทอดจากสนามแข่งและที่สุดแห่งการควบคุม เสริมด้วยเทคโนโลยีการขับขี่กับชุดอุปกรณ์ควบคุม อิเล็กทรอนิคที่จะช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้น และยังเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในรถคลาสเดียวกัน  พร้อมดึง นิกกี้ เฮเด้น สุดยอดนักบิดชาวอเมริกันเจ้าของดีกรีแชมป์โลกโมโต จีพี ปี 2006 และสเตฟาน  แบรดเดิล แชมป์โลกโมโตทู ปี 2011 สังกัดทีม Red Bull Honda World Superbike มาร่วมเปิดตัวสุดยอดยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ตให้คนไทยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และพร้อมให้จับจองเป็นเจ้าของได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 นี้  นายสุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า “ความนิยมรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเภทรถสปอร์ตที่มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่มรถประเภทอื่น ซึ่งแน่นอนกลุ่มประเภทรถสปอร์ตของฮอนด้าก็ต้องเป็นรถในตระกูล CBR ที่มีชื่อเสียงในด้านสมรรถนะและการควบคุมรถ ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ CBR1000RR ที่มีจุดกำเนิดตั้งแต่ปี 1992 และมีแนวคิดการพัฒนาคือ การนำเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง และ การควบคุมการขับขี่ที่ง่าย เข้ามาไว้ด้วยกัน ซึ่งฮอนด้าได้ยึดถือแนวคิดการออกแบบนี้มาจนถึงปัจจุบัน”

ฮอนด้าได้พัฒนา All New Honda CBR1000RR ขึ้นมาใหม่ ให้เป็นรถซุปเปอร์สปอร์ตที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่การขับขี่ท้องถนนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง น้ำหนักที่เบาลง และสามารถควบคุมได้ง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ประกอบกับสีสันและดีไซน์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวสไตล์เรซซิ่งไบค์ และในครั้งนี้เรายังได้นำรุ่น CBR1000RR SP ที่เป็นรุ่นระดับท็อปที่มีเทคโนโลยีระดับรถที่ใช้แข่งขันเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอีกด้วย All New Honda CBR1000RR ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ขนาด 1000 ซีซี ที่ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักเบาด้วยอัตราส่วนกำลังอัดที่ 13.0 และสามารถทำกำลังสูงสุดได้ 141 กิโลวัตต์ที่ 13,000 รอบต่อนาที เพิ่มประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น TBW & APS เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) ที่ทำงานประสานกับเซ็นเซอร์ APS ที่ฝังอยู่ใน Handlebar grip เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองกับแรงบิดของผู้ขับขี่ได้อย่างดีที่สุด, Power Selector ระบบการตั้งค่าการขับขี่ โดยผู้ขับขี่เลือกตั้งค่ากำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่ง, HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกได้ของฮอนด้า เพื่อตรวจจับความเร็วล้อด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างราบรื่น และ Engine Brake Control ซึ่งสามารถปรับเลือกได้ตามโหมดขับขี่ที่ที่ตั้งไว้เป็นค่ามาตรฐานหรือผู้ใช้สามารถตั้งค่าเองได้ตามต้องการ สะท้อนภาพลักษณ์รถสปอร์ตได้อย่างลงตัวด้วยชุดไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED และ     ท่อไอเสียดีไซน์ใหม่ที่ทำจากไทเทเนียมทำให้มีน้ำหนักเบาแต่ยังคงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ CBR1000RR มีสองสีให้เลือกด้วยกัน ได้แก่ สีแดง (Victory Red) และ สีดำ (Mat Ballistic Black Metallic)

ซุปเปอร์ไบค์พันธุ์แรง ดีไซน์สปอร์ตเฉียบทุกองศา รถยอดนิยมของผู้ที่หลงไหลในความเร็วและการออกแบบที่ลงตัว

สีแดง (Victory Red)

สีดำ (Mat Ballistic Black Metallic)

ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับรุ่น All New CBR1000RR SP พร้อมกับชุดสีดีไซน์ใหม่แบบ Tri-color (Victory Red) โดยถังน้ำมันได้ถูกทำขึ้นจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างไทเทเนียม ทำให้รถรุ่นนี้มีน้ำหนักเบากว่ารุ่นปัจจุบันถึง 17 กิโลกรัม และยังอัดแน่นด้วยสุดยอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Quick shifter ที่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องบีบคลัทช์ ระบบโช๊ค Ohlins ทั้งหน้า-หลัง ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้า และระบบเบรคคู่หน้าเป็นคาลิปเปอร์เบรค Monoblock 4 POT จาก Brembo เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อช่วยเพิ่มการควบคุมรถสำหรับการ  ขับขี่ในสนามแข่งได้สนุกยิ่งขึ้น

จุดเด่นผลิตภัณฑ์

TBW & APS เทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) ที่ทำงานประสานกับเซ็นเซอร์ APS ที่ฝังอยู่ใน Handlebar gripเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่ตอบสนองกับแรงบิดของผู้ขับขี่ได้อย่างดีที่สุด

Power Selector, HSTC และ Engine Brake Control เทคโนโลยีที่ช่วยให้การขับขี่สนุกมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็น Power Selector ระบบการตั้งค่าการขับขี่ โดยผู้ขับขี่เลือกตั้งค่ากำลังจากเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่ง, HSTC (Honda Selectable Torque Control) ระบบควบคุมแรงบิดแบบเลือกได้ของฮอนด้า เพื่อตรวจจับความเร็วล้อด้านหน้าและด้านหลัง ช่วยให้การควบคุมรถได้อย่างราบรื่น, Engine Brake Control แบบปรับเลือกได้ตาม Riding Mode ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าเองได้ตามต้องการ

New LED Headlight & Taillightไฟหน้า ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED

Titanium Muffler ท่อไอเสีย Titanium น้ำหนักเบาแต่ให้เสียงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

Thin-Film Transistor Meter จอแสดงผลแบบ TFT (Thin-Film Transistor) LCD เทคโนโลยี  เดียวกับที่ใข้ใน RC213V-S

https://www.youtube.com/watch?v=Kte0dCa-z4M

ยามาฮ่าส่ง “แสตมป์” แชมป์เอเชีย ลุยศึก Moto3 World Championship สังกัดทีมยอดนักบิดยามาฮ่า วาเลนติโน่ รอสซี่

นายธีระพงษ์ โอภาสกรกุล ผู้จัดการทั่วไปอาวุโส สนับสนุนการขาย และการตลาด พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด มาร่วมส่ง และให้กำลังใจนักแข่งดาวรุ่ง แชมป์เอเชีย “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ ที่เดินทางไปเก็บตัว และเข้าร่วมฝึกซ้อม ณ ประเทศอิตาลี ก่อนลงศึกการแข่งขันรถจักรยานยนต์ระดับโลก ณ ประเทศสเปน รายการ FIM CEV International Championship 2017 รุ่น Moto3 World Championship ภายใต้สังกัดทีม VR46 MASTER CAMP TEAM ของยอดนักบิดทีมยามาฮ่าแชมป์โลก 9 สมัย วาเลนติโน่ รอสซี่ โดยในปี 2017 นี้ “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ จะลงทำการแข่งขันแบบเต็มฤดูกาล โดยที่เป็นนักบิดต่างชาติคนแรก และคนเดียวของทีมนี้อีกด้วย ในการร่วมส่ง พร้อมให้กำลังใจ แสตมป์ เดินทางไปในครั้งนี้เกิดขึ้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อเร็วๆ นี้

 

The Adrenaline Clutcher Caravan Camp

คาราวานแห่งความสนุก เฉพาะผู้ใช้รถจักรยานยนต์ฮอนด้า MSX125 และ MSX125 SF เท่านั้นครั้งแรกกับการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของ MSX125 และ MSX125 SF กว่าพันคันกับคาราวานชาว THE CLUTCHER นักบิดหัวใจฮอนด้าเดินทางสู่ AREA125 ที่จะทำให้คุณมีความสุขตลอดค่ำคืน พร้อมมันส์ไปกับคอนเสิร์ตจากศิลปิน ชื่อดัง, การประกวด Msx125 ตกแต่งพิเศษชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 15,000บาท ร่วมประกวดสาวสวย MISS CLUTCHER LADY ชิงเงินรางวัล รวมมูลค่า 30,000บาท

Yamaha M-slaz Street Dift

ต้องบอกว่ากระแสมาแรงไม่ตกจริงๆ สำหรับเน็คเก็ดไบค์ขนาด 150 ซีซี M-SLAZ ต้องบอกว่าออกมาได้ถูกช่วงถูกเวลา และรูปทรงที่โดดเด่น สวย เท่ ครบสูตรโดนใจวัยรุ่นจนมีหลายสำนักแต่งนำมาแต่งโชว์ในงานต่างๆ กับสีสันและของแต่งที่มีมากมาย ด้วยตัวรถที่มีขนาดกะทัดรัด ดีไซน์ในแบบเน็คเก็ดไบค์จากตระกูล M-T Series รูปแบบที่โฉบเฉี่ยวขนาดเล็ก ไฟหน้าแบบล้ำยุคสองชั้น โช้คอัพหน้าหัวกลับมาพร้อมไลน์ผลิตแบบไม่ต้องเปลี่ยน แผงคอบนล่างเน้นสีสันเด่นสะดุดตา ครอบถังน้ำมันและปีกหม้อน้ำเสริมตัวดักลมระบายความร้อนของหม้อน้ำที่เป็นอลูมินัม ฝาเปิดถังน้ำมันอลูมินัม แฮนด์เดิ้ลบาร์สีขาว ประกบด้านบนด้วยกันสะบัดปรับระดับ SCOTTS ปั๊มดิสก์เบรก brembo ก้านพับ กระปุกน้ำมันลอยตู้ปลา rizoma ปลายแฮนด์สวมกระจกมองหลัง เบาะเดี่ยวครอบท้ายแบบสปอร์ตสีสันใหม่พร้อมลวดลายเส้นสะดุดตา ดิสก์เบรกหน้ายกชุดใหม่ คาลิเปอร์ brembo เรเดียลเม้าท์ 4 ลูกสูบ จานดิสก์เบรกแต่งแบบให้ตัวได้ ด้านข้างติดตั้งกันล้ม ชุดพักเท้าเกียร์โยง และการ์ดสเตอร์หน้าอลูมินัม CNC ดิสก์เบรกหลังเปลี่ยนก้านกระทุ้งและคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว Racing Boy จับห้อยล่าง จานดิสก์ 200 มม. แบบให้ตัว หางปลาตัวตั้งโซ่อลูมินัม โซ่สี สเตอร์อลูมินัม เน้นสีสันโดดเด่น

                   

สำหรับเครื่องยนต์ขนาด 150 ซีซี กำลังดีกับการขับขี่ใช้งานในเมือง จัดเสริมความจัดจ้านด้วยท่อสูตรปลายออกด้านล่างตามสไตล์ของเน็คเก็ดไบค์ วงล้อแม็ก 17 นิ้ว สวมรัดด้วยยางเรเดียลหน้ากว้างเพิ่มความเกาะถนน โช้คอัพหลังเดี่ยวแบบแยกซับแท้งค์แก๊ส

Benelli TNT25 Scrambler

เปลี่ยนสู่ความเท่ล้ำสมัยท้าทายกับไอเดียการแต่งรถ จากรถสไตล์เน็คเก็ดไบค์ปรับลุคใหม่จากสำนักแต่ง TONYS BIKE DESIGN ให้กลายเป็น Benelli TNT25 Scrambler ผสมกับศิลปะของ Custom ในแบบอนาคต การเปลี่ยนลุคใหม่จากอีกสไตล์ให้เป็นรถอีกสไตล์ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป อย่างเช่น TNT25 คันนี้ ที่จัดแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ฉีกแนวไปจากเดิม โดยที่ใช้เมนเฟรมเดิมแต่เพิ่มเติมที่ออพชั่น ช่วงคอพเวอร์หน้ายกออกทั้งยวง สร้างหน้ากากไฟใหม่ตามแบบในจินตนาการดีไซน์เจาะช่องไฟสปอร์ตไลท์พร้อมไฟเลี้ยว LED ย้ายจุดยึดตำแหน่งไมล์ให้ขึ้นมาอยู่บนแฮนด์เพื่อองค์ประกอบตำแหน่งรถที่โดดเด่นขึ้น สีสันเข้มด้วยสีน้ำตาลคาดเส้นเหลืองโช้คอัพหน้าที่เป็นแบบหัวกลับ Upside Down มีให้มาพร้อมปรับระดับความเตี้ยลงกว่าเดิม ดิสก์เบรกหน้าคาลิเปอร์แบบ 4 พอร์ท แฮนด์บาร์ติดกระจกทรงกลมที่ปลายแฮนด์ เบาะนั่งเป็นชิ้นเดียวโดยตัดแต่งท้ายสั้นลง ไฟท้าย LED ดัดโค้งเข้ารูป ไฟเลี้ยวก็ลดขนาดให้เล็กลง พักเท้าสไตล์สปอร์ตมีแค่สำหรับผู้ขับขี่ โช้คอัพหลังเดี่ยวเซ็ทอัพความหนืดใหม่รองรับการขับขี่ที่เร้าใจมายิ่งขึ้น

เครื่องยนต์ ขนาดวามจุ 250 ซีซี สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยน้ำโดยใช้แผงหม้อน้ำอลูมินัมเสริมความเด่นด้วยสายยางสีต่อเข้าวาล์วด้านใน ป้อนเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ควบคุมการทำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์ คลุกเคล้ากระบวนการเผาไหม้ถ่ายออกสู่ท่อไอเสียแยกปลายเป็นท่อคู่ออกข้าง Full System ดิสก์เบรกหลังคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยวเพิ่มองค์ประกอบของรถให้ใหญ่ขึ้นโดยเพิ่มขนาดยาง หน้า 120/60-17 ยางหลัง 160/60-17 เพื่อให้รถดูใหญ่และบึกบึนสมกับเป็น Custom Scrambler ในจินตนาการของ TONYS BIKE DESIGN

2017 Yamaha WR450F Rally

จากพื้นฐานเดิมของรถโปรดักชั่นสายพันธ์เอ็นดูโร่อย่าง WR450F ได้ถูกนำมาปรับเสริมเติมแต่งโดยทีมวิศวกรของ Yamaha ที่จะพัฒนา Workbikes ของทีม Yamalube Yamaha Official Team เพื่อใช้ในการแข่งขัน 2017 Dakar Rally ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับออพชั่นและรายละเอียดของตัวรถให้มีความเหมาะสมกับการแข่งขันในระยะทางไกล ที่ต้องขับขี่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงทำให้รถแข่งโรงงาน หรือ Workbike อย่าง WR450F Rally ต้องมีสมรรถนะที่ลงตัวและพร้อมมีความทนทานเพียงพอสำหรับการแข่งขันแบบแรลลี่

 

ด้วยพื้นฐานเดิมของเทคโนโลยีที่ลำหน้าใน WR450F โดยเฉพาะการออกแบบเครื่องยนต์แบบ Reversed Cylinder ที่ช่วยให้ได้กำลังเครื่องยนต์ที่ดี พร้อมทั้งสามารถควบคุมการส่งผ่านกำลังได้อย่างเหมาะสม และให้แรงบิดที่ดี ทางแฟคทอรี่ทีมยังได้รับการเสริมสมรรถนะด้วยการโมดิฟายชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ด้วยการเปลี่ยนชิ้นส่วนเป็นของชุดคิทจาก GYTR เพื่อให้ได้สมรรถนะและความทนทานที่เพิ่มขึ้นจากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ พร้อมกันนี้ในส่วนของ Engine Control System หรือระบบการจัดการเครื่องยนต์นั้นได้มีการโปรแกรมมิ่ง ค่า EFI Fuel maps ทั้งหมดใหม่ เพื่อให้ได้ค่าการจ่ายเชื้อเพลิง, การจุดระเบิด ที่เหมาะสมที่สุด พร้อมด้วยการเสริมสมรรถนะด้วยการเปลี่ยนระบบท่อไอเสียเป็น Akrapovic ทั้งชุด ขณะที่ในส่วนของแชสซีเดิมนั้นจากพื้นฐานเฟรมของ WR450F ได้รับการพัฒนาและปรับแต่งใหม่ สู่เวอร์ชั่น WR450F Rally ด้วยการเปลี่ยนสวิงอาร์มใหม่ที่ยาวจากเดิม 2 ซม. เพื่อให้รถสามารถควบคุมได้ง่ายขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้ “นิ่งยิ่งขึ้น” และจากเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ของ Yamaha Workbike นั้นจะใช้พื้นฐานตำแหน่งท่านั่งที่แทบจะเป็นสเปคเดียวกับรถแข่งเอ็นดูโร่ ดังนั้นเพื่อให้มีความเหมาะสมกับเกมการแข่งขันในแบบแรลลี่นี้จึงได้มีการปรับค่าออพเซ็ทของรถจากเดิมอีก 25 มม. รวมถึงได้ออกแบบถังเชื้อเพลิงใหม่เป็นถังพลาสติกที่มีปริมาตรความจุ 33 ลิตร อีกทั้งสามารถเอื้อตำแหน่งของผู้ขี่ให้สามารถเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้นขณะแข่งขัน รวมทั้งมีการปรับชิ้นส่วนต่างๆ ของพื้นฐานเดิมให้มีน้ำหนักที่เบาและแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น จนสามารถจำกัดน้ำหนักรถเปล่าได้ที่ 142 กก. โดยที่ระบบกันสะเทือนหน้านั้นเป็นชุด Forks โมดิฟายพิเศษจาก BOS ส่วนในระบบกันสะเทือนหลังนั้น ใช้ของ KYB Factory พร้อมทั้งเพิ่มขนาดจานดิสก์เบรกเป็นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 300 มม.

และข่าวดีก็คือหลังจากการแข่งขัน Dakar 2017 ที่ Yamaha ได้พัฒนาชุดคิทสำหรับปรับเปลี่ยน WR450F จากพื้นฐานของรถสไตล์เอ็นดูโร่ มาสู่เวอร์ชั่นแรลลี่นั้น ในเบื้องต้นมีข่าวว่าทาง Yamaha (ยุโรป) จะผลิตออกจำหน่ายในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งคงต้องติดตามข่าวที่แน่นอนอีกครั้ง สำหรับสเปคพื้นฐานของ Workbike อย่าง WR450F Rally

 

เครื่องยนต์ 4จังหวะ สูบเดียว 4วาล์ว DOHC
ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรความจุเครื่องยนต์ 449 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 97.0 ม.ม. x 60.8 มม.
อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 : 1
ระบบการหล่อลื่น Wet sump
ระบบการจ่ายเชื้อเพลิง Fuel injection + GET system
คลัทช์ แบบเปียกหลายแผ่นซ้อน
การติดเครื่องยนต์ Kick + Electric
การส่งกำลัง Constant Mesh, 5-speed
เฟรม Semi double cradle
กันสะเทือนหน้า Telescopic forks( White Power)
ระยะยุบตัวของกันสะเทือนหน้า 310 มม.
กันสะเทือนหลัง Swingarm+KYB FACTORY shock
ระยะยุบตัวของกันสะเทือนหลัง 318 มม.
เบรกหน้า Brembo, Hydraulic single disc
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจานดิสก์ 300 มม.
เบรกหลัง Hydraulic single disc
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางจานดิสก์ 245 มม.
ยางหน้า 90/90-21 Metzeler Karoo Extreme
ยางหลัง 140/98-18 Metzeler Karoo Extreme
ความยาว 2,185 มม.
ความกว้าง 845 มม.
ความสูง 1,290 มม.
ความสูงเบาะนั่ง 975 มม.
วีลเบส 1,485 มม.
ระยะห่างจากพื้น 325 มม.
น้ำหนักรถพร้อมแข่ง 162 กก.
ความจุถังเชื้อเพลิง 33 ลิตร
ความจุน้ำมันหล่อลื่น 1.2 ลิตร

2017 Honda CRF450 RALLY เวิร์คไบค์ตัวแกร่งจากสังเวียน Dakar ของ HRC

Honda ส่งทีมแข่งในนาม Team HRC คืนสู่สังเวียน Dak+ar Rally ครั้งแรกในปี 2013 หลังจากที่หันหลังจากรายการนี้ตั้งแต่ปี 1989 โดยรถแข่งที่ใช้นั้นสร้างขึ้นจากพื้นฐานของรถโปรดักชั่นที่จำหน่ายในท้องตลาดจากรถในกลุ่มเอ็นดูโร่ของตนเอง

ด้วยการเก็บข้อมูลพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความต้องการด้านสมรรถนะของกำลังเครื่องยนต์, ประสิทธิภาพของระบบแอโรไดนามิค, ความทนทาน, และ การเซอร์วิสหรือบำรุงรักษาที่สะดวก ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ แนวทางในการพัฒนารถแข่งประเภทแรลลี่ จนนำมาซึ่งความสำเร็จในการสร้างรถแข่งแรลลี่พันธ์ุแท้อย่าง CRF 450 Rally ในปี 2015 ที่ไม่ได้เป็นเพียงร่างทรงหรือพื้นฐานจากรถเอ็นดูโร่เช่นสองปีที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีที่อัพเดทใหม่เฉพาะสำหรับรถแข่งในแบบแรลลี่ พร้อมด้วยระบบจัดการเชื้อเพลิงแบบ PGM-FI ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นภายใต้การทำงานในสภาวะการณ์ที่สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันทั้งในเรื่องของสภาพอากาศ ความกดอากาศของพื้นที่ที่มีความสูงของระดับน้ำทะเลมากถึง 3,000 เมตร และในปี 2017 นี้เอง ก็เป็นอีกครั้งที่ Honda ได้ทำการปรับเซ็ทพัฒนา รถแข่ง CRF450 Rally ใหม่เพิ่มเติมจากข้อมูลที่ได้บทเรียนจากการแข่งขันในช่วงปี 2016 ที่ผ่านมา โดยในส่วนของเครื่องยนต์ของ CRF450 Rally ยังคงเครื่องยนต์แบบสี่จังหวะ สูบเดียว ที่มีการออกแบบตามคอนเซ็ปต์ “compact” ที่มีความกะทัดรัดและทรงประสิทธิภาพ โดยมีขนาดความจุเครื่องยนต์ 450 ซีซี แบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมด้วยเมนเฟรมอลูมินัมแบบท่อคู่ตามแบบฉบับที่ใช้ในรถประเภทวิบากของฮอนด้าเพียงแต่ได้มีการปรับมิติให้มีความเหมาะสมกับการขับขี่ทางไกลในแบบแรลลี่ รวมทั้งรองรับการติดตั้งถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่ รวมถึงอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆ ที่จำเป็นต่อการแข่งขัน โดยที่ในส่วนของซัพเฟรมนั้นเป็นชิ้นส่วนจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยระบบกันสะเทือนทั้งชุดนั้นเป็นของ Showa

และจากการแข่งขันใน Dakar Rally 2016 หากจำกันได้จะพบว่าทีมแข่ง HRC ที่เริ่มต้นได้ดีในช่วงครึ่งแรกของการชิงชัยก่อนที่สองนักแข่งความหวังสูงสุดของทีมจะต้องพบกับ “ชะตากรรม” ที่ต้องออกจากการแข่งขัน ด้วยปัญหาทางด้านเทคนิคอย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะการถูกกิ่งไม้แทงทะลุหม้อน้ำ กับ ปัญหาของระบบนำทาง ซึ่งสองประเด็นนี้เอง ทำให้ ทีมแข่ง HRC ที่เดิม พัฒนารถแข่งทุกๆ ส่วนด้วยเทคโนโลยีของตนเอง ก็ตัดสินใจ “เปิดรับพันธมิตร” ดังนั้น นอกจากพื้นฐานการพัฒนารถแข่งในส่วนพื้นฐานหลักของรถแข่งแล้ว จึงได้มีการเซ็นสัญญากับ Acerbis ให้เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในการสนับสนุนชิ้นส่วนบอดี้พาร์ทและอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆ ของตัวรถแข่งทั้งหมด รวมทั้งได้มีการเซ็นสัญญากับ GARMINS เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในส่วนของระบบเนวิเกเตอร์ เนื่องจากเทคโนโลยีของผู้ผลิตรายนี้สามารถเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมรัสเซีย ที่ครอบคลุมพื้นที่ในการแข่งขันมากที่สุดนั่นเอง

Machine Specs
เครื่องยนต์ สูบเดียวแบบ DOHC, ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรเครื่องยนต์ 449.4 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 97.0 x 60.8 มม.
การติดเครื่องยนต์ Electric starter
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง Fuel Injection
การหล่อลื่น Motul 300V
การส่งกำลัง 6 speed
กำลัง มากกว่า 45 kW
เฟรม Aluminium twin tube
ซับเฟรม Carbon fibre
ถังเชื้อเพลิง ถังพลาสติกแยก หน้า กับ หลัง
ความจุถังเชื้อเพลิง 33.7 ลิตร
กันสะเทือนหน้า Showa แบบหัวกลับ
ขนาดแกน 51 มม. ระยะยุบตัว 310 มม.
กันสะเทือนหลัง Showa แบบ single tube
ขนาดแกน 50 มม. ระยะยุบตัว 315 ม.ม.
เบรกหน้า ดิสก์เบรกเส้นผ่าน 300 มม. แบบสองพอร์ท
เบรกหลัง ดิสก์เบรกเส้นผ่านศูนย์กลาง 240 มม.
แบบหนึ่งพอร์ท

ปตท.เปิดตัว PTT Challenger ใหม่เอาใจนักขับขี่มอเตอร์ไซค์

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้นำส่วนแบ่งตลาดน้ำมันหล่อลื่นต่อเนื้องเป็นปีที่ 9 กระตุ้นตลาดน้ำมันหล่อลื่นรถจักรยานยนต์ตื่นตัว ด้วยการนำเอาผลิตภัณฑ์ตระกูล PTT Challenger ที่ได้รับการยอบรับจากกลุ่มผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ถึงประสิทธิภาพในการปกป้องเครื่องยนต์ ด้วยเหตุผลที่ว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนไป มีความล้ำสมัยมากขึ้น ปตท. ในฐานะผู้นำตลาดที่ดี จึงได้หยิบเอาน้ำมันตระกูล PTT Challenger ออกมาพัฒนาให้มีประสิทธิภาพในการปกป้องสูงขึ้นเอาใจนักขับขี่มอเตอร์ไซค์ พร้อมกับเปิดตัวแคมเปญใหม่ ที่ออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิดของความท้าทายนุกการขับขี่ ตอบสนองการขับขี่ในทุกรูปแบบ ด้วยแนวคิด “ What ls your Challenger  จิตวิญาณที่ท้าทาย ไม่ได้มีไว้แค่เพื่อตัวเองที่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์จะได้สัมผัสถึงเทคโนโลยีที่ ปตท. นำมาประยุกต์ใช้ในสูตรการผลิต เพื่อให้ Challenger Synthetic 4T SAE 10W-40 สูตรใหม่ก้าวไปอีกขั้น ครอบคลุมการใช้งานในรถจักรยานยนต์ทุกประเภท ทั้งรถ Big Bike ที่ต่ำกว่า 600 cc. และจักรยานยนต์สมรรถนะสูง ตอบสนองทุกความท้าทายในการขับขี้ ให้ผู้ขับขี่มั่นใจตั้งแต่ทันทีที่ออกตัวด้วย Triple Action Formula ที่จะทำงานประสานกันทันทีเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเข้าไปปกป้องเครื่องยสต์ ระบบเกียร์และคลัตช์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้งาน พร้อมด้วย Hidh Film Strength ที่ทำให้ฟิล์มน้ำมันแข็งแรงทนต่อแรงเฉือนสูงกว่ามาตรฐานถึง 91% และ DI-SYN Protection ที่ไม่เพียงแต่จะสามารถยืดอายุการใช้งานและปกป้องเครื่องยนต์ที่ทำงานหนัก รอบจัดแล้ว ยังให้การตอบสนองการขับขี่ได้ดั่งใจในทุกสภาวะตลอดอายุการใช้งาน ทั้งหมดนี้ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลในระดับที่สูงกว่ามาตรฐาน และตอกย้ำความมั่นใจด้วยการวิ่งทดสอบภาคสนามกับนักแข่งรถจักรยานยนต์และกลุ่มผู้ใช้งานจริงมาแล้ว