ไม่มีคำว่า “ง่าย” ในพจนานุกรมของกีฬาอาชีพ โดยเฉพาะเวทีสูงสุดของโลกอย่าง “เวิลด์ กรังด์ปรีซ์” การก้าวขึ้นสู่ระดับท็อปคลาสของศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก จึงเป็นเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ในวัย 24 ปี “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดไทย กำลังแบกความฝันของตัวเอง และแฟนความเร็วชาวไทย ที่หวังจะได้เห็น “นักแข่งชาวไทย” ก้าวขึ้นสู่ “โมโตจีพี” ให้ได้สักครั้ง
เจ้าของรถแข่งหมายเลข 35 จุดประกายความหวังนั้นขึ้นมาอย่างโชติช่วงในปีที่ผ่านมา เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักบิดไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะใน เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ จากนั้นก็คว้าโพเดียมมาได้อีก 3 ครั้ง กับการแข่งขันในรุ่น โมโตทูชิงแชมป์โลก 2022
นี่คือความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่สำหรับโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” ของ บริษัท ไทยฮอนด้า จำกัด ที่มุ่งมั่นอย่างมากกับโปรเจ็กต์นี้ เพื่อผลักดันให้มีนักบิดไทยใน โมโตจีพี ให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งการเติบโตของ “ก้อง” สมเกียรติ ก็เข้าใกล้จุดหมายปลายทางนี้แล้วทว่าอีกหนึ่ง “หัวใจสำคัญ” ของโครงการ “เรซ ทู เดอะ ดรีม” คือการมุ่งหวังให้นักแข่งภายในสังกัดทลายกำแพงของอุปสรรคทุกอย่างให้ได้ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด “Don’t Limit Your Challenges, Let’s Challenge Your Limit.” ซึ่งถือเป็นการเปิดกว้างอย่างมากให้ “นักบิดเยาวชนฮอนด้า” ทุกคน สามารถแสดงออกในด้านความสามารถอย่างเต็มที่ โดยเป้าหมายคือปลดปล่อย “ความสามารถที่แท้จริงออกมาโดยไม่มีขอบเขต”
ก้าวเข้าสู่ โมโตทู 2023 “ก้อง” สมเกียรติ แสดงให้เห็นถึงการเติบโตในทุกด้าน เขาเริ่มก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ด้วยการปรับวิธีการทำงานและวิธีบริหารความเสี่ยงในการแข่งขันได้อย่างยอดเยี่ยมผ่าน 5 สนามแรกของฤดูกาล 2023 “ก้อง” สมเกียรติ กล่าวถึงผลงานของตนเองว่า “ผมรู้สึกดีใจมากที่เก็บแต้มมาได้ทุกสนาม มีผิดหวังนิดหน่อยที่ ฝรั่งเศส เพราะว่าเราเซ็ตติ้งได้ค่อนข้างดี แต่ผมพลาดใน 4 รอบสุดท้าย รวมถึงจุดเปลี่ยนเรื่องธงแดง ซึ่งสนามต่อไปที่ มูเจลโล ผมจะทำเต็มที่เพื่อผลงานที่ดีขึ้น”การคว้าแต้มมาครองได้ทุกสนาม มีปัจจัยมาจากการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เพื่อสอดคล้องกับรถแข่งที่เปลี่ยนแทบทั้งคัน
“เนื่องจากมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์ โช๊กอัพ แชสซีส์ และหลายๆ อย่าง ทำให้ทุกสนามต้องเปลี่ยนเซ็ตติ้งใหม่ นั่นหมายความว่าเราต้องนับหนึ่งใหม่ในทุกๆ สนาม ในบางสนามเราลองปรับเซ็ตติ้งที่หลากหลาย แต่บางครั้งก็ไปในทิศทางที่ผิด นั่นทำให้งานของเรายากขึ้นกว่าเดิม แต่มันคือเรื่องของการทดลอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้พอเดินทางมาถึงสนาม 5 ผมรู้สึกว่ารถของเราเริ่มคงที่มากขึ้น การทำงานและการวางแผนทุกอย่างเริ่มนิ่งขึ้นครับ”นอกจากนี้ เปิดเผยถึงสไตล์การบิดที่ดุดันแต่รอบคอบมากขึ้นว่า “ผมเต็มที่ทุกสนามครับ เราพยายามอย่างหนัก ทั้งผมและทีม ตอนแข่งผมจะพยายามขี่ให้เหมือนกับตอนซ้อม เพราะถ้าตอนที่เราซ้อมเคยเบรกจุดนี้ แต่ถ้าตอนแข่งเราเบรกลึกเกินจุดเดิม อาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้”
ก่อนเข้าสู่การแข่งขันสนามที่ 6 ในสุดสัปดาห์นี้ที่ ออโตโดรโม อินเตอร์นาซินาเล เดล มูเจลโล ประเทศอิตาลี ยอดนักบิดไทยได้กล่าวทิ้งท้ายถึงโอกาสในการลุ้นโพเดียมว่า
“ตอนนี้เริ่มใกล้หัวแถวมากแล้วครับ… สนามที่แล้วก็จบท็อป 6 อยากให้รอดูและมาเชียร์กันครับ”อย่างไรก็ดี แม้จะเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าตั้งเป้าไว้ที่ท็อปไฟว์ แต่ลึกๆ แล้ว “ก้อง” สมเกียรติ” ก็ยอมรับว่าเขาเองต้องการคว้าแชมป์ให้ได้ เพราะในฐานะนักกีฬาอาชีพ เป้าหมายสูงสุดคือการเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าจะเป็นในแต่ละเรซ หรือการก้าวไปเป็นแชมป์โลกก็ตามนอกจากการทำงานในสนาม การเตรียมพร้อมนอกสนามก็สำคัญอย่างมาก โดย “ก้อง” สมเกียรติ เปิดเผยว่า “ผมไปอยู่ที่สเปน ที่โน่นเขาซ้อมไม่เคยหยุด เพราะว่าถ้าหยุดซ้อม เขาก็แพ้ แพ้คนที่ออกกำลังกายอยู่ทุกวัน ผมก็เอาจุดนี้มาใช้กับตัวเอง สร้างวินัยให้ตัวเอง เพื่อให้เราไม่รู้สึกว่าเราแพ้ และได้ฟิตร่างกายของเราเอง เมื่อกลับไปแข่งทุกครั้งร่างกายของเราจะได้เพอร์เฟ็กต์”
เส้นทางของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยังเต็มไปด้วยความท้าทายที่รอให้เขาฝ่ามันไปให้ได้… เป้าหมายคือไปให้ถึงฝัน ฝันในการโลดแล่นบนเวทีสูงสุดของโลกอย่าง “โมโตจีพี”
ฝันที่ไม่ใช่เพียงฝันของตัวเขาเอง แต่เป็นฝันของแฟนมอเตอร์สปอร์ตไทยทั้งประเทศ ที่โครงการ “ฮอนด้า เรซ ทู เดอะ ดรีม” พร้อมผลักดันเขาอย่างสุดตัว ให้ทลายขีดจำกัดไปสู่จุดสูงสุดของศึกจักรยานยนต์เรียบชิงแชมป์โลกให้ได้ ภายใต้แนวคิด “Don’t Limit Your Challenges, Let’s Challenge Your Limit.”