Gixxer SF แค่ดีไซน์ก็รู้ว่าแรง!!!

All New Suzuki Gixxer SF ได้รับการดีไซน์ให้เป็นสปอร์ตไบค์ที่มีรูปโฉมที่เพรียวบาง โดยได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบสไตล์ยุโรป การันตีด้วยการถ่ายทอด DNA จาก Super Bike ของ Suzuki โดยตรงที่จะทำให้ผู้ขับขี่ได้รับประสบการณ์ความสปอร์ตเสมือนได้อยู่ในสนามแข่ง

ด้วยโครงสร้างที่ถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน พร้อมแฟริ่งทรงสปอร์ตที่ถูกพัฒนา และออกแบบอย่างพิถีพิถันตามหลัก Aerodynamic โดยลมจะวิ่งผ่านเส้นสายของแฟริ่งของตัวรถ ช่วยลดแรงปะทะของลมในขณะขับขี่ ผสานกับน้ำหนักของตัวรถเพียง 160 กิโลกรัม และพละกำลังสูงสุดถึง 26.5 แรงม้า จึงไม่แปลกใจเลยที่ All New Suzuki Gixxer SF จะเป็นรถจักรยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจริงในเรื่องของการขับขี่ที่สนุก เร้าใจ ตามแบบฉบับ Japanese DNA จาก Suzuki

พบกับโปรโมชั่นที่พลาดไม่ได้ของ All New Suzuki Gixxer SF ได้แล้ววันนี้ สนใจคลิกเลย!!!
หากท่านสนใจเป็นเจ้าของ All New Suzuki Gixxer SF สามารถติดต่อได้ที่ร้านผู้แทนจำหน่าย ซูซูกิ ทั่วประเทศ หรือติดต่อ บริษัท ซูซูกิ โมโตเซลส์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผ่านทาง
Facebook :

2021 MV Agusta Brutale 1000RR สุดจี๊ดกับ 208 แรงม้า

ปรับปรุงโมเดลในพิกัด 800 ซีซี กันไปจนครบ คราวนี้ก็เป็นทีของรถตัวพันกันบ้าง สำหรับ MV Agusta Brutale 1000RR 2021 ไฮเปอร์เน็กเก็ดจากเมือง Varese โดยการอัพเกรดชุดใหญ่คราวนี้ ยังคงมีเรื่องของกฎข้อบังคับมาตรฐานไอเสีย Euro5 ทำให้มีการปรับแต่งชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานในระบบด้วยการใช้วาล์วไทเทเนียม วาล์วไกด์ใหม่ และลูกกระทุ้งลิ้นเคลือบ DLC ทั้งยังออกแบบระบบไอเสียใหม่เพิ่มเติมเพื่อให้ค่าไอเสียที่สะอาดมากยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญคือกำลังเครื่องยนต์ขุมพลัง 4 สูบเรียง 998 ซีซี ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 208 แรงม้า (153 กิโลวัตต์) ที่ 13,000 รอบ และแรงบิดที่ 116.5 นิวตันเมตรที่ 11,000 รอบ มีควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง และระบบสลิปเปอร์คลัทช์ มีระบบควบคุมแรงบิด 4 ระดับ

ตัวรถโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีมากมาย อาทิ หน้าจอเรือนไมล์สี TFT ขนาด 5.5 นิ้ว พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านระบบบลูทูธ ไฟหน้าที่น่าสนใจเพราะมันได้ไอเดียมาจาก Porsche 911 ในขณะที่ขับรถแล้วมองผ่านกระจกหลัง ระบบป้องกันล้อลอย ระบบแทร็คชั่นคอนโทรล 8 ระดับ ระบบเบรก ABS แบบใช้งานในโค้งได้ และระบบประมวลผลแรงเฉื่อยที่ช่วยให้ระบบอื่นๆ ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วงล่างเด่นที่ระบบกันสะเทือนไฟฟ้าจาก Ohlins Nix EC ที่ด้านหน้า Ohlins TTX EC ที่ด้านหลัง พร้อมกันสะบัดปรับไฟฟ้า ระบบเบรกจาก Brembo โดยด้านหน้าเป็นคาลิเปอร์เบรก Stylema 4 พอร์ทกับจานเบรกคู่ขนาด 320 มม. แบบโฟลท์ติ้ง ขณะที่ด้านหลังเป็นคาลิเปอร์เบรก Brembo 2 พอร์ท พร้อมจานเบรกขนาด 260 มม. ใช้ยาง Pirelli Diablo Rosso Corsa ขนาด 120/70-17 ที่ด้านหน้า และ 200/55-17 ที่ด้านหลัง

สำหรับ MV Agusta Brutale 1000RR จะมีสีสันใหม่ให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่สีแดงเพลิงตัดด้วยสีดำเมทัลลิกแบบด้าน และสีเทาเมทัลลิกแบบด้านตัดด้วยสีเทาเข้มเมทัลลิกแบบด้าน ส่วนสนนราคานั้นจะเริ่มต้นที่ 32,300 ยูโร ลองเอา 40 ไปคูณดูแล้วกันว่าจะสักกี่ตังค์

FORZABLUE SKY COLOR

การมาของ FORZA350 ไม่ได้ทำให้ FORZA 300 นั้นลดกระแสความนิยมลงแม้แต่นิดเดียว ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ ความโฉบเฉี่ยว หรูหราพรีเมี่ยม ไม่ใหญ่เกินไป และที่สำคัญขับขี่ได้สะดวกบูลสกาย คัลเลอร์ สีฟ้าสดใส บนเรือนร่างแบบเพียวๆ ไม่ต้องคาดลวดลายสีสันสติ๊กเกอร์ให้ดูเลอะเทอะ เน้นเรียบหรูดูสบายๆ มีการใช้ชิ้นงานที่เป็นเคฟล่าร์เข้ามาเสริมเพิ่มความคมเข้มที่ด้านหน้า ฝาปิดครอบถังน้ำมัน แต่ถ้ามองรวมๆ แล้ว ซึ่งดูแล้วไม่ได้มีของแต่งอะไรเยอะแยะมากมาย เน้นแบบเรียบๆ ง่ายๆ ใช้งานทั่วไป แต่มันก็สะดุดตาเหมือนกัน

ตัวเครื่องยนต์เป็นเวอร์ชั่นสองที่พัฒนาขึ้นมาจากตัวเก่ามีความทันสมัยมากขึ้น ขับขี่ตอบสนองความต้องการได้รวดเร็ว การเพิ่มท่อไอเสียใหม่เข้าไปทำให้การรีดแรงม้าออกได้ดี ถึงแม้มันไม่ได้ช่วยให้ความเร็วปลายเพิ่มขึ้น แต่มันทำให้การปล่อยพละกำลังได้เร็วขึ้น มีเสียงที่แผดดังขึ้น และก็มีความสวยสปอร์ตขึ้นด้วย วงล้อแม็กสีทองมาเชสซินี่ ขนาด 14 นิ้ว หน้า/หลัง ดิสก์เบรก หน้า/หลัง พร้อมระบบ ABS ปั๊มบนแท้งค์เหลี่ยมก้านเบรกเหรียญปรับระดับ ช่วงหลังเซ็ทความลงตัวด้วยโช้คอัพคู่ แบรนด์ดังยอดนิยมของนักแต่ง Gazi รุ่นเฉพาะได้แป๊ะแบบไม่ต้องไปแปลงจัดมาให้ตรงรุ่นมีซับแท้งค์แบบบิ้วท์อิน สามารถปรับพรีโหลด และรีบาวด์ได้ ทั้งสวยงามและมีสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม

ดูรวมๆ แล้ว ยังขาดออพชั่นอีกหลายชิ้น หลายตำแหน่ง แต่เชื่อได้ว่า FORZA คันนี้ไม่ได้จบเพียงแค่นี้ต้องไปต่ออย่างแน่นอน ทั้งสวยทั้งแรงแบบนี้ใครก็อยากเป็นเจ้าของ ลองแล้วจะติดใจ

2021 Kawasaki Ninja 650

ล่าสุด Kawasaki USA หรือ คาวาซากิ อเมริกา ก็ได้ทำการเผยโฉม Ninja 650 2022 แล้ว ซึ่งซูเปอร์สปอร์ตทัวเรอร์คันนี้ยังคงไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติม นอกจากลวดลายกราฟิกใหม่ เพื่อความโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีลูกเล่นที่สำคัญๆ ก็ยังอยู่ครบ อาทิ ขุมพลังยังคงเป็นเครื่อง 2 สูบเรียงขนาด 649 ซีซี ระบายความร้อน ที่ให้อัตราเร่งช่วงต้นและกลางนั้นเร้าใจที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ไฟหน้าคู่แบบ LED เรือนไมล์ ที่มาพร้อมระบบเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ และใช่งานร่วมกับแอพลิเคชัน Ride ology ให้คุณไม่พลาดการติดต่อ และการเดินทางที่ไม่สะดุด

ตัวแชสซีเหล็กกลม ที่มีน้ำหนักเบาและให้ความคล่องตัว ทวินดิสก์แบรกหน้า คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ จานเบรกกิ้งโฟลท์ติ้ง 5 ตัว วงล้อแม็ก 5 ก้าน ดิสก์หลังจานเดี่ยว คาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว เบาะที่ดีไซน์ใหม่ให้ดูเป็นท้ายเรซซิ่งมากยิ่งชึ้นมาดูในส่วนที่เปลี่ยนกันบ้าง ซึ่งก็มีเฉพาะลวดลายกราฟิกภายนอกที่ออกแบบให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น เส้นสายและการใช้สีทูโทน โดยทางอเมริกาจะจำหน่ายทั้งหมดด้วยกัน 3 โมเดล ได้แก่

โมเดลสแตนดาร์ด ไม่มี ABS ซึ่งจะมีให้เลือกด้วยกัน 2 เฉดสีคือ สีเทาด้านตัดด้วยสีดำเมทัลลิก และสีขาวมุกตัดด้วยสีเทาคาร์บอนเมทัลลิก ในราคา 7,699 เหรียญหรือราวๆ 241,000 บาท
โมเดล ABS ก็จะมีสองเฉดสีเหมือนกับโมเดลไม่มี ABS คือ สีเทาด้านตัดด้วยสีดำเมทัลลิก และสีขาวมุกตัดด้วยสีเทาคาร์บอนเมทัลลิก ในราคา 8,099 เหรียญหรือราวๆ 253,000 บาท
และโมเดล KRT Edition ซึ่งจะมาในเฉดสีเดียวกับทีมแข่ง WorldSBK คือสีเขียวตัดด้วยสีดำและสีขาวมุก ในราคา 8,299 เหรียญหรือราวๆ 259,000 บาท
*(ซึ่งราคาทั้งหมดยังไม่รวมภาษีและค่าใช้จ่ายอื่นๆ

New Yamaha XMAX 300

เอกลักษณ์ระดับโลก สปอร์ตหรูสไตล์ MAXกับฟีเจอร์แบบเต็มแม็กซ์
-ไฟหน้า FULL LED คลาส A
-Smart Key System ดีไซน์ใหม่ พรีเมียมขึ้นอีกระดับ
-Multi-Function Digital Meter จอ LCD สไตล์สปอร์ต
-ระบบเบรก ABS พร้อม Traction Control System ควบคุมแรงดันเบรกอัตโนมัติ ป้องกันล็อกทั้ง 2 ล้อ
– เครื่องยนต์บลูคอร์ 300 ซีซี มาตรฐาน EU5 เทคโนโลยีแห่งความแรง และความประหยัด
– ถังน้ำมันใหญ่ ขนาดจุใจ 13 ลิตร
-โช้คหน้า 33 มม. ซับแรงกระแทกได้ดี
สัมผัสสปอร์ตหรูสไตล์ MAX ยามาฮ่า เอ็กซ์แม็กซ์ 300 ใหม่
ได้แล้ววันนี้ที่ร้านผู้จำหน่าย ยามาฮ่า ทั่วประเทศ
? ราคาแนะนำ ?
New Yamaha XMAX 300 ปี 2021 : 172,900 บาท

ALL NEW FORZA350 ONLY FOR THE GREATEST เพราะที่สุด มีเพียงหนึ่งเดียว

อัตราเร่งดี บอดี้ ดีไซน์ใหม่เพิ่มความสปอร์ตดูพรีเมี่ยมมากขึ้น เพิ่มช่องการไหลของอากาศเพื่อการทรงตัวได้ดีเยี่ยมในความเร็ว และยังคำนึงถึงการคอนโทรลและความคล่องตัว ด้วยตำแหน่งท่านั่งที่ทำหู้ขับขี่นั่งได้สบาย วางเท้าได้สะดวก All New Forza350 มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ที่เหนือชั้น ระบบไฟฉุกเฉิน ESS เพิ่มความปลอดภัย เมื่อใช้เบรกกระทันหัน สะดวกสบายด้วย In-Console USB Charger & Bottle Holder ช่องชาร์จไฟผ่าน USB Port ขนาดใหญ่ที่สามารถวางขวดน้ำได้ในตัว พร้อมด้วยฟังก์ชั่นล้ำสมัยมากมาย อาทิ แผงหน้าปัดแบบดิจิตอลสไตล์ Cockpit Area แสดงข้อมูลการขับขี่ครบครัน รีโมทอัจฉริยะฮอนด้าสมาร์ทคีย์ระบุตำแหน่งพร้อมกันขโมย

รถบิ๊กสกู๊ตเตอร์รุ่นยอดนิยมในบ้านเรา รุ่นใหม่นี้นอกจากรูปลักษณ์จะถูกเหลาให้มีเส้นสายที่คมชัดเจนมากขึ้นกว่าเก่า การออกแบบช่องอากาศด้านข้างแฟริ่งให้ไหลผ่านและช่วยในการทรงตัวที่ดีขึ้น รวมไปถึงมุมเทลที่ปรับใหม่ให้การเข้าโค้งง่าย แน่นอน New Honda Forza 350 รุ่นใหม่ จะมีความกระฉับกระเฉงและคล่องตัวเพิ่มมากขึ้นในส่วนชิลด์หน้ายังคงเป็นการปรับด้วยระบบไฟฟ้าเพิ่มความสูงจากเดิม 110 มม. เป็น 150 มม. ปรับได้ที่สวิตช์แฮนด์ด้านซ้าย และตัวรถมาพร้อม Smart key ที่ใช้งานได้สะดวกสามารถบิดเพื่อเปิดระบบและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เลยโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ ในส่วนช่องสัมภาระใต้เบาะขนาดใหญ่ รุ่นนี้สามารถเก็บหมวกกันน็อคได้พร้อมกันถึง 2 ใบ

ลื่นขึ้น แรงขึ้น ด้านขุมพลังมาพร้อมเครื่องยนต์ eSP+ ขนาด 330 ซีซี 4 จังหวะ 4 วาล์ว ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI แบบซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ให้การเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แรงเสียดทานต่ำลง ให้สมรรถนะสูงและแรงส่งที่ต่อเนื่อง พร้อมกระเดื่องวาล์วแบบโรลเลอร์ยูนิแคม ให้อัตราเร่งติดมือ เพิ่มเพลาบาลานเซอร์เพื่อสร้างสมดุลให้เพลาข้อเหวี่ยง ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ย้ายตำแหน่งมาอยู่ที่ด้านหน้ารถ ส่งผลให้การระบายความร้อนเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และยังช่วยในการกระจายน้ำหนักมาทางด้านหน้าทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น พร้อมระบบ Honda Selectable Tourque Control ป้องกันล้อหนมุนฟรีท้ายสไลด์ ไม่ให้เสียการทรงตัว ให้แรงม้าสูงสุดที่ 41 แรงม้า

New Honda Forza 350 มาพร้อมกับวงล้อหน้าขนาด 15 นิ้ว และล้อหลังขนาด 14 นิ้ว โช้คอัพด้านหน้าแบบเทเลสโคปิกจะมีขนาด 33 มม. เท่านั้น บางลงกว่าโมเดลเดิมที่มีขนาด 35 มม. ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบทวินโช้คที่สามารถปรับระยะพรีโหลดได้ถึง 7 ระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานระบบดิสก์เบรกหน้า/หลัง ที่มาพร้อมกับ ABS แบบ 2 channel เช่นเดียวกับรถบิ๊กไบค์ ในขณะที่หน้าจอแสดงผลนั้นเป็นแบบดิจิตอลผสมกับอนาล็อค ซึ่งให้ความสดใหม่และโฉบเฉี่ยวกว่าเดิม สะดวกสบายกับ In-console USB Charger & Bottle Holder ที่เก็บของคอนโซลหน้าขนาดใหญ่ พร้อมที่วางขวดน้ำในตัว รองรับไลฟ์สไตล์ดิจิตอลฃด้วยที่ชาร์ทไฟสำรองอเนกประสงค์แบบ USB Charger Type C สีที่เปิดตัวกันในปีนี้นั้นจะมี สีน้ำเงิน-ดำ สีดำ, สีแดง-ดำ และ สีขาว-น้ำเงิน ในราคาเปิดตัวที่ 173,500 บาท

ความรู้สึกหลังการขับขี่
จตุรงค์ หมื่นทิพย์ กอล์ฟ ไรดิ้ง

มีความหรู พรีเมี่ยม แต่ซ่อนเขี้ยวเล็บที่แหลมคม อัตราเร่งม้าดีดเร้าใจตั้งแต่ออกตัว เพราะใส่ม้าเพิ่มมาให้อีก 4 ตัว อัพไซส์ลูกสูบจาก 72 มม. เป็น 77 มม. ความจุเป็น 330 ซีซี หัวเว้า 4 วาล์ว พร้อมค่าสปริงใหม่ ก้านข้อเหวียงใหญ่ รู้ได้ถึงเครื่องยนต์ที่นิ่งเสียงเงียบ ลดอาการสั่นด้วยการเสริมเพลาบาล้านซ์เซอร์ที่ข้อเหวี่ยง ทำให้รอบเดินเบาพลาสติกไม่มีกระพรือให้รำคาญ
ท่านั่งไม่ต่างจากตัวเดิม นั่งได้สบายๆ มีความคล่องตัวในระดับหนึ่งแต่ไม่ถึงกับพลิกพริ้ว ช่องเล็กๆ ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน วิ่งปะทะลมสบายด้วยวินชิลด์ปรับระดับได้สูงถึง 150 มม. กรองอากาศขนาดใหญ่เปิดคันเร่งรอบสูงไม่ต้องกังวลเรื่องการดูดอากาศเข้าไปเผาไหม้ เรือนลิ้นเร่งแบบยิงตรง รู้สึกได้ถึงแรงบิดที่มาเร็วกว่าเดิม เห็นว่าหม้อน้ำย้ายไปข้างหน้าเพื่อให้ลมผ่านได้ดี และเสริมพัดลมไฟฟ้าระบายความอีกตัว แหม…แบบนี้ม้าไม่มีตกแน่นอน ช่วงล่างโช้คอัพหลังยังมีจังหวะเหวี่ยงๆ อยู่บ้างในโค้ง ขณะที่รถมีความเร็ว 80 กม./ชม แต่ถ้าใช้งานทั่วไปก็ปกติ ยางติดรถถือว่าเกาะพื้นถนนได้ดี ชุดหลังทดอัตรากำลังส่งเฟืองท้ายปรับใหม่ เม็ดแรงเหวี่ยงเพิ่มน้ำหนักเป็น 21 กรัม ออกตัวเร็วมีกำลังที่ต่อเนื่อง เร่งแซงได้ทันใจ ทำความเร็วได้แบบสะเทือนวงการรถเดิมๆ 160 กม./ชม. จาก 0-100 ในเวลาเพียง 8.42 วินาที ดิสก์เบรกแบบ ABS 2 Channels แยกการทำงานหน้า/หลัง สั่งหยุดหนึบๆ มั่นใจ ระบบแทร็คชั่นสั่งทำงานเร็วเมื่อล้อหลังสัมผัสกับ ฝุ่นทราย หินกรวด หรือน้ำ แต่ถ้าปิดระบบ ก็จะได้สัมผัสกับความมันอีกสไตล์ แต่สำหรับใครทียังไม่พอใจสำหรับความเร็วเต็มเกย์ เครื่องยนต์สามารถรองรับการปรับแต่งโมดิฟายไปต่อให้เร้าใจได้อีกเยอะ

2021 All New Honda CBR150R

เพื่อนบ้านที่อินโดนีเซีย ที่คลั่งใคล้กับความเร็วแรง และความสปอร์ตเป็นอย่ามาก เปิดตัว All New CBR150R ที่มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ ผสมผสานเทคโนโลยีจากสนามแข่ง ให้อารมณ์ที่เร้าใจ กับเส้นสายลวดลาย และมิติของตัวรถที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

คอฟเวอร์ฟูลแฟริ่งใหม่รอบคัน แฟริ่งด้านข้างแบบใหม่พร้อมช่อง AIR DUCT ที่ด้านข้าง เพื่อให้อากาศใหลผ่านได้ดีและทำให้การทรงตัวของรถมีความนิ่ง ไฟหน้า LED ใหม่ 2 ชั้น กับไฟ Day time Running Light ที่ถอดแบบมาจาก CBR250RR ทำให้มีความสปอร์ตมากขึ้น ไฟท้าย LED แบบใหม่ และมาพร้อมกับระบบ ESS ไฟฉุกเฉินเมื่อทำการเบรกรถอย่างกะทันหัน เตือนรถข้างหลัง ซึ่งจะเป็นระบบมาตรฐานกับรถรุ่นอื่นๆ ด้วย

ปรับท่านั่งให้สมาร์ท คล่องตัว ด้วยองศาแฮนด์ใหม่ให้อารมณ์ความเป็นรถสปอร์ตมากขึ้น เบานั่ง 2 ชั้น ยกระดับด้านท้ายสำหรับผู้ซ้อน ด้วย เรือนไมล์ LCD ฟูลดิจิตอล ดีไซน์ใหม่สปอร์ตหรู และบอกรายละเอียดได้อย่างครบครัน และตอบสนองความต้องการตามคำเรียกร้องของวัยรุ่น กับระบบกันสะเทือนแบบใหม่ ด้วยโช้คอัพหน้าแบบ Upside-Down กระบอกสีทอง ที่ทำให้มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และซับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยมอีก โช้คอัพหลัง แบบ Mono Shock ระบบเบรก ABS ดิสก์เบรกหน้าขอบหยักแบบลดความร้อน คาลิเปอร์ลูกสูบคู่ และดิสก์เบรกหลังขอบหยักและคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว วงล้อแม็กก้านตัว Y ขนาด 17 นิ้ว

 

2021 All New CBR150R มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์สูบเดี่ยว ขนาด 150 ซีซี. DOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 17.1 แรงม้า ที่ 9,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 14.4 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์แบบ 6 สปีด และมาพร้อมระบบ Assist Slipper Clutch ติดตั้งมาด้วย ทำให้การขับขี่ที่มั่นใจและปลอดภัย เมื่อลดเกียร์ลงอย่างรวดเร็วในโค้ง หรือทางลื่น ราคาเปิดตัวที่อินนีเซีย เริ่มต้นที่ 75,000 บาท มี 4 รุ่น STD, ABS, Racing Red ABS และ MotoGP Version แต่สำหรับประเทศไทยถ้าเปิดตัวขายก็น่าจะแพงกว่านี้

ยามาฮ่า ฟินน์ รุ่นใหม่ สตาร์ทมือ ดรัมเบรก รถครอบครัวสุดประหยัด คุ้มสุดในยุคนี้!! เป็นใครก็…เลิฟ

บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ของรถจักรยานยนต์ครอบครัวสุดประหยัดด้วยรถจักรยานยนต์ “ยามาฮ่า ฟินน์” รุ่นใหม่!!! สตาร์ทมือ ดรัมเบรก พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานในทุกสายอาชีพ สวยงาม ทนทาน และประหยัดน้ำมันเป็นที่ 1 ด้วยหัวฉีดสุดประหยัด โดดเด่นไม่เหมือนใครกับการดีไซน์ช่องเก็บของด้านหน้า พร้อมช่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ถึง 9.7 ลิตร สะดวกสบายกว่าใครด้วยกุญแจแบบ Multi-function ควบคุมการใช้งานในจุดเดียว จะล็อก สตาร์ท หรือเปิดเบาะก็สบาย สั่งการที่จุดเดียว พร้อมราคาสบายกระเป๋าเพียง 39,800 บาท เท่านั้น!!!

พิเศษซื้อ ยามาฮ่า ฟินน์ ทุกรุ่น ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 รับโปรโมชั่นสุดพิเศษ “ฟินน์ทุกคัน ฟรีทุกคน” รับหมวกนิรภัยสุดสวย พร้อมบัตรน้ำมัน รวมมูลค่า 1,500 บาท รวมทั้งสิทธิ์รับประกัน 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง สำหรับผู้ที่ซื้อยามาฮ่าฟินน์ทุกรุ่นตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม 2564
สามารถเป็นเจ้าของยามาฮ่า ฟินน์ ใหม่!!! รถครอบครัวสุดประหยัด คุ้มสุดในยุคนี้!! เป็นใครก็…เลิฟ ได้แล้วที่ร้านผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าทั่วประเทศ

2022 Honda CRF450R

กล่าวได้ว่านี่คือการ redesigned หรือปรับปรุงจากโมเดล 2021 CRF450R แต่ได้เสริมแนวคิดในการออกแบบ ด้วยนิยามสั้นๆว่า Razor-Sharp Cornering ซึ่งระบุชัดเจนว่า 2022 CRF450R พัฒนาคุณสมบัติเพิ่มเติมในการขับขี่การเคลื่อนไหวการควบคุมที่ยอดเยี่ยมในโค้งเป็นสำคัญ

ไม่เพียงเท่านี้ในการปรับปรุง 2022 CRF450R ยังระบุว่าได้มีการเน้นที่ส่วนของแรงบิดให้กับรอบการทำงานเครื่องยนต์ในช่วงต่ำและกลางอีกด้วย ขณะที่น้ำหนักของเฟรมและสวิงอาร์มนั้นสามารถพัฒนาจนมีน้ำหนักเบากว่าเดิมสองกิโลกรัม เมื่อเทียบกับโมเดล 2020 CRF450R กล่าวได้ว่า แนวคิดทั้งหมดของการพัฒนา 2022 CRF450R ล้วนต่อยอดมาจาก 2021 CRF450R นั่นเอง
ความเร็วคือเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเพื่อผลที่ยอดเยี่ยมในสังเวียน MXGP ดังนั้นด้วยประสบการณ์ของ HRC จึงเป็นส่วนสำคัญที่พวกเขาจะเข้าใจดีว่าจะต้องจัดการอย่างไรเพื่อให้รถแข่งสามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุดได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากการอัพแดทสู่ความสมบูรณ์แบบที่เพิ่มขึ้นจาก 2021 CRF450R มาสู่ 2022 CRF450R ทั้งในส่วนเฟรมสวิงอาร์ม และเครื่องยนต์ในแบบของการ redesigned แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องมีการอัพเดทควบคู่ไปด้วยก็คือ ECU ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ รวมไปถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบกันสะเทือน โดยการ re-valve ของ Showa suspension ทั้งในส่วนกันสะเทือนหน้า และกันสะเทือนหลัง เพื่อเสริมสมรรถนะในการซับแรงสั่นสะเทือนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพียงพอที่จะรองรับพละกำลังเครื่องยนต์ที่เค้นมาอย่างเต็มที่ในขณะแข่งขันด้วยความเร็วสูง

เมื่อกล่าวถึง ECU ก็ต้องพูดถึงระบบอิเล็คทรอนิคส์ ที่ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นหัวใจสำหรับรถจักรยานยนต์ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถแข่งถือได้ว่าระบบอิเล็คทรอนิคส์เข้ามามีส่วนช่วยในการควบคุมเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกันใน 2022 CRF450R ก็มีการอัพเดท Honda Selectable Torqque Control-HSTC ที่มาพร้อมกับ 3 riding modes (รวม off) HRC Launch Control มาพร้อมด้วยออพชั่นออกตัวสามรูปแบบ 3 start options คือ Level3 ที่ 8,250 rpm สำหรับการออกตัวในสภาพโคลน muddy codition-Level2 ที่ 8,500 rpm สำหรับการออกตัวในสภาพแห้ง dry condition หรือโหมดมาตรฐาน Level1 ที่ 9,500 rpm เป็นการออกตัวในสภาพ dry conditions แต่เป็นระดับมืออาชีพที่เหนือกว่าเลเวล 2 Engine Mode Select Button-EMSB มาพร้อมกับ 3 maps ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสม HRC Setting tool สามารถปรับแต่ง Aggressive และ Smooth modes หากกล่าวโดยภาพรวมแล้ว 2022 CRF450R ก็คือการ”เก็บงาน” ที่อัพเดทเพิ่มเติมจาก 2021 CRF450R ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายไปก่อนหน้านี้ หัวใจสำคัญของ 2022 CRF450R นั่นก็คือการอัพเดท ECU เพื่อให้ได้การส่งกำลังที่นุ่มนวลมากกว่าเดิม อีกจุดหนึ่ง็คือการ re-valce สำหรับ Showa suspenrion ตามที่กล่าวไป

สเปคของตัวรถมีดังนี้
ENGINE
Type Liquid-cooled 4-stroke single cylinder uni-cam
Displacement 449.7cc
Bore ´ Stroke 96.0mm x 62.1mm
Compression Ratio 13.5 : 1
FUEL SYSTEM
Carburation Fuel injection
Fuel Tank Capacity 6.3 litres
ELECTRICAL SYSTEM
Ignition Digital CDI
Starter Self-Starter
DRIVETRAIN
Clutch Type Wet type multi-plate
Transmission Type Constant mesh, 5-speed,manual
Final Drive Chain
FRAME
Type Aluminium twin tube
CHASSIS
Dimensions (L´W´H) 2,182 x 827 x 1,267mm
Wheelbase 1,481mm
Caster Angle 27.1°
Trail 114mm
Seat Height 965mm
Ground Clearance 336mm
Weight Dry 105.8kg – wet 110.6kg
SUSPENSION
Type Front Showa 49mm USD fork
Type Rear Showa monoshock using Honda Pro-Link
WHEELS
Type Front Aluminium, spoke
Type Rear Aluminium,  spoke
Tyres Front 80/100-21-51M Dunlop MX33F
Tyres Rear 120/80-19-63M Dunlop MX33
BRAKES
Front Single 260mm disk
Rear Single 240mm disk

BMW C400X + C400GT

รถสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางระดับพรีเมี่ยม จาก BMW ที่ได้รับการอัพเกรดออกมาล่าสุด ก็คือ C400X กับ C400GT ซึ่งเวอร์ชั่นแรก อย่าง C400X ถูกส่งออกมาครั้งแรกในปี 2017 เพื่อตอบโจทย์การใช้งานในเมือง ขณะที่ C400GT ที่ส่งออกมาสู่ตลาดในปี 2019 นั้น ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการเดินทางไกล ด้วยความเป็นรถในแบบ Gran Turismo หรือ ทัวร์ริ่ง และล่าสุดทาง BMW Motorrad ได้ทำการอัพเกรดสกู๊ตเตอร์ระดับพรีเมี่ยมขนาดกลางทั้งสองเวอร์ชั่นด้วยการระบุอย่างชัดเจนว่า Technology upgrade for the midsize scooters

ด้วยจุดประสงค์ในการออกแบบที่ต้องการให้ทั้ง C400X และ C400GT เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดกลางที่มีความทนทาน ตอบสนองการใช้งานที่ดี และให้ความสนุกสนานในการขับขี่ รวมทั้งลดภาระการดูแลรักษา ตัวเลือกของเครื่องยนต์แบบสูบเดียว single-cylinder engine จึงเป็นตัวเลือกที่ดีพร้อมด้วยชุดเกียร์บ๊อกซ์ที่กำหนดมาเป็นแบบอัตโนมัติ หรือ CVT-continuously variable transmission ที่มีสมรรถนะของขุมกำลังในการขับเคลื่อนขนาด 25kW หรือ 34 แรงม้า ที่ 7,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดขนาด 35Nm ที่ 5,750 รอบต่อนาที ที่มาพร้อมกับ electronic throttle grip-E-gas ซึ่งเป็นระบบควบคุมการเปิดปิดเรือนลิ้นเร่งด้วยระบบอิเล็คทรอนิคส์ รวมทั้งปรับปรุงระบบควบคุมเครื่องยนต์มาใหม่ new engine management system กล่าวได้ว่าหลากหลายส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการทำงานของ”ระบบ” ล้วนถูกพัฒนามาใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่า catalytic converter oxygen sensor cylinder head new sensor on the generator cover เป็นต้น

เป็นที่รู้กันว่าในโมเดลก่อนหน้านี้ ได้มีการติดตั้ง ASC-Automatic Stability Control ซึ่งเป็นระบบที่มีเซ็นเซอร์คอยแจ้งเตือนความมั่นคงในการขับขี่ ที่คำนวณขนาดวงล้อ ความเร็วและหน้าสัมผัสของพื้นผิว โดยในระบบเดิมที่ติดตั้งมานั้น จะต้องคอยป้อนข้อมูลหรือวัดขนาดของวงล้อใหม่ทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่ ดังนั้นในโมเดลล่าสุดของ C400X และ C400GT นี้ ได้พัฒนาให้สามารถคำนวณได้โดยอัตโนมัติ คือ เป็น ASC ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ Automatic radius calibration นอกจากนี้ยังได้เพิ่มออพชั่นในการควบคุมความเร็วสูงสุดตามกฏหมายของประเทศจีน ที่กำหนดให้มี top speed ที่ 129 กม./ชม. แต่ในประเทศอื่นๆ นั้นยังคง top speed ไว้ที่ระดับ 139 กม./ชม.

นอกจากนี้ไฮไลท์ที่มีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ก็เป็นในส่วนของระบบเบรก ที่มีการเปลี่ยนส่วนของคาลิเปอร์เบรกหน้า new front brake calipers และยังมีการปรับระยะเคลื่อนที่ของมือเบรก adjusted lever travel ของทั้งเบรกหน้า และเบรกหลัง โดยเฉพาะในส่วนของ new brake calipers นั้นมีส่วนให้การเบรกหน้านั้นมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ด้วย double-disc brake system ซึ่งมีการปรับใหม่ทั้ง C400X และ C400G

“R6” กระหึ่ม นาบาร์ร่า กวาดโพเดี้ยม WSSP “เอเกอร์เตอร์” ซิวแชมป์ 8 เรซติด

โดมินิก เอเกอร์เตอร์ #77 ดาวบิดสวิส สังกัดเทน คาเตะ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ระเบิดฟอร์มร้อนแรงคว้าดับเบิ้ลแชมป์ เกมเวิลด์ซูเปอร์สปอร์ต ผงาดคว้าชัยเป็นเรซที่ 8 ติดต่อกัน รวมถึง สตีเว่น โอเดนดาล #4 และ ลูก้า แบร์นาดี้ #29 ที่ควบรถแข่ง YZF-R6 ครองดับเบิ้ลโพเดี้ยม จากการชิงชัยในเรซล่าสุด ที่ เซอร์กิโต เดอ นาบาร์ร่า

ศึกซูเปอร์สปอร์ต เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 ดวลความเร็วสนามที่ 6 ของฤดูกาลระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม ที่ผ่านมา บนสังเวียนแห่งใหม่อย่าง เซอร์กิโต เดอ นาบาร์ร่า แคว้นนาบาร์ ประเทศสเปน ระยะทางต่อรอบ 3.933 กิโลเมตร ในรายการพิเรลลี่ นาบาร์ร่า ราวนด์การชิงชัยในเรซดังกล่าวเป็นผลงานระดับมาสเตอร์ของ โดมินิก เอเกอร์เตอร์ #77 ดาวบิดสวิส สังกัดเทน คาเตะ เรซซิ่ง ยามาฮ่า ที่ระเบิดฟอร์มเก่งบิดคว้าชัยจากการชิงชัยทั้ง 2 เรซ ผงาดซิวแชมป์ในคลาสดังกล่าวเป็น 8 เรซติดต่อกัน และยังคงเป็นรถแข่งยามาฮ่า YZF-R6 ที่คว้าอันดับสูงสุดบนโพเดี้ยมทั้ง 12 เรซที่ผ่านมาขณะที่ สตีเว่น โอเดนดาล #4 นักบิดเซาท์แอฟริกา จาก อีแวน บรอส. เวิลด์เอสเอสบี ทีม ยังคงอยู่ในผลงานอันยอดเยี่ยม บิดคว้าอันดับ 2 จากการชิงชัยทั้ง 2 เรซ ที่ นาบาร์ร่า รวมถึง ลูก้า แบร์นาดี้ #29 ดาวบิดจากซานมาริโน่ สังกัดซีเอ็ม เรซซิ่ง ที่ส่ง R6 เหมาโพเดี้ยมอันดับ 3 ในเกมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน
จากผลการแข่งขันดังกล่าว ส่งผลให้ ยามาฮ่า นำโด่งบนตารางแชมเปี้ยนชิพประเภทค่ายผู้ผลิต หลังเก็บไปได้ 300 คะแนนเต็ม รวมถึง โดมินิก เอเกอร์เตอร์ ที่ครองจ่าฝูงในประเภทนักบิดได้อย่างเหนียวแน่น เก็บไปแล้วทั้งสิ้น 257 คะแนน เหนือกว่า สตีเว่น โอเดนดาล ที่รั้งอันดับ 2 อยู่ 47 คะแนน สำหรับการแข่งขันในสนามที่ 7 ศึกซูเปอร์สปอร์ต เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ 2021 จะยกพลไปดวลความเร็ว ที่ เซอร์กิต เด แนร์แวร์ส แม็กนีย์-คูส์ ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 3-4 กันยายน นี้

2022 Suzuki GSX1300RR Hayabusa

2022 Suzuki Hayabusa ถูกจัดไว้ในส่วนของ “Ultimate Sportbike” มันเป็นยิ่งกว่าการอัพเกรดธรรมดาของเจ้า “พญาเหยี่ยว” ทุกอย่างถูกปรับแต่งได้อย่างลงตัวครบถ้วน ไฟหน้าแบบโคมเดี่ยว ทรงเรียว ช่อง Air Intake ด้านหน้า แฟร์ริ่งที่มีความบึกบึน ส่วนโค้งท้ายตัวรถที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยเบาะนั่งทรงสปอร์ตสำหรับการซุกตัวหมอบใต้อุโมงค์ลมชิลด์หน้า\

เครื่องยนต์จะมาพร้อมกับขุมกำลังขนาด 1,340 ซีซี แบบ 4 ลูกสูบเรียง DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังสูงสุด 187.75 แรงม้าที่ 9,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 110.68 นิวตันเมตร ที่ 7,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 6 สปีด ส่งกำลังสุดท้ายด้วยโซ่ ระบบกันสะเทือนแบบหัวกลับ Upside-Down KYB ขนาด 43 มม. สามารถปรับระดับได้ ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock ปรับได้เต็มระบบ Preload rebound และ compression damping ระบบเบรกหน้าแบบดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 มม. คาลิเปอร์แบบ 4 พอร์ท ด้านหลังจานดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 260 คาลิเปอร์แบบลูกสูบเดี่ยว พร้อมระบบ ABS พิเศษ Motion Track Anti-Lock Brake System ที่ไวต่อการเอียงรถ และมีระบบ Combined Brake System เพื่อช่วยให้แชสซีรักษาระดับ สำหรับผู้ที่ชอบใช้เบรกหลังเพียงอย่างเดียว และยังมีระบบ Slope Dependent Control System ที่ทำงานเพื่อลดการยกล้อหลังให้น้อยที่สุดเมื่อเบรกบนทางลาดลงเนิน รวมไปถึงระบบ Hill Hold Control System ระบบช่วยเบรกในการสตาร์ทเครื่องยนต์ขณะจอดบนทางที่ลาดเอียง วงล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว แบบ 7 ก้านใหม่ พร้อมด้วยยาง Bridgestone S22ไซส์ 120/70ZR-17 และ 190/50ZR-17

โดยขุมกำลังใหม่นี้ เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพในการส่งกำลังในรอบต่ำและกลางมากขึ้น ถึงแม้ว่าขนาดของกระบอกสูบ x ช่วงชักจะยังเท่ากับ 81.0 x 65.0 มม เหมือนเดิม แต่ก็มีการออกแบบลูกสูบใหม่ที่มีน้ำหนักที่เบากว่า ก้านลูกสูบน้ำหนักน้อยลงกว่าเดิม 3 กรัม ห้องเผาไหม้ได้รับการแก้ไขใหม่ โดยลดค่าสัมประสิทธิ์การไหลลง 5% เพื่อให้การเผาไหม้ของอากาศ เชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่เพียงเท่านี้ ยังปรับปรุงระบบหล่อลื่นไปจนถึงตลับลูกปืนที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อความทนทาน และประสิทธิภาพในทุกๆ ย่านความเร็ว ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ก็พัฒนาใหม่ โดยการอัพเกรดระบบไหลเวียนของอากาศที่ไหลได้สะดวกมากขึ้น 8% ในขณะเคลื่อนที่ และเพิ่มขึ้นอีก 7% ในจังหวะที่พัดลมเริ่มทำงาน และเพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ผลิตกำลังได้ตามที่ต้องการรวดเร็ว Suzuki จึงใช้เป็นคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire และตัว throttle bores แบบ 2 หัวฉีด ขนาด 43 มม. หัวฉีดหลักจะฉีดพ่นลงไปที่รูโดยตรงในขณะที่ Suzuki Side Feed Injector ใหม่จะฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงกับแผ่นสะท้อนแสงที่อยู่ข้างหน้าวาล์วปีกผีเสื้อ ส่งผลให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น 2% ในช่วงต่ำและช่วงกลาง ท่อไอดีทั้งหมดมีความยาวเพิ่มขึ้น 12 มม เพื่อเพิ่มกำลังในช่วงรอบต่อนาที ช่อง AirBox ที่ปรับขนาดความจุใหม่ 11.5 ลิตร ไส้และระบบไอเสียเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด มีการลดน้ำหนักลงกว่าของเดิม 2.04 กิโลกรัม

โครงสร้างหลักแบบ twin-spar aluminum frame และ swingarm รูปทรงเดิม แต่มีการย้ายจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลงใกล้กับพื้นมากขึ้น และกระจายน้ำหนักด้านหน้าหลังได้ 50/50 ลดน้ำหนักของโครงสร้างแต่เพิ่มความแข็ง ซึ่งนั้นหมายความถึงตัวรถจะถูกปรับปรุงในเรื่องของประสิทธิภาพในการขับขี่ในทางโค้งที่ดี แต่จะยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิมกับการวิ่งทำความเร็วสูงบนเส้นทางตรง แบบ ที่ออกแบบมาเฉพาะจัดเต็มกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย Hayabusa รุ่นใหม่มาพร้อมกับคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ใหม่ โดยมีระบบ Suzuki Intelligent Ride System (SIRS) และรระบบ Suzuki Drive Mode Selector Alpha ที่มีโหมดการขับขี่มาตรฐานโรงงานสามโหมด และโหมดที่ผู้ใช้กำหนดเองได้สามโหมด โดยการปรับแต่ค่าต่างๆ นั้น ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับหรือเปิดปิดระบบการทำงานต่างๆ ได้อย่างอิสระไม่เพียงเท่านี้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายจะทำงานรวมกับแกน IMU จาก Bosch และควบคุมการทำงานด้วยระบบ ECU เพลิดเพลินกับการขับขี่ด้วยตัวช่วยอย่าง ระบบ Quick Shift แบบสองทาง ที่สามารถปรับขึ้นและลดเกียร์ได้อย่างอิสระ และความสามารถใหม่ Active Speed ​​Limiter ระบบจำกัดความเร็วที่สามารถปรับค่าได้ โดยสามารถไล่เรียงขีดจำกัดความเร็วตั้งแต่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปถึงขีดสุดของตัวรถที่สามารถทำได้ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สีสันทีจะผลิตออกสู่ตลาดมีการประกาศออกมาแล้วว่าจะมาพร้อมกัน 3 ชุดสี ประกอบไปด้วย Glass Sparkle Black – Candy Burnt Gold, Metallic Matte Sword Silver – Candy Daring Red และ Pearl Brilliant White – Metallic Matte Stellar Blue สำหรับ Suzuki Thailand จะมีการนำเข้ามาในช่วงเวลาใด และราคาของมันนั้นจะเพิ่มจากราคาปัจจุบันที่จำหน่ายอยู่ที่ 850,000 บาท หรือมากกว่า ต้องตามลุ้นกันอีกที